ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #27 : ✚ BE MY H0NEY :: CHEN & XiUMiN I

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.44K
      12
      6 ม.ค. 56

     

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongdae & Kim Minseok

    Story : Jackboiz

    Rate : PG-15

     


     

     

    Be my Honey*

     







     


    ‘ ...it's hard
    to Say

    Love.....’


     

     

     

     



     

    - Xiumin’s Part - 


     

    ผมยังจำได้ดีถึงวันนั้น...วันที่เราสองคนออกจะป้ำๆ เป๋อๆ และความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

    ผมเจอกับจงแดที่ใต้ตึกคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่

    ในตอนนั้นผมเป็นเด็กบ้านนอก เพิ่งย้ายจากจังหวัดคยองกีเข้ามาเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ห่างไกลจากบ้าน

    ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นยืนหมุนไปมาอยู่ที่หน้าตึกคณะและไม่แน่ใจนักว่าห้องประชุมไปทางไหน


     

    ทุกคนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันทักทายจนดูเหมือนจะรู้จักกันไปหมด แต่ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาทักผมเลย...

    พวกเขามากันเป็นหมู่คณะและเดินไปด้วยกัน หรือไม่ก็เดินเข้ามาทักและพูดคุยกัน ในขณะที่ผมกลับยืนอยู่ตรงนี้เพียงลำพังเท่านั้น




    ผมยกนาฬิกาขึ้นมองแล้วพบว่าอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าพิธีปฐมนิเทศจะเริ่มต้นขึ้น

    และผมไม่แน่ใจนักว่าตอนนั้นควรจะต้องทำอะไร...จนกระทั่งใครคนหนึ่งเข้ามาสะกิดที่บ่า

     

     

    “นายๆ นายผูกเนคไทเป็นไหมอ่ะ? ช่วยผูกให้ฉันหน่อยดิ”

     



    ผมหันหลังกลับไปมองคนที่มาสะกิดบ่าก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้จนตาเล็กๆนั้นแทบจะปิด

    ท่าทางเขาไม่ค่อยเรียบร้อยนักเพราะชุดนักศึกษาที่ชายหลุดลุ่ย

    และเข็มขัดกับเนคไทที่ควรจะอยู่ในเครื่องแบบของเขากลับยังอยู่ในมือทั้งสองข้าง

    ผมยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนตรงหน้ายิ้มแล้วส่งเนคไทเส้นเล็กมาให้ตรงหน้า

    ก่อนจะพยักหน้าเร่งเร้าเพื่อขอให้ผมช่วยเขา

     


    “เถอะน่า...ช่วยฉันหน่อยดิ 

    คนมองฉันใหญ่แล้ว ฉันอายอ่ะ” เขารบเร้าผม

     

     

    “อ่ะ...อื้ม เอามาดิเดี๋ยวฉันผูกให้” ผมตอบเขาไปก่อนจะยื่นมือไปรับมา

     

     

    “ผูกให้ฉันที่คอเลยได้เปล่า? ฉันต้องรีบแต่งตัวให้เสร็จภายในสิบนาทีไม่งั้นฉันแย่แน่”

     

     

    เขาร้องขอผมอีกครั้งอย่างเจือแววร้อนรนเล็กน้อยอยู่ในน้ำเสียง

    ผมได้แค่พยักหน้าไปส่งๆ ก่อนที่จะส่งเนคไทเส้นนั้นไปคล้องคอแล้วเริ่มต้นผูกให้เขา

    ในขณะที่คนตรงหน้าก็เริ่มเอาชายเสื้อยัดใส่กางเกงอย่างลวกๆ ก่อนจะใส่เข็มขัด




    ผมผูกมันไม่นานเท่าไหร่ก็เสร็จเรียบร้อย

    จัดปกเสื้อให้คนตรงหน้าอีกเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังจรดกระดุมที่ข้อมือทั้งสองข้าง

    ผมสังเกตุบนผมของเขามีเศษใบไม้เล็กๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้จากหน้าตึกคณะติดมาด้วย

    ผมเลยจัดการยกมือขึ้นปัดออกให้เขาเพราะคิดว่าเขาคงไม่รู้ตัว

     
     

    “โอ  ขอบคุณนะ...นายน่ารักจัง

     
     

    คนตรงหน้าส่งยิ้มมาให้ผมบางๆ พลางเอ่ยขอบคุณ

    ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตักเมื่อรอยยิ้มสวยและริมฝีปากบางๆ ที่เอ่ยคำว่าน่ารักออกมานั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ปรกติ

    ผมพยักหน้าส่งให้เขาก่อนจะก้มลงมองเครื่องแบบนักศึกษาที่เข้าที่เข้าทางแล้วยิ้มส่งให้เขาบางๆ

     

     

    “พอดีว่าเมื่อคืนฉันกับเพื่อนไปดื่มกันมานิดหน่อย วันนี้ฉันก็เลยตื่นสาย

    เพื่อนๆฉันก็ยังไม่มากันเลยซักคนเนี่ยสิ ฉันเองก็ผูกเนคไทไม่เป็นด้วยสิ เลยต้องมารบกวนนาย”

     


     

    “ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้ยุ่งยากอะไร” ผมบอกเขาไปพลางยักไหล่

     


     

    “นายชื่ออะไรอ่ะ ฉันชื่อ คิม จงแด” เขาแนะนำตัวมาพร้อมทั้งยกยิ้ม

     

     

    “ฉันน่ะเหรอ...ฉันชื่อมินซอกน่ะ คิม มินซอก

     

     

    “มินซอกงั้นเหรอ...อ่าฮะ! มากับฉันสิ ตรงนี้มันคนเยอะนะ อึดอัดออกจะตาย”

     

     

    จงแดยิ้มให้ผมก่อนจะเหวี่ยงแขนมาโอบรอบคอผมแล้วเริ่มลากผมให้ออกเดิน

    เขาพาผมไปนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมเองก็ยังงุนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่

    ผมคิดว่ารอยยิ้มของจงแดมันโปรยปรายไปทั่วจนเหมือนว่าเขาไม่เต็มเต็งเสียด้วยซ้ำหรือไม่ก็อารมณ์ดีมากไปจนเกินเหตุ

    อ่า...แต่ตลกชะมัดที่ผมดันคิดว่ารอยยิ้มโง่ๆ นั้นมันดูน่ารักไปซะได้...

