คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ✚ BE MY H0NEY :: CHEN & XiUMiN III
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Kim Jongdae & Kim Minseok
Story : Jackboiz
Rate : PG-15
Be my Honey*
‘ ...it's hard
to Say
Love.....’
ได้เกิดมาครั้งเดียวจะขอทำทุกอย่าง
ต่อให้เธอไม่เห็นคุณค่า
อาจเหมือนคนไม่ฉลาด ก็ยอมรับ
…มันโง่ตั้งแต่รักเธอหมดใจ...
- Xiumin’s Part -
ผมกำลังยิ้ม...โดยที่ไม่แน่ใจนักว่ายิ้มนี้บ่งบอกอะไร
มันอาจหมายความว่าผมมีความสุข หรือไม่มีความสุขก็ได้...
เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าผมยอมรับตัวตนของผมได้มากแค่ไหน
นับจากวันนั้นมาผมและจงแดไม่ได้เปลี่ยนไป...เรายังเป็นเพื่อนกันแต่สถานะนั้นกลับคลุมเครือยิ่งกว่า
ผมไม่ได้เลิกกับลู่หาน เช่นเดียวกับจงแดที่ไม่ได้เลิกกับรุ่นพี่ซูโฮเช่นกัน
ผมรู้ว่ามันแปลกและบ้าบอ...และผมไม่แน่ใจนักว่าเราสองคนจะก้าวเดินต่อไปทางไหน
ความสัมพันธ์จำเป็นต้องมีสถานะ...แต่ผมมั่นใจว่าเราสองคนยังไม่พร้อมที่จะทำให้อะไรมันชัดเจนขนาดนั้นหรอก
ผมยังไม่พร้อม...เช่นเดียวกับที่จงแดยังไม่พร้อมเช่นกัน
ผมไม่แน่ใจนักว่าผมเองอยากจะได้จงแดมาเป็นคนรักไหม
อาจจะเป็นเพราะว่าผมมันขี้ขลาด...
ผมไม่แน่ใจเลยว่าเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไปถ้าหากใช้คำว่ารักหรือชอบต่อกันแบบเต็มปากเต็มคำ
คำว่าเพื่อนมันทำให้ผมรู้สึกมั่นคงมากกว่าคำว่าคนรัก
ผมไม่กล้าแม้แต่จะขอร้องให้จงแดเลิกกับซูโฮเพื่อหันมาเป็นคนรักของผม
เพราะผมเองยังไม่เคยบอกเขาเลยด้วยซ้ำว่าผมคิดกับเขายังไง...
ผมดีใจที่จงแดหึงหวงผมกับลู่หาน...แต่แน่นอนว่าเขายังไม่เคยพูดว่ารักกับผม และผมเองก็เช่นกัน
ผมไม่เคยบอกเขาเลยซักครั้งว่าผมแอบชอบเขามานานเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่วันนั้นมาเราพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันน้อยมาก
แต่ผมกลับรู้สึกดีเหลือเกินที่จงแดเริ่มหันกลับมาสนอกสนใจ และเอาอกเอาใจผมจนออกนอกหน้า
และตั้งแต่วันนั้นมาเรายังไม่เคยพูดคุยกันจริงๆจังๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยซักที...
“มินซอกอ่า...อยากกินไอติมไหม?”
จงแดถามผมเมื่อเราสองคนกำลังเดินกลับเข้าหอพักในเย็นวันหนึ่ง
วันนี้เราเลิกคลาสกันเกือบสองทุ่ม
จงแดจึงชวนผมไปกินข้าวเย็นที่ร้านด้านหลังมหาวิทยาลัยก่อนจะเดินหอไปด้วยกัน
ผมส่ายหน้าก่อนจะยกยิ้มให้เขา มองจงแดที่ทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา
“จะกินทำไม ชวนกูอ้วนอีกแล้วนะ
และอีกเรื่องนึงถ้าเผื่อมึงจะไม่ได้สังเกต...
