ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #9 : ✚ BE MY BABY :: NINE

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 55


     

    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG - 15

     

     

    Be my Baby*





     



     

    ‘0.09’


     

     







    “ก็พี่น่ะซื่อบื้อ...คยองล่ะโมโหจริงๆที่พี่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยซักที!

     

     

     
     

    โอเค...นี่เป็นประโยคสนทนาที่ผมได้ยินจากปากของคยองซูในตอนนี้

    ในขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับตารางตัวเลขอันน่าปวดหัว

    แต่ทั้งไอ้เด็กดื้อและเพื่อนรักกลับเห็นว่าการที่มาพูดคุยกันแล้วกวนสมาธิของผมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรใส่ใจ

     
     

    จงแดมาที่บ้านเราตั้งแต่เช้า

    แถมยังหอบเสื้อผ้าและอะไรต่อมิอะไรมาด้วยเพราะว่าเขาทะเลาะกับมินซอกมายกใหญ่

    และเหตุผลมันก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละ...ไอ้จงแดแม่งงี่เง่า

     

     
     

    “ฉันซื่อบื้อตรงไหนกัน...

    ก็ในเมื่อต้องทำโอที ฉันก็โทรไปบอกมินซอกมันก็ถูกแล้วนี่

    ถ้าไม่โทรไปบอกสิถือว่าซื่อบื้อ...”

     

     
     

    จงแดแหวขึ้นมาอย่างจะบอกว่าเขาไม่ผิด...

    ผมกรอกตาอยู่ภายใต้แว่นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    เพราะยังไงๆผมก็คิดว่าคยองซูน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเขาเองอยู่แล้วล่ะ...

     
     

     

    “ซื่อบื้อสิ!! มีอย่างที่ไหนนัดพี่มินซอกไปดูหนังแล้วก็มาเบี้ยวกันแบบนี้!

    เป็นคยองนะ คยองก็จะงอนๆๆๆๆๆๆๆ

    เพราะว่าถ้าจงอินมานัดคยองแบบนี้แล้วเกิดเบี้ยวขึ้นมากะทันหัน ยังไงๆจงอินก็ต้องผิดอยู่วันยังค่ำ!

     

     

    คยองซูพูดพลางหันมาหาผมแล้วชี้มือชี้ไม้มาเพื่อประกอบคำที่เขาพูด

    แถมไม่พอยังทำหน้าตาโมโหจริงจังอย่างกับว่าผมไปทำอะไรผิดจริงๆซะอย่างนั้น

     
     

     

    “อ้าว...แล้วฉันไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”

     

     
     

    ผมหลิ่วตาแล้วถาม

    ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คราคาแพงที่ไม่เคยได้สัมผัสกับฟีเจอร์อื่นๆเลยนอกจากไมโครซอฟ ออฟฟิศ

    ถึงแม้ว่าผมจะทำงานอยู่ในบริษัทซอฟแวร์เกมส์ชื่อดัง แต่ในคอมพิวเตอร์กลับไม่ค่อยได้ใช้งานอะไรนัก

    นอกจากโปรแกรมเวิร์ด พาวเวอร์พ้อยท์ และเอ็กซ์เซล!  

    ให้ตายเหอะ...แล้วผมจะเสียเงินซื้อมาหลายหมื่นเพื่ออะไรกันวะครับ!

     
     

    เออ...นอกเรื่อง เอาเป็นว่าผมเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมพ์แล้วก็ถอนหายใจ

    รู้สึกเหนื่อยใจจริงๆที่ทั้งสองคนเอาแต่เถียงกันมาอย่างนี้ร่วมชั่วโมงแล้ว

    และงานของผมก็ยังไม่คืบหน้าเลยซักแอะเดียว...

     
     

    เรื่องมากวนสมาธิน่ะไม่เท่าไหร่...เพราะปกติคยองซูก็กวนใจผมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

    แต่เรื่องงานไม่คืบหน้าเลยเนี่ยแหละที่ทำผมเครียดจริงๆ

    ปวดหัวจัง...ผมอาจต้องพักซักหน่อย...

     

     

    “คยองไม่ได้บอกว่าจงอินผิดซักหน่อย...แค่ยกตัวอย่างเฉยๆ”

     


     

    คยองซูพูดพลางมุ่ยหน้าและกอดอก

    ทำเอาผมต้องหลิ่วตามองด้วยความไม่เข้าใจในท่าทีของเขาเลยซักนิด

     

     

    “แล้วทำไมต้องทำท่าโมโหด้วย? ไหนบอกว่ายกตัวอย่างเฉยๆไง?”

     

     

    ผมถามเขากลับบ้างในขณะที่ถอดแว่นออกไปจากดั้งจมูก

    ถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วมองท่าทางฮึดฮัดของน้องเขา

    ยกตัวอย่างบ้าอะไรทำไมต้องทำท่าโกรธด้วย?

     
     

     

    “ก็แค่คิดมันก็โมโหแล้วอ่ะ! นี่แค่คิดยังโมโหเลย

    ถ้าจงอินทำจริงคยองคงจะโกรธมาก ฮึ้ยยยยยย

    ถ้าปล่อยให้คยองรอแบบที่พี่จงแดทำนะ! จะงอนๆๆๆๆๆๆๆๆๆจริงๆด้วย!!!

    คยองไม่ชอบรอ! รอแล้วมาแก้ตัวข้างๆคูๆก็ไม่ชอบ!

    ตัวเองผิดแล้วมาแถว่าเป็นความผิดคนอื่นก็ไม่ชอบ!