    ใช่ครับ มันดูน่ารักเอามากๆ เลย...

     

     

    จงแดซักถามเพื่อทำความรู้จักกับผมอีกเล็กน้อยก่อนที่เพื่อนของเขาจะมาถึงในที่สุด

    มันเป็นเวลาเดียวกับที่ห้องประชุมนั้นถูกเปิดประตูออกเพื่อเรียกนักศึกษาใหม่ให้เข้าไปข้างใน

    และผมคงจะพูดไม่ผิดอะไรที่จะบอกว่าเพื่อนๆ ของจงแดอีกสามคนนั้นมาถึงเวลาแบบ เส้นยาแดงผ่าแปด

     

     

    “พวกมึงไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะไอ้จงอิน

     ดูกูเด่ะ  กูมารอตั้งแต่ไก่โห่แล้วนะ แต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่ออกบ้านเลยด้วย”

     



    จงแดยิ้มลอยหน้าลอยตาแถมยังโกหกเพื่อนๆ ของเขาไปเสียเต็มปาก

    ผมลอบหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น 

    โธ่...ที่ว่ารีบร้อนเพราะอยากเอาหน้ากับเพื่อนว่างั้นสินะ น่าตลกจังเลย

     



    “เออ ก็รถไอ้ชานยอลมันเสีย กว่าจะขับอ้อมไปรับมันกับไอ้แบคฮยอนก็เกือบจะสายแล้ว

    แถมรถดันมาติดอีกต่างหากกูล่ะอยากจะบ้าตาย...

    ว่าแต่ไอ้หน้าอ่อนข้างๆมึงนั่นใครล่ะ?

    นี่มึงมีกิ๊กตั้งแต่เดินเข้ามหาลัยวันแรกเลยเหรอ จะเก๋ามากไปหน่อยแล้วล่ะมั้งครับเพื่อน...”

     


     

    คนที่ชื่อจงอินพยักเพยิดมาทางผมพร้อมทั้งยกยิ้มแซวขึ้นมาอย่างขี้เล่น

    ผมรีบส่ายหน้าและพยายามจะปฏิเสธ แต่ในวินาทีต่อมาจงแดก็กลับเหวี่ยงแขนมาโอบรอบคอของผมเอาไว้

    เขาดึงผมเข้ามาล็อคคอเสียแน่นเลยเชียว...ก่อนที่จะพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังยิ้มเป็นบ้าอยู่อย่างนั้น

     

     

    “เป็นงายยยยน่ารักล่ะสิท่า"  เขาพูดพลางส่งยิ้มให้กับจงอิน  "...แต่ไม่ใช่กิ๊กกูหรอก คนนี้ชื่อ คิม มินซอก" ก่อนที่เขาจะพูดต่อ



    "...เพื่อนใหม่ของกู...”

     

     

    นี่แหละครับ...จุดเริ่มต้นง่ายๆ ที่ทำให้เราได้รู้จักกัน

    เพราะแค่เนคไทด์เส้นเดียวเท่านั้น...

     
    .
    .
    .

     
    เราเลยกลายมาเป็นเพื่อนกันจนได้...



     

     

    **********

     

     



    “พวกมึงว่าชุดนี้โอเคแล้วใช่ไหม? ทรงผมล่ะ? 

    กูมีกลิ่นปากเปล่าวะ? ไอ้ชานยอลมึงลองมาพิสูจน์ลมหายใจหอมสดชื่นให้กูที”

     



    เสียงของจงแดดังขึ้นมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเขาชี้ชวนให้ผมและเพื่อนๆ ช่วยตรวจสอบการแต่งกายของเขา

    ผมมองมันก่อนจะเบะปากออกมาน้อยๆ อย่างหมั่นไส้โดยไม่ทราบสาเหตุ 

    อาจจะเพราะอิจฉาล่ะมั้ง...ก็วันนี้จงแดจะไปเดทนี่นา

    เขานัดกับรุ่นพี่ซูโฮเอาไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากร้านนมหน้าตึกคณะที่พวกเราชอบมาสิงสถิตอยู่มากนัก

     

     

    พวกเรามักจะมาสิงอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ไม่มีเรียน หรือแม้กระทั่งตอนเลิกคาบเราก็จะนัดมาเจอกันที่นี่

    จนทุกคนในคณะขนานนามพวกเราด้วยชื่อตลกๆ ที่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเข้ากับพวกเรานัก

    ก็ฉายาว่า “แก๊งค์นมเย็น” น่ะ...มันดูน่ารักคิกขุไม่เหมาะกับพวกผมเอาซะเลย

     

     
    “โห...กลิ่นมาดามหอมชื่นใจเลยมึง  โอ้ย! ประสาทสิ

    พอได้แล้วไอ้แด้!!...ไม่มีใครหล่อเกินมึงแล้วครับไอ้เหี้ย

    แต่ถ้าจะให้ดีก็เลิกทำหน้าเหมือนแป๊ะยิ้มซักที ตีนกาขึ้นแล้วครับเจ้าคุณปู่!!”

     

     

    จงอินหัวเราะพรืดออกมาเมื่อชานยอลมันล้อเลียนไอ้จงแดอย่างสนุกปาก

    แต่แน่นอนว่าจงแดก็ยังเป็นจงแด...คำพูดแค่นี้มันไม่สะทกสะท้านหรอกครับ...

