ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF-EXO] ✚ :: THE FL0WERS:: ✚ [ KRIS x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #6 : ✚ SH0T 6 :: THE END

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ค. 55


     

     

    Author : MR.SN0WMAN
    Pairing : KRIS x D.O.
    Photo by :PickaJae★PickaJi 
    Rate :PG-13




    THE FL0WERS*




     
    ---------------------------











    “เฮ้! คยองซู...ฉันหิวอ่ะมีไรให้กินบ้างป้ะ?”

     

    จงอินถามผมในขณะที่เขานอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงของผมแล้วทำตัวเหมือนกับเป็นเจ้าของบ้าน
    เซฮุนกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา ก่อนจะขว้างกระเป๋าดินสอที่อยู่ตรงหน้าผมใส่จงอินไปเสียเต็มแรง

     

    “โอ๊ย!! เจ็บนะ ทำอะไรของนายน่ะ?!

     

    จงอินกระเด้งตัวลุกขึ้นมาตวาดใส่คนที่ขว้างกระเป๋าดินสอมาโดนเต็มหน้าท้องของเขา

     

    “สมควร! มันชักจะสบายไปมะ?

    รายงานตัวเองนะเว้ยดันมาให้ฉันทำแล้วตัวเองไปนอนอ่านการ์ตูนสบายใจเฉิบ!

    แล้วนี่อะไรมีการใช้เจ้าของบ้านไปหาข้าวหาน้ำให้กินอีก หน้าด้านไปมั้ยฮึ?!

     

    เซฮุนกระชากเสียงกลับ หากแต่ก็ยังก้มหน้าลงมาเขียนอะไรซักอย่างในสมุดรายงานของจงอินยุกยิก

    ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสองคนนี้อะไรกันแน่...แต่ที่แน่ๆจงอินก็ยกเลิกที่จะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น

    ช่วงหลังๆนี้สองคนนี้ก็ตัวติดกันเป็นตังเม แทบจะเรียกได้ว่าถ้าจงอินไปไหนที่นั่นต้องมีเซฮุนอยู่ด้วยเสมอ...

    ความสัมพันธ์ของผมกับจงอินกลับมาเป็นเหมือนเดิมทุกประการ...



    เรายังเป็นเพื่อนรักกันหากแต่ตอนนี้มีเซฮุนอีกคนเข้ามาในกลุ่มด้วย...

    ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะการที่จงอินตัดสินใจไม่ไปญี่ปุ่นมันก็ดีมากสำหรับผมแล้ว

    และผมออกจะมั่นใจมากว่ามันดีต่อเซฮุนด้วยเช่นกัน...

     

    ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นจงอินกับเซฮุนทะเลาะกันอย่างนี้อยู่เรื่อย

    และมีหลายครั้งที่ผมบังเอิญไปเจอสองคนนี้ไปกินข้าวดูหนังด้วยกันสองคนบ่อยๆ

    อา...ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไร้เดียงสาอะไรขนาดนั้นนะครับ

    ใครดูก็รู้ว่าเซฮุนชอบจงอิน...แต่จงอินเนี่ยสิที่ผมดูไม่ค่อยจะออก

    (เพราะถ้าผมดูจงอินออกตอนนั้นผมคงจะรู้นานแล้วว่าจงอินแอบชอบผม...)


    แต่ไหนแต่ไรมาจงอินก็ไม่ค่อยจะพูดจะบอกความรู้สึกของตัวเองพร่ำเพรื่ออยู่แล้ว

    แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับเซฮุนเท่าไหร่นัก...เพราะดูเหมือนพวกเขาก็เข้ากันได้ดี เอ่อ...ถึงขั้นดีมากๆด้วยซ้ำไป

    น่าตลกดีนะครับที่พวกเขายังทำปากแข็ง ทั้งๆที่มีบางครั้งบางทีที่ผมหันหลังให้ มือพวกเขาก็จับกันแน่นไปซะแล้ว

    อ่า...อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะให้ตายเหอะ มันน่าอิจฉาจริงๆเลยนะคนมีความรักเนี่ย...

