คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ✚ BE MY H0NEY :: CHEN & XiUMiN I
Author : MR.$N0WMAN*
Pairing : Kim Jongdae & Kim Minseok
Story : Jackboiz
Rate : PG-15
Be my Honey*
‘ ...it's hard
to Say
Love.....’
- Xiumin’s Part -
ผมยังจำได้ดีถึงวันนั้น...วันที่เราสองคนออกจะป้ำๆ เป๋อๆ และความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน
ผมเจอกับจงแดที่ใต้ตึกคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ในงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่
ในตอนนั้นผมเป็นเด็กบ้านนอก เพิ่งย้ายจากจังหวัดคยองกีเข้ามาเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ห่างไกลจากบ้าน
ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นยืนหมุนไปมาอยู่ที่หน้าตึกคณะและไม่แน่ใจนักว่าห้องประชุมไปทางไหน
ทุกคนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันทักทายจนดูเหมือนจะรู้จักกันไปหมด แต่ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาทักผมเลย...
พวกเขามากันเป็นหมู่คณะและเดินไปด้วยกัน หรือไม่ก็เดินเข้ามาทักและพูดคุยกัน ในขณะที่ผมกลับยืนอยู่ตรงนี้เพียงลำพังเท่านั้น
ผมยกนาฬิกาขึ้นมองแล้วพบว่าอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าพิธีปฐมนิเทศจะเริ่มต้นขึ้น
และผมไม่แน่ใจนักว่าตอนนั้นควรจะต้องทำอะไร...จนกระทั่งใครคนหนึ่งเข้ามาสะกิดที่บ่า
“นายๆ นายผูกเนคไทเป็นไหมอ่ะ? ช่วยผูกให้ฉันหน่อยดิ”
ผมหันหลังกลับไปมองคนที่มาสะกิดบ่าก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกำลังส่งยิ้มมาให้จนตาเล็กๆนั้นแทบจะปิด
ท่าทางเขาไม่ค่อยเรียบร้อยนักเพราะชุดนักศึกษาที่ชายหลุดลุ่ย
และเข็มขัดกับเนคไทที่ควรจะอยู่ในเครื่องแบบของเขากลับยังอยู่ในมือทั้งสองข้าง
ผมยืนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนตรงหน้ายิ้มแล้วส่งเนคไทเส้นเล็กมาให้ตรงหน้า
ก่อนจะพยักหน้าเร่งเร้าเพื่อขอให้ผมช่วยเขา
“เถอะน่า...ช่วยฉันหน่อยดิ
คนมองฉันใหญ่แล้ว ฉันอายอ่ะ” เขารบเร้าผม
“อ่ะ...อื้ม เอามาดิเดี๋ยวฉันผูกให้” ผมตอบเขาไปก่อนจะยื่นมือไปรับมา
“ผูกให้ฉันที่คอเลยได้เปล่า? ฉันต้องรีบแต่งตัวให้เสร็จภายในสิบนาทีไม่งั้นฉันแย่แน่”
เขาร้องขอผมอีกครั้งอย่างเจือแววร้อนรนเล็กน้อยอยู่ในน้ำเสียง
ผมได้แค่พยักหน้าไปส่งๆ ก่อนที่จะส่งเนคไทเส้นนั้นไปคล้องคอแล้วเริ่มต้นผูกให้เขา
ในขณะที่คนตรงหน้าก็เริ่มเอาชายเสื้อยัดใส่กางเกงอย่างลวกๆ ก่อนจะใส่เข็มขัด
ผมผูกมันไม่นานเท่าไหร่ก็เสร็จเรียบร้อย
จัดปกเสื้อให้คนตรงหน้าอีกเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังจรดกระดุมที่ข้อมือทั้งสองข้าง
ผมสังเกตุบนผมของเขามีเศษใบไม้เล็กๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้จากหน้าตึกคณะติดมาด้วย
ผมเลยจัดการยกมือขึ้นปัดออกให้เขาเพราะคิดว่าเขาคงไม่รู้ตัว
“โอ ขอบคุณนะ...นายน่ารักจัง”
คนตรงหน้าส่งยิ้มมาให้ผมบางๆ พลางเอ่ยขอบคุณ
ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตักเมื่อรอยยิ้มสวยและริมฝีปากบางๆ ที่เอ่ยคำว่าน่ารักออกมานั้นทำให้ผมรู้สึกไม่ปรกติ
ผมพยักหน้าส่งให้เขาก่อนจะก้มลงมองเครื่องแบบนักศึกษาที่เข้าที่เข้าทางแล้วยิ้มส่งให้เขาบางๆ
“พอดีว่าเมื่อคืนฉันกับเพื่อนไปดื่มกันมานิดหน่อย วันนี้ฉันก็เลยตื่นสาย
เพื่อนๆฉันก็ยังไม่มากันเลยซักคนเนี่ยสิ ฉันเองก็ผูกเนคไทไม่เป็นด้วยสิ เลยต้องมารบกวนนาย”
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้ยุ่งยากอะไร” ผมบอกเขาไปพลางยักไหล่
“นายชื่ออะไรอ่ะ ฉันชื่อ คิม จงแด” เขาแนะนำตัวมาพร้อมทั้งยกยิ้ม
“ฉันน่ะเหรอ...ฉันชื่อมินซอกน่ะ คิม มินซอก”
“มินซอกงั้นเหรอ...อ่าฮะ! มากับฉันสิ ตรงนี้มันคนเยอะนะ อึดอัดออกจะตาย”
จงแดยิ้มให้ผมก่อนจะเหวี่ยงแขนมาโอบรอบคอผมแล้วเริ่มลากผมให้ออกเดิน
เขาพาผมไปนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะทั้งๆ ที่ตอนนั้นผมเองก็ยังงุนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
ผมคิดว่ารอยยิ้มของจงแดมันโปรยปรายไปทั่วจนเหมือนว่าเขาไม่เต็มเต็งเสียด้วยซ้ำหรือไม่ก็อารมณ์ดีมากไปจนเกินเหตุ
อ่า...แต่ตลกชะมัดที่ผมดันคิดว่ารอยยิ้มโง่ๆ นั้นมันดูน่ารักไปซะได้...