     
     

     

    คยองซูพูดพลางเหวี่ยงกำปั้นรัวเล็กมาที่แขนผมเบาๆทีหนึ่ง ไอ้ตอนแรกผมก็ยังทำหน้างงๆกับอาการของน้องเขาอยู่หรอก...

    จนกระทั่งเริ่มนึกออกว่าน้องเขาโมโหเรื่องอะไรนั่นแหละถึงได้เริ่มต้นร้องอ๋อ

    และรู้ถึงสาเหตุที่คยองซูโกรธแทนมินซอกขึ้นมาแบบนี้ เพราะเรื่องนี้มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับเมื่อวานซักเท่าไหร่

    แหงล่ะ...เพราะเมื่อวานเราก็เพิ่งทะเลาะกันเรื่องนี้ไปหยกๆนี่นา...

     
     

     

    โอเค...ไอ้ผมก็ดันผิดเองที่ทำงานเพลินจนลืมเวลาไปหน่อยเลยทำให้ไปรับคยองซูช้า

    ตอนแรกก็เป็นห่วงอยู่หรอกแต่พอไปถึงโรงเรียนแล้วเจอน้องเขานั่งอยู่กับเพื่อนที่ชื่อจงฮยอนอะไรนั่นน่ะ

    ....มันน่าโมโหจริงๆนะครับ!


    แถมไอ้เด็กคนนั้นมันยังทำตัวไร้สัมมาคารวะจนน่าเกลียด...

    นอกจากจะทำเป็นหยิ่งไม่ทักทายผมแล้ว ไอ้เด็กคนนั้นมันยังมองผมแบบไม่ถูกชะตาแถมชวนหาเรื่องอีกด้วย...

    โห...นี่พูดแล้วโมโห แต่แทนที่ผมจะได้โกรธน้องเขาก็กลับกลายเป็นว่าน้องเขาโกรธผมแทน

    ผมเองก็ยอมรับว่าผมทำผิดนะที่ไปรับเขาช้า...แต่ก็เห็นอยู่กับไอ้เด็กจงฮยอนมีความสุขหัวเราะร่าเริงดีนี่

    แล้วเขาจะต้องโกรธผมเรื่องอะไรอีกล่ะ...พวกคุณอย่างนั้นไหม????

     
     

    แต่พวกคุณก็รู้กันใช่ไหมครับ? ว่าที่อ่านมาตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนนี้น่ะ เป็นแค่ผมคนเดียวที่ต้องง้อเขามาตลอด

    โอเค...ก็อาจจะมีตอนนั้นที่น้องเขาง้อ แต่สุดท้ายน้องเขาก็งอนผมกลับนี่!

    และแน่นอนว่าแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ยังคงต้องเป็นแบบนั้นเสมอล่ะ

    ง้อทั้งๆที่ไม่ผิด...ง้อน้องเขาทั้งๆที่ไม่มีเหตุผลต้องง้อเลยด้วยซ้ำ

    และยังไงวันนี้ก็ยังคงต้องง้ออยู่ดี...

     
     

    แต่ผมเองก็รู้ดีว่าคยองซูทำแบบนี้เพราะอยากให้ผมง้อหรือทำตัวน่ารักๆใส่เขาก็เท่านั้น

    เพราะท่าทางอย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าโกรธจริงๆหรอก...เวลาที่คยองซูโกรธจริงๆมันน่ากลัวกว่านี้มาก

    แต่ผมคงไม่ต้องรื้ออดีตมาเล่าให้คุณฟังหรอกนะ ไม่งั้นมันคงดราม่ามากแน่ๆ

    แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่าควรต้องทำยังไงให้เขาหายจากท่าทางแบบนี้

    โธ่...ผมอยู่กับเขามาตั้งหลายปีนะ คิดเหรอว่าผมจะไม่รู้ทันเขา

     

     

    “โธ่...เรื่องเมื่อวานฉันขอโทษน้า แต่ที่เราต้องจัดการคือเรื่องของจงแดไม่ใช่หรือไง

    เก็บเรื่องเมื่อวานไว้ก่อนน่า แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”

     



    ผมรุนหลังน้องเขาให้เดินไปนั่งที่โซฟาซึ่งมีจงแดนั่งทำหน้าง้ำหน้างอแล้วกอดอกอยู่

    ผมเดินเลยไปที่ตู้เย็นเพื่อหาของว่างทานแก้เครียดซักหน่อย

    แล้วก็ต้องยกยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นขนมและน้ำที่ผมชอบเรียงอยู่เต็มตู้เย็นไปหมด

    เพราะช่วงนี้ผมเครียดๆเรื่องงานเป็นพิเศษ...คยองซูก็เลยชอบชวนผมออกไปซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆบ้าน

    แล้วซื้อขนมนมเนยที่ผมชอบติดเอาไว้เต็มตู้...

    เผื่อเวลาที่หิวหรือเคร่งเครียด เดินมาหยิบก็ผ่อนคลายไปได้หน่อยหนึ่ง...

     

     
     

    ผมหยิบเอาน้ำอัดลมขึ้นมาเทใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม...

    ก่อนจะชะโงกหน้าไปมองเพื่อนรักแล้วเอ่ยถามถึงความต้องการของเขา

     

     

    “เฮ้ยไอ้แด้...มึงอยากกินน้ำอัดลมป่ะ?” ผมถามเขา หากแต่จงแดกัดริมฝีปากแล้วส่ายหน้าตอบกลับมาให้ผม

     
     

     

    “ขอเปลี่ยนเป็นเหล้าแทนได้ป่ะ...น้ำอัดลมแม่งเบบี๋ว่ะ

    เครียดจะตายห่าละ อยากจะเมาให้ลืมเธอ...” จงแดกระซิบพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ

     
     

     

    พี่จงแด!! คยองยังเป็นเยาวชนอยู่นะ....จะมากินล่งกินเหล้าอะไรในบ้านนี้เล่า!

