ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [C0MPLETE] ✚ :: BE MY BABY :: ✚ [KAI x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #8 : ✚ BE MY BABY :: EIGHT

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 55


    Author : MR.$N0WMAN*

    Pairing : Kim Jongin & Do Kyungsoo

    Story : Jackboiz

    Rate : PG - 15

     

     

    Be my Baby*





     




    ‘0.08

     



     

    หงุดหงิด...หงุดหงิด...หงุดหงิด....

     

     
     

    ผมล่ะหงุดหงิดจริงๆที่ต้องมาขับรถรับส่งคยองซูกับจื่อเทาไปที่โรงหนัง

    เพราะว่าแบคฮยอนนัดลูกศิษย์ทั้งสองมาดูหนังกันเป็นรางวัลที่ได้คะแนนท๊อปสูงสุดของห้อง

    ยิ่งได้เห็นจื่อเทากับคยองซูหัวเราะกันอยู่ที่เบาะหลังโดยที่ผมไม่ได้มีส่วนร่วมนั่นล่ะที่ทำให้หงุดหงิด

    อย่างน้อยคยองซูก็น่าจะมานั่งที่เบาะข้างนะ ไม่ใช่ทำตัวอย่างกับว่าผมเป็นคนขับรถแบบนี้

    น้อยใจชะมัด...ดูเอาเหอะ เขาไม่ยอมชวนผมคุยด้วยเลย

     
     

    “ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย...ครูลู่หานน่ะไม่มีเหตุผลเลย

    ฉันก็แค่คุยกับจงฮยอนนิดหน่อยเท่านั้นเองนี่ อย่างที่นายก็รู้

    แต่อาจารย์ดันให้ฉันไปช่วยคัดเอกสารในห้องพักครูถึงเย็นเลยอ่า

    จงอินรอตั้งสองชั่วโมงเลยนะกว่าฉันจะได้ออกมา”

     

     

    คยองซูบ่นกระปอดกระแปดกับจื่อเทาที่กำลังหยิบมือถือในมือขึ้นพิมพ์ส่งข้อความให้กับเซฮุน

    จื่อเทายักไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจแต่ไม่ได้ออกความเห็น

    แต่หลังจากนั้นก็ถามออกมาเบาๆ

     

    “แล้วนายยังไงกับจงฮยอนล่ะ

    นายทำยังไงหลังจากที่เขาบอกชะ...อุ้บ!!

     

    คยองซูรีบยกมือตะครุบปากจื่อเทาไว้และนั่นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองกระจกหลังอย่างสงสัย

    ที่ผมไม่พูดไม่ได้หมายความว่าผมไม่แอบฟังนะครับ

    แล้วไอ้เด็กที่ชื่อจงฮยอนนั่นบอกว่าอะไรล่ะ? แล้วทำไมคยองซูต้องทำยังไงด้วย?

    ว่าแต่...ทำไมคยองซูไม่เอามือออกจากปากไอ้เด็กจื่อเทานั่นซักที!!!

     

     

    “ทำอะไรน่ะ?”

     

     

    ผมถามออกไปอย่างแปลกใจที่เห็นคยองซูทำแบบนั้น

    คยองซูรีบเอามือออกจากปากของจื่อเทาทันทีแต่สายตาก็ยังคงไม่ละออกจากเขา

    นี่มันน่าสงสัยจริงๆ....

     
     

    “ไม่มีอะไรครับจงอิน...นั่นไงไฟเขียวแล้ว

    รีบออกรถเหอะ เดี๋ยวโดนคันหลังว่าเอาน้า”

     
     

    คยองซูส่งยิ้มมาให้ผมผ่านกระจกและจื่อเทาเองก็ยิ้มมาเช่นกัน

    นั่นทำให้ผมยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าไฟสัญญาณจราจรขึ้นสีเขียวจริงๆอย่างที่เด็กน้อยว่า

    อยากจะถามต่อแต่เพราะว่าคยองซูกับจื่อเทาเริ่มพูดคุยกันต่อถึงเรื่องหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษที่ครูให้อ่าน

    มันเลยทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ถามต่อว่าไอ้เด็กที่ชื่อจงฮยอนนั่นพูดกับเขาว่าอะไรกันแน่...

    ผมรีบเหยียบคันเร่งแล้วออกตัวเพราะว่าเสียงแตรดังขึ้นจากข้างหลังทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ถามอะไรอีก

     
     

     
     

    ***********

     

     

    ผมได้แต่นั่งหน้าบูดมาตลอดทางในขณะที่ขับรถจนกระทั่งถึงโรงหนังนั่นแหละถึงจะได้พูดบ้าง

    เพราะว่าเมื่อมาถึงโรงหนังแบคฮยอนก็มารออยู่ก่อนแล้ว

    วันนี้แบคฮยอนมาคนเดียวและไม่ได้มีชานยอลติดสอยห้อยตามมาด้วยอย่างที่ผมคิดไว้

    ผมเอ่ยทักทายแล้วถามถึงชานยอลทันทีที่ผมเห็นเขา

     
     

    “ไงมึง...ไอ้ชานไปไหนล่ะวันนี้ ไม่เอามันมาด้วยเหรอวะ?”