     


    “เลิกทะเลาะกันเหอะ...เดี๋ยวฉันไปหาอะไรให้พวกนายกินแล้วกัน

    เราก็ทำรายงานกันมาหลายชั่วโมงแล้วเนอะ  

    ฉันลืมไปหาอะไรมาให้พวกนายดื่มเลย กินกาแฟดีไหมเดี๋ยวฉันไปชงมาให้”

     
     

    “อ่า...ก็ดีเหมือนกันนะ ทำๆไปก็ผงกจนหัวจะโขกโต๊ะอยู่แล้ว”

     
     

    เซฮุนบ่นขึ้นพลางยกมือขึ้นนวดที่ต้นคอ

    ผมยกยิ้มก่อนจะพยักหน้าส่งให้เซฮุนกับจงอินไปก่อนจะขอตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง

     
     

    แต่ทันทีที่ผมปิดประตูห้องลงผมก็ต้องสะดุ้ง...
    ผมยกหัวคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะตัดสินใจแนบหูไปกับบานประตู

    เมื่อได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่แน่ใจนักว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า

    และเมื่อผมแนบหูลงแนบกับประตู เสียงที่ผมได้ยินก็คือ...

     

    “นายกล้าขว้างของใส่ฉันเหรอ?! นายตายแน่โอเซฮุน!

     

    “ด..เดี๋ยวจงอิน!
    อื้อออออออออออ................”

     
     

    เสียงโหวกเหวกของเซฮุนดังขึ้นก่อนที่ทั้งสองคนจะเงียบหายไปเสียอย่างนั้น

    ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงร้อนวูบวายขึ้นมา เมื่อได้รู้แล้วว่าตัวเองแอบไปได้ยินอะไรที่ไม่สมควรจะได้ยินเข้าซะแล้ว

    อ่า...งั้นถ้ามันเป็นอย่างนี้ สงสัยผมคงต้องลงไปชงกาแฟนานหน่อยสินะ

     




     

     

    ผมใช้เวลาในการชงกาแฟและจัดเตรียมขนมจัดใส่ถาดอย่างเหม่อลอย

    จู่ๆก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเมื่อได้รินกาแฟร้อนหอมกรุ่นลงไปในแก้ว

    เผลอคิดถึงคนที่เคยได้ดื่มมันขึ้นมาก็เล่นทำเอาผมเหม่อลอยคิดไกลไปอย่างลืมเนื้อลืมตัว

    พลันเมื่อได้คิดถึงเขา...ผมก็รู้สึกว่าผมคงเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ

    ทำไมกันนะ? ทำไมผมถึงลืมไม่ได้ซักที

     
     

    ทำไมผมถึงยังรักเขานะ?

    ความรักช่างน่าตลกจริงๆ...คนเราใช้เวลาแค่เพียงวินาทีเดียวก็ตกหลุมรักได้

    แต่สำหรับผมแล้ว หากใช้ทั้งชีวิตที่จะลืม ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าผมจะลืมเขาได้ไหม?

     
     

    เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ผมกับคริสไม่ได้ติดต่อกันเลย...

    ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงนอกจากรอคอยเวลาให้ผ่านไปอย่างที่ลู่หานเคยบอกผมไว้แค่นั้น

    ช่วงแรกๆมันยากจริงๆที่ผมจะทำใจไม่ติดต่อกับเขา...

    และผมยอมรับว่าในตอนนี้ผมก็ยังคิดถึงเขาอยู่...และมันยากจริงๆที่จะห้ามใจไม่ให้คิดถึงเขาได้



    ช่วงเวลาเก่าๆของผมกับคริสยังคงวนเวียนหลอกหลอนผมเหมือนกับว่ามันเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไป...

    ผมยังตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งรอให้ใครบางคนเดินเข้าร้านมาสั่งให้ผมจัดดอกไม้...