    แถมยังมาชวนจงอินกินเหล้าอีก! ไม่ได้! ไม่ได้!

     

     

    คยองซูตะเบ็งเสียงใส่จงแดอย่างไม่เกรงกลัว...

    อาจจะเพราะว่าสนิทกันมากตั้งแต่ยังเด็กๆ คยองซูเลยเห็นจงแดเป็นพี่ชายที่สนิทหรือเหมือนพี่ชายแท้ๆ

    เออ...แต่ผมว่ามันก็มีอะไรบางอย่างที่ต่างกับผมอยู่ดีนะพวกคุณว่าไหม?

    แต่ผมเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันอ่ะนะ...ว่าอะไรที่มันแตกต่าง...

     

     
     

    “โห่...เยาวชนแก่แดดสิไม่ว่า หุบปากไปเลยเถอะไอ้เด็กแอ๊บแบ๊ว

    ฉันไม่กินเหล้าหรอก...ช่วงนี้เข้าพรรษา ฉันถือศีลทรงสมาธิอยู่”

     


     

    ไอ้จงแดพูดพลางยกมือขึ้นกลางอก...หลับตาลงอย่างกับว่าทำสมาธิอยู่จริงๆ

    และเพราะเหตุนั้นแหละที่ทำให้ผมต้องแหวขึ้นมาอย่างรู้สึกหมั่นไส้

     
     

     

    “ถุย...นี่ถือศีลทรงสมาธิของมึงเหรอ?

    คืนก่อนเห็นยังไปที่ผับอยู่เลย อย่าให้กูฟ้องมินซอกนะ แม่งมีบ้านแตกแน่

    เห็นไปหลีเด็กโต๊ะข้างๆด้วย อย่านึกนะว่ากูไม่เห็น”

     

     

    ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างขันๆในขณะที่ชี้หน้าเพื่อนรักอย่างเย้ยหยัน

    ก่อนจะชะงักเมื่อไอ้จงแดส่งสายตากลับมาเป็นเชิงเตือน...บอกว่าผมพลาดไปซะแล้ว

     

     

    โอ้วชิท! พลี๊สเทลมีว๊อทชู๊ดไอดู???

     
     

    ผมหันไปมองคยองซูที่นั่งอยู่อีกฟากโซฟาแล้วกลืนน้ำลาย...

    โอเค...ผมพลาดไปแล้วจริงๆ

     
     

     

    “จงอิน!!! นี่หนีไปกินเหล้าแล้วมาโกหกคยองว่ามีเลี้ยงกับลูกค้าเหรอ?!!!!

    งอน!!!! คยองงอนแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววว”

     

     
     

    ผมและจงแดยกมือขึ้นปิดหูเมื่อน้องเขาตะโกนออกมาเสียงดังกังวานไปทั่วห้อง

    หลังจากนั้นก็วิ่งปึงปังขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนแล้วปิดประตูดังปังเสียงดังสนั่น!

     
     

    ผมได้แต่ยืนนิ่งค้าง...มองตามแล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด...

    โอเค...คยองซูคงโกรธจริงๆแล้วล่ะคราวนี้

     

     

    “ชิบหาย...ทำเป็นกำชับกูแล้วดันหลุดปากออกมาเองเนี่ยนะ

    มึงนี่โง่ชิบหายเลยไอ้จงอิน”

     

     

    จงแดพูดขึ้นเมื่อเดินมาคว้าแก้วน้ำอัดลมของผมไปกินต่อพลางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

    นี่ถ้าไม่ติดว่ามันเองโดนไล่ตะเพิดออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ของมินซอกผมก็คงจะไล่ตะเพิดมันไปเหมือนกัน

    กูอยากจะบ้า...นี่นอกจากจะต้องมาดูแล(ตัวภาระ)เพื่อนรักแล้วยังต้องเจียดเวลาไปง้อคยองซูอีกเหรอเนี่ย

    แล้วงานผมล่ะ...มันจะเสร็จไหมครับ?

     


     

     

    ************

     



     

    ตลอดเวลาที่นั่งทานข้าวเย็นกัน...บรรยากาศในโต๊ะของเราเงียบกริบ

    ผมและจงแดพูดคุยและหัวเราะกันบ้าง แต่มุขมันฝืดไปหมดเลยเพราะคยองซูเอาแต่ทำหน้างุ้มและเงียบสนิท

    ขนาดว่ามุขของไอ้จงแดยังทำเอาผมที่เครียดๆหัวเราะออกมาดังลั่น

    แต่น้องเขากลับไม่หลุดหัวเราะออกมาเลยซักนิดเดียว..

    บ้าจัง...นี่โกรธขนาดนี้เลยเหรอ?

     

     

    ผมเองก็รู้ดีว่าตัวเองผิดหรอก...

    อยากจะโทษจะโบ้ยให้ไอ้จงแดตัวต้นเหตุที่คิดเหตุผลให้ผมหลอกคยองซูแล้วพาตัวเองออกมาเริงร่าคืนนั้น

    แต่เอาจริงๆผมก็ดันเล่นด้วยกับมัน แถมยังโกหกซะแนบเนียนจนน้องเขาเชื่อสนิทซะด้วย

    เพราะตอนที่คยองซูโทรมาตอนก่อนนอนผมยังแกล้งทำเป็นว่าติดคุยงานกับลูกค้าอยู่เลย

    ผิด...ผมผิดเต็มประตูเลยล่ะ

     

     

    พอน้องเขากินข้าวเสร็จเก็บล้างทุกอย่างแล้วก็เดินขึ้นห้องไป

    เสียงที่ประตูยังบ่งบอกถึงความไม่พอใจของเขาอีกตามเคย...และนั่นทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้

     
     

    “โถ...มีเด็กอย่างคยองซูนี่จัดการยิ่งกว่ามีเมียอีกนะมึงว่าไหม?