     
     

    ผมถามเขาเสียงใส หากแต่นั่นทำให้แบคฮยอนต้องทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมทันทีที่ได้ยิน

     
     

    “ไม่รู้...ไม่สนแม่งละ เอาแต่ทำงาน อยากเป็นแฟนกับงานก็เป็นไปเหอะมึง

    กูล่ะเซ็งจริงๆนี่ขนาดบอกล่วงหน้ามันเป็นอาทิตย์แล้วยังเบี้ยวกูได้”

     
     

    แบคฮยอนบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเขาพูดถึงชานยอล

    คยองซูผละจากจื่อเทามายืนอยู่ข้างผมแล้วจับมือผมไว้เหมือนที่ทำเป็นประจำมาตั้งแต่เด็กๆ

    ก่อนที่เขาจะบอกกับแบคฮยอนเสียงอ่อยว่า

     
     

    “ทะเลาะกับพี่ชานยอลอีกแล้วเหรอครับ?” คยองซูถาม

     
     

    “อืม...ก็นิดหน่อยน่ะ ไม่เป็นไรหรอก

    แต่ก็ต้องดูก่อนว่ามันจะมาง้อพี่หรือเปล่า

    ถ้าไม่มานี่มีเลิกล่ะ ชักจะไม่ไหวแล้ว”

     
     

    แบคฮยอนกอดอกแล้วถอนหายใจ

    ใบหน้าบึ้งตึงจนคยองซูต้องบีบมือผมเบาๆทีหนึ่งเพื่อให้ผมพูดอะไรบ้าง

     
     

    “เฮ้ย...เดี๋ยวมันก็มาง้อมึงเองแหละไอ้แบค

    อย่าเครียดดิวะ เลิกไรของมึงล่ะ เดี๋ยวกูไปฟ้องไอ้ยอลนะ” ผมแหย่เขา



     “ไปฟ้องเลย มันจะได้รู้สึกรู้สาซะบ้าง 

    นี่กูพูดจริงนะ ถ้าเกิดมันไม่ง้อกูล่ะก็กูเลิกจริงๆด้วย” แบคฮยอนสะบัดเสียง

     
     

     

    “อย่าเครียดไปเลยพี่ ถ้าพี่ชานยอลไม่แคร์เดี๋ยวผมดูแลพี่เอง ฮ่าๆ

    ผมว่าเราไปดูรอบหนังกันดีไหม? นี่ใกล้เวลาหนังรอบบ่ายแล้วนะ”

     
     

    จื่อเทาเดินเข้ามาจับมือแบคฮยอนแล้วเดินจูงให้คนเป็นพี่เดินตามเขาไป

    แบคฮยอนยกยิ้มมาก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวจื่อเทาอย่างเอ็นดู แล้วจึงชักชวนให้พวกผมไปดูรอบหนังกับเขา

     

     

    “อืม...งั้นเราไปดูรอบหนังกันเถอะ วันนี้เด็กๆอยากดูเรื่องอะไรพี่จะเลี้ยงเอง

    ยกเว้นมึงนะจงอิน มึงไม่ได้ไปสอบกับน้องเขา เพราะงั้นอย่างหวังของฟรี”

     

     

    แบคฮยอนพูดแหย่ผมก่อนที่เด็กทั้งสองคนจะหัวเราะร่า

    ผมเบะปากใส่เพื่อนตัวดีไปทีหนึ่งแล้วจึงตอบกลับ

     
     

    “กูไม่ง้อหรอก...กูทำงานมีเงินเดือนแล้วโว้ย

    แค่ตั๋วหนังใบเดียว ขนหน้าแข้งคิมจงอินไม่ร่วงหรอก!  มึงแม่งกากกว่ากูหลายเท่านัก!

     
     

    ผมส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันไปให้แบคฮยอนที่พยักหน้าให้กับผมอย่างขันๆ

    แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะว่าคยองซูจัดการแทนเขาไปแล้ว

     
     

    “ตี! คยองจะตี!

    จงอินพูดไม่เพราะ!

     


    “เฮ้...นายจะทำให้ฉันอายต่อหน้าเพื่อนทำไมล่ะเนี่ย

    ฉันขอหลุดบ้างไม่ได้หรือไง?”ผมบอกกับเด็กตัวเล็กที่ยู่ปากอย่างขัดใจแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม

     

     

    “ไม่ได้ครับ...ถ้าจงอินพูดอีกคยองก็จะตีอีก”

     

     

    “ฮ่าๆ...เด็กมันยังรู้กาลเทศะนะไอ้จงอิน

    เอาเป็นว่าเรารีบไปดูรอบหนังกันเหอะ

    ขืนอยู่ตรงนี้โรงอาจจะเต็มได้นะ วันนี้คนเยอะซะด้วย”

     

     

    แบคฮยอนมองไปรอบๆก่อนจะเริ่มชักชวนอีกครั้ง

    โดยที่พวกผมเองก็ไม่ได้อิดออดอะไรอีก และหลังจากนั้นเราก็เดินเขาไปดูรอบหนังด้วยกันทันที

     

     

     

    ***************

     

     

     

    “งือออออออ จงอินนนนน

    คยองอยากได้ตุ๊กตาพี่คร๊องจริงๆน้า”

     


    เสียงกระเง้ากระงอดงอแงอย่างกับเด็กห้าหกขวบของคยองซูเอ่ยขึ้นในเมื่อเราเดินผ่านหน้าช็อปตุ๊กตาตัวโปรดของเขา

    เรามีเวลาออกมาเดินเที่ยวกันนิดหน่อยเพราะว่ารอบหนังที่เราซื้อมันเหลือเวลากว่าอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะเริ่มฉาย

    จนสุดท้ายผมและคยองซูจึงต้องมายืนเถียงกันหน้าร้านตุ๊กตาอย่างที่เห็นนี้...

    หากแต่คราวนี้ที่คยองซูต้องการกลับไม่ใช่ตุ๊กตาเพนกวิน แต่กลับเป็นตุ๊กตาจระเข้สีเขียวตัวยักษ์แทน


     

    ตัวมันใหญ่มโหฬารจนผมไม่แน่ใจว่ามันจะผ่านเข้าประตูบ้านเราได้หรือเปล่า...

    และที่สำคัญคือราคามันตั้งเป็นพันกว่าๆเลยนะให้ตายเหอะ!!