ใช่ครับ มันดูน่ารักเอามากๆ เลย...
จงแดซักถามเพื่อทำความรู้จักกับผมอีกเล็กน้อยก่อนที่เพื่อนของเขาจะมาถึงในที่สุด
มันเป็นเวลาเดียวกับที่ห้องประชุมนั้นถูกเปิดประตูออกเพื่อเรียกนักศึกษาใหม่ให้เข้าไปข้างใน
และผมคงจะพูดไม่ผิดอะไรที่จะบอกว่าเพื่อนๆ ของจงแดอีกสามคนนั้นมาถึงเวลาแบบ เส้นยาแดงผ่าแปด
“พวกมึงไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะไอ้จงอิน
ดูกูเด่ะ กูมารอตั้งแต่ไก่โห่แล้วนะ แต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่ออกบ้านเลยด้วย”
จงแดยิ้มลอยหน้าลอยตาแถมยังโกหกเพื่อนๆ ของเขาไปเสียเต็มปาก
ผมลอบหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น
โธ่...ที่ว่ารีบร้อนเพราะอยากเอาหน้ากับเพื่อนว่างั้นสินะ น่าตลกจังเลย
“เออ ก็รถไอ้ชานยอลมันเสีย กว่าจะขับอ้อมไปรับมันกับไอ้แบคฮยอนก็เกือบจะสายแล้ว
แถมรถดันมาติดอีกต่างหากกูล่ะอยากจะบ้าตาย...
ว่าแต่ไอ้หน้าอ่อนข้างๆมึงนั่นใครล่ะ?
นี่มึงมีกิ๊กตั้งแต่เดินเข้ามหาลัยวันแรกเลยเหรอ จะเก๋ามากไปหน่อยแล้วล่ะมั้งครับเพื่อน...”
คนที่ชื่อจงอินพยักเพยิดมาทางผมพร้อมทั้งยกยิ้มแซวขึ้นมาอย่างขี้เล่น
ผมรีบส่ายหน้าและพยายามจะปฏิเสธ แต่ในวินาทีต่อมาจงแดก็กลับเหวี่ยงแขนมาโอบรอบคอของผมเอาไว้
เขาดึงผมเข้ามาล็อคคอเสียแน่นเลยเชียว...ก่อนที่จะพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังยิ้มเป็นบ้าอยู่อย่างนั้น
“เป็นงายยยยน่ารักล่ะสิท่า" เขาพูดพลางส่งยิ้มให้กับจงอิน "...แต่ไม่ใช่กิ๊กกูหรอก คนนี้ชื่อ คิม มินซอก" ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
"...เพื่อนใหม่ของกู...”
นี่แหละครับ...จุดเริ่มต้นง่ายๆ ที่ทำให้เราได้รู้จักกัน
เพราะแค่เนคไทด์เส้นเดียวเท่านั้น...
.
.
.
เราเลยกลายมาเป็นเพื่อนกันจนได้...
**********
“พวกมึงว่าชุดนี้โอเคแล้วใช่ไหม? ทรงผมล่ะ?
กูมีกลิ่นปากเปล่าวะ? ไอ้ชานยอลมึงลองมาพิสูจน์ลมหายใจหอมสดชื่นให้กูที”
เสียงของจงแดดังขึ้นมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเขาชี้ชวนให้ผมและเพื่อนๆ ช่วยตรวจสอบการแต่งกายของเขา
ผมมองมันก่อนจะเบะปากออกมาน้อยๆ อย่างหมั่นไส้โดยไม่ทราบสาเหตุ
อาจจะเพราะอิจฉาล่ะมั้ง...ก็วันนี้จงแดจะไปเดทนี่นา
เขานัดกับรุ่นพี่ซูโฮเอาไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากร้านนมหน้าตึกคณะที่พวกเราชอบมาสิงสถิตอยู่มากนัก
พวกเรามักจะมาสิงอยู่ที่นี่ตลอดเวลาที่ไม่มีเรียน หรือแม้กระทั่งตอนเลิกคาบเราก็จะนัดมาเจอกันที่นี่
จนทุกคนในคณะขนานนามพวกเราด้วยชื่อตลกๆ ที่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยเข้ากับพวกเรานัก
ก็ฉายาว่า “แก๊งค์นมเย็น” น่ะ...มันดูน่ารักคิกขุไม่เหมาะกับพวกผมเอาซะเลย
“โห...กลิ่นมาดามหอมชื่นใจเลยมึง โอ้ย! ประสาทสิ
พอได้แล้วไอ้แด้!!...ไม่มีใครหล่อเกินมึงแล้วครับไอ้เหี้ย
แต่ถ้าจะให้ดีก็เลิกทำหน้าเหมือนแป๊ะยิ้มซักที ตีนกาขึ้นแล้วครับเจ้าคุณปู่!!”