กูซื้อทิ้งไว้ให้มึงแล้วเมื่อวานนี้ตั้งสองควอท
ชาเขียวควอทนึง คุกกี้แอนด์ครีมอีกควอทนึง”
ผมบอกเขาไปพลางยกยิ้มบางๆ
จงแดทำตาโตแล้วยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจที่ได้ยินผมพูดอย่างนั้น
“โอ้...มึงซื้อมาให้กูแล้วจริงเหรอ
โธ่ มินซอกอ่า...มึงน่ารักจริงๆ”
จงแดไม่พูดเปล่าหากแต่เขายังยกแขนขึ้นโอบที่รอบคอผมด้วย
ผมเสตาไปมองทางอื่นแล้วลอบยิ้ม...กอดนี้อาจไม่มีความหมายกับเขา
แต่สำหรับผมแล้วมันทำให้หัวใจเต้นแรงจริงๆ...
“บ้าจริงจงแด...มึงพูดคำว่าน่ารักไปทั่วอีกแล้ว” ผมหันไปหรี่ตามองเขาแล้วพูดออกมาอย่างไม่ได้จริงจังอะไรนัก
“โธ่...เดี๋ยวนี้กูก็พูดแค่กับมึงเท่านั้นแหละ มินซอกอ่า” จงแดตอบผม เขาหลบสายตาแล้วยกนิ้วขึ้นเกาที่จมูก
ผมมองภาพนั้นแล้วหันสายตาออกไปมองทางอื่นด้วยความเขินอายแทบบ้า
รู้สึกอยากจะเอาแขนของจงแดที่โอบรอบบ่าของผมให้ออกไปซักที
เพราะผมกลัวเขาจะรู้ว่าหัวใจผมกำลังเต้นแรงแค่ไหน...
ผมตัดสินใจดึงแขนเขาออกจากรอบบ่าแล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง
หากแต่จังหวะการเดินของผมกลับหยุดชะงักไปอีกครั้ง...เมื่อจงแดสอดมือเข้ามากุมมือผมไว้
บ้าเอ๊ย...หัวใจชักจะเต้นแรงเกินไปแล้วนะ
“ทำอะไรของมึงเนี่ย?”
ผมถามเขาเมื่อจงแดจูงมือผมให้เริ่มออกเดิน
และถึงแม้ว่าผมจะพยายามแกะมือออกจากเขา...เขาก็ไม่ยอมปล่อยเลย
“คนมันเยอะ...เดี๋ยวจะหลง”
จงแดลอยหน้าลอยตาแล้วพูดยิ้มๆ
ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความเขินอายจนตัวแทบระเบิด
แต่ไม่ได้หรอก...จะให้แสดงออกไปน่ะมันน่าอายจะตาย
“คนไม่เห็นเยอะตรงไหน...ไม่หลงกันหรอกน่า”
ผมหลบสายตาของจงแดที่มองมาแล้วตอบไปส่งๆ
แม้อากาศจะหนาว แต่ผมกลับรู้สึกเห่อร้อนจนแทบอยากจะหนีไปจากตรงนี้เลย
จงแดเบะปากใส่ผมก่อนจะถามกลับ...และให้ตายเหอะ เขาจะรู้ไหมนะว่าเขากำลังฆ่าผมเพราะคำพูดของเขา
“มึงอยากให้กูปล่อยมือจริงๆเหรอมินซอก?”
จงแดหันมาถามผมอย่างจริงจัง...
หากแต่ใบหน้านั้นก็เจือรอยยิ้มบางๆ และจงแดก็ยกหัวคิ้วขึ้นเพื่อรอคำตอบ
ผมกัดริมฝีปากเมื่อมองเข้าไปในตาของเขา...
อยากจะเบือนสายตาหนีแววตาที่มองมาตรงๆ แบบนั้น
แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากมองมันให้เนิ่นนานเพื่อค้นหาว่าข้างในนั้นมีคำว่า “รัก” ซ่อนอยู่บ้างไหม
“อย่าเงียบดิมินซอก...ถ้ามึงไม่ชอบก็บอกกูมา
ถ้ามึงอยากให้ปล่อย กูก็จะปล่อย...”