     

     

    “ไม่เอาอ่ะ...นี่นายโตแล้วนะยังจะมากอดตุ๊กตาอะไรอีก

    เลิกได้แล้วน่าคยองซู อายุสิบสี่แล้วนะ”

     

     

    “งื้อออออออ แต่คยองอยากได้ไว้กอดอ่ะ

    ถ้าได้พี่คร๊องมานอนกอด คยองต้องหลับฝันดีแน่ๆเลยนะจงอิน

    นะ...นะ...น้าาาาา ซื้อให้คยองเถอะน้า”

     

     

    เด็กตัวเล็กไม่ได้อ้อนธรรมดา หากแต่เขายังปรี่เข้ามาคว้าแขนผมไปเขย่าอีกต่างหาก

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าน้องเขาเอาแต่ใจ และถ้าเป็นเมื่อก่อนเจออ้อนอย่างนี้เข้าไปผมคงต้องซื้อให้เขาแน่

    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่นะ...น้องมันสูงเกือบจะเท่าอกผมแล้ว

    แถมราคาไอ้ตุ๊กตาบ้านี่ก็แพงสุดๆ...มันโคตรจะไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย

     

     

     “ไม่ได้...ฉันไม่ยอมซื้อเด็ดขาด 

    อย่ามาทำเป็นอ้อนซะให้ยากเลย” ผมบอกกับเขาเสียงเรียบ

     

     

    “จงอินใจร้าย! คยองงอนแล่ว

    งอนนนนนนน ได้ยินมั้ยว่างอนนนนน

    คยองไม่คุยกับจงอินแล้ว คยองจะกลับไปหาจื่อเทา!!!

     

     

    เด็กน้อยปล่อยมือที่ผมกุมไว้ก่อนจะกระทืบเท้ากับพื้นสองสามที เขาแหวใส่ผมเสียงดังแล้วย่ำเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

    แบคฮยอนกับจื่อเทาขอเดินแยกไปเดินดูที่โซนกีฬาด้วยกันและผมกับคยองซูก็ขอเดินแยกมาดูอะไรเรื่อยเปื่อย

    แต่ตอนนี้ผมกลับโดนไอ้เด็กเอาแต่ใจทิ้งไว้ตรงนี้คนเดียวซะแล้ว และเด็กดื้อก็เดินฉิวไปไกลพอสมควร

    ผมเองก็อยากจะวิ่งไปง้อหรอกนะ แต่มันไม่ใช่ความผิดผมซักหน่อยนี่

    ก็ไอ้ตุ๊กตาบ้านั่นมันราคาแพงไป...และ

    ก็แล้วทำไมต้องไปหาจื่อเทาด้วยล่ะ!!!

     
     

    ตั้งแต่เช้ามาอะไรๆก็จื่อเทาๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    นี่ผมเริ่มจะหงุดหงิดอีกแล้วนะ....

     
     

    อ่า...ก็ได้แต่คิดแต่สุดท้ายก็เดินก้าวฉับๆไปหาน้องเขาอยู่ดี...

     

     

    “เฮ้! ทำไมต้องโกรธต้องงอนฉันด้วยล่ะ ก็มันไม่มีเหตุผลเลยนี่

    ไอ้ตุ๊กตาตัวนั้นก็ราคาไม่ใช่ถูกๆ แถมนายก็โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วด้วย

    ทำไมต้องอยากได้มันด้วย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้เหมาะสมกันเลย”

     
     

    ผมถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ พยายามคว้าข้อมือน้องเขาให้หยุดพูดกับผมก่อน  แต่น้องเขาก็สะบัดมันออกอย่างเอาแต่ใจ

     
     

    “ม่ายยยยย! คยองจะงอน!

    ถึงคยองจะโตแล้วทำไมจะชอบพี่คร๊องไม่ได้อ่ะ  ก็คยองชอบของคยองอย่างนี้นี่...

    คยองจะรักๆๆๆๆๆๆๆๆพี่คร๊อง!! แต่คยองไม่รักจงอินแล่ว!

    งอนนนนนน ได้ยินม๊ายยยยยยยยยยยย ปล่อยคยองเลยนะ คยองจะไปหาจื่อเทา!!

     

     

    เด็กนั่นตะโกนออกมาใส่หน้าผมก่อนจะวิ่งออกไปที่โซนเครื่องกีฬา

    ผมกรอกตาไปมาแล้วขยี้หัวตัวเองอยู่สองสามทีอย่างขัดใจ

    อะไรวะ...นี่ต้องมาทะเลาะกับเด็กเพราะเรื่องไม่ซื้อตุ๊กตาให้แค่นี้น่ะเหรอ??

     

     

    “โอ้ย...ปวดหัวชิบ”

     

     

    ผมบ่นออกมาอย่างขัดใจก่อนที่จะวิ่งตามไอ้เด็กเอาแต่ใจไปจนได้

    กะว่าถ้ากลับบ้านเมื่อไหร่จะตีให้ตูดลายเลย ไอ้เด็กดื้อ!



     

    50%

     







    ผมกัดริมฝีปากแล้วขบมันแน่น เสตามองไปทางอื่นเพราะรู้สึกโกรธ

    คยองซูไม่คุยกับผมเลยตลอดทางที่เราเดินช๊อปปิ้งกัน...