    ยังคงตื่นมาชงกาแฟทุกเช้า ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องเททิ้งไปเพราะไม่มีคนดื่มมันเลยซักคน

     

    ทุกครั้งที่ผมไปเรียน...ผมยังคงคิดถึงห้องพักอาจารย์ที่ผมเดินเข้าออกเป็นประจำจนกลายเป็นเรื่องปกติ 
    และแม้ว่าเทอมนี้ผมจะไม่ได้เรียนกับคริสแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากจะเดินผ่านคลาสที่คริสสอนอยู่เรื่อย...
    เพราะแค่เพียงผมได้ยินเสียงเขาบ้าง...ผมก็พอใจมากแล้วที่ได้รับรู้ว่าเขาสบายดีและยังใช้ชีวิตได้เหมือนปกติโดยที่ไม่มีผม

    มีบางครั้งแค่เห็นรถยี่ห้อเดียวกันสีเดียวกันขับผ่านหน้าบ้าน
    หัวใจผมก็เต้นตึกตักจนจะตายเสียให้ได้ ทั้งๆที่เจ้าของรถและป้ายทะเบียนนั้นไม่ใช่คนที่ผมคิดถึงเลยก็ตามเถอะ



    อา...นี่มันบ้าจริงๆ

     
     

    ทำไมนะ...ทำไมคริสถึงมีอิทธิพลกับจิตใจของผมขนาดนี้?

    ผมลืมเขาไม่ได้จริงๆ และผมเองก็ไม่รู้วิธีที่จะทำใจให้ลืมด้วย...


    ผมไม่เคยมีความรักมาก่อน...คริสเป็นคนแรกที่ผมให้รักและมอบหัวใจให้

    และผมตระหนักได้แล้วจริงๆในตอนนี้ ว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่รับรักผมเลยก็ไม่เป็นไร

    ขอแค่เพียงให้เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมผมก็พอใจแล้ว...แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม

    จะให้กลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมหรือเป็นเพียงลูกค้ากับพ่อค้าร้านดอกไม้ผมก็ยอม...

    ผมอยากจะขอเพียงแค่ให้เขากลับมาก็เท่านั้น...

     

     

    พี่อยู่ไหนนะคริส? โปรดยกโทษให้ผมได้ไหม?

    ยกโทษเด็กเอาแต่ใจที่เห็นแก่ตัวคนนี้เถอะนะ...

    หากพี่กลับมา...ผมสัญญาว่าผมจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งนั้น

    ขอเพียงแค่พี่กลับมา...

     

     

    คยองซูยกมือปาดน้ำตาที่รินไหลลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้

    ก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดว่านี่มันบ้าจริงๆ...ทำไมเขาถึงต้องร้องไห้ด้วยนะ

    ทั้งๆที่ร้องไห้ไปก็ไม่ได้อะไรแท้ๆ แต่ทำไมหัวใจถึงยังอ่อนไหว...

    อา...ความรักช่างมีอานุภาพร้ายแรงจริงๆ...

     

     
     

    ผมถอนหายใจออกมาในขณะที่วางหม้อต้มกาแฟลงบนโต๊ะหินอ่อน

    หยิบจัดขนมเค้กกับกาแฟใส่ถาดแล้วยกขึ้นไปบนห้องนอนที่เซฮุนกับจงอินรออยู่

    ผมไม่ลืมที่จะยกมือเคาะประตูเบาๆสองสามครั้ง แม้ว่าห้องนี้จะเป็นห้องนอนของผมเองก็ตาม

     

     

    ผมยกยิ้มให้เพื่อนทั้งสองคนที่นั่งรออยู่คนละมุมห้อง...

    พลันเมื่อได้มองเห็นใบหน้าของเซฮุนที่กำลังแดงก่ำและริมฝีปากก็บวมเจ่อ...