    หรือว่าไม่แตกต่างวะ กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วนะเนี่ยว่าเขาเป็นน้องหรือเมียมึง”

     

     

    จงแดหันมาพูดกับผมพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ...

    ก่อนจะหยิบรีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆเพื่อหาอะไรดูในค่ำคืนวันธรรมดาแบบนี้

    แต่ประโยคที่เขาพูดทำให้ผมต้องถอนหายใจและกรอกตา...

    เอาอีกแล้ว...ไอ้พวกเพื่อนตัวดีกำลังยัดเยียดคยองซูให้ผมอีกแล้ว

     

     

    “กูขอได้ไหม...พวกมึงควรจะเลิกพูดอะไรอย่างนี้ซักที

    ไม่เบื่อบ้างเหรอวะ เอาแต่ทำตัวอย่างนี้กันอยู่ได้”


     

    ผมพูดแล้วทำหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก...เอาจริงๆก็ไม่แน่ใจหรอกว่าตอนนี้กำลังทำหน้าแบบไหน

    แต่ผมไม่ชอบเลยที่ได้ยินเพื่อนๆพยายามจะทำให้ผมกับคยองซูเป็นอะไรๆมากกว่านั้น

    ผมไม่แน่ใจนักว่าผมไม่ชอบใจหรือว่าผมอายกันแน่...

     



    “มึงว่ากูซื่อบื้อเรื่องมินซอกแล้วมึงล่ะไม่ซื่อบื้อใช่ไหม?

    มึงก็รู้ว่าน้องเขาไม่มีใครนอกจากมึง...อยู่กันมาหลายปีไม่เคยเห็นเหรอว่าน้องเขาเป็นยังไง?

    มึงยังจะต้องปฏิเสธอย่างนี้อีกกี่หนวะ มึงก็รู้ว่าน้องเขาชอบมึงแล้วทำไมถึงไม่ยอมรับ”

     

     

    จงแดหันมาพูดกับผมน้ำเสียงราบเรียบ

    ใบหน้าของเขาจริงจังจนทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย

    เห็นจงแดทำสีหน้าเป็นห่วงแล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกเครียดขึ้นมาตงิด

    อันความจริงเขาไม่น่าจริงจังขนาดนั้น...มันกำลังทำให้ผมคิดมากเกินไป

     

     

    “มึงรู้อะไรไหม? น้องเขาไม่ได้รักกูแบบนั้น...

    ที่คยองซูเป็นอย่างนี้เพราะว่าเขามีแค่กูอย่างที่มึงบอก

    กูก็เหมือนพ่อเขาแหละ เหมือนแม่ด้วย...คยองซูเลยหวงมากไปหน่อยก็เท่านั้น

    ซักวันที่คยองซูรู้จักความรักมากกว่านี้ คยองซูก็คงรู้เองว่าสำหรับกูแล้วมันไม่ใช่”

     


     

    ผมบอกออกไปก่อนจะเบือนหน้าหนี...

    จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเมื่อได้คิดถึงวันที่คยองซูต้องมีคนรักในซักวัน

    เพราะว่าเราอยู่ด้วยกันมาตลอด...ถ้าหากวันนึงน้องเขาหายไปผมอาจจะคิดถึงมาก

    แต่ยังไงวันนั้นมันก็ต้องมาถึงในซักวันอยู่ดี...และผมควรจะทำใจไว้ตั้งแต่ตอนนี้...

     

    ไม่แน่ใจนักว่าอารมณ์ตอนนี้เหมือนพ่อหวงลูกสาวหรือเปล่า

    แต่ผมไม่อยากให้เขามีแฟนเลยจริงๆ...อยากให้เรียนจบแล้วก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด

    คอยดูแลผมตอนแก่ เพราะเอาจริงๆแล้วตอนนี้ผมยังไม่มีเวลาไปหาแฟนเลย

    มัวแต่ทำงานหนักและเลี้ยงดูคยองซูอย่างนี้ไปด้วย...นี่ไม่ใช่พ่อแล้วจะเรียกอะไร?

     

     
     

    “ปฏิเสธไปเถอะไอ้จงอิน...ซักวันเดี๋ยวมึงก็จะรู้เอง

    ว่าคำว่า สายเกินไป น่ะ มันเป็นยังไง?”

     

     

    จงแดหันมาพูดกับผมแล้วถอนหายใจเบาๆอย่างกับว่ามันเอือมระอาเหลือเกินที่กำลังพูดคุยกับผมเรื่องนี้

    ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะตัดสินใจยุติเรื่องนี้ไว้เพียงแค่นี้

    ผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตบบ่าเพื่อนไปเบาๆทีหนึ่ง

    คิดในใจว่าควรจะไปทำงานต่อจะดีกว่ามานั่งพูดคุยต่อบทสนทนาอย่างนี้

     

     

    “มึงเองก็เหมือนกัน...รีบๆหาวิธีง้อมินซอกได้แล้ว

    ก่อนจะคบเป็นแฟนก็อ้ำๆอึ้งๆกันมาหลายปี นี่ขนาดคบกันแล้วยังอ้ำๆอึ้งๆอยู่อีก

    เดี๋ยวก็รู้สึกหรอก คำว่าสายเกินไปของมึงน่ะ...”

