คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ✚ SH0T 6 :: THE END
Pairing : KRIS x D.O.
Photo by :PickaJae★PickaJi
Rate :PG-13 Author : MR.SN0WMAN
THE FL0WERS*
“เฮ้! คยองซู...ฉันหิวอ่ะมีไรให้กินบ้างป้ะ?”
จงอินถามผมในขณะที่เขานอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงของผมแล้วทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้าน
เซฮุนกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา ก่อนจะขว้างกระเป๋าดินสอที่อยู่ตรงหน้าผมใส่จงอินไปเสียเต็มแรง
“โอ๊ย!! เจ็บนะ ทำอะไรของนายน่ะ?!”
จงอินกระเด้งตัวลุกขึ้นมาตวาดใส่คนที่ขว้างกระเป๋าดินสอมาโดนเต็มหน้าท้องของเขา
“สมควร! มันชักจะสบายไปมะ?
รายงานตัวเองนะเว้ยดันมาให้ฉันทำแล้วตัวเองไปนอนอ่านการ์ตูนสบายใจเฉิบ!
แล้วนี่อะไรมีการใช้เจ้าของบ้านไปหาข้าวหาน้ำให้กินอีก หน้าด้านไปมั้ยฮึ?!”
เซฮุนกระชากเสียงกลับ หากแต่ก็ยังก้มหน้าลงมาเขียนอะไรซักอย่างในสมุดรายงานของจงอินยุกยิก
ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสองคนนี้อะไรกันแน่...แต่ที่แน่ๆจงอินก็ยกเลิกที่จะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น
ช่วงหลังๆนี้สองคนนี้ก็ตัวติดกันเป็นตังเม แทบจะเรียกได้ว่าถ้าจงอินไปไหนที่นั่นต้องมีเซฮุนอยู่ด้วยเสมอ...
ความสัมพันธ์ของผมกับจงอินกลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกประการ...
เรายังเป็นเพื่อนรักกันหากแต่ตอนนี้มีเซฮุนอีกคนเข้ามาในกลุ่มด้วย...
ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะการที่จงอินตัดสินใจไม่ไปญี่ปุ่นมันก็ดีมากสำหรับผมแล้ว
และผมออกจะมั่นใจมากว่ามันดีต่อเซฮุนด้วยเช่นกัน...
ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นจงอินกับเซฮุนทะเลาะกันอย่างนี้อยู่เรื่อย
และมีหลายครั้งที่ผมบังเอิญไปเจอสองคนนี้ไปกินข้าวดูหนังด้วยกันสองคนบ่อยๆ
อา...ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้นนะครับ
ใครดูก็รู้ว่าเซฮุนชอบจงอิน...แต่จงอินเนี่ยสิที่ผมดูไม่ค่อยจะออก
(เพราะถ้าผมดูจงอินออกตอนนั้นผมคงจะรู้นานแล้วว่าจงอินแอบชอบผม...)
แต่ไหนแต่ไรมาจงอินก็ไม่ค่อยจะพูดจะบอกความรู้สึกของตัวเองพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว
แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเซฮุนเท่าไหร่นัก...เพราะดูเหมือนพวกเขาก็เข้ากันได้ดี เอ่อ...ถึงขั้นดีมากๆด้วยซ้ำไป
น่าตลกดีนะครับที่พวกเขายังทำปากแข็ง ทั้งๆที่มีบางครั้งบางทีที่ผมหันหลังให้ มือพวกเขาก็จับกันแน่นไปซะแล้ว
อ่า...อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะให้ตายเหอะ มันน่าอิจฉาจริงๆเลยนะคนมีความรักเนี่ย...
“เลิกทะเลาะกันเหอะ...เดี๋ยวฉันไปหาอะไรให้พวกนายกินแล้วกัน
เราก็ทำรายงานกันมาหลายชั่วโมงแล้วเนอะ
ฉันลืมไปหาอะไรมาให้พวกนายดื่มเลย กินกาแฟดีไหมเดี๋ยวฉันไปชงมาให้”
“อ่า...ก็ดีเหมือนกันนะ ทำๆไปก็ผงกจนหัวจะโขกโต๊ะอยู่แล้ว”
เซฮุนบ่นขึ้นพลางยกมือขึ้นนวดที่ต้นคอ
ผมยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าส่งให้เซฮุนกับจงอินไปก่อนจะขอตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง
แต่ทันทีที่ผมปิดประตูห้องลงผมก็ต้องสะดุ้ง...
ผมยกหัวคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะตัดสินใจแนบหูไปกับบานประตู
เมื่อได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่แน่ใจนักว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า
และเมื่อผมแนบหูลงแนบกับประตู เสียงที่ผมได้ยินก็คือ...
“นายกล้าขว้างของใส่ฉันเหรอ?! นายตายแน่โอเซฮุน!”
“ด..เดี๋ยวจงอิน!
อื้อออออออออออ................”
เสียงโหวกเหวกของเซฮุนดังขึ้นก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบหายไปเสียอย่างนั้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงร้อนวูบวายขึ้นมา เมื่อได้รู้แล้วว่าตัวเองแอบไปได้ยินอะไรที่ไม่สมควรจะได้ยินเข้าซะแล้ว
อ่า...งั้นถ้ามันเป็นอย่างนี้ สงสัยผมคงต้องลงไปชงกาแฟนานหน่อยสินะ
ผมใช้เวลาในการชงกาแฟและจัดเตรียมขนมจัดใส่ถาดอย่างเหม่อลอย
จู่ๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเมื่อได้รินกาแฟร้อนหอมกรุ่นลงไปในแก้ว
เผลอคิดถึงคนที่เคยได้ดื่มมันขึ้นมาก็เล่นทำเอาผมเหม่อลอยคิดไกลไปอย่างลืมเนื้อลืมตัว
พลันเมื่อได้คิดถึงเขา...ผมก็รู้สึกว่าผมคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
ทำไมกันนะ? ทำไมผมถึงลืมไม่ได้ซักที
ทำไมผมถึงยังรักเขานะ?
ความรักช่างน่าตลกจริงๆ...คนเราใช้เวลาแค่เพียงวินาทีเดียวก็ตกหลุมรักได้
แต่สำหรับผมแล้ว หากใช้ทั้งชีวิตที่จะลืม ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าผมจะลืมเขาได้ไหม?
เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ผมกับคริสไม่ได้ติดต่อกันเลย...
ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงนอกจากรอคอยเวลาให้ผ่านไปอย่างที่ลู่หานเคยบอกผมไว้แค่นั้น
ช่วงแรกๆมันยากจริงๆที่ผมจะทำใจไม่ติดต่อกับเขา...
และผมยอมรับว่าในตอนนี้ผมก็ยังคิดถึงเขาอยู่...และมันยากจริงๆที่จะห้ามใจไม่ให้คิดถึงเขาได้
ช่วงเวลาเก่าๆของผมกับคริสยังคงวนเวียนหลอกหลอนผมเหมือนกับว่ามันเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป...
ผมยังตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งรอให้ใครบางคนเดินเข้าร้านมาสั่งให้ผมจัดดอกไม้...
ยังคงตื่นมาชงกาแฟทุกเช้า ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเททิ้งไปเพราะไม่มีคนดื่มมันเลยซักคน
ทุกครั้งที่ผมไปเรียน...ผมยังคงคิดถึงห้องพักอาจารย์ที่ผมเดินเข้าออกเป็นประจำจนกลายเป็นเรื่องปกติ
และแม้ว่าเทอมนี้ผมจะไม่ได้เรียนกับคริสแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะเดินผ่านคลาสที่คริสสอนอยู่เรื่อย...
เพราะแค่เพียงผมได้ยินเสียงเขาบ้าง...ผมก็พอใจมากแล้วที่ได้รับรู้ว่าเขาสบายดีและยังใช้ชีวิตได้เหมือนปกติโดยที่ไม่มีผม
มีบางครั้งแค่เห็นรถยี่ห้อเดียวกันสีเดียวกันขับผ่านหน้าบ้าน
หัวใจผมก็เต้นตึกตักจนจะตายเสียให้ได้ ทั้งๆที่เจ้าของรถและป้ายทะเบียนนั้นไม่ใช่คนที่ผมคิดถึงเลยก็ตามเถอะ
อา...นี่มันบ้าจริงๆ
ทำไมนะ...ทำไมคริสถึงมีอิทธิพลกับจิตใจของผมขนาดนี้?
ผมลืมเขาไม่ได้จริงๆ และผมเองก็ไม่รู้วิธีที่จะทำใจให้ลืมด้วย...
ผมไม่เคยมีความรักมาก่อน...คริสเป็นคนแรกที่ผมให้รักและมอบหัวใจให้
และผมตระหนักได้แล้วจริงๆในตอนนี้ ว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่รับรักผมเลยก็ไม่เป็นไร
ขอแค่เพียงให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมผมก็พอใจแล้ว...แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม
จะให้กลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมหรือเป็นเพียงลูกค้ากับพ่อค้าร้านดอกไม้ผมก็ยอม...
ผมอยากจะขอเพียงแค่ให้เขากลับมาก็เท่านั้น...
พี่อยู่ไหนนะคริส? โปรดยกโทษให้ผมได้ไหม?
ยกโทษเด็กเอาแต่ใจที่เห็นแก่ตัวคนนี้เถอะนะ...
หากพี่กลับมา...ผมสัญญาว่าผมจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น
ขอเพียงแค่พี่กลับมา...
คยองซูยกมือปาดน้ำตาที่รินไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดว่านี่มันบ้าจริงๆ...ทำไมเขาถึงต้องร้องไห้ด้วยนะ
ทั้งๆที่ร้องไห้ไปก็ไม่ได้อะไรแท้ๆ แต่ทำไมหัวใจถึงยังอ่อนไหว...
อา...ความรักช่างมีอานุภาพร้ายแรงจริงๆ...
ผมถอนหายใจออกมาในขณะที่วางหม้อต้มกาแฟลงบนโต๊ะหินอ่อน
หยิบจัดขนมเค้กกับกาแฟใส่ถาดแล้วยกขึ้นไปบนห้องนอนที่เซฮุนกับจงอินรออยู่
ผมไม่ลืมที่จะยกมือเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง แม้ว่าห้องนี้จะเป็นห้องนอนของผมเองก็ตาม
ผมยกยิ้มให้เพื่อนทั้งสองคนที่นั่งรออยู่คนละมุมห้อง...
พลันเมื่อได้มองเห็นใบหน้าของเซฮุนที่กำลังแดงก่ำและริมฝีปากก็บวมเจ่อ...
มันทำเอาผมอดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ เมื่อได้เหลือบไปมองเห็นจงอินกำลังแสร้งยกการ์ตูนขึ้นอ่าน
แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในระหว่างที่ผมไม่อยู่
“มาแล้ว...รอนานมั้ย?”
ผมถามออกไปพร้อมทั้งยกยิ้ม รู้สึกขบขัน
เมื่อเห็นเซฮุนกำลังก้มหน้าก้มตาพลิกหน้าหนังสือ
ที่เรายืมมาเพื่อค้นหาข้อมูลเขียนรายงานอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ก...ก็นิดหน่อย ร...รีบเอามาวางตรงนี้สิ หิวจะแย่แล้ว”
เซฮุนตะกุกตะกักตอบทั้งๆที่ใบหน้าก็ยังแดงก่ำ
ผมหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะวางถาดขนมกับกาแฟร้อนๆลงไปบนโต๊ะเขียนหนังสือทรงสี่เหลี่ยมกว้าง
“มากินเค้กสิจงอิน...เดี๋ยวกินเสร็จแล้วจะได้ลุยกันต่อ”
ผมชักชวนจงอินให้เข้ามาร่วมวงกินเค้กด้วยกัน
จงอินไม่ได้ปฏิเสธ...เขารีบปรี่เข้ามานั่งที่มุมโต๊ะด้านหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างผมกับเซฮุน
จงอินรีบยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนที่เขาจะสำลักมันออกมาจนผมกับเซฮุนเบิกตากว้าง
พรวด!!!!!
“อ๊อก! แค่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ย! นี่มันกาแฟบ้าอะไรเนี่ย?!”
จงอินบ่นออกมาในขณะที่วางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะ
ใบหน้าเหยเกนั้นบ่งบอกถึงรสชาติที่ไม่ได้เรื่องของกาแฟที่คยองซูเป็นคนชง
“อะไรของนาย...รสชาติมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เซฮุนถามขึ้นในขณะที่หยิบทิชชู่ขึ้นไปซับกาแฟที่เลอะเปื้อนที่เสื้อของจงอิน
“มัน! ยิ่งกว่าเลวร้ายมาก!!!