    แถมเขายังเอาแต่ลากจื่อเทาไปยังทิศตรงกันข้ามเสมอถ้าผมบอกว่าต้องการหรือเสนอว่าเราควรจะเดินไปที่ไหน

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆเพราะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ผมก็ขอยืนยันว่ายังไงเรื่องนี้ผมก็ไม่ผิด

    แล้วทำไมผมต้องง้อด้วยล่ะ ในเมื่อเด็กเอาแต่ใจคือเขาไม่ใช่หรือไง

     
     

    “เอาเข้าไป...อะไรของพวกมึงเนี่ย มึงรีบๆง้อน้องเขาสิวะ ดูดินั่น งอนใหญ่แล้ว”

     
     

    แบคฮยอนเดินเข้ามาตบบ่าผมในขณะที่เรายืนอยู่ที่หน้าโรงหนังเพื่อซื้อป๊อปคอร์นและน้ำ

    คยองซูและจื่อเทาพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ข้างหลัง

    ผมเห็นพวกเขาชี้ชวนกันดูเด็กกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นตู้เกมส์กันอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงหนังแล้วหัวเราะคิกคัก


    ผมเบือนหน้ากลับมาสนใจที่ตรงหน้า เพราะว่าพนักงานสาวส่งเสียงเรียกให้ผมและแบคฮยอนให้เดินเข้าไปสั่งป๊อปคอร์นเป็นคิวถัดไป

    ผมและแบคฮยอนทิ้งเด็กๆสองคนให้ยืนคุยกันแล้วจึงเดินเข้าไปตามคิว

     
     

    “ผมขอป๊อปคอร์นรสชีสสองกล่องครับ แล้วก็เป๊ปซี่สามแก้ว” แบคฮยอนบอกกับพนักงานสาว

     
     

    “เดี๋ยวครับ...ขอเปลี่ยนเป็นรสหวานหนึ่งกล่องกับชีสกล่องนึงครับ” ผมเดินเข้าไปบอกพนักงานสาว

     
     

    “คยองซูไม่ชอบรสชีสน่ะ” ก่อนจะหันไปบอกเหตุผลกับแบคฮยอน

     
     

    “อ้อเหรอ... แหม  รู้ดีจริงนะ”

     
     

    แบคฮยอนยกยิ้มแซวผมด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม

    เขายกศอกขึ้นมาสะกิดที่แขนผมเบาๆ เป็นอันรู้กันว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว

     

     

    “เอาอีกแล้วนะมึงนี่...พอเลย  หุบปากเลยไอ้เพื่อนเลว

    ว่าแต่เดี๋ยวนะ...ทำไมมึงสั่งน้ำแค่สามแก้ว”

     

     

    ผมถามเขาเมื่อเพิ่งสังเกตได้ถึงรายการที่แบคฮยอนเพิ่งสั่งไป

    เพราะว่าเรามากันทั้งหมดสี่คน แต่แบคฮยอนกลับสั่งออกไปแค่เพียงสามแก้วเท่านั้น

     
     

     

    “คยองซูบอกว่าไม่เอา น้องเขาบอกว่าจะกินกับมึง” แบคฮยอนตอบพลางยักไหล่

     

     

     

    “หืม? คยองซูบอกมึงเมื่อไหร่?” ผมถามเขาอย่างสนอกสนใจ...

     
     

     

    “เมื่อกี้...น้องเขาเพิ่งบอกเมื่อกี้ ก่อนที่จะมาซื้อเนี่ย”

     
     

     

    แบคฮยอนตอบในขณะที่ก้มลงเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเงินออกมาจ่ายค่าป๊อปคอร์นและน้ำที่พนักงานสาวยื่นมาให้

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆก่อนจะหันหลังกลับไปมองเด็กตัวเล็กแล้วก็พบว่าเขามองมาทางผมอยู่เช่นกัน

    แต่ทันทีที่เราสบตากัน คยองซูกลับหันเหสายตาออกไปทางอื่นอย่างกับว่าไม่ได้มองผมอยู่

    มันทำเอาผมต้องหัวเราะออกมาเบาๆเพราะรู้สึกขันกับท่าทางของเด็กน้อยจริงๆ

    อะไรกัน...นี่แกล้งงอนกันนี่...

     
     

    ผมคิดในใจก่อนจะยกยิ้มกริ่ม...แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อเสียงเรียกจากแบคฮยอนก็ทำให้ผมต้องหันไปหาเขาอีกครั้ง

     

     

    “ไอ้จงอิน...มาช่วยกูถือสิ กูไม่ได้มีสิบมือนะโว้ยครับ

    เอ้านี่ มึงเอาน้ำไปถือเลยสามแก้ว”

     

     

    แบคฮยอนยื่นแก้วน้ำอัดลมทรงสูงมาให้ผมรับแล้วถือเอาไว้โดยที่ผมก็ไม่ได้อิดออด

    ก่อนที่แบคฮยอนจะหันไปรับเอากล่องป๊อปคอร์นที่พนักงานแล้วเริ่มออกเดินไปรับเด็กทั้งสองคนให้ไปด้วยกัน

     

     
     

    เราพากันมาหยุดที่โต๊ะตัวเล็กๆหน้าโรงหนังเพื่อรอเวลาฉาย

    ที่มาหยุดตรงนี้เพราะว่าคยองซูบอกว่าอยากเข้าห้องน้ำก่อนจะดูหนังนั่นแหละ

     

     

    “พี่แบคฮยอน...คยองปวดฉี่ครับ” คยองซูพูดในขณะที่ก็กระตุกชายเสื้อโค๊ทยีนส์ของแบคฮยอนเสียยกใหญ่

     

     

    “ฉันไปส่งไหม?” ผมถาม

     

     

    “ไม่เอา...จื่อเทาไปส่งฉันหน่อยได้ไหม?”