จงอินหัวเราะพรืดออกมาเมื่อชานยอลมันล้อเลียนไอ้จงแดอย่างสนุกปาก
แต่แน่นอนว่าจงแดก็ยังเป็นจงแด...คำพูดแค่นี้มันไม่สะทกสะท้านหรอกครับ...
“ปู่เหี้ยไรกูไม่สนอ่ะ กูมั่นใจในรอยยิ้มซะอย่าง แต่โธ่!!...มันใกล้เวลานัดแล้วนะ
มึงช่วยพูดอะไรก็ได้ให้กูหายตื่นเต้นหน่อยดิมินซอก
กูรู้ว่าไอ้พวกนี้แม่.งพึ่งพาไม่ได้หรอก...เพราะงั้นมึงช่วยกูหน่อยนะ กูลนไม่ไหวละ”
จงแดหันมารบเร้าผมอย่างร้อนรน ยื่นมือมาบีบที่มือของผมเบาๆ และผมก็รู้สึกว่ามันเย็นเฉียบ
ผมลอบหายใจออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าผมไม่อยากจะทำอย่างนั้น...
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ...ก็ผมเป็นเพื่อนเขานี่นา...
“เป็นอย่างที่มึงเป็นมาตลอดนั่นแหละจงแด มั่นใจในตัวเองหน่อย
กูรู้มึงจะทำให้พี่เขาประทับใจได้...เหมือนทุกทีที่มึงทำให้กูประทับใจได้นั่นแหละ”
ผมพูดกับเขา แต่เสียงกลับแผ่วเบาลงเมื่อถึงท้ายประโยค
แบคฮยอนชายตาจากหนังสือการ์ตูนในมือขึ้นมามองหน้าผมเมื่อถึงท้ายประโยคที่ผมหลุดปากออกไป
ผมหลบตาเมื่อสายตาของแบคฮยอนมองมาอย่างนั้น และรู้สึกว่าตัวเองเป็นไอ้งั่งเมื่อพูดมันออกมา
แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าทำไมผมต้องรู้สึกหัวใจเต้นแรงในตอนนี้ด้วย...มันไม่มีเหตุผลเลย
“กูว่าแล้วเชียว...มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลยมินซอก
กูคิดไว้แล้วว่ามึงต้องทำให้กูโอเคขึ้นได้...ขอบใจมึงมากนะ
กูไปก่อนล่ะนะพวกมึง อวยพรให้กูด้วย
แล้วกลับไปเจอกันที่ห้องนะมินซอก...หลับไปก่อนก็ได้เดี๋ยวกูโทรเรียกมึงมาเปิดประตู”
จงแดยิ้มให้ผมและโบกมือลาทุกคนก่อนจะเดินจากไป...
ผมพยักหน้าให้เขาส่งๆ แล้วทำเป็นก้มลงเขียนอะไรบนกระดาษ
แต่สิ่งที่เขียนลงไปก็คือกากบาทรูปดอกจันทร์ตัวใหญ่ลงไปที่หัวมุมกระดาษด้วยความขุ่นเคืองก็เท่านั้น
“ไม่ได้เห็นไอ้แด้มันคึกคักอย่างนี้มาตั้งนานแล้วนะเนี่ย
สงสัยคราวนี้ไอ้แด้มันเอาจริง...พี่ซูโฮนิสัยดีด้วย เอาจริงๆกูเองก็ลุ้นนะ”
ชานยอลพูดออกมาเมื่อมองตามหลังจงแดออกไปจนลับตา
จงอินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดแสดงความเห็นออกมาบ้างในขณะที่ยกนมเย็นขึ้นดูด
“นั่นดิ...แต่ตอนแรกกูนึกว่าไอ้แด้มันชอบไอ้มินซอกซะอีกนะ
นี่ถ้าไอ้แด้มันไม่จีบพี่ซูโฮอยู่กูก็นึกว่ามันเป็นแฟนกับไอ้มินซอกแน่ๆ” จงอินพูด
“ไม่หรอกน่า...หน้ากูเป็นมิตรไง
ไอ้จงแดมันเลยให้ความสนิทสนมตั้งแต่วันแรกที่เห็น”
ผมปฏิเสธไป ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดดอกจันทร์วงใหญ่ลงไปในหน้ากระดาษว่างเปล่า
“หน้ามึงเนี่ยนะเป็นมิตร...ตาจิกอย่างกับอะไรดี
เอาจริงๆ ตอนแรกกูนึกว่าไอ้แด้มันม่อมึงนะมินซอก
และกูว่าทุกคนในคณะก็คงคิดอย่างนั้น...
จนกระทั่งมันออกมาบอกว่ามันชอบพี่ซูโฮนั่นแหละ พวกกูเลยเงิบ”
“เออใช่...นึกว่าซุ่มกิ๊กกันเงียบๆ”
แบคฮยอนบอกผมพลางยักไหล่ สายตาเขายังไม่ห่างจากการ์ตูนที่ถืออยู่
ชานยอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในคำที่แบคฮยอนเพิ่งจะพูดออกมา
ผมเริ่มกดหัวปากกาดำที่วาดรูปดอกจันทร์นั้นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว...
ผมไม่อยากฟังเลย...อยากให้พวกมันหยุดพูดแบบนี้ซักที
“ไม่มีม่อ ไม่มีกิ๊กอะไรทั้งนั้นแหละ...กูกับมันก็แค่เพื่อนกัน!”
แค๊วก!
เสียงหน้ากระดาษขาดเมื่อผมเผลอออกแรงมากไปจนกระดาษนั้นฉีกออกจากกัน
ผมมองมันอย่างตกใจและเพื่อนๆ ทั้งหมดเองก็เช่นกัน...