อ๊ากกกกก ใจฉันจะระเบิดมั้ย?! ทำไมมันขมปี๋ขนาดนี้!
นายชงกาแฟเป็นไหมเนี่ยคยองซู ทำไมรสชาติมันถึงห่วยแตกขนาดนี้ฮะ?!”
จงอินบ่นออกมาในขณะที่ก็ชี้มือชี้ไม้มาที่แก้วกาแฟฝีมือของผมอย่างสยดสยอง
ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก...ผมก็ชงอย่างนี้เป็นปกติ คริสเองก็เคยบอกว่าอร่อย
แล้วไหงจงอินถึงได้บอกว่ารสชาติมันห่วยแตกล่ะ!
“กาแฟที่ไหนไม่ขมบ้าง ตลกล่ะ...
นายเว่อร์มากจงอิน พี่คริสดื่มกาแฟฝีมือฉันทุกวันเขายังไม่บ่นเลย
นายนั่นแหละเคยกินกาแฟไหมฮะ?!”
ผมตวัดเสียงถามเขาไปอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก...
แหม...มาว่าผมชงกาแฟไม่เป็นได้ยังไงล่ะ นี่ผมฉุนนะครับพูดจริงๆ!
“นายลองชิมเลยเซฮุน...แล้วบอกคยองซูทีว่ารสชาติมันห่วยมากกกก”
จงอินยังคงแสดงอาการสยดสยองในกาแฟฝีมือผมจนน่าหมั่นไส้
เซฮุนหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าตาเหยเกดูไม่ได้
อะไรกัน...ผมชงกาแฟห่วยแตกจริงเหรอ?
“บ้าแล้ว...นี่นายใส่กาแฟไปกี่ช้อนกันเนี่ยคยองซู
มันขมมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อาจารย์คริสบ้าไปแล้วที่ทนดื่มกาแฟของนายได้!”
เซฮุนกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างหวาดๆ
คำยืนยันของเพื่อนทั้งสองทำให้คยองซูรู้สึกตกใจจริงๆ
ถ้ามันห่วยแตกขนาดนี้...แล้วทำไมคริสถึงบอกว่ามันอร่อยล่ะ?
“ม...ไม่จริงอ่ะ พี่คริสบอกว่าฉันชงกาแฟอร่อยนะ!”
“เขาพูดรักษาน้ำใจนายน่ะสิ...
ใครกินกาแฟนี้แล้วบอกว่าอร่อยฉันว่าประสาทสัมผัสการรับรู้รสคงตายด้านไปแล้ว
นี่นายไม่เคยชิมกาแฟฝีมือตัวเองเลยหรือไง?”
จงอินพูดแขวะก่อนจะดันแก้วกาแฟฝีมือผมออกห่าง
เซฮุนก็เช่นกัน เขารีบหยิบส้อมคันเล็กที่วางอยู่แล้วเริ่มตักเค้กเข้าปากอย่างเร่งรีบ
ราวกับว่าถ้ารสชาติกาแฟของผมยังติดลิ้นเขา เขาอาจจะตายก็ได้ = =
“ไม่อ่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ดื่มคาเฟอีน
แต่เฮ้! พี่คริสดื่มมันมาตั้งทุกวันเลยนะ ตั้งหลายเดือนเลยด้วย!
เขายังไม่เคยบอกเลยด้วยว่าฉันชงกาแฟอร่อย”
ผมเถียงอย่างจนตรอก...
อ่า...รู้สึกขายหน้าจัง ผมทำกับข้าวอร่อยนะจะบอกให้
แล้วไหงสองคนนี้มาทำให้ความภูมิใจของผมหดหายอย่างนี้ล่ะ ใจร้ายจริงๆ...
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคริสกำลังทำอะไรอยู่...
แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันบอกได้คำเดียวเลยว่าฉันคงไม่ทนดื่มกาแฟนี่ทุกวันแน่
ขืนกินเข้าไปหัวใจฉันอาจจะสั่นจนระเบิดตายก็ได้ ไม่ไหวอ่ะ
ทำไมคริสถึงบอกว่าอร่อยได้นะ...ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ นี่เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่?”
จงอินพูดออกมาพร้อมทั้งยกคิ้ว
ถามคำถามที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าคำตอบของมันคืออะไร...
แต่ที่ผมรับรู้ได้อย่างเดียวคือหัวใจที่เต้นลิงโลดของผมในตอนนี้เท่านั้น...
ทำไมเขาถึงต้องอดทนดื่มมันทุกวันด้วยนะ...
ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างเราจะอดทนมันได้นานขนาดนั้นเลยเหรอ?
อะไรที่ทำให้คริสทนดื่มมันมาได้ร่วมปีอย่างนี้ล่ะ
.
.
.
.
ช่วยบอกผมทีว่าผมมีหวังบ้างไหม?
พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และนาฬิกาก็บอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว
จงอินและเซฮุนขอตัวลากลับเมื่อรายงานของเราทั้งสามคนยังทำไม่เสร็จดีนัก
ตอนนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวและกำลังลงมือทำอะไรกินง่ายๆด้วยตัวเอง...
วันนี้แม่กับพ่อไม่อยู่บ้านอีกแล้ว...
เพราะว่าลูกพี่ลูกน้องของผมที่จอลลาโดกำลังจะมีพิธีแต่งงาน
แม่กับพ่อก็เลยออกเดินทางไปที่จอลลาโดตั้งแต่บ่าย
เพื่อไปช่วยจัดพิธีและเข้าร่วมเป็นสักขีพยานให้กับพวกเขาด้วย
ผมไม่ได้ไปเพราะว่าพรุ่งนี้ผมติดเรียน...
และเอาจริงๆผมก็ไม่มีอารมณ์อยากจะไปเจอหน้าพวกญาติๆในตอนนี้เท่าไหร่นัก
พวกเขาเจอหน้าและก็มักจะถามคำถามเดิมๆ และมันทำให้ผมรู้สึกเบื่อมาก...