     

     

    ผมเอ่ยถามออกไปเพื่อชักชวนเขา แต่คยองซูกลับสะบัดหน้าหนีแล้วหันไปหาจื่อเทาแทน

    ดูเถอะ...หักหน้าผมซะไม่เหลือชิ้นดีเลยจริงๆ

     

     

    “อืม....เอ้อ...ฉันไม่ปวดอ่ะ”

     

     

    จื่อเทาพูดพลางยักไหล่ อาจเพราะว่าเขาอาจจะเห็นหน้าตาบูดบึ้งของผมก็ได้

    ผมเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าทำหน้าตาแบบไหนอยู่

    แต่ทันทีที่จื่อเทาหันมามองผม...เขาก็บอกปฏิเสธคยองซูไปเสียอย่างนั้น

     
     

     

    “แต่ฉันปวด...ไปส่งหน่อยดิ”

     

     
     

    เขารบเร้าจื่อเทาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่ยอมไปกับตน

    แต่จื่อเทากลับส่ายหน้าอีกครั้งแล้วหยิบแก้วน้ำมาดูดหน้าตาเฉย

    แบคฮยอนจึงตัดปัญหาด้วยการออกตัวไปส่งน้องเขาซะเอง

     

     
     

    “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้คยองซู...

    พวกนายรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวพี่มา”

     

     
     

    แบคฮยอนพยักเพยิดมาทางผมกับจื่อเทาที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ก่อนจะพาคยองซูเดินออกไป

    ตอนแรกผมเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะต้องมาอยู่กับไอ้เด็กจื่อเทานี่หรอก...

    แต่เมื่อสุดท้ายได้รับรู้ว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันในตอนนี้

    มันทำให้บรรยากาศ...โคตรจะอึดอัดสุดๆ เพราะว่าผมกับจื่อเทาไม่เคยอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ซักที

     

     

    ผมเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ในขณะที่จื่อเทาก็ยังเหลือบมองมาทางผมแล้วแสร้งทำเป็นดูดน้ำไปเรื่อยๆ

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเสตามองไปที่ไอ้เด็กหน้าคมหล่อเข้มคนนั้นก่อนจะพูดกับเขา

     

     

    “นี่นายน่ะ...”

     

     

    “ว่าไงครับพี่จงอิน”

     

     

    “ฉันไม่รู้ว่ามันยังไงหรอกนะ

    แต่ฉันขอเตือนนายไว้อย่าง...อย่าริจะมีความรักตอนนี้” ผมกระซิบบอกกับเขาเบาๆ

     
     

     

    “เฮ้ย!! นี่พี่รู้แล้วเหรอ? ค...คยองซูบอกพี่เหรอ?”

     
     

     

    จื่อเทาเบิกตากว้างอย่างตกใจก่อนจะอ้าปากค้าง

    เขารีบวางแก้วน้ำลงกับโต๊ะก่อนจะรีบปรี่เข้ามาจับแขนของผมแล้วแก้ตัว

     


     

    “พ...พี่จงอิน ผมก็รู้ว่ามันไม่ดีนะ แต่ผมขอโทษ

    คือ...คือผมพยายามห้ามใจตัวเองแล้ว แต่มันก็ห้ามไม่ได้นี่

    ผมขอร้องคยองซูไม่ให้บอกใคร ก็เพราะรู้ว่าพี่ต้องเป็นแบบนี้”

     

     

    จื่อเทาเอ่ยแก้ตัวตะกุกตะกักและดวงตาของเขาก็ดูร้อนรนจริงๆ

    ผมรู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาเลยเมื่อได้ยินที่จื่อเทาบอกออกมาอย่างนั้น

     

     

    นี่...เป็นแฟนกับคยองซูแล้วจริงๆใช่ไหม?

    นี่...คยองซูปิดบังผมมาตลอดเลยงั้นเหรอ?

     


     

    ผมกัดริมฝีปากก่อนจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธ

    แต่โดยที่ไม่รู้ตัวแขนของผมก็ดันถูกยกขึ้นมากอดอกแบบวางอำนาจโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

     

    “ทำไม?! ถ้าบอกฉันแล้วมันจะเป็นยังไง?

    นี่เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า? ถ้าแน่จริงทำไมไม่พูดออกมา!

     

     

    ผมพูดกับเขาเสียงเข้ม ทำเอาจื่อเทาดูหงอไปเล็กน้อยแต่ก็ยังสบตาผม

    เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธก่อนที่จะตอบผมกลับมาด้วยท่าทีร้อนรนเหมือนเคย

     

     
     

    “ก...ก็ถ้าผมบอกไป พี่ก็ต้องไปบอกพี่ชานยอลน่ะสิ”

     

     
     

    ห๊ะ...ชานยอล?

     

    เกี่ยวอะไรกับชานยอล?

     
     

     

    “ทำไมฉันต้องเอาไปบอกไอ้ชานยอลด้วย?”  

     
     

     

    ผมขมวดคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนรักอีกคนเข้ามาอยู่ในบทสนทนาโดยไม่ได้คาดคิด

    เห็นจื่อเทารีบกลืนน้ำลายก่อนจะอธิบายต่อ

    ผมยิ่งงงหนักไปใหญ่เมื่อคำอธิบายของเขาทำเอาผมช็อคแบบตั้งตัวไม่อยู่

    โอ...นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย?

     

     

    “ก...ก็ถ้าพี่ไปบอกพี่ชานยอลว่าผมชอบพี่แบคฮยอน  มีหวังพี่ชานยอลได้ฆ่าผมตายแหงแก๋...

    แถมอีกอย่าง ถ้าพี่ชานยอลห้ามไม่ให้พี่แบคฮยอนเขามาสอนหนังสือพวกผมอีกล่ะจะทำยังไง?

    ผมต้องบ้าตายแน่เลยอ่ะ  พี่จงอิน...อย่าบอกพี่ชานยอลเลยนะพี่”

     

     

    จื่อเทาปรี่เข้ามาตะครุบที่ต้นขาของผมแล้วเริ่มเขย่าก่อนจะออดอ้อนขอร้อง

    ผมที่ยังมึนงงอยู่กว่าจะตั้งสติรวบรวมเรื่องราวต่างๆได้ก็นานโข

     

     

    เดี๋ยวนะ...จื่อเทา....แบคฮยอน...ชานยอล

    เฮ้ย!!!! นี่ไอ้เด็กนี่คิดจะตีท้ายครัวเพื่อนผมเรอะ?!!!!!!