“....................................”
ทุกคนเงียบไปสนิท และทุกสายตานั้นก็จับจ้องมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ
ผมรีบปิดหน้าสมุดที่ฉีกขาดนั้นลงไปกับโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่...
“กู...กูจะไปห้องสมุด”
ผมพูดพลางเก็บของลงกระเป๋า...รีบจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้น
ทิ้งเพื่อนๆ เอาไว้โดยที่ไม่ได้พูดหรือแก้ตัวอะไรอีก
ไม่สิ...ทำไมผมถึงต้องแก้ตัวอะไรด้วยล่ะ ผมก็แค่วาดรูปเท่านั้น แต่ผมแค่วาดแรงไป ใช่...ก็แค่นั้น
ผมไม่ได้โมโหนะให้ตาย...ผมแค่ -- รู้สึกประสาท ใช่ๆ อาจจะใช้คำนั้นก็ได้ แต่โธ่เอ๊ย!!
โอเค...ผมยอมรับก็ได้
ผมโกรธ...ผมรู้สึกโมโห และผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นปกติ
ใช่...ตอนนี้ผมขอยอมรับอย่างนั้น...
แต่ถึงผมจะยอมรับอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี...
ผมไม่เข้าใจว่าผมจะโมโหกับทุกเรื่องไปเพื่ออะไร...
คิมจงแดจะทำอะไรแล้วผมจะสนใจไปทำไม? เขาไม่ใช่พระอาทิตย์ที่ผมต้องพาตัวเองไปหมุนวนรอบเขานะ!
.
.
.
แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าร้อนใจอย่างนี้ล่ะ...ให้ตายเถอะ
- 50% -
เกือบเที่ยงคืนแล้ว...ผมปิดไฟเข้านอนตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแต่กลับพบว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิดเอาไว้
ผมนอนลืมตาเบิกโพลงอยู่ในความมืด เฝ้ารอคอยอะไรซักอย่างโดยที่ไม่แน่ใจนักว่าผมทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร
หัวใจผมรู้สึกกังวล กังวลเพราะตอนนี้เป็นเวลาที่จงแดควรจะกลับหอได้แล้ว
แต่เขาก็ยังไม่กลับมา...
การที่เขาหายไปตั้งแต่บ่ายไม่ติดต่อมาและจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนแล้วโทรศัพท์ของเขาก็ยังคงติดต่อไม่ได้อย่างนี้
มันทำให้ผมใจหายวาบ เมื่อเผลอไปคิดเอาเองว่าคืนนี้เขาคงไม่กลับมานอนที่ห้อง...
และนั่นก็หมายความว่าเขาต้องไปค้างกับพี่ซูโฮอย่างแน่นอน...
ค้างคืนด้วยกันงั้นเหรอ....
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
ผมรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงเคาะเรียกที่หน้าประตู
รีบร้อนลุกขึ้นเปิดไฟราวกับว่าผมกำลังรอเสียงนี้อยู่ในทุกขณะจิต
ผมรีบเปิดประตูออกเพื่อต้อนรับคนที่ยืนรออยู่ตรงหน้านี้...รีบร้อนทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ก็ได้
จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าที่ผมคุ้นเคย มันก็ทำให้รู้สึกโกรธขึ้นมา
ได้โปรดอย่าแจกรอยยิ้มแบบนี้ไปทั่วจะได้ไหม...
“นอนหรือยัง...มินซอกอ่า”
จงแดยิ้มหวานก่อนจะถามผมอย่างอ่อนโยน
ผมอดจะทำหน้าบึ้งออกมาไม่ได้...เพราะรู้สึกโกรธกับคำถามที่เขาถามมาตะหงิดๆ
งี่เง่า...กูจะนอนลงได้ยังไง... ในเมื่อมึงยังไม่กลับมา...
ได้แต่พูดในใจแต่ไม่อาจจะบอกออกมาได้
ผมส่ายหน้าแล้วเดินละเข้ามาข้างใน...ทิ้งตัวลงนั่งลงกับเตียงนุ่มก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา
“ยังไม่ได้นอน...แต่ก็กำลังจะนอนแล้ว” ผมบอกกับเขา
“แหน่ะ...รอกูอยู่ล่ะสิใช่ม้า?”
จงแดยกยิ้มแหย่ในขณะที่เขาถอดเสื้อโค้ทออกไปแขวนไว้ตรงราวแขวน
ผมหันสายตาออกไปมองที่นอกหน้าต่างเพื่อที่ไม่เห็นท่าทางหยอกล้อของเขา
จงแดเดินข้ามห้องไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ ผมทิ้งตัวนอนลงแล้วห่มผ้าโดยไม่พูดอะไรอีก
....ก่อนที่จะรู้สึกสะดุ้งสุดตัวและรู้สึกจุก เมื่อจู่ๆจงแดก็วิ่งเข้ามากระโดดทับผมที่นอนอยู่บนเตียงซะอย่างนั้น!
“ย๊ากกกกกกกกกก ไอ้มินซอกกกกกกกกก”
“โอ้ย! เป็นบ้าอะไรของมึงเนี่ย???”
“ไอติมชาเขียววววววว!!”
จงแดร้องออกมาอย่างร่าเริงในขณะที่กอดทับผมไว้
ผมแทบจะร้องอ๋อออกมาเมื่อเขาบอกถึงสาเหตุที่มากระโดดทับผมไว้
ผมซื้อไอศกรีมรสโปรดมาทิ้งไว้ให้เขา...