จงแดยกมือขึ้นเกาที่ปลายจมูกอีกแล้ว...และนั่นทำให้ผมเม้มปากแน่นสนิท
อยากจะลอบยิ้มอยู่หรอก แต่ผมก็พบว่ามันทำได้ยากเหลือเกิน
ก็ในเมื่อผมกำลังมีความสุขขนาดนี้...จะให้ผมกลั้นยิ้ม มันคงทำได้ยากจริงๆ
“ไม่ได้พูดเลยซักคำว่าอยากให้ปล่อย”
ผมพูด...และเสตาหันไปทางอื่น
ได้ยินจงแดกำลังหัวเราะเบาๆ ผมเหลือบไปเห็นเขายิ้มจนตาปิด และผมเองก็เช่นกัน...
อา บ้าจัง...ผมกัดริมฝีปากจนเจ็บไปหมดแล้วนะ
เขินจะบ้าตายแล้วครับ...ให้ตายเหอะ
“งั้นเรากลับห้องกันเถอะมินซอก...ไปกินไอติมกัน
กูไม่ได้จะชวนมึงอ้วนนะ แต่กูจะบังคับให้มึงกิน...
เพราะถึงแม้ว่ามึงจะกินไอติมแล้วอ้วน
.
.
แต่สำหรับกูแล้วมึงก็ยังน่ารักที่สุดอยู่ดี...”
********
ผมไม่เคยคิดว่าการกำหนดสถานะจะสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้น
เพราะถ้าเรามีความสุขกับมันแล้วเราจะกำหนดจุดยืนมันไปเพื่ออะไร
บางทีอาจเพราะเราไม่ได้อึดอัดต่อกัน...
และถึงแม้ว่ามันจะดูป้ำๆเป๋อๆ และไม่ชัดเจน...แต่ผมก็ยังโอเคกับมันที่เป็นแบบนี้
ผมและจงแดกลับมาที่ห้องและนั่งกินไอศกรีมด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
ไอศกรีมไม่เคยหวานขนาดนี้...ผมแทบจะไม่รู้สึกถึงรสชาติอะไรเลยนอกจากความหวาน
ถึงแม้ว่าไอศกรีมรสโปรดของจงแดจะมีรสขมเฝื่อนเล็กน้อยพอให้รู้สึกทุกครั้งที่ได้กิน
แต่วันนี้ผมกลับไม่รู้สึกถึงมันเลย...
เราสองคนนั่งกินและดูหนังด้วยกันเงียบๆ
ไม่มีคำพูดอะไรที่มากมาย แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วที่จะอยู่แบบนี้
บนโซฟาตัวเล็กขนาดพอเหมาะที่เราไปเลือกมาด้วยกันเพื่อใช้ดูหนัง
มาวันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันเล็กลงไปถนัดตา...หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเราเบียดเข้ามานั่งใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น
ผมและจงแดแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันซักนิด และผมเองก็มีความสุขเหลือเกินกับทุกๆอย่างที่ผมกำลังเผชิญอยู่ราวกับฝันไป
แต่แน่นอนว่าโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคนเท่านั้น...
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นมาและเรียกผมให้กลับไปสู่โลกของความเป็นจริงจนได้
ผมหยิบเอาโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นดูที่หน้าจอโทรศัพท์
ก่อนจะพบว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครเลย...
หากแต่เป็น เสี่ยว ลู่หาน
จงแดหันหน้าออกไปที่นอกหน้าต่างเมื่อเขาเหลือบมาเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของผม
และนั่นทำให้ผมไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเขากำลังทำหน้ายังไงอยู่...
ผมลุกขึ้นออกจากโซฟาตัวเล็กและเดินออกจากตรงนั้นมายืนตรงริมระเบียงนอกห้องเหมือนทุกครั้งที่ลู่หานโทรมา
ผมไม่อยากพูดคุยกับลู่หานให้เขาได้ยิน...เหมือนกับที่ผมไม่อยากได้ยินจงแดคุยกับพี่ซูโฮเหมือนกัน
อากาศข้างนอกนี้หนาวเย็นเหลือเกิน...