     

     

    “ย..ยังไงไอ้ชานยอลมันก็เพื่อนฉัน จะให้ฉันปิดบังมันได้ยังไงถ้าเพื่อนกำลังจะโดนเด็กจีบอย่างนี้

    นี่...ฉันจะบอกอะไรไว้อย่างนะจื่อเทา ไอ้ชานยอลกับพี่แบคฮยอนของนายน่ะเขารักกันมาตั้งหกเจ็ดปีแล้ว

    อย่าหวังไปไกลเลยไอ้หนุ่ม ไม่งั้นนายจะเจ็บซะเปล่าๆ”

     

     

    ผมรีบตอบกลับไปอย่างเนียนๆแม้ว่าตอนแรกบทสนทนาในความคิดของผมจะไม่ได้หมายความถึงเรื่องนี้เลยซักนิด

    จื่อเทากัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวดที่ได้ยิน และนั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารเด็กมันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

    พอได้รู้ความจริงแล้ว จากที่ไม่ชอบหน้าก็กลับกลายมาเป็นสงสารแทน

     

     

     

    “แล้วยังไงล่ะ ถ้าพี่ชานยอลรักพี่แบคฮยอนจริงพี่เขาก็ต้องทำให้พี่แบคฮยอนมีความสุขสิ

    ผมไม่สนว่าพี่จะคิดยังไง...แต่ในเมื่อผมตั้งใจจะแย่งพี่เขามา ผมก็จะพยายามให้ถึงที่สุด

    และผมหวังว่าพี่จะช่วยเก็บความลับครั้งนี้ให้ผมด้วย”

     


     

    จื่อเทาเอ่ยกลับมาเสียงสั่นในตอนแรก หากแต่ตอนหลังกลับหนักแน่นจนผมตกใจ

    ไม่อยากจะเชื่อว่าความคิดไอ้เด็กอายุสิบสี่ย่างสิบห้าคนนี้จะทำให้ผมต้องอึ้งได้สิน่า

    แถมดูท่า...มันยังตั้งใจแบบสุดๆซะด้วย...

     

     

    “แต่...”

     

     

    ผมอยากจะโต้เถียงแต่แบคฮยอนและคยองซูกลับเดินเข้ามาซะก่อน

    ผมและจื่อเทาแสร้งทำเป็นไม่ได้คุยอะไรกัน และจื่อเทาเองก็หยิบแก้วน้ำนั้นขึ้นมาดูดอย่างเนียนๆอีกหน

    ผมยอมรับว่าผมตกใจ...แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ควรจะพูดกันตรงนี้

     

     

    “ม..มาแล้วเหรอไอ้แบค?”

     

     

    ผมถามออกไปเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ เมื่อแบคฮยอนและคยองซูที่เพิ่งเดินเข้ามามองเราอย่างสงสัย

     
     

     

    “อืม...ฉันว่าเรารีบไปกันดีไหม หนังใกล้จะเข้าแล้ว”

     
     

     

    แบคฮยอนชักชวนให้ทุกคนเข้าไปในโรงหนังในขณะที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

    จื่อเทารีบพยักหน้ารับก่อนจะกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยืนข้างแบคฮยอนแล้วยิ้มร่า

     

     

    หนอย...ไอ้เด็กแก่แดดนี่

     
     

     

    “ดีครับ...ผมอยากดูหนังแล้ว เรารีบไปกันเถอะพี่แบคฮยอน

    ไปกันเถอะครับพี่จงอิน คยองซู”

     

     
     

    ไอ้เด็กจื่อเทาหันมายิ้มให้ผมและคยองซูก่อนจะถือวิสาสะลากแบคฮยอนให้เดินออกไป ทิ้งผมกับคยองซูไว้เบื้องหลัง

    ผมตัดสินใจไม่คิดอะไรเรื่องของจื่อเทาต่อเพราะเด็กเอาแต่ใจนั้นกำลังสะบัดหน้าหนีแล้วเดินออกไปไม่รอผม

     

     

    “เฮ้...รอฉันด้วยสิ”

     

     

    ผมรีบเดินก้าวฉับๆไปยืนข้างน้องเขา เห็นคยองซูชะลอความเร็วลงเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่หันมามองผมอยู่ดี

    ที่แกล้งงอนนี่คืออยากให้ง้อสินะ...  โธ่...ไอ้เด็กแผนสูง

     

     

    ผมคิดในใจอย่างขบขันแต่ก็กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้หัวเราะออกมา

    เดินไปข้างๆน้องเขาแล้วถือวิสาสะคว้ามือเด็กน้อยนั้นมาจูงไว้อย่างที่เคยทำเสมอแล้วรอดูว่าน้องเขาจะทำยังไง

    แต่เมื่อเห็นว่าน้องเขาไม่ได้สะบัดออกผมเลยยกยิ้มออกมาบางๆอย่างเห็นชัยชนะ

     

     
     

    ทันทีที่เราเข้ามาในโรงหนัง...คยองซูก็คว้ามือผมไว้ให้เดินรั้งท้ายคู่ไอ้เด็กจื่อเทาและแบคฮยอนเล็กน้อย

    เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะให้เพื่อนได้นั่งข้างๆแบคฮยอนโดยไม่มีผมอยู่ตรงนั้น

    ลำดับที่นั่งจึงกลายเป็นจื่อเทา แบคฮยอน คยองซู และผมเป็นคนสุดท้าย

     

     

    ผมไม่ได้ตะขิดตะขวงอะไรเพราะยังไงบอกหรือพูดคุยเรื่องนี้ในตอนนี้ก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี

    ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลยไป เพราะว่ายังไงตอนนี้สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือทำให้คยองซูยอมพูดกับผมก่อน

     





     

    “เฮ้...ทำไมไม่พูดกับฉันล่ะ?”