     


    “ปู่เหี้ยไรกูไม่สนอ่ะ กูมั่นใจในรอยยิ้มซะอย่าง แต่โธ่!!...มันใกล้เวลานัดแล้วนะ 

    มึงช่วยพูดอะไรก็ได้ให้กูหายตื่นเต้นหน่อยดิมินซอก

    กูรู้ว่าไอ้พวกนี้แม่.งพึ่งพาไม่ได้หรอก...เพราะงั้นมึงช่วยกูหน่อยนะ กูลนไม่ไหวละ”

     

     

    จงแดหันมารบเร้าผมอย่างร้อนรน ยื่นมือมาบีบที่มือของผมเบาๆ และผมก็รู้สึกว่ามันเย็นเฉียบ

    ผมลอบหายใจออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าผมไม่อยากจะทำอย่างนั้น...

    แต่จะทำยังไงได้ล่ะ...ก็ผมเป็นเพื่อนเขานี่นา...

     


     

    “เป็นอย่างที่มึงเป็นมาตลอดนั่นแหละจงแด มั่นใจในตัวเองหน่อย

    กูรู้มึงจะทำให้พี่เขาประทับใจได้...เหมือนทุกทีที่มึงทำให้กูประทับใจได้นั่นแหละ

     


     

    ผมพูดกับเขา แต่เสียงกลับแผ่วเบาลงเมื่อถึงท้ายประโยค

     แบคฮยอนชายตาจากหนังสือการ์ตูนในมือขึ้นมามองหน้าผมเมื่อถึงท้ายประโยคที่ผมหลุดปากออกไป

    ผมหลบตาเมื่อสายตาของแบคฮยอนมองมาอย่างนั้น และรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้งั่งเมื่อพูดมันออกมา

    แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าทำไมผมต้องรู้สึกหัวใจเต้นแรงในตอนนี้ด้วย...มันไม่มีเหตุผลเลย

     

     

    “กูว่าแล้วเชียว...มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลยมินซอก

    กูคิดไว้แล้วว่ามึงต้องทำให้กูโอเคขึ้นได้...ขอบใจมึงมากนะ

    กูไปก่อนล่ะนะพวกมึง อวยพรให้กูด้วย

    แล้วกลับไปเจอกันที่ห้องนะมินซอก...หลับไปก่อนก็ได้เดี๋ยวกูโทรเรียกมึงมาเปิดประตู”

     

     

    จงแดยิ้มให้ผมและโบกมือลาทุกคนก่อนจะเดินจากไป...

    ผมพยักหน้าให้เขาส่งๆ แล้วทำเป็นก้มลงเขียนอะไรบนกระดาษ

    แต่สิ่งที่เขียนลงไปก็คือกากบาทรูปดอกจันทร์ตัวใหญ่ลงไปที่หัวมุมกระดาษด้วยความขุ่นเคืองก็เท่านั้น

     

     
     

    “ไม่ได้เห็นไอ้แด้มันคึกคักอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะเนี่ย

    สงสัยคราวนี้ไอ้แด้มันเอาจริง...พี่ซูโฮนิสัยดีด้วย เอาจริงๆกูเองก็ลุ้นนะ”

     

     

    ชานยอลพูดออกมาเมื่อมองตามหลังจงแดออกไปจนลับตา

    จงอินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดแสดงความเห็นออกมาบ้างในขณะที่ยกนมเย็นขึ้นดูด

     

     

    “นั่นดิ...แต่ตอนแรกกูนึกว่าไอ้แด้มันชอบไอ้มินซอกซะอีกนะ

    นี่ถ้าไอ้แด้มันไม่จีบพี่ซูโฮอยู่กูก็นึกว่ามันเป็นแฟนกับไอ้มินซอกแน่ๆ” จงอินพูด

     

     

    “ไม่หรอกน่า...หน้ากูเป็นมิตรไง

    ไอ้จงแดมันเลยให้ความสนิทสนมตั้งแต่วันแรกที่เห็น”

     

     

    ผมปฏิเสธไป ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดดอกจันทร์วงใหญ่ลงไปในหน้ากระดาษว่างเปล่า

     

     

    “หน้ามึงเนี่ยนะเป็นมิตร...ตาจิกอย่างกับอะไรดี

    เอาจริงๆ ตอนแรกกูนึกว่าไอ้แด้มันม่อมึงนะมินซอก

    และกูว่าทุกคนในคณะก็คงคิดอย่างนั้น...

    จนกระทั่งมันออกมาบอกว่ามันชอบพี่ซูโฮนั่นแหละ พวกกูเลยเงิบ”

     

     

    “เออใช่...นึกว่าซุ่มกิ๊กกันเงียบๆ”

     

     

    แบคฮยอนบอกผมพลางยักไหล่ สายตาเขายังไม่ห่างจากการ์ตูนที่ถืออยู่

    ชานยอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในคำที่แบคฮยอนเพิ่งจะพูดออกมา

    ผมเริ่มกดหัวปากกาดำที่วาดรูปดอกจันทร์นั้นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว...

    ผมไม่อยากฟังเลย...อยากให้พวกมันหยุดพูดแบบนี้ซักที

     

     

    “ไม่มีม่อ ไม่มีกิ๊กอะไรทั้งนั้นแหละ...กูกับมันก็แค่เพื่อนกัน!

     


     

    แค๊วก!

     

    เสียงหน้ากระดาษขาดเมื่อผมเผลอออกแรงมากไปจนกระดาษนั้นฉีกออกจากกัน

    ผมมองมันอย่างตกใจและเพื่อนๆ ทั้งหมดเองก็เช่นกัน...