“โธ่...นึกว่าอะไรไอ้แด้ มึงทำกูตกใจหมด” ผมถอนหายใจออกมาก่อนที่จงแดจะดึงผมให้ลุกขึ้นนั่ง
“โหหห กูรักมึงสุดๆอ่ะ
ป่ะ มินซอก...มากินไอติมกัน”
“ห๊ะะ! แต่ตอนนี้มันเที่ยงคืน”
“เที่ยงคืนแล้วไงอ่ะ?”
“มึงกำลังชวนกูอ้วนครับ...ไอ้แด้” ผมตอบมันไปก่อนจะถลึงตา
“ก็กูกินแล้วไม่อ้วนนี่...และกูอยากกินตอนนี้เลยด้วย”
จงแดตอบผมพลางยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ผมกลอกตาก่อนจะเอ่ยกับเขา...
“กวน - ตีน”
“โธ่...แล้วมึงจะปล่อยให้กูกินคนเดียวอ่อ?”
จงแดเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเอาไอศกรีมที่ผมเป็นคนซื้อให้เขามาถือไว้
หยิบช้อนมาสองคันจากตรงมุมห้องแล้วเดินกลับมาหา
ปักช้อนทั้งสองคันลงในกล่องไอศกรีมที่ถูกเปิดฝาเอาไว้ แล้วยักคิ้วให้ผมอย่างกวนประสาท
ผมมองท่าทางอย่างนั้นแล้วกลอกตา...รู้ดีว่าตัวเองมีเหตุผลมากพอที่จะปฏิเสธจงแด
แต่ผมกลับรู้ตัวดีว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบไหน...เพราะผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้เลยซักที
“เห็นแก่พระถังซัมจั๋งเหอะ...นี่กูกำลังจะกินไอติมตอนเที่ยงคืน!”
ผมบ่นออกมาหากแต่ก็เลื่อนตัวลงจากเตียงนุ่มลงไปนั่งที่โต๊ะเล็กตรงกันข้ามกับจงแด
ตัวต้นเหตุหยิบดึงช้อนที่ปักบนไอติมยื่นมาให้ผมแล้วยิ้มอย่างเห็นชัยชนะ
ก่อนที่เราจะเริ่มกินไอศกรีมด้วยกันและพูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ
ทั้งเรื่องที่ผมสนใจจะคุย...และเรื่องที่ไม่สนใจจะคุย และไม่คิดอยากจะคุยเลยด้วยซ้ำ...
“พี่ซูโฮน่ารักมากเลยว่ะมินซอก...
ภายนอกพี่เขาดูเหมือนหยิ่งนะ แต่ความจริงแล้วน่ารักมากๆ
น่ารัก ตลก มีอารมณ์ขัน...ที่สำคัญกูรู้สึกว่ากูเข้ากับพี่เขาได้”
จงแดเล่าเรื่องการเดทในวันนี้ให้ผมฟัง...
และทำเอาผมรู้สึกว่ารสชาติของไอศกรีมที่เคยอร่อยกลับกลายเป็นความขมที่ปลายลิ้น
ผมก้มหน้าลงจ้วงไอศกรีมเข้าปากไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยซักคำ
ทำได้แค่รับฟังอยู่เงียบๆ...เพราะผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะฟังมันต่อไปเพื่ออะไร...เพื่ออะไรกัน
“กูชอบพี่เขาว่ะ...ชอบแบบชอบมากๆ
โอย เครซี่อ่ะ...กูเครซี่ไม่ไหวแล้ว”
ผมกลืนน้ำลายลงไปในคออึกใหญ่เมื่อได้ฟัง...จงแดยิ้มเขินอย่างหยุดตัวเองไม่อยู่
ผมรู้สึกเจ็บปวดเมื่อจู่ๆ ก้อนสะอื้นก็ขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคออย่างช่วยไม่ได้
ผมไม่ได้อยากฟังมันเลยซักนิด...ผมควรทำอย่างไรเพื่อให้เขาหยุดพร่ำเพ้อถึงมันเสียที...
“แล้วมึงมาบอกกูทำไมวะจงแด...?”
ผมถามโพล่งออกไปเมื่อรู้สึกว่าอดไม่ได้
จงแดดูจะอึ้งไปเล็กน้อยที่ผมถามออกมาแบบนั้น
ผมจึงรีบต่อประโยคเพื่อไม่ให้เขาเข้าใจผิด
“........ไม่คิดบ้างเหรอว่ากูจะอิจฉา”
ผมต่อประโยคพร้อมทั้งหลุบตาลงต่ำ...
จ้วงไอศกรีมเข้าปากอีกคำหนึ่ง แต่ผมกลับไม่รับรู้รสชาติอะไรได้อีกแล้ว
นอกจากความเย็นที่ทำให้ผมชาวาบและเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ...
“เพราะกูรักมึงไง...กูถึงได้อยากบอกมึง” จงแดกระซิบ ทำให้ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองเขา...
“กูอยากจะแชร์ทุกอย่างที่กูรู้สึกให้มึงได้รู้ด้วย...
เพราะมึงเป็นเพื่อนที่กูรักมากที่สุด...มินซอกอ่า”
จงแดตอบพลางยักไหล่ เขาส่งยิ้มมาให้ผม
ส่งยิ้มแบบที่ผมเคยคิดเสมอ ว่ามันสามารถจะทำให้โลกทั้งใบของผมอบอุ่นขึ้นได้
แต่ในตอนนี้มันกลับทำร้ายผม...