หนาวจนผมแทบอยากจะเปลี่ยนใจกดตัดสายแล้วเดินกลับไปนั่งอิงกับจงแดบนโซฟาเหมือนเก่า
หากแต่ก็รับรู้ได้ว่าผมไม่ควรจะทำอย่างนั้นเพราะลู่หานกำลังรอให้ผมกดรับสายอยู่ในตอนนี้
ผมถอนหายใจออกมา เพราะรู้สึกว่าไม่อยากรับสายของลู่หานเลยซักนิดเดียว
ผมรู้สึกผิดกับลู่หานเหลือเกิน และนั่นแหละที่ยิ่งทำให้ผมพยายามหนีหน้าเขามาตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้
ผมไม่เคยรักเขา...และไม่เคยตอบตกลงเป็นแฟนกับเขาเลยซักครั้งเดียว
แต่ผมจะโทษว่าลู่หานพูดเองเออเองก็ไม่เต็มปากนักหรอกครับ...เพราะผมเองก็ไม่เคยปฏิเสธเขาเลยซักครั้ง
ไม่เคยจะปฏิเสธอะไรกับเขาได้เลยซักเรื่องเดียว...
“อืม...ว่าไง?
มีอะไรเหรอลู่หาน?”
ผมกดรับสายเขาเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา...นั่นเพราะว่าผมยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับเขา
แต่สุดท้ายแล้วผมก็รู้ว่าหนีไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี ในเมื่อผมทำผิดไป...ผมก็ควรจะรับผิดและโดนลงโทษซะ
“ไม่มีอะไรโทรมาไม่ได้เหรอ?
เพราะฉันโทรมามันเลยทำให้นายลำบากใจมากใช่ไหม”
ลู่หานตอบกลับมาจากปลายสายแผ่วเบา
น้ำเสียงนั้นดูไร้เรี่ยวแรงและทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ผมกัดริมฝีปากแล้วห่อไหล่ด้วยความหนาว...เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็พบว่าหิมะกำลังโรยตัวลงมาแล้วในที่สุด
“ฉันเปล่าพูดอย่างนั้นซักหน่อย...ทำไมต้องประชดกันด้วย”
ผมพูดพลางกลอกตา รู้สึกว่าตัวสั่นและฟันเริ่มจะกระทบกันดังกึกๆ
และนั่นทำให้ผมคิดว่าควรต่อบทสนทนาให้น้อยที่สุดแล้วรีบกลับเข้าไปข้างในคงจะดีกว่า
ฟุบ...
หากแต่วินาทีที่ผมทำอย่างนั้น เสื้อโค้ทหนานุ่มตัวหนึ่งก็ถูกวางลงรอบบ่าของผมอย่างแผ่วเบา
ผมมองหน้าจงแดที่เดินออกมาคลุมเสื้อให้ผมที่ไหล่ ก่อนจะเห็นว่าจงแดส่งยิ้มบางๆมาให้ผม
ก่อนที่เขาจะเดินถอยกลับเข้าห้องไป...
เพียงแค่เท่านั้น...โลกทั้งใบก็ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นราวกับว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงแล้วในที่สุด
เพียงแค่เสื้อโค้ทตัวเดียวคงไม่อาจทำได้...
แต่มันเป็นเพราะความห่วงใยของเขามากกว่าที่ทำให้โลกของผมอุ่นขึ้นได้ทั้งใบ
แต่ไม่นานเท่าไหร่ผมก็ต้องกลับมาเผชิญกับความเป็นจริงที่ผมไม่เต็มใจจะพบเจออีกครั้ง...
“ไม่ได้ประชด...ฉันก็แค่ถามตามที่ฉันรู้สึก”
ลู่หานตอบกลับมาอย่างอ่อนแรง...เขาดูไร้เรี่ยวแรงอย่างน่าประหลาด
ประกอบกับเสียงไอที่ดังมาจากปลายสายนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ปรกติ
เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยซักครั้ง
“นายเป็นอะไรน่ะลู่หาน...ไม่สบายเหรอ?”