     

    “....................................”

     

    ทุกคนเงียบไปสนิท และทุกสายตานั้นก็จับจ้องมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ

    ผมรีบปิดหน้าสมุดที่ฉีกขาดนั้นลงไปกับโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่...

     

     

    “กู...กูจะไปห้องสมุด”

     

     

    ผมพูดพลางเก็บของลงกระเป๋า...รีบจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้น

    ทิ้งเพื่อนๆ เอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดหรือแก้ตัวอะไรอีก

    ไม่สิ...ทำไมผมถึงต้องแก้ตัวอะไรด้วยล่ะ ผมก็แค่วาดรูปเท่านั้น แต่ผมแค่วาดแรงไป ใช่...ก็แค่นั้น

    ผมไม่ได้โมโหนะให้ตาย...ผมแค่ -- รู้สึกประสาท ใช่ๆ อาจจะใช้คำนั้นก็ได้ แต่โธ่เอ๊ย!!

     


     

    โอเค...ผมยอมรับก็ได้

    ผมโกรธ...ผมรู้สึกโมโห และผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นปกติ

     

     

    ใช่...ตอนนี้ผมขอยอมรับอย่างนั้น...

    แต่ถึงผมจะยอมรับอย่างนั้น  ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี...

    ผมไม่เข้าใจว่าผมจะโมโหกับทุกเรื่องไปเพื่ออะไร...

    คิมจงแดจะทำอะไรแล้วผมจะสนใจไปทำไม? เขาไม่ใช่พระอาทิตย์ที่ผมต้องพาตัวเองไปหมุนวนรอบเขานะ!

     

    .

    .

    .

     

    แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าร้อนใจอย่างนี้ล่ะ...ให้ตายเถอะ







     

    - 50% -








     

     

     

    เกือบเที่ยงคืนแล้ว...ผมปิดไฟเข้านอนตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแต่กลับพบว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิดเอาไว้

    ผมนอนลืมตาเบิกโพลงอยู่ในความมืด เฝ้ารอคอยอะไรซักอย่างโดยที่ไม่แน่ใจนักว่าผมทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร

    หัวใจผมรู้สึกกังวล กังวลเพราะตอนนี้เป็นเวลาที่จงแดควรจะกลับหอได้แล้ว

    แต่เขาก็ยังไม่กลับมา...

     

     

    การที่เขาหายไปตั้งแต่บ่ายไม่ติดต่อมาและจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนแล้วโทรศัพท์ของเขาก็ยังคงติดต่อไม่ได้อย่างนี้

    มันทำให้ผมใจหายวาบ เมื่อเผลอไปคิดเอาเองว่าคืนนี้เขาคงไม่กลับมานอนที่ห้อง...

    และนั่นก็หมายความว่าเขาต้องไปค้างกับพี่ซูโฮอย่างแน่นอน...

    ค้างคืนด้วยกันงั้นเหรอ....

     

     

    ก๊อก ก๊อก  ก๊อก...

     

     

    ผมรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงเคาะเรียกที่หน้าประตู

    รีบร้อนลุกขึ้นเปิดไฟราวกับว่าผมกำลังรอเสียงนี้อยู่ในทุกขณะจิต

    ผมรีบเปิดประตูออกเพื่อต้อนรับคนที่ยืนรออยู่ตรงหน้านี้...รีบร้อนทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้

     

    จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าที่ผมคุ้นเคย มันก็ทำให้รู้สึกโกรธขึ้นมา

    ได้โปรดอย่าแจกรอยยิ้มแบบนี้ไปทั่วจะได้ไหม...

     

     

    “นอนหรือยัง...มินซอกอ่า”

     

     

    จงแดยิ้มหวานก่อนจะถามผมอย่างอ่อนโยน

    ผมอดจะทำหน้าบึ้งออกมาไม่ได้...เพราะรู้สึกโกรธกับคำถามที่เขาถามมาตะหงิดๆ

     

     

    งี่เง่า...กูจะนอนลงได้ยังไง...  ในเมื่อมึงยังไม่กลับมา...

     
     

    ได้แต่พูดในใจแต่ไม่อาจจะบอกออกมาได้

    ผมส่ายหน้าแล้วเดินละเข้ามาข้างใน...ทิ้งตัวลงนั่งลงกับเตียงนุ่มก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

     

     

    “ยังไม่ได้นอน...แต่ก็กำลังจะนอนแล้ว” ผมบอกกับเขา

     
     

    “แหน่ะ...รอกูอยู่ล่ะสิใช่ม้า?”

     
     

    จงแดยกยิ้มแหย่ในขณะที่เขาถอดเสื้อโค้ทออกไปแขวนไว้ตรงราวแขวน

    ผมหันสายตาออกไปมองที่นอกหน้าต่างเพื่อที่ไม่เห็นท่าทางหยอกล้อของเขา

    จงแดเดินข้ามห้องไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ผมทิ้งตัวนอนลงแล้วห่มผ้าโดยไม่พูดอะไรอีก

    ....ก่อนที่จะรู้สึกสะดุ้งสุดตัวและรู้สึกจุก เมื่อจู่ๆจงแดก็วิ่งเข้ามากระโดดทับผมที่นอนอยู่บนเตียงซะอย่างนั้น!

     


     

    “ย๊ากกกกกกกกกก ไอ้มินซอกกกกกกกกก”

     

     

    “โอ้ย! เป็นบ้าอะไรของมึงเนี่ย???”

     

     

    “ไอติมชาเขียววววววว!!

     


     

    จงแดร้องออกมาอย่างร่าเริงในขณะที่กอดทับผมไว้

    ผมแทบจะร้องอ๋อออกมาเมื่อเขาบอกถึงสาเหตุที่มากระโดดทับผมไว้

    ผมซื้อไอศกรีมรสโปรดมาทิ้งไว้ให้เขา...