    มันทำเอาผมอดยิ้มออกมาไม่ได้จริงๆ  เมื่อได้เหลือบไปมองเห็นจงอินกำลังแสร้งยกการ์ตูนขึ้นอ่าน

    แล้วทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยในระหว่างที่ผมไม่อยู่

     
     

    “มาแล้ว...รอนานมั้ย?”

     
     

    ผมถามออกไปพร้อมทั้งยกยิ้ม รู้สึกขบขัน
    เมื่อเห็นเซฮุนกำลังก้มหน้าก้มตาพลิกหน้าหนังสือ
    ที่เรายืมมาเพื่อค้นหาข้อมูลเขียนรายงานอย่างเอาเป็นเอาตาย

     
     

    “ก...ก็นิดหน่อย ร...รีบเอามาวางตรงนี้สิ หิวจะแย่แล้ว”

     
     

    เซฮุนตะกุกตะกักตอบทั้งๆที่ใบหน้าก็ยังแดงก่ำ

    ผมหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะวางถาดขนมกับกาแฟร้อนๆลงไปบนโต๊ะเขียนหนังสือทรงสี่เหลี่ยมกว้าง

     
     

    “มากินเค้กสิจงอิน...เดี๋ยวกินเสร็จแล้วจะได้ลุยกันต่อ”

     
     

    ผมชักชวนจงอินให้เข้ามาร่วมวงกินเค้กด้วยกัน

    จงอินไม่ได้ปฏิเสธ...เขารีบปรี่เข้ามานั่งที่มุมโต๊ะด้านหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างผมกับเซฮุน

    จงอินรีบยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ก่อนที่เขาจะสำลักมันออกมาจนผมกับเซฮุนเบิกตากว้าง

     

     

    พรวด!!!!!

     
     

    “อ๊อก! แค่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้ย! นี่มันกาแฟบ้าอะไรเนี่ย?!

     
     

    จงอินบ่นออกมาในขณะที่วางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะ

    ใบหน้าเหยเกนั้นบ่งบอกถึงรสชาติที่ไม่ได้เรื่องของกาแฟที่คยองซูเป็นคนชง

     
     

    “อะไรของนาย...รสชาติมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     
     

    เซฮุนถามขึ้นในขณะที่หยิบทิชชู่ขึ้นไปซับกาแฟที่เลอะเปื้อนที่เสื้อของจงอิน

     
     

    “มัน! ยิ่งกว่าเลวร้ายมาก!!!
    อ๊ากกกกก ใจฉันจะระเบิดมั้ย?! ทำไมมันขมปี๋ขนาดนี้!

    นายชงกาแฟเป็นไหมเนี่ยคยองซู ทำไมรสชาติมันถึงห่วยแตกขนาดนี้ฮะ?!

     


    จงอินบ่นออกมาในขณะที่ก็ชี้มือชี้ไม้มาที่แก้วกาแฟฝีมือของผมอย่างสยดสยอง

    ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจนัก...ผมก็ชงอย่างนี้เป็นปกติ คริสเองก็เคยบอกว่าอร่อย 

    แล้วไหงจงอินถึงได้บอกว่ารสชาติมันห่วยแตกล่ะ!

     
     

    “กาแฟที่ไหนไม่ขมบ้าง ตลกล่ะ...

    นายเว่อร์มากจงอิน พี่คริสดื่มกาแฟฝีมือฉันทุกวันเขายังไม่บ่นเลย

    นายนั่นแหละเคยกินกาแฟไหมฮะ?!

     
     

    ผมตวัดเสียงถามเขาไปอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก...

    แหม...มาว่าผมชงกาแฟไม่เป็นได้ยังไงล่ะ นี่ผมฉุนนะครับพูดจริงๆ!

     
     

    “นายลองชิมเลยเซฮุน...แล้วบอกคยองซูทีว่ารสชาติมันห่วยมากกกก”

     
     

    จงอินยังคงแสดงอาการสยดสยองในกาแฟฝีมือผมจนน่าหมั่นไส้

    เซฮุนหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าตาเหยเกดูไม่ได้

    อะไรกัน...ผมชงกาแฟห่วยแตกจริงเหรอ?