ผมถามเขาอย่างเป็นห่วง...
ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครเข้าใจผิด แต่นั่นเพราะว่าผมเป็นห่วงเขาจริงๆ
ผมเพิ่งมาสังเกตว่าลมหายใจของเขารวยรินแค่ไหนก็ตอนที่ผมได้ตั้งใจฟังมันดีๆอย่างในตอนนี้
และใช่ครับ...ลู่หานกำลังไม่สบายจริงๆ
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก...ก็แค่เป็นไข้เท่านั้น” ลู่หานตอบกลับผมมา
“นายกินยาหรือยังลู่หาน...นายไหวหรือเปล่า
นายไหวไหม ถ้านายไม่ไหวนายควรจะไปโรงพยาบาลนะ”
“ฉันอยากจะบอกนายว่าไม่เป็นไร แต่เอาจริงๆแล้วฉันไม่โอเคเลยล่ะมินซอก
ฉันอยากเจอนายจริงๆ ฉันคิดถึงนาย...อยากให้นายมาอยู่ข้างๆฉันตรงนี้”
ลู่หานตอบกลับมาอย่างเว้าวอน...ในน้ำเสียงมีแววขอร้องให้ผมทำตามอย่างที่เขาต้องการ
แต่ผมไม่ต้องการเลย...ผมไม่อยากจะทำอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงลู่หานแค่ไหนก็เถอะ
“ฉันไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกลู่หาน...
ไปโรงพยาบาลเถอะนะ อย่าทำอย่างนี้เลย
รักษาตัวเองได้ไหม? ฉันขอร้องแค่นี้...ถือซะว่าทำเพื่อฉัน”
ผมบอกเขาพลางกัดริมฝีปาก...กระชับเสื้อโค้ทที่วางอยู่รอบบ่าให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก
ผมหนาวเหน็บเพราะความรู้สึกผิด ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้
ถ้าไปหานั่นก็แปลว่าเรื่องราวมันก็จะยาวนานมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าตัดไปตอนนี้ แม้แต่คำว่าเพื่อนของผมกับเสี่ยวลู่หานก็อาจจะจบลงไปตลอดกาล...
“แต่นั่นคือคำขอร้องของฉันเหมือนกัน...
ทำเพื่อฉันได้ไหมคิมมินซอก
แค่มาหาฉันและแกล้งทำเป็นว่านายเป็นห่วงฉันเท่านั้นนะ...ได้ไหม?
พอจะให้ฉันได้หลอกตัวเองต่อไปอีกหน่อยว่าฉันยังพอจะมีความหวังอะไรได้บ้าง
ถือว่าเป็นคำขอร้องของฉัน...ถือซะว่าทำเพื่อฉัน”
“โธ่...ลู่หาน”
ผมร้องออกมาอย่างรู้สึกผิดเมื่อได้ยินลู่หานร้องขออย่างนั้น
หากแต่ไม่ทันได้พูดอะไรลู่หานก็พูดต่อไปอย่างไม่สนใจจะฟังความเห็นของผมอีก
“ฉันจะรอนะมินซอก...และฉันหวังว่านายจะมา”
เขาพูดเสร็จแล้วก็ตัดสายไปอย่างถือวิสาสะ
ทิ้งผมไว้กับอาการหงุดหงิดงุ่นง่านและไม่แน่ใจว่าควรต้องทำยังไงต่อจากนี้
ผมเดินเข้ามาในห้องและพบว่าจงแดกำลังนั่งรออยู่บนโซฟาเงียบๆ
เขากดปิดหนังไปแล้วและในห้องนั้นมีแต่ความเงียบสงัดและบรรยากาศน่าอึดอัดยามที่เขามองมาทางผมก็เท่านั้น
ผมเดินไปที่ราวแขวนเสื้อโค้ทแล้วแขวนเสื้อจงแดลงไปที่ราวแขวนนั้น
ก่อนจะตัดสินใจหยิบเสื้อโค้ทของตัวเองมาสวมอย่างเชื่องช้า
“มึงกำลังจะไปไหนน่ะมินซอก”
จงแดถามผมขึ้นมาแหวกความเงียบที่เราทั้งสองกำลังเผชิญอยู่
ผมรู้ดีว่าเขากำลังมองหน้าผม...แต่ผมไม่กล้าที่จะสบตาเขา
“ลู่หานไม่สบายน่ะ...กูจะไปหาเขา” ผมตอบจงแดพลางหันไปมองหน้าเขา
“...............................................................”