     


     

    ผมกระซิบถามเขาทันทีที่เราทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นุ่ม

    ตัวอย่างหนังกำลังฉายอยู่บนจอและนั่นทำให้ผมรู้ว่ายังไม่จำเป็นต้องสนใจกับเนื้อหาพวกนั้นในตอนนี้

    เห็นน้องเขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วหยิบป๊อปคอร์นรสหวานนั้นเข้าปากเคี้ยวหงึบหงับแล้วก็เลยต้องพูดอีกหน

     

     

    “ฉันขอโทษน่าคยองซู” ผมกระซิบบอกไป และก็พบว่าน้องเขาหันมาสนใจผมแล้วในที่สุด

     

     

    “ขอโทษคยองเรื่องอะไร?” เด็กน้อยถามผม

     

     

    “ก็นายไม่คุยกับฉัน...ฉันก็เลยขอโทษ” ผมตอบเขาไปพลางยักไหล่

     


     

    “ทำไมต้องขอโทษด้วย คยองไม่ได้โกรธซักหน่อย” คยองซูหันกลับไปแล้วแสร้งหยิบเอาป๊อปคอร์นขึ้นมาเคี้ยวหน้าตายอีกหน

     

     

    “ถ้าไม่โกรธแล้วทำไมต้องเดินหนีด้วยล่ะ?”

     

     

    “ก็คยองไม่ได้โกรธจงอินนี่...คยองแค่ -- งอนเฉยๆ”

     

     

    “แล้วตอนนี้จะหายงอนได้รึยัง?”

     

     

    “อื้ม...หายแล้ว ไม่งอนแล้วดีกว่า...”

     


     

    เด็กน้อยพูดพลางยกยิ้มในขณะที่สุดท้ายแล้วเขาก็ขยับเอาที่วางแขนที่กั้นระหว่างเราสองคนออก

    แล้วเอนศีรษะมาซบที่ไหล่ผมก่อนจะหยิบเอาป๊อปคอร์นเข้าปากอย่างมีความสุข

    ผมยกมือขึ้นเขกหัวน้องเขาเบาๆทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้

    เพราะที่แกล้งงอนนี่เพราะอยากให้ง้อจริงๆด้วย...กะไว้แล้วไม่ผิดเชียวไอ้ตัวแสบ

     




    ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพราะเป็นเวลาที่หนังเริ่มฉาย...

    คนทั้งโรงเงียบกันไปหมดและนั่นทำให้ผมไม่อาจพูดอะไรออกไปได้อีก

    ผมยอมให้น้องเขาได้เอนตัวลงมาซบอยู่อย่างนั้น  

    ก่อนจะมีบ้างเป็นบางคราวที่ผมขยับแขนอีกข้างที่ไม่ได้โดนทับอยู่ไปหยิบเอาป๊อปคอร์นที่น้องถืออยู่ขึ้นมากินและถือเอาไว้เสียเอง

     


     

    หนังที่จื่อเทาเลือกเป็นหนังรักที่เกี่ยวกับการข้ามเวลาไปยังอนาคตเพื่อตามหาคนที่เป็นเนื้อคู่อะไรซักอย่างหนึ่ง

    และสุดท้ายแล้วคนที่เป็นเนื้อคู่กับไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นพี่เวนดี้ที่อยู่ข้างบ้านเขามาทั้งชีวิต

    เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างดี  แต่ติดที่ว่าบทสนทนาในเรื่องนั้นออกจะเรื่อยเปื่อยและใช้คำเยอะไปซักหน่อย

     


     

    “จงอิน...”



     

    “หืม?”



    ผมขยับตัวให้โน้มลงไปหาเมื่อคยองซูยกแขนขึ้นขยี้ตา ก่อนจะเงยหน้ามากระซิบที่ข้างหูผม

     

     

    “คยองง่วง...”  เด็กน้อยพูดพลางทำหน้างัวเงีย

     

     

    “ถ้าง่วงก็หลับสิ ถ้าจบแล้วจะปลุก” ผมบอกกับเขา

     

     

    “อื้ม...ถ้าจบแล้วอย่าลืมปลุกคยองนะ”

     

     
     

    เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะยกขาขึ้นมาบนเก้าอี้  แล้วตะแคงตัวมาซบที่อกผมเพื่อใช้เป็นหมอนรองก่อนจะหลับตาลง

    ผมไม่ได้พูดอะไรอีกแต่หันกลับมาสนใจกับหนังต่อ....เพราะคยองซูเองเวลามาดูหนังกับผมก็มักจะเป็นอย่างนี้ตลอด

    ยิ่งถ้าเรื่องไหนน่าเบื่อเขาก็มักจะใช้ผมเป็นหมอนรองหนุนอย่างนี้จนหนังจบนั่นแหละ

     
     

    แต่แบคฮยอนคงเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าเคยชินซักเท่าไหร่...

    เพราะตอนนี้เขากำลังหันมายิ้มให้ผมกรุ้มกริ่มและออกแนวล้อเลียน

    ผมแยกเขี้ยวใส่เขาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่อยากให้คยองซูตื่น

    อ่านจากปากที่แบคฮยอนเอ่ยออกมาแล้วก็ยิ่งรู้สึกอยากจะตบหัวมันซักฉาดสองฉาดแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เบือนหน้าหนี

     
     

    เอากันตามจริงเพราะผมเองก็อยากจะใช้เวลาหันกลับมาคิดทบทวนกับสิ่งที่ไอ้แบคฮยอนพูดมาเหมือนกัน

    กับคำพูดไร้เสียงของแบคฮยอนที่ว่า...