คำถามที่ว่าเมื่อไหร่ผมจะเรียนจบ...เมื่อไหร่ผมจะมีแฟน
โอ...พวกเขาถามกันอย่างนี้อยู่ทุกปี แล้วก็ไม่เคยจะจำเลยว่าตอนนี้ผมเรียนปีไหนแล้ว
แถมเรื่องแฟนอีก ทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่มีแฟนแท้ๆแต่ก็ยังเอาแต่ถามกันอยู่ได้
สู้ให้ผมอยู่บ้านคนเดียวดีกว่า ถ้าต้องไปเจอคำถามซ้ำๆน่าเบื่อแบบนี้น่ะจริงไหมล่ะ
ผมคิดในใจอย่างเบื่อหน่าย
ในขณะที่กำลังตักเส้นสปาเก็ตตี้ที่อยู่ในหม้อขึ้นมาพักแล้วแช่ลงไปในน้ำเย็นแล้วพักไว้
วันนี้ผมทำเมนูที่ผมชอบและคิดว่าทำมันได้อร่อยที่สุด
เหตุผลที่ผมชอบก็อาจจะเป็นเพราะว่าคริสชอบมันด้วยล่ะมั้ง...ผมก็เลยชอบที่จะทำ และชอบกินมันไปโดยปริยาย
อ่า...แล้วทำไมผมต้องคิดถึงคริสอีกแล้วล่ะเนี่ย?
นายจะตายไหมถ้าจะหยุดคิดถึงเขาซักวินาทีนึงน่ะคยองซูบ้า!
กิ๊งก่อง...
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นมาทำให้ผมต้องยกคิ้วอย่างสงสัย
ผมปิดไฟเตาแก๊สก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลากว่าทุ่มครึ่งแล้ว
ประตูหน้าร้านปิดแล้วทำให้ผมออกจะมั่นใจว่าคนที่มากดกริ่งไม่น่าจะใช่ลูกค้า
แต่คิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นลูกค้าที่ต้องการจะให้สั่งดอกไม้แบบเร่งด่วนก็ได้
จำพวกลูกค้าที่ต้องการจะสั่งดอกไม้ไปร่วมงานศพอะไรพวกนั้น...
ก็แหม...คนเราจะตายมันเลือกเวลาได้ที่ไหนล่ะจริงไหมครับ
ผมเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนในขณะที่เดินไปเปิดประตูหน้าร้าน
ค่อยๆเปิดประตูออกก่อนจะยกยิ้มกว้างเพื่อต้อนรับและเตรียมจะปฏิเสธที่จะจัดดอกไม้ในตอนนี้
“ขอโทษนะครับ...ร้านปิดแล้วครับ อ๊ะ!”
หากแต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปเจอใครบางคนที่ผมไม่คาดคิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้
หัวใจผมเต้นถี่รัวเสียจนผมคิดว่าถ้าหากมันเต้นถี่รัวขนาดนี้มันอาจจะหยุดเต้นก็ได้...
ผมอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตานักว่าคนที่มายืนอยู่ตรงหน้านี้คือเขาจริงๆ...
คริสกำลังยืนอยู่ข้างหน้าผม...
“พ...พี่คริส”
ผมอ้าปากค้าง เมื่อเห็นพี่เขายกยิ้มบางๆส่งมาให้
ยิ่งได้เห็นว่าพี่เขากำลังยืนหอบดอกกุหลาบช่อใหญ่โตมโหฬารอยู่ในมือมันก็ยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออก
ผมนิ่งเงียบไปนานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี...
และสิ่งแรกหลังจากที่สมองผมประมวลผลได้คือคำพูดที่ผมคิดว่ามันช่างตลกสิ้นดี
นี่ผมกำลังพูดอะไรออกไป...
“ข...ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้ร้านปิดแล้ว
และผมคิดว่าคุณมีดอกไม้แล้ว คงไม่ต้องให้ผมจัดให้ก็ได้”
ผมพูดออกไปอย่างประชดประชัน แม้ว่าจะไม่เข้าใจนักว่าช่อดอกไม้ในมือของคริสนั้นคืออะไร
แต่หัวใจที่เต้นรัวเร็วและรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ของคริสที่ส่งให้ผมทำให้ผมอดจะพูดออกไปอย่างนั้นไม่ได้...
ความคิดถึง ความโกรธ ความเสียใจ...
มันมลายหายไปหมดเมื่อคนเป็นพี่มาหยุดยืนต่อหน้าผมแบบนี้
ผมไม่แน่ใจเลยว่าผมกำลังคิดอะไร...แต่ผมอยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเหลือเกิน
“ผมไม่ได้ต้องการช่อดอกไม้หรอกครับ...
แต่ผมอยากจะมอบช่อดอกไม้ให้กับพ่อค้าคนนี้ได้ไหม – คนตรงหน้าผม”
คริสยกยิ้มพลางพูดอย่างอ่อนโยน...รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของคยองซูกระตุกสั่น
น้ำตากำลังจะไหลลงมาแล้ว แต่ไม่นะ --- เขาไม่ควรจะร้องไห้ออกมาในตอนนี้นี่
“ผ...ผมว่าคุณคงเอามาให้ผิดคนแล้วล่ะครับ
ค...คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปซักอย่าง พ...เพราะฉะนั้นกลับไปเถอะครับ”
“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกคยองซู
ลองนับดอกกุหลาบในช่อนี้ดูสิคยองซู...ดอกกุหลาบในช่อนี้มีอยู่ 99 ดอก
และนายคงจะรู้...ว่ามันหมายความว่าอะไร”
คริสตอบกลับมาเสียงแผ่วเบาจนทำให้ผมคิดว่าผมอาจจะกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน
ดอกกุหลาบเก้าสิบเก้าดอก...บ่งบอกถึงความหมายที่ว่า
‘ฉันจะรักเธอจนวันตาย ขอให้ฉันเป็นคนสุดท้ายในชีวิตเธอได้ไหม?’
“พ...พี่หมายความว่าไง?”
ผมถามอย่างตกตื่น...คริสรู้ความหมายของจำนวนดอกกุหลาบ
และความหมายนั้นทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผมคิดว่าผมกำลังจะตายอยู่ตรงนี้เสียให้ได้
เมื่อเห็นพี่เขาส่งสายตาจริงจังและเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกของเขา
แต่ละคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ยทำให้น้ำตาที่ผมพยายามเก็บกักเอาไว้ไหลออกมาอย่างช้าๆ
ผมกำลังฝันไปใช่ไหม?....
“พี่รักนายนะคยองซู...รักนายและหวงนายมาตลอด
ยกโทษให้พี่ได้ไหมที่ก่อนหน้านี้พี่ไม่รู้ใจตัวเอง...
ได้โปรดยกโทษให้พี่ พี่ขอโทษที่เคยทำให้นายเสียใจและร้องไห้
แต่ต่อจากนี้ไปผู้ชายคนนี้จะขอทำทุกอย่างให้นายมีความสุข
พี่รู้ตัวเองแล้วว่าพี่รักนาย ได้โปรดเถอะ...เป็นแฟนกับพี่ได้ไหม?”