     

     

    ผมตบบ่าจงแดแล้วยกยิ้มแซวอย่างอารมณ์ดี มองเพื่อนกรอกตาไปมาแล้วก็ต้องหัวเราะ

     

     

    “เออ กูรู้แล้ว...ไปไหนก็ไปเลย กูจะรีบโทรง้อมินซอก”

     

     

    “กูเป็นเจ้าของบ้านนะไอ้แด้”

     

     

    “แต่กูรู้ว่ามึงกำลังจะขึ้นไปทำงาน...

    ถ้าจะไปก็รีบไป...อย่ามัวลีลาครับไอ้ดำ”

     

     

    จงแดพูดกับผมพลางยกเท้าขึ้นถีบผมเบาๆทีหนึ่ง

    แต่ผมไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรเขาเพราะเราก็เล่นกันมาอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียน

    และถ้าเรื่องแค่นี้จะทำให้เพื่อนผมอารมณ์ดีขึ้นได้ซักนิดหน่อย...มันก็คงจะดีเหมือนกันนะว่าไหม

     


     

     

    ********

     
     

     

    ฟู่วววววววว...

     
     

    ผมพรูลมหายใจยาวก่อนจะกดคีย์ข้อมูลตัวเลขหลายหลักนั้นลงไปในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค

    รู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมานิดหน่อยเพราะว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นมีมากเกินไป

    ผมไม่ใช่คนชอบคิดวิเคราะห์ซักเท่าไหร่...

    และตอนที่ไปสมัครบริษัทซอฟแวร์เกมส์ก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจออะไรอย่างนี้

    แต่แน่นอนว่าเมื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น มันก็ทำให้ความรับผิดชอบของผมต้องมากขึ้นตามไปด้วย


    ตอนนี้ผมเลิกขอเงินจากซูจองเรื่องค่าเลี้ยงดูของคยองซูแล้ว...หลายปีมากแล้วด้วย

    และผมเองก็ปฏิเสธที่จะใช้เงินของคุณโดที่ส่งมาให้ผมทุกเดือนๆ

    และเลือกที่จะเก็บสะสมไว้ในบัญชีธนาคารนั้นต่อไปโดยที่ไม่เคยแตะต้องมันซักแดงเดียว

    ผมแค่อยากดูแลคยองซูเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร และเก็บเงินก้อนนั้นเอาไว้เพื่อให้เป็นของคยองซูแต่เพียงผู้เดียว

     

     
     

    แกร๊ก....

     

    เสียงประตูถูกเปิดออกโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน

    เผยให้เห็นเด็กตัวเล็กกำลังเดินหอบเอาหมอน ผ้าห่ม และตุ๊กตาโปโรโระของเขาแล้วเดินเข้ามาในห้องของผม

    ผมชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นเขาปรายตามามองในขณะที่หยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง

     

     

    “หืม...นี่อะไร?” ผมถามเขาอย่างแปลกใจ คิ้วนั้นขมวดอย่างไม่เข้าใจโดยที่ไม่รู้ตัว

     

     

    “ก็คยองมานอนกับจงอินไง...พี่จงแดต้องนอนห้องคยองนะ

    หรือว่าถ้าเกิดจงอินจะให้คยองนอนกับพี่จงแดก็ได้นะ”

     
     

     

    คยองซูพูดพลางยักไหล่ คำพูดของเขาส่อแววประชดผมเข้าไปเต็มๆ...

    และมันก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

     

     

    “จะบ้าหรือไง? อยากจะไปนอนกับไอ้จงแดมันนักหรือไง...ทำไมต้องหาเรื่องด้วย?”

     

     

    “ก็พูดเผื่อจงอินไม่อยากให้คยองนอนด้วยไง

    เห็นเปิดเข้ามาทำหน้าไม่อยากต้อนรับ...จะให้คยองรู้สึกดีเหรอ?”

     
     

     

    น้องเขาพูดพลางขมวดคิ้ว...ไม่อยากต้อนรับ? ผมไปทำมันตอนไหนกัน?

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย...นับวันยิ่งโตคยองซูก็ยิ่งต่อปากต่อคำมากขึ้นทุกวัน

    เหตุเพราะความเข้าใจผิดกันเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราทะเลาะกันได้

     

     

    “ฉันไปทำหน้าตาแบบนั้นตอนไหนกัน?...มานี่สิ ฉันช่วย”

     

     

    ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปหาน้องเขา...หยิบเอาผ้าห่มที่น้องเขาถือมาไปวางไว้ที่เตียงด้วยตัวเอง

    แล้วคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆที่น้องเขาแขวนมากับแขนเล็กไปวางกองเอาไว้ที่เดียวกันด้วย

    แต่คยองซูก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ที่หน้าห้องนั้น...

     
     

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะลุกไปหาเขา

    ดึงน้องเขาให้เข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตู...

    และก็ต้องทำให้สิ่งที่ผมเลี่ยงไม่ได้...

     

     

    “ยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม?”

     

     

    ผมกระซิบถามเขาอย่างเหนื่อยอ่อน...ว่ากันตามจริงตอนนี้ผมยังไม่พร้อมจะง้อน้องเขาหรอกนะ

    แค่เอกสารการงานมากมายผมก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว...

    ผมยังปรับอารมณ์ให้ดีพอมาง้อน้องเขาในตอนนี้ไม่ได้หรอก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนทำผิดก็ตามเถอะ



    “งานยุ่งมากเหรอครับจงอิน?”