รอยยิ้มนี้กำลังแช่แข็งผมให้นิ่งงันและรับมือกับความเจ็บปวดที่เข้ามาเยือนในหัวใจอย่างเงียบเชียบ
“กูพอแล้ว จะไปแปรงฟัน...”
ผมบอกเขาแล้วลุกขึ้นมาจากโต๊ะกลมนั้น
จงแดพยักหน้าอย่างไม่รับรู้อะไรและปล่อยให้ผมได้เดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก
ผมปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินไปยืนอยู่ตรงหน้ากระจก
เปิดน้ำจากก๊อกให้มันไหลลงมาดับเสียงกรีดร้องของหัวใจที่เต้นแรงจนคล้ายว่ามันกำลังจะระเบิด
มันพร้อมจะระเบิดสิ่งที่ผมพยายามจะหักห้ามและปฏิเสธมันมาตลอด
หากแต่ผมรู้ตัวว่าผมปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว... ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมแอบรักจงแดมานานแค่ไหน
เงยหน้าแล้วกัดริมฝีปากเพื่อหักห้ามไม่ให้น้ำตาไหลลงมา ผมต้องหักห้ามมันเอาไว้
เพราะในเมื่อตัดสินใจจะปกปิดมันไว้ ผมก็สัญญาว่าจะทำมันให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
เพื่อนงั้นเหรอ...
รักกูมากกว่าเพื่อนได้ไหมจงแด...
*********
เวลาไม่นานนักจงแดและพี่ซูโฮก็คบกันจนได้...
เวลาผ่านมานานหลายเดือนแล้วที่ผมควรจะตัดใจให้ได้ หากแต่ผมก็พบว่ามันทำได้ยากกว่าที่คิดไว้มากนัก
ผมรู้ดีว่าผมยังพยายามที่จะตัดใจจากเขาไม่มากพอ เพราะในส่วนลึกในหัวใจของผมไม่ยินดีที่จะทำอย่างนั้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีอยู่มากที่พี่ซูโฮมีกิจกรรมมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้จงแดยังพอมีเวลาให้ผมบ้าง
อย่างน้อยเราก็ยังกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และจงแดก็กลับมานอนที่ห้องทุกวันด้วย
ผมรู้ดีว่าควรจะตัดใจจากเขาให้เด็ดขาด...
แต่อีกใจหนึ่งผมกลับคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะเลิกกันนั้นก็มีสูงมากเช่นกัน ผมเลยปล่อยใจให้เฝ้ารอไปวันๆ อย่างมีจุดหมาย
หากแต่วันแล้ววันเล่า...จากหนึ่งเดือนกลายเป็นสามเดือน จากสามเดือนกลายเป็นหกเดือน
พวกเขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกกัน ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกันบ่อยครั้งก็เถอะ
มันเนิ่นนานเกินไป...และมันนานจนผมรู้สึกว่าหัวใจผมเริ่มจะแบกรับมันไม่ไหว
ผมตัดสินใจที่จะตัดใจจากจงแดซะ...
และราวกับว่าพระเจ้าจะได้ยินคำขอของผม ผมจึงได้พบกับผู้ชายอีกคนที่ไม่คิดว่าจะมารู้จักกับเขาได้
ผู้ชายที่ชื่อ เสี่ยว ลู่หาน...
ผมยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี และมีรอยยิ้มทุกครั้งที่คิดถึงมัน...
ผมกำลังเดินอยู่บนถนนด้านหลังมหาวิทยาลัย...
สองมือล้วงกระเป๋าเพราะอากาศหนาวเย็นในเดือนกุมภาพันธ์
ใจอยากจะจ้ำอ้าวให้ถึงหอไวๆ
หากแต่หิมะที่จู่ๆ ก็ตกลงมานั้นทำให้ผมตัดสินใจจะเดินเลี่ยงเข้าไปในร้านขายของชำร่วยที่อยู่ข้างทางอย่างช่วยไม่ได้
ผมปัดหิมะออกไปจากไหล่แล้วเดินเข้ามาในร้านที่มีอากาศอุ่นมากกว่าข้างนอกนั้นหลายเท่านัก
ภายในร้านเงียบสงัด มีเพียงลูกค้าคนหนึ่งและเจ้าของร้านที่เป็นคุณป้าท่าทางใจดีเพียงแค่สองคนเท่านั้น
เธอไม่ได้ว่าอะไรที่ผมเดินเข้ามาหลบหิมะในร้าน ซ้ำยังบอกให้ผมทำตัวตามสบายจนกว่าหิมะจะหยุดตกด้วย
“ข้างนอกหิมะตกหนัก...อยู่ในนี้ไปก่อนก็ได้นะหนู
ไว้รอให้มันซาลงกว่านี้ค่อยออกไปก็ได้” เธอพูดกับผมอย่างใจดี
“ขอบคุณมากครับ...ผมไม่รบกวนนานหรอกครับ แค่ครู่เดียว
ผมคิดว่าระหว่างเดินดูของพวกนี้ไปเรื่อยๆ หิมะก็น่าจะเบาลงแล้ว”
ผมกล่าวขอบคุณเธอก่อนจะชี้เข้าไปในร้านขายของอันกว้างใหญ่
คุณป้าพยักหน้าก่อนจะขอตัวเดินเข้าไปหลังร้าน เพื่อขอไปหาชาอุ่นๆ ดื่ม
ผมยิ้มให้เธอก่อนจะหันหลังไปเดินสำรวจสิ่งของภายในร้าน
และกลับพบว่าร้านขายของที่ดูเก่าแก่แห่งนี้กลับมีสิ่งของที่น่าสนใจมากมายวางขายอยู่
ภายในร้านนั้นขายของหลายอย่าง...อย่างเช่นของชำร่วยชิ้นเล็กๆ ที่มักจะใช้แจกตามงานแต่ง
มีแจกันประดับ ของแต่งบ้านเล็กๆ จำพวกเชิงเทียนหรือรูปแกะสลักที่ทำจากไม้
และมีแม้กระทั่งเครื่องประดับที่ทำจากเงินขายด้วย...