คำพูดที่ท้ายประโยคทำเอาผมต้องกลั้นหายใจ รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวผมเงียบสงัด...
และมีเพียงเสียงหัวใจของผมเท่านั้นที่กำลังเต้นระรัวในเวลานี้
หากแต่เมื่อได้ยินคำที่รอคอยมาตลอดถูกเอ่ยออกมาในตอนนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกโกรธ
เขาเห็นผมเป็นของเล่นหรือไงกันนะ! คิดอยากจะมาก็มา คิดอยากจะไปก็ไป!
คิดอยากจะบอกรักกันก็มาบอก...ทั้งๆที่เขาหายไปนานขนาดนั้น
อู๋อี้ฟาน...คุณมันคนใจร้ายจริงๆ!
“ค...คนบ้า! คนโกหก!! พี่ทิ้งผมไปตั้งเกือบเดือนแล้วโผล่มาบอกรักผมตอนนี้เนี่ยนะ!!
พี่เห็นผมเป็นของเล่นหรือไง?! คิดอยากจะให้ผมยกโทษให้จนต้องหลอกว่ารักผมเลยงั้นเหรอ?!
พี่มันร้ายกาจ! หลอกใช้หัวใจผมเป็นเครื่องมืองั้นสินะ
พี่มันใจร้าย! พี่มันใจร้าย!!!”
ผมตะโกนออกไปในขณะที่น้ำตาก็ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก
ในหัวใจเต้นลิงโลดอย่างน่าประหลาดเพราะคำว่ารักของคริสเพียงแค่คำเดียว
หากแต่ในหัวสมองก็ตีกันวุ่นไปหมด เพราะรู้สึกโกรธและน้อยใจที่พี่เขาหายไปนานขนาดนี้
โอ...คำว่ารักของคริสช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน
ช่างเอาแต่ใจจนคยองซูรู้ถึงว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับคำว่ารักนั้นอย่างราบคาบ
และเขารู้ดีว่าเกมส์นี้เขากำลังจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้...
“พี่ขอโทษนะคยองซู...พี่รู้ตัวแล้วว่าพี่รักนายแค่ไหน
ยกโทษให้พี่นะ ได้โปรดให้อภัยพี่...แล้วเรามาเริ่มกันใหม่ได้ไหม? ได้โปรดให้โอกาสพี่...”
คริสกระซิบและส่งสายตาเจ็บปวดมาให้คยองซู
ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและมันทำให้คยองซูต้องหวั่นไหว...
“ข..ขอโทษงั้นเหรอ?!!!
แล้วที่ผมต้องทนทรมาณมาเกือบเดือนนี่มันอะไร?!!
พี่เคยติดต่อเคยโทรมาหาผมไหม? พี่รู้รึเปล่าว่าผมเป็นยังไงตอนที่พี่ไม่อยู่?!
พี่มันคนเห็นแก่ตัว!!! คนเลว!!! เอาแต่ได้!!!!!”
คยองซูไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาควรทำอย่างไร...
ได้แต่ปรี่เข้าไปรัวกำปั้นเล็กๆทุบที่แผงอกกว้างของคริสอย่างนั้นด้วยความโมโห
คริสยืนนิ่งแต่โดยดีและยอมให้คยองซูผลักและทุบตีเขาอย่างนั้นและก็ได้แต่เงียบ
จนคยองซูจากที่ตะโกนก่นด่าพี่เขาและทุบตี แต่สุดท้ายแรงที่ใช้ทุบตีก็แปรเปลี่ยนเป็นอ้อมแขนที่ยกขึ้นไปโอบรอบตัวพี่เขา
คยองซูแพ้แล้ว...แพ้หัวใจที่อ่อนแอของตัวเองอย่างราบคาบ...
“ค...คนบ้า! ทำไมถึงเพิ่งโผล่มา!
พี่รู้บ้างไหมว่าผมคิดถึงพี่แค่ไหน...คนใจร้าย! ใจร้าย!!!”
คยองซูตะโกนออกมาในขณะที่ก็ยกแขนโอบกอดพี่เขาเอาไว้แนบแน่น
หากแต่กำปั้นเล็กก็ยังคงทุบไปที่หลังของคริสไม่ได้หยุด
คริสยกแขนขึ้นกอดตอบคยองซูเสียแนบแน่น จนคยองซูแทบจะจมหายเข้าไปในแผงอกกว้างของคริสเสียแล้ว
เขาก้มลงสูดดมกลิ่นผมหอมของคยองซูเข้าไปเต็มปอดด้วยความคิดถึง
ก่อนจะกระซิบออกมาเสียงแหบปร่าและสั่นเครือ...ราวกับว่าเขาเองกำลังหักห้ามใจเหลือเกินไม่ให้ร้องไห้
“พ...พี่ขอโทษ...แต่พี่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น
หัวใจพี่สับสนเหลือเกิน และพี่มันขี้ขลาดที่ไม่เคยยอมรับเลยว่าที่จริงแล้วพี่รักนายมาตลอด
พี่เอาแต่หลอกตัวเอง...พี่เอาแต่หลอกตัวเองว่าพี่คิดกับนายแค่น้องชาย
เพราะพี่ไม่อยากหักหลังลู่หาน...คนที่พี่ทำให้ชีวิตเขาต้องดิ่งลงเหวไปเพราะความโง่ของพี่
พี่ใช้เวลาที่หายไปเพื่อพิสูจน์ใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วพี่ต้องการอะไร
และรู้อะไรไหมคยองซู? พี่ต้องการนายเหลือเกิน...
พี่คิดถึงนายจนแทบบ้า ทุกครั้งที่พี่เห็นนายกบัจงอินพี่ก็หึงนายจนเป็นบ้าเป็นหลัง
จนสุดท้ายพี่ก็รู้ว่าพี่รักนาย พี่หวงนายเหลือเกิน!!!”
คริสกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นในขณะที่คำว่ารักของเขาถูกเปิดเผยออกมา
น้ำตาของคริสรินไหลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คยองซูเชื่อใจในเวลานี้
คยองซูตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขา...ยังคงเงียบงันจนเขาใจหาย
กลัวว่าคยองซูจะไม่ใจอ่อน และไม่เชื่อคำพูดของเขา
เขาถอนกอดออกมามองหน้าคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้
เชยคางคนตัวเล็กให้เงยขึ้นมาสบสายตาก่อนจะกระซิบเสียงหวาน
“เชื่อพี่ได้ไหมคยองซู...แค่ครั้งนี้ ครั้งสุดท้าย
ได้โปรดพูดอะไรบ้างเถอะ อย่าเงียบอย่างนี้เลยได้ไหม?”