     

     

    ถ้ามันไม่ใช่อย่างที่กูคิด...

     

    .

    .



    แล้วมึงจะร้อนตัวทำไมวะไอ้จงอิน

     

     

     

     

    ************

     

     

     

     

    หลังจากที่หนังจบ...เราทั้งสี่คนก็แยกย้ายกันกลับไปทางใครทางมัน

    แม้ผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยนักที่จะให้แบคฮยอนไปส่งจื่อเทาสองต่อสอง

    แต่ด้วยเพราะเหตุผลว่าบ้านแบคฮยอนเองก็เป็นทางผ่านบ้านของจื่อเทาอยู่แล้วผมเลยได้แต่ปิดปากเงียบกริบ

    ก็หวังว่าเด็กสิบสี่คงจะไม่รุกหนักอะไรมากมายจนครอบครัวเพื่อนจะแตกแยกกันวันนี้หรอกนะ

     

     

    “งั้นกูไปก่อนนะจงอิน....พี่ไปก่อนนะคยองซู เจอกันอีกทีวันพุธหน้านะ” แบคฮยอนเอ่ยลาผมกับคยองซูแล้วเดินจากไป

     

     

    จื่อเทาหันกลับมาโค้งให้ผมนิดหนึ่ง แต่เพื่อร่ำลาหรือเพื่ออะไรนั้นผมเองก็ไม่อาจจะทราบได้

    จนสุดท้ายก็เหลือแค่ผมกับคยองซูอยู่ตรงนี้เท่านั้น

     


     

    “งั้นเรา....กลับบ้านกันดีไหม?” ผมชักชวนน้องเขา

     

     
     

    “ครับ...กลับบ้านเรากันเถอะ”

     
     

     

    คยองซูหยักหน้าแล้วยิ้มออกมา โดยก่อนที่เราจะออกเดินคยองซูก็ไม่ลืมเดินมาคว้ามือผมไปกุมไว้

    สำหรับคนอื่นมันอาจจะดูแปลกไปหน่อยที่ผู้ชายอย่างผมจะมาเดินจูงมือเด็กอายุสิบสี่ตัวกระจ้อยเดินไปเดินมา

    แต่สำหรับผมและคยองซูแล้ว มันกลับกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว...

    เราเคยชินกับมันเพราะเราทำมันมาด้วยกันตั้งแต่เขายังเด็กๆ

    และมันก็กลายเป็นว่าถ้าทุกครั้งที่เขาเดินข้างผมแล้วไม่จับมือกัน....นั่นแหละที่จะกลายเป็นเรื่องแปลก

     

     
     

    “นี่...คยองซู” ผมกระซิบออกมาเมื่อเราเดินผ่านร้านตุ๊กตาที่ทำให้เขางอนผมไปเมื่อบ่าย

     

     

    “หืม? อะไรครับ?” เขาหันมาถามผมเสียงใส

     

     

    “ฉันจะซื้อตุ๊กตาพี่คร๊องให้นะ” ผมบอกเขา...ยกยิ้มออกมาเมื่อเห็นเขาทำตาโตเป็นไข่ห่าน

     

     

    “ทำไมล่ะ?! ไหนจงอินบอกว่าจะไม่ซื้อให้คยองเพราะว่าคยองโตแล้วไง?” คยองซูถามผมอย่างไม่ค่อยเชื่อหูนัก

     


     

    “ก็ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี...ฉันอยากซื้อให้อ่ะ”  



    ผมบอกเขาก่อนจะเดินจูงมือลากเขาเข้าไปยืนหน้าร้าน

    แต่เมื่อเรามาถึงข้างหน้าร้าน คยองซูกลับยื้อแขนผมไว้ไม่ให้เดินเข้าไปซะอย่างนั้น

     

     

    “หืม? อะไร?

    ฉันจะซื้อให้นี่ไง ไม่ดีใจเหรอ?” ผมถามเขาอย่างแปลกใจ...และยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นคยองซูส่ายหน้า

     


     

    “อื้อ...คยองไม่อยากได้แล้วครับ

    มาคิดดูดีๆแล้วตัวมันก็ใหญ่และราคามันก็แพงเกินไป”



    เขาพูดพลางมุ่ยหน้าลงไปเล็กน้อย และนั่นทำให้ผมต้องหัวเราะออกมา

     


     

    “เฮ้...ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีเงินมากพอจะซื้อมันน่า

    และไหนบอกว่าอยากเอามันไปกอดตอนนอนไงหืม?”

     

     

    ผมถามพลางยกมือขึ้นขยี้หัวเขาอย่างหมั่นไส้

    ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อน้องเขาส่ายหน้าแล้วยกยิ้ม

     


     

    “งื้ออ คยองไม่เอาแล้วครับ

    คยองจะกอดตุ๊กตาพี่คร๊องไปทำไมกันล่ะ

     

    .

     

    .

     

    .

    เพราะถ้าคยองอยากกอดพี่คร๊อง...คยองนอนกอดจงอินยังอุ่นกว่าอีก”

     











    ✚ TALK



    ตอนนี้น้องคยองกำลังซุ่มทำอัลบั้มใหม่อยู่ และกำลังจะปล่อยอัลบั้มน้องคยองเป็นสาวแล้วชุดที่สอง
    เราจะขอส่งท้ายความง๊องแง๊งของอิเด็กน้อยอีกไม่เกินสองตอน
    แล้วน้องคยองจะเป็นสาวเต็มตัว


    ....คัมมิ่งซูน....




    เพราะรักจึงแคร์...เพราะงั้นรีดควรแคร์ไรเตอร์ด้วยการคอมเม้นท์ 





    ป.ล.ไรเตอร์นมน ย่อมาจาก หนิงมิดไนท์ ^^



     

     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×