นั่นแหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมได้พบกับเขา...
“นายคิดว่าถ้าฉันจะให้ของขวัญกับคนที่ฉันชอบ
ฉันควรจะเลือกชิ้นไหนดีระหว่างสร้อย แหวน หรือนาฬิกา?”
เสียงของลูกค้าเพียงคนเดียวที่อยู่ในร้านเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้เขาพอสมควร
ผมมองไปซ้ายขวาเพื่อหันมองว่าเขากำลังคุยกับใคร
จนกระทั่งเมื่อพบว่าเขากำลังมองตรงมาที่ผมนั่นแหละ...ผมถึงต้องเอ่ยถาม
“นายถามฉันเหรอ?”
“ฉันว่าตรงนี้ก็ไม่มีใครนอกจากนายนี่นา” เขาส่งยิ้มตอบกลับมาพร้อมทั้งยักไหล่
“อ่า...ก็จริงของนาย”
ผมตอบเขาก่อนจะยกมือขึ้นเกาที่ข้างแก้ม
ชายหน้าหวานเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร
ก่อนจะดึงข้อมือของผมให้เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้เครื่องประดับ
“ตอบฉันทีดิ ถ้าเป็นนายจะเลือกชิ้นไหน สร้อย...แหวน...หรือนาฬิกา?” เขาถามซ้ำอีกครั้ง
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายเอาไปให้ใคร...สำคัญแค่ไหน” ผมบอกกับเขา
“มันเกี่ยวยังไง? ลองอธิบายหน่อยสิ”
เขาเอ่ยขอร้องกับผม รอยยิ้มหวานนั้นยังถูกส่งมาอย่างเป็นมิตร
มันเหมือนรอยยิ้มของจงแด...แต่รอยยิ้มของคนตรงหน้านี้หวานกว่าจงแดมากนัก
“ก็...ถ้านายอยากประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นของนาย นายก็น่าจะซื้อแหวนให้เขา
ถ้านายอยากจะบอกว่าเขาเป็นคนสำคัญของนาย...นายก็น่าจะซื้อสร้อยคอให้เขา
แต่ถ้านายอยากจะบอกว่านายต้องการใช้เวลาทุกวินาทีกับเขา...นายก็น่าจะซื้อนาฬิกา”
ผมอธิบายอย่างเชื่องช้า...คนหน้าหวานตรงหน้าก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
ก่อนที่เข้าจะเม้มปากแล้วหรี่ตาอย่างใช้ความคิด...ก่อนจะถามผมอีกครั้ง
“แล้วถ้าฉันอยากทำอย่างนั้นทั้งหมดกับเขาล่ะ
งั้นฉันไม่ต้องซื้อทั้งสามอย่างหรอกเหรอ?” เขาถามผมพร้อมรอยยิ้ม
“งั้นนายก็น่าซื้อแหวนนะ...เพราะแหวนน่ะแทนคำตอบของทุกอย่างไว้หมดแล้ว
คนที่รักกันมักจะให้แหวนแทนคำสัญญา และมันจะเป็นตัวแทนทุกอย่าง
เพราะถ้านายตัดสินใจใส่แหวนคู่กับเขาแล้ว นั่นก็แปลว่านายและเขาพร้อมจะประกาศตัวว่านายจะมีแค่เขาเท่านั้น
การที่ใส่เขาแหวนไว้ตลอดเวลานั้นก็หมายความว่านายต้องสำคัญมากจนเขาขาดนายไปไม่ได้
และสุดท้ายแล้วการที่มีแหวนติดอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายตลอดเวลา
มันก็หมายความว่าทุกวินาทีที่แหวนประดับอยู่ตรงนั้น มันก็แปลว่านายและเขาจะเป็นของกันและกันตลอดไป”
ผมอธิบายให้คนตรงหน้าได้ฟังอย่างเชื่องช้า
พยายามจะทำให้เขาได้เข้าใจในความหมายที่ผมพยายามจะบอก
แต่เพราะว่าคนหน้าหวานที่พยักหน้าอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเป็นอย่างดี
“ฟังแล้วอบอุ่นใจดีจัง นาย...ชื่ออะไรเหรอ?”