     

     

    คยองซูไม่ตอบแต่ถามผมกลับ

    ผมชะงักไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าตอบเขา

    และก็เผลอถอนหายใจออกมายาวเหยียดเมื่อพูดถึงงานที่กำลังเผชิญอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ

     

     

    “เฮ้อ...มันก็อย่างที่เห็น  มันไม่ยุ่งหรอกแต่มันเยอะ...มันวุ่นวาย

    เดี๋ยวพอนายเรียนจบมาทำงานก็เข้าใจเองแหละ”

     

     

    ผมตอบเขาพลางยักไหล่ ก่อนจะเผลอถอนหายใจออกมาอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ

    คยองซูขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าแล้วถอนหายใจตามผม

     

     

    “ความจริงคยองก็ยังโกรธนะ...แต่ในเมื่อตอนนี้จงอินเครียดอยู่  คยองจะเลื่อนออกไปก่อนก็ได้

    ไว้จงอินว่างแล้วค่อยมาง้อคยองแล้วกัน คยองไม่อยากเอาหลายเรื่องไปสุมหัวจงอิน”

     

     

    เด็กน้อยพูดก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่ปลายเตียงผม

    รื้อค้นอะไรในกระเป๋าออกมาซักพักหนึ่งแล้วผมจึงรู้ว่าเขาเตรียมของจะไปอาบน้ำ

    เขาลุกขึ้นจากเตียงและหยิบเอาผ้าขนหนูพาดบ่า ก่อนจะหันมาพูดกับผมเบาๆ

     

     

    “งั้นจงอินไปทำงานเถอะครับ...คยองไม่กวนหรอก

    เดี๋ยวคยองจะอาบน้ำแล้วก็จะรีบนอนนะ”

     
     

     

    พูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป...ทิ้งผมเอาไว้ให้ยืนงงอยู่ตรงหน้าประตูห้องเพียงลำพังคนเดียวแบบนั้น

    แต่ทันทีที่ได้นึกถึงคำพูดของเขาเรื่องให้เลื่อนการง้อออกไปแล้วก็ทำให้ผมต้องยกยิ้ม...

    เด็กบ้า...ถ้าขนาดเรื่องง้อยังขอเลื่อนกันได้ก็ทำให้มันหายไปเลยไม่ได้หรือไงกันนะ

     
     

    ผมยิ้มออกมาแล้วเดินกลับมาที่หน้าคอมพ์อีกหน...

    ก่อนที่จะเริ่มจมหายไปกับความเครียดแบบเดิมๆอีกครั้งหนึ่ง

     
     

     

    ************




     

    ความเครียดจากตัวเลขที่มีมากมายเต็มจอคอมพิวเตอร์นั้นทำให้ผมรู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะ

    ถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในขณะที่พิมพ์ตัวเลขลงไปในหน้าจอนั้น

    คยองซูเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ...เขาเข้าไปเกือบเป็นชั่วโมงแต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะแซวเขาเรื่องนั้น

     

    ผมถอนหายใจออกมาหนักๆอีกครั้งเมื่อพบว่าตัวเลขตรงหน้ากับที่อยู่ในเอกสารนั้นไม่ตรงกัน

    และผมคงต้องหาต้นตอของมันอีกหน...

     
     

    แต่มือเล็กๆกรุ่นกลิ่นสบู่ยี่ห้อโปรดของผมกลับถูกยื่นมาปิดที่ริมฝีปากของผมไว้

    ผมเงยหน้าไปมองคยองซูที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนลายตารางหมากรุกอย่างสงสัย

     

     

    “ไม่เอานะจงอิน...ถอนหายใจมากไปแล้ว

    เค้าบอกว่าถ้าถอนหายใจหนึ่งครั้ง ความสุขจะหนีหายจากเราไปหนึ่งทีนะ”

     

     

    คยองซูพูดพลางขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักที่เห็นผมเป็นแบบนี้

    เขาพูดเสร็จก็เดินไปเปิดประตูห้องแล้วเดินหายออกไปซักพักหนึ่ง

    ก่อนที่ไม่นานเท่าไหร่แก้วโกโก้ร้อนก็ส่งกลิ่นหอมเข้ามาในห้องนอนของผม

     

     

    “ดื่มซะหน่อยนะครับ...แล้วค่อยทำต่อ”

     

     

    คยองซูพูดก่อนจะวางแก้วนั้นลงตรงหน้าผมแล้วหยิบเอาแว่นออกไปจากดั้งจมูกของผมอย่างถือวิสาสะ...

    มือน้อยๆนั้นถูกส่งมานวดที่บริเวณขมับอย่างแผ่วเบา...และการกระทำของเขานั้นทำให้ผมต้องยกยิ้ม

     

     

    “นายดื่มเถอะ...จะได้นอนหลับสบาย

    ฉันนอนแล้วก็ได้...ตอนแรกก็ว่าจะทำต่ออยู่หรอก

    แต่คิดไปคิดมาถ้าเปิดไฟไว้แบบนี้ก็กลัวว่านายจะนอนไม่หลับ”  



    ผมพูดพลางยักไหล่ แต่มือน้อยๆของคยองซูก็ยังไม่หยุดนวดที่ขมับของผม

     

     

    “ไม่ต้องหรอกครับ...คยองเอาผ้าห่มปิดตาได้

    จงอินดื่มแล้วทำงานต่อก็ได้ อย่าให้คยองเป็นตัวถ่วงเลย” คยองซูพูดกับผมแบบนั้น...ผมขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

     

     

    “ใครบอกนายเป็นตัวถ่วง...ฉันแค่อยากพักผ่อนแล้ว ห้ามคิดแบบนั้นอีกนะ”

     
     

    ผมดุเขาเบาๆ ก่อนที่คยองซูจะชักมือออกไปหยิบแก้วโกโก้นั้นยื่นมาให้ผม

    แล้วยื่นข้อเสนอมาให้...