จงแดจ้องหน้าผมและเงียบลงไปอีกครั้ง...
ก่อนที่วินาทีต่อมาเขาก็หันหน้าไปทางอื่นและไม่ได้พูดอะไรอีก
ผมไม่ชอบเลยเวลาที่จงแดหนีหน้าผม อย่างน้อยเขาก็น่าจะพูดอะไรบ้างสิ
พูดอะไรก็ได้ให้ผมเปลี่ยนใจ...
“กูควรทำยังไงดีจงแด...กูควรไปหรือเปล่า”
ผมถามเขาขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจนัก ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอฟังคำตอบของเขา
หันมองใบหน้าด้านข้างของจงแดที่กำลังเพ่งมองไปทางอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย...
เพียงแค่เฝ้ารอว่าเขาจะพูดให้อะไรบ้าง...อะไรก็ได้...แค่เขาพูดมาเท่านั้น
“................................................”
หากแต่เขาก็ยังเงียบกริบ...ผมเห็นเขานิ่งอย่างกับหินและไม่ทำแม้แต่กระพริบตา
หัวใจผมบีบรัดที่ได้เห็นว่าเขาไม่แคร์เลยไม่ว่าผมจะออกไปหาใคร
ผมไม่แน่ใจว่าผมกำลังปรารถนาอะไร...
อยากให้เขาหึงหวงเหรอ...
หรือว่าอยากให้เขาตัดสินใจอะไรให้ชัดเจนกันแน่...
“อย่าเงียบดิจงแด...กูขอให้มึงพูดมาแค่คำเดียวเท่านั้น
ถ้ามึงไม่อยากให้ไป กูก็จะอยู่...”
ผมบอกเขาอย่างหนักแน่น...หมายความจริงจังอย่างที่ได้พูดออกไป
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนผมกำลังวางเดิมพันกับตัวเองอยู่ก็ไม่แตกต่าง...
แต่สิ่งที่เอาวางเดิมพันนั้นคือหัวใจของผม...
ถ้าเขาบอกให้ผมอยู่ ผมก็จะไม่ไปไหน
แต่ถ้าเขาไม่คิดแม้แต่จะยื้อผมไว้...นั่นก็แปลว่าเขาไม่ได้รักผมอย่างที่ผมเข้าใจ
และมันก็จะทำให้ผมรู้ว่าผมควรตัดสินใจยังไง
“ถ้ามึงอยากไปก็ไปดิ...จะมาถามกูทำไม”
จงแดพูดออกมาในที่สุดทั้งๆ ที่ยังไม่หันมามองหน้าผม
ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวดเมื่อสิ่งที่วางเดิมพันเอาไว้มันแหลกสลายไปในพริบตา
หัวใจของผมแหลกสลายเพียงแค่เพราะว่าผมมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
มั่นใจว่าจงแดจะรักผมอย่างที่ผมเข้าใจ...ทั้งๆที่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เลย
“อ่อเหรอ...งั้นก็ดี" ผมพูด...ในหัวใจเต้นกระตุกและเจ็บปวดอย่างน่าประหลาด
"..................................................." หากแต่จงแดก็ยังเงียบ
"งั้นกูจะไปแล้ว และไม่แน่ว่ากูอาจจะนอนค้างที่ห้องลู่หาน
มึงไม่ต้องเป็นห่วงนะ กู...กูไปล่ะ”
ผมพูดออกมาอย่างอดกลั้น...ก่อนจะพาตัวเองเดินออกจากจุดที่ยืนอยู่อย่างยากลำบาก
ทั้งๆที่ความจริงแล้วผมอยากจะวิ่งหนี วิ่งออกไปจากตรงนี้ให้ไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
มันอาจจะจบแล้ว...ผมไม่น่าจะคิดไปเองว่าภายใต้ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนี้
มันอาจจะหมายความว่าจงแดก็คิดไม่ต่างจากผม
แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นผมที่คิดไปเองคนเดียว...