     

     

    โธ่...นึกว่าอะไรไอ้แด้ มึงทำกูตกใจหมด” ผมถอนหายใจออกมาก่อนที่จงแดจะดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง

     


    “โหหห กูรักมึงสุดๆอ่ะ  

    ป่ะ มินซอก...มากินไอติมกัน”

     
     

    “ห๊ะะ! แต่ตอนนี้มันเที่ยงคืน”

     

     

    “เที่ยงคืนแล้วไงอ่ะ?”

     

     

    “มึงกำลังชวนกูอ้วนครับ...ไอ้แด้” ผมตอบมันไปก่อนจะถลึงตา

     

     

    “ก็กูกินแล้วไม่อ้วนนี่...และกูอยากกินตอนนี้เลยด้วย”

     

     

    จงแดตอบผมพลางยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ผมกลอกตาก่อนจะเอ่ยกับเขา...

     

     

    “กวน - ตีน”

     

     

    “โธ่...แล้วมึงจะปล่อยให้กูกินคนเดียวอ่อ?”

     


     

    จงแดเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเอาไอศกรีมที่ผมเป็นคนซื้อให้เขามาถือไว้

    หยิบช้อนมาสองคันจากตรงมุมห้องแล้วเดินกลับมาหา

    ปักช้อนทั้งสองคันลงในกล่องไอศกรีมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างกวนประสาท


    ผมมองท่าทางอย่างนั้นแล้วกลอกตา...รู้ดีว่าตัวเองมีเหตุผลมากพอที่จะปฏิเสธจงแด

    แต่ผมกลับรู้ตัวดีว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบไหน...เพราะผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้เลยซักที

     


     

    “เห็นแก่พระถังซัมจั๋งเหอะ...นี่กูกำลังจะกินไอติมตอนเที่ยงคืน!”

     


     

    ผมบ่นออกมาหากแต่ก็เลื่อนตัวลงจากเตียงนุ่มลงไปนั่งที่โต๊ะเล็กตรงกันข้ามกับจงแด

    ตัวต้นเหตุหยิบดึงช้อนที่ปักบนไอติมยื่นมาให้ผมแล้วยิ้มอย่างเห็นชัยชนะ

    ก่อนที่เราจะเริ่มกินไอศกรีมด้วยกันและพูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ




    ทั้งเรื่องที่ผมสนใจจะคุย...และเรื่องที่ไม่สนใจจะคุย และไม่คิดอยากจะคุยเลยด้วยซ้ำ...

     

     

    “พี่ซูโฮน่ารักมากเลยว่ะมินซอก...

    ภายนอกพี่เขาดูเหมือนหยิ่งนะ แต่ความจริงแล้วน่ารักมากๆ

    น่ารัก ตลก มีอารมณ์ขัน...ที่สำคัญกูรู้สึกว่ากูเข้ากับพี่เขาได้”

     


     

    จงแดเล่าเรื่องการเดทในวันนี้ให้ผมฟัง...

    และทำเอาผมรู้สึกว่ารสชาติของไอศกรีมที่เคยอร่อยกลับกลายเป็นความขมที่ปลายลิ้น

    ผมก้มหน้าลงจ้วงไอศกรีมเข้าปากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยซักคำ

    ทำได้แค่รับฟังอยู่เงียบๆ...เพราะผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะฟังมันต่อไปเพื่ออะไร...เพื่ออะไรกัน

     

     


    “กูชอบพี่เขาว่ะ...ชอบแบบชอบมากๆ 

    โอย เครซี่อ่ะ...กูเครซี่ไม่ไหวแล้ว”

     

     

     
     

    ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออึกใหญ่เมื่อได้ฟัง...จงแดยิ้มเขินอย่างหยุดตัวเองไม่อยู่

    ผมรู้สึกเจ็บปวดเมื่อจู่ๆ ก้อนสะอื้นก็ขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคออย่างช่วยไม่ได้

    ผมไม่ได้อยากฟังมันเลยซักนิด...ผมควรทำอย่างไรเพื่อให้เขาหยุดพร่ำเพ้อถึงมันเสียที...

     
     

     

    “แล้วมึงมาบอกกูทำไมวะจงแด...?”

     
     

     

    ผมถามโพล่งออกไปเมื่อรู้สึกว่าอดไม่ได้

    จงแดดูจะอึ้งไปเล็กน้อยที่ผมถามออกมาแบบนั้น

    ผมจึงรีบต่อประโยคเพื่อไม่ให้เขาเข้าใจผิด

     

     

    “........ไม่คิดบ้างเหรอว่ากูจะอิจฉา”

     

     
     

    ผมต่อประโยคพร้อมทั้งหลุบตาลงต่ำ...

    จ้วงไอศกรีมเข้าปากอีกคำหนึ่ง แต่ผมกลับไม่รับรู้รสชาติอะไรได้อีกแล้ว

    นอกจากความเย็นที่ทำให้ผมชาวาบและเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ...

     

     
     

    เพราะกูรักมึงไง...กูถึงได้อยากบอกมึง” จงแดกระซิบ ทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเขา...

     


     

    “กูอยากจะแชร์ทุกอย่างที่กูรู้สึกให้มึงได้รู้ด้วย...

    เพราะมึงเป็นเพื่อนที่กูรักมากที่สุด...มินซอกอ่า”

     

     
     

    จงแดตอบพลางยักไหล่ เขาส่งยิ้มมาให้ผม

    ส่งยิ้มแบบที่ผมเคยคิดเสมอ ว่ามันสามารถจะทำให้โลกทั้งใบของผมอบอุ่นขึ้นได้

    แต่ในตอนนี้มันกลับทำร้ายผม...