     

     

    “ถ้างั้นเราดื่มกันคนละครึ่ง...แล้วไปนอนกันนะจงอิน”

     

     

    “อืมเอาสิ...นายดื่มก่อนเลย”

     

     

    ผมพูดพลางพยักเพยิดให้เขาดื่มก่อน...

    คยองซูพยักหน้ารับก่อนจะเป่าลมในแก้วให้คลายร้อนและค่อยๆดื่มมันเข้าไปอย่างช้าๆเพียงแค่อึกหนึ่ง

    ก่อนจะส่งมาให้ผมดื่มอีกอึกหนึ่ง...สลับกันไปอย่างนี้เรื่อยๆพร้อมกับบทสนทนาทั่วไป

     

     

    “ช่วงนี้จงอินเครียดกับงานไปหรือเปล่า?

    คยองไม่ชอบให้จงอินเครียดเลย...อย่าหักโหมนะครับ”

     
     

    เด็กน้อยพูดในขณะที่ขมวดคิ้วมองมาทางผมอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

     

     

    “ฉันก็แค่อยากเลื่อนตำแหน่งเร็วๆ...จะได้มีเงินส่งนายเรียนให้จบ

    ไหนจะค่าเทอมที่แพงขึ้นทุกวันๆอีก จะให้เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยธรรมดามันก็ไม่ไหวหรอกนะ”

     

     

    ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่ออธิบายกับเขา...ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระอะไรเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำโดยหน้าที่อยู่แล้ว

    ถึงไม่ใช่เพราะคยองซูผมเองก็อยากก้าวหน้า...ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคยองซูซะทีเดียวขนาดนั้นหรอก

     

     

    “เราน่าจะเอาเงินที่พ่อส่งมาและใช้มันบ้าง

    คยองไม่อยากให้จงอินเหนื่อยเพราะคยอง...

    เห็นจงอินเครียดแล้วคยองก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับรู้ไหม”

     

     

    เด็กน้อยไม่พูดเปล่า...เขายังยกมือขึ้นมานวดที่ขมับของผมเบาๆอีกครั้งอย่างน่ารัก

    ผมยกยิ้มออกมาก่อนจะจับมือเล็กนั้นให้หยุดทำอย่างนั้น

    ก่อนจะยื่นแก้วโกโกที่เหลืออยู่ค่อนถ้วยให้เขาดื่มต่อให้หมด

     
     

    “ไม่...ยังไงฉันก็ไม่แตะเงินก้อนนั้นเด็ดขาด

    มันไม่เกี่ยวกับนายหรอกน่า ฉันเหนื่อยเพราะอยากจะทำให้ฉันและนายสบายด้วยกันทั้งคู่

    และฉันเองก็ไม่อยากจะย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า ฉันอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าฉันทำได้

    อย่าคิดว่าตัวเองเป็นภาระหรือตัวถ่วงฉันนะเข้าใจไหม?

    ถ้าฉันคิดแบบนั้นฉันคงดูแลนายไม่ได้นานขนาดนี้หรอก

    รีบดื่มให้หมดซะ...แล้วเราจะได้นอนกันซักที”

     
     

    ผมบอกเขาอีกหนและคยองซูก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

    เด็กน้อยยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด และสุดท้ายเราทั้งสองคนก็ปีนขึ้นเตียงไปจนได้

    ผมกดปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียงแล้วปล่อยให้ทั้งห้องมีแต่ความมืด

    ถึงแม้จะไม่ได้นอนกับคยองซูมานานพอสมควร

    แต่เราก็นอนด้วยกันบ่อยมากพอที่จะทำให้ผมเคยชินกับมันและไม่รำคาญถ้าต้องนอนกับเขา

     
     

    “ฝันดีนะคยองซู” ผมกระซิบบอกเขาในขณะที่ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเราทั้งคู่

     
     

    “ฝันดีครับจงอิน” คยองซูตอบกลับมาเสียงอู้อี้เพราะเขาตะแคงไปอีกฝั่ง

     
     

    มันเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เรานอนด้วยกัน...

    แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจคือตอนนี้เขาไม่ได้อ้อนผมให้กอดเขาเหมือนทุกครั้ง...

    เงียบกันไปนานแต่ผมก็ยังรอให้เขาเอ่ยปาก...แต่เมื่อมันนานเกินไปผมจึงต้องกระซิบออกมาเพื่อเรียกเขา

     
     

     

    “คยองซู...” ผมกระซิบ

     

     
     

    “หืม?...” เขากระซิบตอบ

     
     

     

    “นอนแล้วเหรอ?” ผมถามเขาอีกครั้ง

     
     

     

    “ยังหรอกครับ...แต่กำลังจะนอน” คยองซูตอบกลับมาเสียงอู้อี้

     
     

     

    “อยากให้ฉันนอนกอดไหม?” ผมกระซิบถามเขาถึงคำถามที่วันนี้เขาไม่ได้เอ่ยปาก...

     
     

     

    “...............................”




    คยองซูเงียบไปอึดใจหนึ่ง แต่ผมกลับเขยิบเข้าไปหาน้องเขาด้วยความเคยชิน

     

     

    “ถ้าอยากจะกอดก็กอดสิ จะถามคยองทำไม” เด็กน้อยกระซิบตอบ...

     

     

    ยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อคยองซูพลิกตัวกลับมาหาแล้วซุกหน้าเข้าที่อกผมเหมือนเดิม

    แม้ว่าส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นแตกต่างจากครั้งแรกที่เจอ

    แต่สัมผัสและกลิ่นหอมอ่อนๆซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของคยองซูกลับทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย

    เหมือนกับว่าเขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านของเราใหม่ๆ


    ถึงแม้ว่าตอนนี้อะไรๆจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตามแต่...