    “บ้าแล้ว...นี่นายใส่กาแฟไปกี่ช้อนกันเนี่ยคยองซู

    มันขมมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    อาจารย์คริสบ้าไปแล้วที่ทนดื่มกาแฟของนายได้!

     
     

    เซฮุนกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างหวาดๆ

    คำยืนยันของเพื่อนทั้งสองทำให้คยองซูรู้สึกตกใจจริงๆ

    ถ้ามันห่วยแตกขนาดนี้...แล้วทำไมคริสถึงบอกว่ามันอร่อยล่ะ?



     

    “ม...ไม่จริงอ่ะ พี่คริสบอกว่าฉันชงกาแฟอร่อยนะ!

     

     

    “เขาพูดรักษาน้ำใจนายน่ะสิ...

    ใครกินกาแฟนี้แล้วบอกว่าอร่อยฉันว่าประสาทสัมผัสการรับรู้รสคงตายด้านไปแล้ว

    นี่นายไม่เคยชิมกาแฟฝีมือตัวเองเลยหรือไง?”

     

     

    จงอินพูดแขวะก่อนจะดันแก้วกาแฟฝีมือผมออกห่าง

    เซฮุนก็เช่นกัน เขารีบหยิบส้อมคันเล็กที่วางอยู่แล้วเริ่มตักเค้กเข้าปากอย่างเร่งรีบ

    ราวกับว่าถ้ารสชาติกาแฟของผมยังติดลิ้นเขา เขาอาจจะตายก็ได้ =  =

     

     

    “ไม่อ่ะ นายก็รู้ว่าฉันไม่ดื่มคาเฟอีน

    แต่เฮ้! พี่คริสดื่มมันมาตั้งทุกวันเลยนะ ตั้งหลายเดือนเลยด้วย!

    เขายังไม่เคยบอกเลยด้วยว่าฉันชงกาแฟอร่อย”

     

     

    ผมเถียงอย่างจนตรอก...

    อ่า...รู้สึกขายหน้าจัง ผมทำกับข้าวอร่อยนะจะบอกให้

    แล้วไหงสองคนนี้มาทำให้ความภูมิใจของผมหดหายอย่างนี้ล่ะ ใจร้ายจริงๆ...

     

     

    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคริสกำลังทำอะไรอยู่...

    แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันบอกได้คำเดียวเลยว่าฉันคงไม่ทนดื่มกาแฟนี่ทุกวันแน่

    ขืนกินเข้าไปหัวใจฉันอาจจะสั่นจนระเบิดตายก็ได้ ไม่ไหวอ่ะ

    ทำไมคริสถึงบอกว่าอร่อยได้นะ...ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ นี่เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่?”

     
     

    จงอินพูดออกมาพร้อมทั้งยกคิ้ว

    ถามคำถามที่แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าคำตอบของมันคืออะไร...

     
     

    แต่ที่ผมรับรู้ได้อย่างเดียวคือหัวใจที่เต้นลิงโลดของผมในตอนนี้เท่านั้น...

    ทำไมเขาถึงต้องอดทนดื่มมันทุกวันด้วยนะ...

    ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างเราจะอดทนมันได้นานขนาดนั้นเลยเหรอ?

    อะไรที่ทำให้คริสทนดื่มมันมาได้ร่วมปีอย่างนี้ล่ะ


    .

    .

    .

    .


    ช่วยบอกผมทีว่าผมมีหวังบ้างไหม?

     

     


     

     

     

     

     

     

     

    พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และนาฬิกาก็บอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว

    จงอินและเซฮุนขอตัวลากลับเมื่อรายงานของเราทั้งสามคนยังทำไม่เสร็จดีนัก

    ตอนนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวและกำลังลงมือทำอะไรกินง่ายๆด้วยตัวเอง...

     

    วันนี้แม่กับพ่อไม่อยู่บ้านอีกแล้ว...