    รอยยิ้มนี้กำลังแช่แข็งผมให้นิ่งงันและรับมือกับความเจ็บปวดที่เข้ามาเยือนในหัวใจอย่างเงียบเชียบ

     

     

    “กูพอแล้ว  จะไปแปรงฟัน...”

     

     

    ผมบอกเขาแล้วลุกขึ้นมาจากโต๊ะกลมนั้น

    จงแดพยักหน้าอย่างไม่รับรู้อะไรและปล่อยให้ผมได้เดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก

     

     

    ผมปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจก

    เปิดน้ำจากก๊อกให้มันไหลลงมาดับเสียงกรีดร้องของหัวใจที่เต้นแรงจนคล้ายว่ามันกำลังจะระเบิด

    มันพร้อมจะระเบิดสิ่งที่ผมพยายามจะหักห้ามและปฏิเสธมันมาตลอด

     
     

    หากแต่ผมรู้ตัวว่าผมปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว... ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมแอบรักจงแดมานานแค่ไหน

    เงยหน้าแล้วกัดริมฝีปากเพื่อหักห้ามไม่ให้น้ำตาไหลลงมา ผมต้องหักห้ามมันเอาไว้

    เพราะในเมื่อตัดสินใจจะปกปิดมันไว้ ผมก็สัญญาว่าจะทำมันให้ได้ตลอดรอดฝั่ง

     



     

    เพื่อนงั้นเหรอ...

     
     

     

    รักกูมากกว่าเพื่อนได้ไหมจงแด...

      

     

     

     

     

    *********





     

    เวลาไม่นานนักจงแดและพี่ซูโฮก็คบกันจนได้...

    เวลาผ่านมานานหลายเดือนแล้วที่ผมควรจะตัดใจให้ได้ หากแต่ผมก็พบว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิดไว้มากนัก

    ผมรู้ดีว่าผมยังพยายามที่จะตัดใจจากเขาไม่มากพอ เพราะในส่วนลึกในหัวใจของผมไม่ยินดีที่จะทำอย่างนั้น

     

     

    ผมรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่มากที่พี่ซูโฮมีกิจกรรมมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้จงแดยังพอมีเวลาให้ผมบ้าง

    อย่างน้อยเราก็ยังกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และจงแดก็กลับมานอนที่ห้องทุกวันด้วย

    ผมรู้ดีว่าควรจะตัดใจจากเขาให้เด็ดขาด...

    แต่อีกใจหนึ่งผมกลับคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะเลิกกันนั้นก็มีสูงมากเช่นกัน ผมเลยปล่อยใจให้เฝ้ารอไปวันๆ อย่างมีจุดหมาย

     


     

    หากแต่วันแล้ววันเล่า...จากหนึ่งเดือนกลายเป็นสามเดือน จากสามเดือนกลายเป็นหกเดือน

    พวกเขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกกัน ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันบ่อยครั้งก็เถอะ

    มันเนิ่นนานเกินไป...และมันนานจนผมรู้สึกว่าหัวใจผมเริ่มจะแบกรับมันไม่ไหว


    ผมตัดสินใจที่จะตัดใจจากจงแดซะ...

    และราวกับว่าพระเจ้าจะได้ยินคำขอของผม ผมจึงได้พบกับผู้ชายอีกคนที่ไม่คิดว่าจะมารู้จักกับเขาได้

    ผู้ชายที่ชื่อ เสี่ยว ลู่หาน...

     

     
     

    ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี และมีรอยยิ้มทุกครั้งที่คิดถึงมัน...

     

     
     

    ผมกำลังเดินอยู่บนถนนด้านหลังมหาวิทยาลัย...

    สองมือล้วงกระเป๋าเพราะอากาศหนาวเย็นในเดือนกุมภาพันธ์

    ใจอยากจะจ้ำอ้าวให้ถึงหอไวๆ

    หากแต่หิมะที่จู่ๆ ก็ตกลงมานั้นทำให้ผมตัดสินใจจะเดินเลี่ยงเข้าไปในร้านขายของชำร่วยที่อยู่ข้างทางอย่างช่วยไม่ได้

    ผมปัดหิมะออกไปจากไหล่แล้วเดินเข้ามาในร้านที่มีอากาศอุ่นมากกว่าข้างนอกนั้นหลายเท่านัก

    ภายในร้านเงียบสงัด มีเพียงลูกค้าคนหนึ่งและเจ้าของร้านที่เป็นคุณป้าท่าทางใจดีเพียงแค่สองคนเท่านั้น

    เธอไม่ได้ว่าอะไรที่ผมเดินเข้ามาหลบหิมะในร้าน ซ้ำยังบอกให้ผมทำตัวตามสบายจนกว่าหิมะจะหยุดตกด้วย

     

     

    “ข้างนอกหิมะตกหนัก...อยู่ในนี้ไปก่อนก็ได้นะหนู

    ไว้รอให้มันซาลงกว่านี้ค่อยออกไปก็ได้” เธอพูดกับผมอย่างใจดี

     

     

    “ขอบคุณมากครับ...ผมไม่รบกวนนานหรอกครับ แค่ครู่เดียว

    ผมคิดว่าระหว่างเดินดูของพวกนี้ไปเรื่อยๆ หิมะก็น่าจะเบาลงแล้ว”

     

     

    ผมกล่าวขอบคุณเธอก่อนจะชี้เข้าไปในร้านขายของอันกว้างใหญ่

    คุณป้าพยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินเข้าไปหลังร้าน เพื่อขอไปหาชาอุ่นๆ ดื่ม


    ผมยิ้มให้เธอก่อนจะหันหลังไปเดินสำรวจสิ่งของภายในร้าน

    และกลับพบว่าร้านขายของที่ดูเก่าแก่แห่งนี้กลับมีสิ่งของที่น่าสนใจมากมายวางขายอยู่

    ภายในร้านนั้นขายของหลายอย่าง...อย่างเช่นของชำร่วยชิ้นเล็กๆ ที่มักจะใช้แจกตามงานแต่ง

    มีแจกันประดับ ของแต่งบ้านเล็กๆ จำพวกเชิงเทียนหรือรูปแกะสลักที่ทำจากไม้

    และมีแม้กระทั่งเครื่องประดับที่ทำจากเงินขายด้วย...