คริสกระพริบตาเพื่อขับไล่น้ำใสๆที่กำลังคลออยู่ในดวงตาจนทำให้ใบหน้าใสของคยองซูพร่ามัวไปหมด
เขารู้สึกว่ากำลังตัวสั่น หัวใจกำลังหวาดกลัวเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลยซักนิด...
หากแต่แล้วหัวใจก็กลับมาเต้นถี่อย่างมีความหวังอีกครั้ง
เมื่อคนตัวเล็กตรงหน้าตวัดสายตาขึ้นมาสบตา
ก่อนที่ริมฝีปากน่าหลงใหลนั้นจะเริ่มเอ่ยเสียงกระซิบ
“พี่...พูดจริงใช่ไหม? คำว่ารักของพี่...พี่ไม่ได้โกหกผมใช่ไหม?”
“พี่ควรทำยังไงให้นายเชื่อ?”
“...................จูบผมสิ”
คริสเบิกตากว้างเมื่อถ้อยคำที่คยองซูกระซิบออกมา
เขายกยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นประคองใบหน้าของคยองซูเอาไว้ในมือแล้วก้มลงไปกดจูบแสนหวาน
กดซ้ำๆย้ำๆที่ริมฝีปากหนานุ่มของคนตัวเล็ก
จนคยองซูต้องเผยอริมฝีปากออกเพื่อเปิดทางให้เขาได้เข้าไปกอบกว้านตวัดลิ้นอย่างโหยหาความหวานในโพรงปากเล็กไม่รู้จบ
คยองซูหลับตาพริ้มในขณะที่ยกแขนขึ้นโอบรอบคอของคริส
เอียงคอเพื่อเปิดช่องทางให้ลิ้นร้อนและแข็งแรงของคนเป็นพี่ได้เข้ามาค้นหาความหวานในโพรงปาก
ทุกครั้งที่เรียวลิ้นสัมผัสลิ้น...ความหอมหวานของรสจูบก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
จูบนี้ช่างหวานและน่าค้นหาเหลือเกิน...
ลมหายใจของทั้งคู่ถูกผลัดเปลี่ยนจนกำลังจะหมดจากปอด
คริสรู้สึกว่ากำลังจะตายแต่ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองให้หยุดจูบคยองซูได้
มือเล็กของคยองซูกอบกำเอาเรือนผมสีทองของคริสเอาไว้เต็มกำมือ
เขาผละจูบออกมาเพื่อหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปในปอด
ก่อนที่คริสจะก้มลงกดจูบลงมาอีกหน...
คริสผละจูบหวานออกมาก่อนจะแนบหน้าผากของตนกับหน้าผากของคนตัวเล็ก
หอบหายใจเอาอากาศกลับเข้าไปในปอดก่อนจะเริ่มต้นกระซิบถ้อยคำแสนหวาน
“พ...พี่รักนาย พี่รักนายจริงๆ”
“บ...บอกทีว่าผมไม่ได้ฝันไป”
“ไม่...มันเป็นเรื่องจริง พี่รักนาย”
“พอแล้วคริส...เลิกพูดมันได้แล้ว
ผมอาจจะตายอยู่ตรงนี้นะถ้าขืนพี่ยังคงพูดต่อ”
“ให้โอกาสพี่ได้ไหม...ให้พี่รักนายได้ไหม?”
คริสกระซิบเสียงหวานก่อนจะสบสายตากลมโตของคยองซูเพื่อจะค้นหาคำตอบ
หลับตาพริ้มอีกครั้งเมื่อคยองซูเขย่งตัวขึ้นมาประทับจูบที่ริมฝีปากของเขาเบาๆอีกหน
ก่อนที่คยองซูจะกระซิบตอบคริสพร้อมทั้งยกยิ้มกว้าง...
“พี่รู้อะไรไหมคริส?
.
.
.
.
.
.
ผมยอมยกโทษให้พี่...ตั้งแต่เราเปิดประตูมาสบตากันแล้ว”
เสียงฝนที่ตกลงมาข้างนอกหน้าต่าง...
ทำเอาคยองซูต้องสูดเอากลิ่นน้ำฝนและกลิ่นหญ้าชุ่มฉ่ำเข้าไปเต็มปอด
เขายังคงยืนยันว่าเขาเองไม่ชอบหน้าฝนเท่าไหร่นัก
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นหอมนี้ทำให้เขาสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งเสียงเม็ดฝนขนาดกลางที่กำลังตกกระทบหลังคาร้านเป็นจังหวะก็ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขจริงๆ...
เขาว่ากันว่าท้องฟ้าหลังฝนตกมักจะมีสายรุ้งเสมอ...
คยองซูรักที่จะมองสายรุ้ง เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าท้องว่าสว่างและสดใสกว่าทุกที
เหมือนกับเมื่อสายฝนผ่านไป บรรดาดอกไม้ก็จะผลิบานชูช่ออีกครั้ง....
คยองซูหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดหนามดอกกุหลาบกองใหญ่เพื่อจะเอาลงไปแช่ในน้ำ
ในขณะที่เงี่ยหูรอฟังเสียงที่เขาคุ้นเคยอย่างใจจดใจจ่อ...
กรุ๊งกริ๊ง....
เสียงกระดิ่งที่ดังมาจากประตูหน้าร้านสีขาวใหญ่ทำให้คยองซูต้องยกยิ้ม
คยองซูยกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
เขารู้ทันทีว่าใครกันที่เป็นคนเดินเข้ามา...
เพราะว่าแค่กลิ่นน้ำหอมกลิ่นหรูที่ลอยโชยเข้ามาแตะจมูกก็ทำให้เขาจำได้แล้วว่าใครกันที่เดินเข้ามาในตอนนี้
คริส...คนรักของผม
“ขยันอีกแล้วนะครับตัวเล็ก"
หนึ่งปีผ่านไป สถานการณ์เดียวกันแต่ทุกอย่างช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบเอ่ยที่ข้างหูของผมก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ข้างแก้ม
ผมยกยิ้มกว้างหากแต่ยังไม่ได้หันเหความสนใจไปจากดอกกุหลาบในมือ
“อื้ม...รอแปปเดียวนะครับ เหลืออีกสามดอกเอง”
ผมกระซิบตอบคริส ที่ตอนนี้กำลังเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม
และยกแขนขึ้นโอบที่บ่าของผมก่อนจะกระชับให้กายของเราสองคนเข้ามากอดก่ายกัน
“อ่า...แค่สามดอกเองนี่นา พี่รอได้ครับ
แต่ไหนดูซิ โอ้...เดี๋ยวนี้ตัวเล็กไม่โดนหนามปักเลยนี่นา
เก่งจังเลยแฟนใครเนี่ย?”