คนหน้าหวานยกยิ้มแล้วเอ่ยถามผม ผมไม่ได้อิดออดที่จะบอกเขาไป
อาจจะเพราะรอยยิ้มที่อบอุ่นและดูเป็นมิตรนั้นแหละมั้ง ที่ทำให้ผมไม่ต้องคิดอะไรมากที่จะเปิดเผยชื่อกับเขา
“ฉันชื่อคิมมินซอก...แล้วนายล่ะ?” ผมถามเขากลับไปบ้าง
“ฉันชื่อเสี่ยวลู่หาน...เป็นคนจีนน่ะ”
เขาตอบกลับมาพร้อมทั้งยิ้มหวานจนตาปิด
ผมพยักหน้าแล้วมองเขาอย่างไม่ค่อยจะเชื่อสายตานัก
“โอ จริงเหรอ?...นายพูดภาษาเกาหลีเก่งมากๆ เลยลู่หาน
ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่านายเป็นคนจีน” ผมเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะบอกออกไปอย่างทึ่งๆ
“ขอบใจมากนะ...แต่ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก” ลู่หานยักไหล่ แต่รอยยิ้มที่ผุดพรายก็บ่งบอกความภาคภูมิใจได้ไม่น้อย
“ฉันพูดจริงๆนะ ฉันเองก็อยากจะเก่งภาษาจีนบ้าง
ฉันเรียนมานิดหน่อย แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดเท่าไหร่เลย
ฉันชอบภาษาจีนนะ...มันสนุกดี”
ผมพูดกับเขาอย่างร่าเริง เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะได้พูดคุยกับคนต่างชาติ
ผมลงเรียนภาษาจีนเป็นภาษาที่สองเพราะว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับผมเท่าไหร่
เลยรู้สึกว่าตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากไปจนลู่หานต้องหัวเราะออกมาอย่างขันๆ
“อืม... นายนี่น่ารักจังเลยนะมินซอก”
ลู่หานพูดพร้อมทั้งยกยิ้มหวานส่งมาให้...ในชั่ววูบหนึ่งนั้นมันทำให้ผมคิดถึงจงแดขึ้นมา
วันแรกที่เราเจอกัน เขาก็บอกว่าผมน่ารักแบบนี้เหมือนกัน...
“ไม่หรอกน่า...นายสิน่ารักกว่าฉันตั้งเยอะ”
ผมบอกกับเขาไปด้วยความสัตย์จริง
ก็ลู่หานเป็นคนที่หน้าหวานที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมาเลยนี่นา
“น่ารัก...นายน่ารักดี
งั้นนายบอกฉันสิมินซอก ว่านายอยากได้อะไรที่สุด
ระหว่างแหวน...สร้อยคอ...แล้วก็นาฬิกา” ลู่หานถามก่อนจะชี้ไปทางตู้เครื่องประดับข้างหน้าแล้วมองผมด้วยรอยยิ้ม
“อืม... ถ้าฉันอยากจะได้อะไรจากคนรัก ฉันก็คงอยากจะได้แหวนคู่นั่นแหละมั้ง
ฉันอยากเป็นทุกอย่างของเขา และแน่นอนว่าฉันก็อยากให้เขาเป็นทุกอย่างของฉันเหมือนกัน”
ผมตอบไปทั้งรอยยิ้ม...ในชั่ววินาทีหนึ่งที่พูดถึงและวาดฝันถึงใครคนนั้น
ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มราวกับคนบ้าของจงแดกลับโผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดเสียได้...
“งั้นเหรอ...”
ลู่หานยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ากับตัวเองอย่างแข็งขันหลังจากที่ฟังผมพูดจบ
ผมเม้มริมฝีปากลงไปแน่นและพยายามจะสลัดใบหน้าของจงแดออกไปจากความคิด
แต่มันไม่ได้ยากเย็นนัก...
เมื่อจู่ๆ คำพูดที่ลู่หานเอ่ยออกมานั้นขับไล่เรื่องทุกอย่างออกไปจากหัวสมองผมจนหมดสิ้น
“งั้นนายจะยอมให้ฉันเป็นคนซื้อแหวนให้นายได้ไหม...คิม มินซอก”
เขาถามพร้อมทั้งยกยิ้มที่มุมปาก...มองมาทางผมตาไม่กระพริบ
“อ...อะไรนะ?” ผมถามเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันอยากเป็นคนนั้นของนาย...คนที่เป็นทุกอย่างของนายน่ะ”
ลู่หานส่งยิ้มตอบกลับมา...
และผมเพิ่งมารู้สึกเอาเดี๋ยวนั้นว่ารอยยิ้มนั้นมันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากแค่ไหน
“น...นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่หรือไง?”
ผมถามตะกุกตะกัก...
รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องหลบสายตาเมื่อลู่หานมองมาทางผมและจ้องมองอย่างไม่วางตา
และรู้สึกว่าหัวใจเต้นกระตุกเมื่อสายตาขี้เล่นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาจนทำให้ผมไม่สามารถมองเขาตรงๆ ได้
“โธ่...มินซอกอ่า นายฟังฉันนะ
.
.
ฉันไม่บอกว่าใครน่ารักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันหรอกนะ ถ้าฉันไม่คิดจะจีบเขา”
✚ TALK
น...นี่มัน!!! ...อะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!
พหวีดดดดดดดด พี่ลู่แลดูหล่อไป! พี่ลู่แมนไม่ไหวแล้ววววววว!!!
ไม่เอาแล้วเฉินหมิน ลู่หมินได้มั้ยยยยยย ฮรืออออ
อิพี่ลู่ พบ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่สุด! ยิ่งเห็นใส่สูทวันนี้ก็ยิ่งเพิ่มพลังความเมะ!!! T T
นมน.จะแบ่งสเปเชียลคัพเพิลเป็น 3 ตอนนะคะ จะเล่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไปเรื่อยๆค่ะ
และตอนสเปเชียลคัพเพิลทั้งหมด นมน.จะเอาไปรวมไว้ในเล่มนะคะ
ต่อจากคู่เฉินหมินก็จะมีชานแบคและเทาฮุนตามมาค่ะ
อดใจรอกันนะ...แล้วนมน.จะรีบมาต่อให้เร็วที่ฝุดดดดดดเบยยยยย
รักรีดเดอร์ค่ะจุ๊บๆ
- ไรเตอร์นมน. -
ความคิดเห็น