ผมสาวเท้าเดินไปหยิบเอากระเป๋าเงินหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อโค๊ทแล้วก้าวเดินไปที่ประตูห้อง
ขอบตาร้อนผ่าวเพราะน้ำตาที่กำลังรื้นขึ้นมาอย่างไม่สามารถจะห้ามได้
สาวเท้าไปหยุดที่หน้าประตูห้องแล้วเริ่มสวมบู๊ทลงไปโดยไม่หันกลับไปมองอีก
ไม่หรอก...ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องหันไปมองเลยนี่นา...
น้ำตาผมไหลลงมาแล้วในที่สุด เมื่อผมยื่นมือไปคว้าลูกบิดแล้วเปิดมันออกมา
ผมก้าวเท้าออกมาจากห้อง...
หากแต่วินาทีต่อมาน้ำตานั้นกลับทะลักทลายลงมาอย่างกับเขื่อนแตก
จงแดสาวเท้าเข้ามาแล้วกอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน...
“ไม่ไปนะมินซอก...กูไม่ให้ไป...
กูรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิจะห้ามไม่ให้มึงไป แต่ถ้ากูขอร้องมึงจะฟังคำขอของกูใช่ไหม?
.
.
.
ถ้างั้นก็อยู่กับกูตรงนี้...อย่าไปไหนนะ”
✚ TALK
ความจริงมันเหมือนจะครบร้อยแล้ว แต่นมน.ตั้งใจว่าคู่เสริมจะแต่งให้คู่ละสามตอน...
แล้วจะเอาไงดีล่ะเนี่ย ก็ในเมื่อมันยังไม่จบ T T
(ว่าแล้วเชียว อินมน.ไม่เคยแต่งช็อตฟิคได้เลยยยยสินะะะะะ)
เดี๋ยวจะมาต่อในตอนนี้ให้เรื่อยๆ จนจบแล้วกันค่ะ
หรืออาจจะเปิดตอน 4 ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...คอยดูกันอีกที
อืม...ขอพื้นที่หน่อยค่ะ
คือเห็นว่านมน.ไม่ขอให้เม้นท์ก็เลยไม่เม้นท์กันสินะคะ
ก็ขอบคุณอ่ะค่ะ ขอบคุณที่ทำให้นอยด์แล้วกัน
ไม่ต้องเม้นท์ก็ได้ค่ะ...ปล่อยมันไว้งี้แหละ อ่านแล้วกดปิดไปไม่เห็นต้องแคร์
อ่า... ขอโทษที่เหวี่ยงนะคะ พอดีว่าง่วงไปหน่อย...
เมื่อคืนก็เมาวันนี้ตื่นเช้าและจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้นอนก็เลยอารมณ์เสียนิดหน่อย
แต่ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ ไปนอนแล้วเดี๋ยวซักพักก็หาย
ในเมื่อฟิคเรื่องนี้มันเป็นสิทธิของคุณ...
ก็แล้วแต่ค่ะตามใจเลย อยากทำไรก็ทำ
อ่านแล้วเม้นท์นมน.ก็ดีใจค่ะ แต่อ่านแล้วไม่เม้นท์แล้วนมน.จะทำไรได้ล่ะจริงไหม?
นมน.มีหน้าที่แต่งมาลงให้อ่านกันเฉยๆอยู่แล้วค่ะ...ไม่เห็นต้องแคร์อะไรเลยยย
เออ...ความจริงก็คิดได้นี่นาอินมน.
คือก็รู้แล้วจะมาบ่นทำไม?
อ่า...งั้นไปนอนก่อนนะคะ ง่วงจังเลย...
ลาล่ะค่ะ...
ความคิดเห็น