คริสเอ่ยแซวผมพร้อมทั้งยกมือขึ้นยีหัวผมโคลงเคลงไปมา
ผมยิ้มบางๆก่อนจะกระซิบตอบกลับพี่เขาไปเบาๆว่า...
“แต่ถึงผมจะโดนหนามปัก พี่ก็จะมีพลาสเตอร์ยามาติดให้ผมใช่ไหม?”
“แน่นอน...พี่ซื้อเก็บไว้เป็นโหลเลย เพราะว่านายน่ะซุ่มซ่าม”
“ที่ซุ่มซ่ามก็เพราะว่ามัวแต่มองใครบางคนแถวนี้หรอกครับ
แต่ต่อจากนี้คงไม่โดนปักแล้วล่ะ...เพราะผมเลิกเหม่อแล้ว”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าเลิกมองพี่แล้ว?”
“อื้ม...เลิกมองแล้ว เลิกมองเพราะหันไปจูบเอาเลยง่ายกว่า
แหม...ก็แฟนผมหล่อขนาดนี้ ใครจะห้ามใจไหวล่ะ”
ผมยกยิ้มกว้างพลางหันหน้าไปเอ่ยแซวเขา
คริสยกมืออีกข้างที่ไม่ได้โอบผมขึ้นมาบีบที่จมูกผมเบาๆก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้
ใกล้มากจนลมหายใจกลิ่นมิ้นท์ของคริสรวยรินอยู่ที่ปลายจมูกของผม
คริสก้มลงมาประทับริมฝีปากนุ่มที่ริมฝีปากของผม
ก่อนจะมอบจุมพิตแสนหวานที่แม้ว่าผมจะได้ลิ้มลองมันกี่ครั้งผมก็ต้องติดใจมันทุกครั้งไป...
ติดใจจนร่ำร้องอยากจะได้ชิมอีก...
หวาน...มันหวานจนผมไม่อาจจะถอนริมฝีปากออกมาได้
“อ่า...อย่าพูดอย่างนี้อีกนะคยองซู
ถ้าขืนนายพูดอย่างนี้อีกที ถ้าพี่ทำอะไรลงไปอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน
อุตส่าห์ทนมาได้ตั้งนานแล้ว อย่าทำให้พี่ตบะแตก”
คริสพูดขึ้นในขณะที่มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบกระชับบ่าผมก็ลงมาลูบไล้ยุ่มย่ามอยู่ตรงหน้าขา
จนผมต้องเอาดอกกุหลาบที่อยู่ในมือตีมือซนของคริสไปทีหนึ่งอย่างเสียไม่ได้
“นี่แหน่ะ...คนลามก”
“ลามกตรงไหน...พี่ก็แค่อยากเป็นเจ้าของนาย
อยากจะทำให้นายเป็นของพี่คนเดียว”
“ผมไม่ใช่สิ่งของนะ...
แล้วพูดอย่างกับว่าผมไม่ได้เป็นของพี่คนเดียวอย่างนั้นแหละ”
ผมหันไปค้อนคนเป็นพี่ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ
คริสสะบัดเสียงอย่างขัดใจก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ค่อยพอใจนัก
“ก็ไม่ใช่สิ่งของ...แต่ไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไรนะ คิมจงแดใช่ไหม? ไหนจะปาร์คชานยอลอีก
จะไม่ให้พี่หึงหรือไงในเมื่อแฟนพี่มีผู้ชายอื่นมาจีบตั้งหลายคน
นี่ขนาดว่าพี่เป็นอาจารย์ พวกมันยังไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ
อย่าให้พี่เห็นว่ามันมายุ่มย่ามวุ่นวายกับนายอีกนะ ไม่งั้นพี่ไม่เอาพวกมันไว้แน่”
“พูดอย่างนี้แปลว่าไม่เชื่อใจผม?”
“ก็เชื่อใจ...แต่ไม่ไว้ใจไอ้พวกนั้น
พี่หึงสุดๆเลยเข้าใจไหม? ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับนายเลยซักคน”
คริสส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
เขากระชับอ้อมแขนที่โอบรอบบ่าคยองซูให้แน่นเข้าไปอีกจนตัวเราเบียดชิดกันจนไม่เหลือที่ว่าง
วันที่สายฝนโปรยปรายและเหน็บหนาวอย่างนี้ อ้อมกอดของคริสทำให้ผมอบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ผมวางดอกกุหลาบดอกสุดท้ายที่ถูกริดหนามออกจนหมดลงไปในถังน้ำ
ก่อนจะค่อยๆเอนศีรษะซบลงไปที่แผงอกกว้างของคริสอย่างช้าๆ
มือทั้งสองของเรากุมกันไว้ และเสียงหัวใจของคริสก็เต้นดังออกมาจากอก
จนผมอดที่จะยกยิ้มเพราะเสียงจังหวะหัวใจที่เต้นดังออกมานั้นไม่ได้
“ทำเป็นหวงไม่เข้าเรื่อง มันไม่ได้มีอะไรซักหน่อยรู้ไหม?
เชื่อใจผมแล้วเลิกสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นเถอะ
ไหนว่าวันนี้จะพาผมไปเดทไง...จะพาผมไปไหนเหรอ?”
ผมช้อนตามองเขาก่อนจะเอ่ยถาม คริสยกยิ้มออกมาก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผมบางๆอย่างอ่อนโยน
“ถ้าตัวเล็กอยากไปไหนพี่จะพาไปหมดเลย
ว่าแต่อยากไปไหนล่ะหืม?”
“นั่นสินะ...ฝนตกซะด้วยสิ
ไม่รู้เลยว่าจะไปไหน...”