    นั่นแหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมได้พบกับเขา...

     


     

    “นายคิดว่าถ้าฉันจะให้ของขวัญกับคนที่ฉันชอบ

    ฉันควรจะเลือกชิ้นไหนดีระหว่างสร้อย แหวน หรือนาฬิกา?”  

     

     

    เสียงของลูกค้าเพียงคนเดียวที่อยู่ในร้านเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขาพอสมควร

    ผมมองไปซ้ายขวาเพื่อหันมองว่าเขากำลังคุยกับใคร

    จนกระทั่งเมื่อพบว่าเขากำลังมองตรงมาที่ผมนั่นแหละ...ผมถึงต้องเอ่ยถาม

     

     

    “นายถามฉันเหรอ?”

     

     

    “ฉันว่าตรงนี้ก็ไม่มีใครนอกจากนายนี่นา” เขาส่งยิ้มตอบกลับมาพร้อมทั้งยักไหล่

     

     
     

    “อ่า...ก็จริงของนาย”

     

     
     

    ผมตอบเขาก่อนจะยกมือขึ้นเกาที่ข้างแก้ม

    ชายหน้าหวานเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร

    ก่อนจะดึงข้อมือของผมให้เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้เครื่องประดับ

     

     
     

    “ตอบฉันทีดิ ถ้าเป็นนายจะเลือกชิ้นไหน สร้อย...แหวน...หรือนาฬิกา?” เขาถามซ้ำอีกครั้ง

     
     

     

    “มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายเอาไปให้ใคร...สำคัญแค่ไหน” ผมบอกกับเขา

     
     

     

    “มันเกี่ยวยังไง? ลองอธิบายหน่อยสิ”

     

     

    เขาเอ่ยขอร้องกับผม รอยยิ้มหวานนั้นยังถูกส่งมาอย่างเป็นมิตร

    มันเหมือนรอยยิ้มของจงแด...แต่รอยยิ้มของคนตรงหน้านี้หวานกว่าจงแดมากนัก

     


     

    “ก็...ถ้านายอยากประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นของนาย นายก็น่าจะซื้อแหวนให้เขา

    ถ้านายอยากจะบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญของนาย...นายก็น่าจะซื้อสร้อยคอให้เขา

    แต่ถ้านายอยากจะบอกว่านายต้องการใช้เวลาทุกวินาทีกับเขา...นายก็น่าจะซื้อนาฬิกา”

     

     

    ผมอธิบายอย่างเชื่องช้า...คนหน้าหวานตรงหน้าก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด

    ก่อนที่เข้าจะเม้มปากแล้วหรี่ตาอย่างใช้ความคิด...ก่อนจะถามผมอีกครั้ง

     

     

    “แล้วถ้าฉันอยากทำอย่างนั้นทั้งหมดกับเขาล่ะ

    งั้นฉันไม่ต้องซื้อทั้งสามอย่างหรอกเหรอ?” เขาถามผมพร้อมรอยยิ้ม

     

     

    “งั้นนายก็น่าซื้อแหวนนะ...เพราะแหวนน่ะแทนคำตอบของทุกอย่างไว้หมดแล้ว

    คนที่รักกันมักจะให้แหวนแทนคำสัญญา และมันจะเป็นตัวแทนทุกอย่าง

    เพราะถ้านายตัดสินใจใส่แหวนคู่กับเขาแล้ว นั่นก็แปลว่านายและเขาพร้อมจะประกาศตัวว่านายจะมีแค่เขาเท่านั้น

    การที่ใส่เขาแหวนไว้ตลอดเวลานั้นก็หมายความว่านายต้องสำคัญมากจนเขาขาดนายไปไม่ได้

    และสุดท้ายแล้วการที่มีแหวนติดอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายตลอดเวลา

    มันก็หมายความว่าทุกวินาทีที่แหวนประดับอยู่ตรงนั้น มันก็แปลว่านายและเขาจะเป็นของกันและกันตลอดไป”

     

     

    ผมอธิบายให้คนตรงหน้าได้ฟังอย่างเชื่องช้า

    พยายามจะทำให้เขาได้เข้าใจในความหมายที่ผมพยายามจะบอก

    แต่เพราะว่าคนหน้าหวานที่พยักหน้าอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเป็นอย่างดี

     

     

    “ฟังแล้วอบอุ่นใจดีจัง  นาย...ชื่ออะไรเหรอ?”

     

     

    คนหน้าหวานยกยิ้มแล้วเอ่ยถามผม ผมไม่ได้อิดออดที่จะบอกเขาไป

    อาจจะเพราะรอยยิ้มที่อบอุ่นและดูเป็นมิตรนั้นแหละมั้ง ที่ทำให้ผมไม่ต้องคิดอะไรมากที่จะเปิดเผยชื่อกับเขา

     

     

    “ฉันชื่อคิมมินซอก...แล้วนายล่ะ?” ผมถามเขากลับไปบ้าง

     

     

    “ฉันชื่อเสี่ยวลู่หาน...เป็นคนจีนน่ะ”

     

     

    เขาตอบกลับมาพร้อมทั้งยิ้มหวานจนตาปิด

    ผมพยักหน้าแล้วมองเขาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสายตานัก

     