    แต่ถ้าสิ่งเดียวที่ผมยังอยากให้เหมือนเดิมก็คือเขาเท่านั้น...

     

     

    ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในห้วงนิทรา

    ด้วยความเหนื่อยล้าและกอปรกับเป็นคนหลับง่ายอยู่แล้วทำให้จงอินผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

    จะเหลือก็เพียงแค่เด็กน้อยในอ้อมกอดคนนี้เท่านั้นที่หัวใจยังคงเต้นตึกตักเพราะการกระทำของคนเป็นพี่ไม่ได้หายไปไหน...

     

     
     

    ขยับตัวขึ้นไปเท้าคางมองพี่เขาเหมือนทุกที...ก่อนที่ตัวเองจะถอนหายใจออกมาทีหนึ่งอย่างไม่อาจจะเลี่ยงได้

    สิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจคยองซูมาตลอดก็อาจจะไม่พ้นเรื่องของเขาเลย

    ผู้ชายตรงหน้าที่เหมือนกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคยองซู...

     
     

    “มันเจ็บนะ...เจ็บจังเลยจงอิน...

    ถ้าซักวันคยองไปมีคนอื่นจริงๆจงอินจะเป็นยังไงเหรอ?

    ทำไมถึงชอบผลักไสไล่ส่งคยองนักล่ะคนบ้า

    มันจะผิดมากเหรอถ้าคยองจะชอบจงอินอย่างที่พวกพี่ๆเขาพูดกัน...

    จงอินจะรับได้ไหมถ้ามันเกิดขึ้นกับคยองแล้วแบบนี้...คยองควรทำยังไงดีที่จะไม่ให้จงอินเกลียด...

    แต่ในเมื่อคยองชอบจงอินไปแล้ว...สุดท้ายจงอินก็จะเกลียดคยองอยู่ดีงั้นเหรอ?”

     

    คยองซูกระซิบออกมาเสียงแผ่ว...

    ถึงแม้จะรู้ดีว่าจงอินนั้นหลับไปแล้วแต่คำที่พูดออกมานั้นก็ยังแผ่วเบา

    เขาเองไม่อยากจะยอมรับว่าคิดตรงกันข้ามกับจงอินมานานมากเหลือเกินแล้ว

     

     

    แต่ทุกคำที่จงอินพูดกับจงแดมันทำให้คยองซูรับรู้ว่าควรจะหักห้ามใจและหยุดมันซะ

    และถึงแม้จะได้ยินทุกคำพูดที่พี่ทั้งสองคนคุยกันแต่คยองซูก็ไม่อาจยอมรับว่าควรจะทำยังไงในสถานการณ์แบบนี้

    เด็กตัวเล็กเม้มริมฝีปากเพื่อเก็บกักเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก

    ก่อนจะค่อยๆก้มลงไปประทับริมฝีปากที่ริมฝีปากหนาของพี่เขาอย่างแผ่วเบา

    ไม่ได้เกรงกลัวว่าจะทำพี่เขาตื่น...เพราะว่าเขาเองก็แอบทำอย่างนี้อยู่แทบทุกคืน


    ใช่แล้ว...แทบทุกคืน


    ทุกคืนหลังจากที่จงอินหลับ คยองซูก็มักจะย่องเข้ามานั่งมองพี่เขาแล้วก็ทำแบบนี้เสมอ

    มันเป็นอย่างนี้มาหลายเดือนแล้ว...และคยองซูก็รับรู้ได้ว่ามันอาจจะต้องหยุดทำมันในซักวันหนึ่ง...

     
     

    “บอกแล้วไง...พี่บ้า...

    ถึงคยองจะเป็นเด็ก คยองก็มีหัวใจนะ...

     

    .

    .

    .

     

    ถ้าคยองไม่รักจงอินแบบนั้น...จะให้ไปรักกับจระเข้ที่ไหนล่ะคนงี่เง่า” 













    ✚ TALK



    หายไปสองคืน เลยจัดมายาวๆแบบนอนสต๊อปให้รีดเดอร์หายคิดถึง...
    น้องคยองเริ่มโตขึ้นทีละนิดแล้วนะคะเห็นไหม? 
    เรื่องมันจะได้ดำเนินต่อไปซักที ไม่อยากให้มันย่ำอยู่ที่แค่ว่าน้องคยองเป็นเด็กๆ

    คือเรื่องนี้มันเป็นฟิครัก ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่ามันจะมีดราม่ามาเกี่ยวข้อง
    ไม่มีรักไหนที่จะราบรื่นได้ตลอดหรอกค่ะ...มันยากมากนะ
    แต่ไรเตอร์สัญญาว่ามันจะไม่เจ็บปวดนะ ไรเตอร์รักน้องคยองและพี่จงอินมาก
    เพราะงั้นแล้ว...มันจะเข้ามาค่ะ และมันก็จะผ่านไป

    อย่าสาปแช่งและเลิกอ่านมันเพียงเพราะว่าอุปสรรคเข้ามาเพียงเล็กน้อย
    เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ต่อไปนะ...ทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ได้เพราะรีดเดอร์ทุกคนจริงๆนะคะนะ

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะ ดีใจมากเวลาที่ป่วยหรือบ่นอะไรก็ยังมีรีดเดอร์น่ารักๆที่คอยแคร์กันเสมอ
    นี่พูดจริงเลยไม่ได้พาซึ้ง แต่เราอยู่ได้เพราะกำลังจากพวกคุณจริงๆ
    เพราะฉะนั้น...อยู่เป็นแรงใจของเราต่อไปนะคะ



    รักทุกคนจริงๆ ^^





    - ไรเตอร์นมน. -




     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×