“แต่ความจริงพี่ว่าเราอยู่อย่างนี้เฉยๆก็ดีเหมือนกันนะ
ในวันที่อากาศหนาวๆแบบนี้ แค่มีคยองซูก็อุ่นแล้ว”
คริสพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีกจนผมแทบจะไปเกยบนตักเขาอยู่แล้ว
มือเล็กของผมที่มีมือของคริสกุมไว้ถูกบีบแน่นเมื่อคริสพูดจบประโยค...
ผมยกยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังประโยคหวานเลี่ยนของคนเป็นพี่จนผมไม่อาจห้ามความรู้สึกที่ประทุอยู่ในอกได้
“พี่รักผมไหมคริส?”
ผมถามออกไปเพราะอยากจะได้ยินคำรักแสนหวานจากปากคนเป็นพี่
ถึงจะมั่นใจว่าเราคิดตรงกันแต่ผมก็อยากจะได้ยินคำๆนั้นอีกครั้งให้ชื่นหัวใจ
คริสหันมามองผมอย่างหาความหมายในคำถามนั้น
หากแต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้สื่อความหมายอะไรนอกจากคำถามซื่อๆ
เขาเลยยกยิ้มกว้างก่อนจะกดจมูกที่ขมับของผมแล้วหอมเสียฟอดหนึ่ง
ผมยกยิ้มกว้างที่เขาทำอย่างนั้น...ยิ้มรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินพี่เขากระซิบคำนั้นที่ข้างหู
“รักสิ...รักมากจนไม่อยากจะเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่นเลย”
คริสกระซิบคำรักแสนหวานก่อนจะเบียดริมฝีปากลงมาเบียดของผม
ผมเผยอกลีบปากเพื่อเปิดทางต้อนรับพี่เขาให้ส่งลิ้นร้อนเข้ามากอบกว้าน
สัมผัสจากปลายลิ้นที่หยอกล้อกันทำให้ผมรู้สึกขนลุก...
มือของคริสที่เคยกุมมือผมบัดนี้ถูกสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดแล้วเริ่มสาละวนลูบไล้ที่หน้าท้องและหน้าอกของผมไปมาไม่ได้หยุด
ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยกแขนขึ้นโอบรอบคอพี่เขาแล้วตวัดลิ้นตอบกลับลิ้นร้อนที่พี่เขาส่งมาให้อย่างรู้งาน...
หลับตาพริ้มเมื่อเอียงคอแล้วปล่อยให้พี่เขาได้ส่งลิ้นเข้ามาตวัดไปทั่วโพรงปาก
จนกระทั่งรับรู้ได้ว่ามือของคริสเริ่มมายุ่มย่ามอยู่ที่ขอบกางเกง
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อนิ้วเรียวของคริสตวัดเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในของผมอย่างช้าๆ
ผมถดหน้าออกมาก่อนจะยกมือข้างที่ว่างไปจับมือคริสไว้ไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่านั้นอีก
เพราะว่าตอนนี้เราอยู่กันในร้าน และแม่ของผมอาจจะลงมาเห็นเมื่อไหร่ก็ได้
“พี่...พี่ขอโทษ แต่พี่อดใจไม่ไหว”
คริสกัดริมฝีปากเมื่อถอนจูบออกไปและกระซิบคำขอโทษประชิดริมฝีปาก
ผมปรือตามองพี่เขา รสจูบของคริสทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มและมึนงงไปหมด
รสชาติหวานที่ยังคงติดอยู่ตรงริมฝีปากทำให้ผมไม่อาจจะต้านทานความรู้สึกได้
ผมรักสัมผัสของคริสราวกับว่ามันเป็นสารเสพติด ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็ไม่อาจจะหยุดได้
ผมยกมือวางทาบไปบนแผ่นอกกว้างของคริส ริมฝีปากของเรายังประชิดกันแต่ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาอีก
ผมหลับตาก่อนเงยหน้าขึ้นไปจะจุมพิศไปที่ริมฝีปากของพี่เขาเบาๆอีกครั้ง...
แล้วตัดสินใจกระซิบตอบพี่เขาไปว่า...
“คริส...ผมรู้แล้วว่าผมอยากไปเดทที่ไหน”
“หืม...ที่ไหนล่ะครับ?”
“ผมคิดว่า...อากาศหนาวๆอย่างนี้
.
.
.
.
.
.
ไปห้องของพี่หรือไม่ก็ห้องของผม...น่าจะเวิร์คดีนะว่าไหม”
- END -
จบแล้วจริงๆค่ะ...ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบนะคะ
มันอาจจะจบไม่ค่่อยถูกใจใครหลายคนเท่าไหร่ แต่ไรเตอร์คิดว่าจบแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว :)
ไรเตอร์อยากจะขอโทษจริงๆที่เข้ามาอัพช้า และภาษาก็ไม่ดีเท่าทีควรจะเป็นเท่าไหร่
แต่ก็อยากจะขอบคุณรีดเดอร์จริงๆที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจกันเข้ามาจนทำให้เรื่องนี้จบลงจนได้
สำหรับรีดเดอร์ที่รักและคอมเม้นท์ให้กันมาตลอด
ไรเตอร์อยากจะขอบคุณจริงๆนะคะ...เพราะทุกคนทำให้ไรเตอร์ยิ้มได้
และมีกำลังใจที่จะแต่งฟิคมาจนถึงวันนี้
ไม่มีอะไรจะบอกแทนนอกจากคำว่ารักและอยากจะขอบคุณจริงๆค่ะ
ไรเตอร์ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆนะ ในหัวมีแค่สองคำนี้ที่วนเวียนอยู่ในหัว
รักรีดเดอร์จริงๆค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ ♥♥♥♥♥
สำหรับรีดเดอร์ที่อ่านเรื่องนี้จบแล้วและสนใจอยากจะได้ฟิคเรื่องนี้แบบรวมเล่ม
ก็เข้าไปอ่านรายละเอียดตามลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ
http://writer.dek-d.com/sunnysnowman/writer/viewlongc.php?id=827254&chapter=10
โดยที่รีดเดอร์ต้องกรอกแบบฟอร์มตามที่ไรเตอร์เขียนไว้นะคะ
และเมื่อไรเตอร์จัดหน้าฟิคเสร็จแล้วเอาไปถามราคาอะไรเสร็จแล้ว
ไรเตอร์ก็จะมาแจ้งรายละเอียดให้กันอีกทีหนึ่งค่ะ...
ไรเตอร์หมดเรื่องจะทอล์คแล้วค่ะ
แล้วก็หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกในผลงานเรื่องต่อๆไปนะ
รักรีดเดอร์ค่ะ ^^
ความคิดเห็น