     
    “โอ จริงเหรอ?...นายพูดภาษาเกาหลีเก่งมากๆ เลยลู่หาน  

    ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่านายเป็นคนจีน” ผมเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะบอกออกไปอย่างทึ่งๆ

     

     

    “ขอบใจมากนะ...แต่ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก” ลู่หานยักไหล่ แต่รอยยิ้มที่ผุดพรายก็บ่งบอกความภาคภูมิใจได้ไม่น้อย

     

     

    “ฉันพูดจริงๆนะ ฉันเองก็อยากจะเก่งภาษาจีนบ้าง

    ฉันเรียนมานิดหน่อย แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดเท่าไหร่เลย

    ฉันชอบภาษาจีนนะ...มันสนุกดี”

     
     

     

    ผมพูดกับเขาอย่างร่าเริง เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะได้พูดคุยกับคนต่างชาติ

    ผมลงเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่สองเพราะว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับผมเท่าไหร่

    เลยรู้สึกว่าตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากไปจนลู่หานต้องหัวเราะออกมาอย่างขันๆ

     

     

    “อืม... นายนี่น่ารักจังเลยนะมินซอก”

     

     

    ลู่หานพูดพร้อมทั้งยกยิ้มหวานส่งมาให้...ในชั่ววูบหนึ่งนั้นมันทำให้ผมคิดถึงจงแดขึ้นมา

    วันแรกที่เราเจอกัน เขาก็บอกว่าผมน่ารักแบบนี้เหมือนกัน...

     

     

    “ไม่หรอกน่า...นายสิน่ารักกว่าฉันตั้งเยอะ”

     

     

    ผมบอกกับเขาไปด้วยความสัตย์จริง

    ก็ลู่หานเป็นคนที่หน้าหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเลยนี่นา

     

     

    “น่ารัก...นายน่ารักดี

    งั้นนายบอกฉันสิมินซอก ว่านายอยากได้อะไรที่สุด

    ระหว่างแหวน...สร้อยคอ...แล้วก็นาฬิกา” ลู่หานถามก่อนจะชี้ไปทางตู้เครื่องประดับข้างหน้าแล้วมองผมด้วยรอยยิ้ม

     
     

     

    “อืม...  ถ้าฉันอยากจะได้อะไรจากคนรัก ฉันก็คงอยากจะได้แหวนคู่นั่นแหละมั้ง

    ฉันอยากเป็นทุกอย่างของเขา และแน่นอนว่าฉันก็อยากให้เขาเป็นทุกอย่างของฉันเหมือนกัน”

     
     

     

    ผมตอบไปทั้งรอยยิ้ม...ในชั่ววินาทีหนึ่งที่พูดถึงและวาดฝันถึงใครคนนั้น

    ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับคนบ้าของจงแดกลับโผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดเสียได้...

     

     
     

    “งั้นเหรอ...”

     

     

    ลู่หานยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ากับตัวเองอย่างแข็งขันหลังจากที่ฟังผมพูดจบ

    ผมเม้มริมฝีปากลงไปแน่นและพยายามจะสลัดใบหน้าของจงแดออกไปจากความคิด




    แต่มันไม่ได้ยากเย็นนัก...

    เมื่อจู่ๆ คำพูดที่ลู่หานเอ่ยออกมานั้นขับไล่เรื่องทุกอย่างออกไปจากหัวสมองผมจนหมดสิ้น 

     

     
     

    “งั้นนายจะยอมให้ฉันเป็นคนซื้อแหวนให้นายได้ไหม...คิม มินซอก”




    เขาถามพร้อมทั้งยกยิ้มที่มุมปาก...มองมาทางผมตาไม่กระพริบ

     

     
     

    “อ...อะไรนะ?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ

     
     

     

    “ฉันอยากเป็นคนนั้นของนาย...คนที่เป็นทุกอย่างของนายน่ะ”

     

     
     

    ลู่หานส่งยิ้มตอบกลับมา...

    และผมเพิ่งมารู้สึกเอาเดี๋ยวนั้นว่ารอยยิ้มนั้นมันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากแค่ไหน

     

     
     

    “น...นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือไง?”

     

     
     

    ผมถามตะกุกตะกัก...

    รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องหลบสายตาเมื่อลู่หานมองมาทางผมและจ้องมองอย่างไม่วางตา

    และรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระตุกเมื่อสายตาขี้เล่นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาจนทำให้ผมไม่สามารถมองเขาตรงๆ ได้

     

     

     

    “โธ่...มินซอกอ่า นายฟังฉันนะ

     

    .
    .

     

    ฉันไม่บอกว่าใครน่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันหรอกนะ ถ้าฉันไม่คิดจะจีบเขา”

     















    ✚ TALK 


    น...นี่มัน!!! ...อะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!
    พหวีดดดดดดดด พี่ลู่แลดูหล่อไป!  พี่ลู่แมนไม่ไหวแล้ววววววว!!!
    ไม่เอาแล้วเฉินหมิน ลู่หมินได้มั้ยยยยยย ฮรืออออ
    อิพี่ลู่ พบ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่สุด!  ยิ่งเห็นใส่สูทวันนี้ก็ยิ่งเพิ่มพลังความเมะ!!! T T


    นมน.จะแบ่งสเปเชียลคัพเพิลเป็น 3 ตอนนะคะ จะเล่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไปเรื่อยๆค่ะ
    และตอนสเปเชียลคัพเพิลทั้งหมด นมน.จะเอาไปรวมไว้ในเล่มนะคะ
    ต่อจากคู่เฉินหมินก็จะมีชานแบคและเทาฮุนตามมาค่ะ
    อดใจรอกันนะ...แล้วนมน.จะรีบมาต่อให้เร็วที่ฝุดดดดดดเบยยยยย


    รักรีดเดอร์ค่ะจุ๊บๆ


    - ไรเตอร์นมน. -




     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×