    เพราะว่าลูกพี่ลูกน้องของผมที่จอลลาโดกำลังจะมีพิธีแต่งงาน

    แม่กับพ่อก็เลยออกเดินทางไปที่จอลลาโดตั้งแต่บ่าย

    เพื่อไปช่วยจัดพิธีและเข้าร่วมเป็นสักขีพยานให้กับพวกเขาด้วย




    ผมไม่ได้ไปเพราะว่าพรุ่งนี้ผมติดเรียน...

    และเอาจริงๆผมก็ไม่มีอารมณ์อยากจะไปเจอหน้าพวกญาติๆในตอนนี้เท่าไหร่นัก 

    พวกเขาเจอหน้าและก็มักจะถามคำถามเดิมๆ และมันทำให้ผมรู้สึกเบื่อมาก...

    คำถามที่ว่าเมื่อไหร่ผมจะเรียนจบ...เมื่อไหร่ผมจะมีแฟน

     
     

    โอ...พวกเขาถามกันอย่างนี้อยู่ทุกปี แล้วก็ไม่เคยจะจำเลยว่าตอนนี้ผมเรียนปีไหนแล้ว

    แถมเรื่องแฟนอีก ทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่มีแฟนแท้ๆแต่ก็ยังเอาแต่ถามกันอยู่ได้

    สู้ให้ผมอยู่บ้านคนเดียวดีกว่า ถ้าต้องไปเจอคำถามซ้ำๆน่าเบื่อแบบนี้น่ะจริงไหมล่ะ

     
     

    ผมคิดในใจอย่างเบื่อหน่าย

    ในขณะที่กำลังตักเส้นสปาเก็ตตี้ที่อยู่ในหม้อขึ้นมาพักแล้วแช่ลงไปในน้ำเย็นแล้วพักไว้

    วันนี้ผมทำเมนูที่ผมชอบและคิดว่าทำมันได้อร่อยที่สุด

    เหตุผลที่ผมชอบก็อาจจะเป็นเพราะว่าคริสชอบมันด้วยล่ะมั้ง...ผมก็เลยชอบที่จะทำ และชอบกินมันไปโดยปริยาย

     

     

    อ่า...แล้วทำไมผมต้องคิดถึงคริสอีกแล้วล่ะเนี่ย?

    นายจะตายไหมถ้าจะหยุดคิดถึงเขาซักวินาทีนึงน่ะคยองซูบ้า!

     








     

    กิ๊งก่อง...

     
     

    เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นมาทำให้ผมต้องยกคิ้วอย่างสงสัย

    ผมปิดไฟเตาแก๊สก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาและพบว่ามันเป็นเวลากว่าทุ่มครึ่งแล้ว

    ประตูหน้าร้านปิดแล้วทำให้ผมออกจะมั่นใจว่าคนที่มากดกริ่งไม่น่าจะใช่ลูกค้า

    แต่คิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นลูกค้าที่ต้องการจะให้สั่งดอกไม้แบบเร่งด่วนก็ได้

    จำพวกลูกค้าที่ต้องการจะสั่งดอกไม้ไปร่วมงานศพอะไรพวกนั้น...

    ก็แหม...คนเราจะตายมันเลือกเวลาได้ที่ไหนล่ะจริงไหมครับ

     

     

    ผมเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนในขณะที่เดินไปเปิดประตูหน้าร้าน

    ค่อยๆเปิดประตูออกก่อนจะยกยิ้มกว้างเพื่อต้อนรับและเตรียมจะปฏิเสธที่จะจัดดอกไม้ในตอนนี้

     
     

    “ขอโทษนะครับ...ร้านปิดแล้วครับ อ๊ะ!

     
     

    หากแต่เมื่อผมเปิดประตูออกไปเจอใครบางคนที่ผมไม่คาดคิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้

    หัวใจผมเต้นถี่รัวเสียจนผมคิดว่าถ้าหากมันเต้นถี่รัวขนาดนี้มันอาจจะหยุดเต้นก็ได้...

    ผมอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตานักว่าคนที่มายืนอยู่ตรงหน้านี้คือเขาจริงๆ...



    คริสกำลังยืนอยู่ข้างหน้าผม...

     

     
     

    “พ...พี่คริส”

     

     

    ผมอ้าปากค้าง เมื่อเห็นพี่เขายกยิ้มบางๆส่งมาให้

    ยิ่งได้เห็นว่าพี่เขากำลังยืนหอบดอกกุหลาบช่อใหญ่โตมโหฬารอยู่ในมือมันก็ยิ่งทำให้ผมพูดไม่ออก

    ผมนิ่งเงียบไปนานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี...

    และสิ่งแรกหลังจากที่สมองผมประมวลผลได้คือคำพูดที่ผมคิดว่ามันช่างตลกสิ้นดี

    นี่ผมกำลังพูดอะไรออกไป...

    “ข...ขอโทษนะครับ แต่ตอนนี้ร้านปิดแล้ว

    และผมคิดว่าคุณมีดอกไม้แล้ว คงไม่ต้องให้ผมจัดให้ก็ได้”

     

    ผมพูดออกไปอย่างประชดประชัน แม้ว่าจะไม่เข้าใจนักว่าช่อดอกไม้ในมือของคริสนั้นคืออะไร
    แต่หัวใจที่เต้นรัวเร็วและรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ของคริสที่ส่งให้ผมทำให้ผมอดจะพูดออกไปอย่างนั้นไม่ได้...

     
     

    ความคิดถึง ความโกรธ ความเสียใจ...
    มันมลายหายไปหมดเมื่อคนเป็นพี่มาหยุดยืนต่อหน้าผมแบบนี้
    ผมไม่แน่ใจเลยว่าผมกำลังคิดอะไร...แต่ผมอยากจะวิ่งเข้าไปกอดเขาเหลือเกิน


     

    “ผมไม่ได้ต้องการช่อดอกไม้หรอกครับ...

    แต่ผมอยากจะมอบช่อดอกไม้ให้กับพ่อค้าคนนี้ได้ไหม คนตรงหน้าผม”

     

    คริสยกยิ้มพลางพูดอย่างอ่อนโยน...รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของคยองซูกระตุกสั่น

    น้ำตากำลังจะไหลลงมาแล้ว แต่ไม่นะ --- เขาไม่ควรจะร้องไห้ออกมาในตอนนี้นี่

     
     

    “ผ...ผมว่าคุณคงเอามาให้ผิดคนแล้วล่ะครับ

    ค...คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปซักอย่าง พ...เพราะฉะนั้นกลับไปเถอะครับ”

     

     

    “ไม่ได้เข้าใจผิดหรอกคยองซู

    ลองนับดอกกุหลาบในช่อนี้ดูสิคยองซู...ดอกกุหลาบในช่อนี้มีอยู่ 99 ดอก

    และนายคงจะรู้...ว่ามันหมายความว่าอะไร”

     
     

    คริสตอบกลับมาเสียงแผ่วเบาจนทำให้ผมคิดว่าผมอาจจะกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน

    ดอกกุหลาบเก้าสิบเก้าดอก...บ่งบอกถึงความหมายที่ว่า

    ฉันจะรักเธอจนวันตาย ขอให้ฉันเป็นคนสุดท้ายในชีวิตเธอได้ไหม?

     
     

    “พ...พี่หมายความว่าไง?”

     
     

    ผมถามอย่างตกตื่น...คริสรู้ความหมายของจำนวนดอกกุหลาบ

    และความหมายนั้นทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ผมคิดว่าผมกำลังจะตายอยู่ตรงนี้เสียให้ได้

    เมื่อเห็นพี่เขาส่งสายตาจริงจังและเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกของเขา

    แต่ละคำพูดที่เขาเอื้อนเอ่ยทำให้น้ำตาที่ผมพยายามเก็บกักเอาไว้ไหลออกมาอย่างช้าๆ




    ผมกำลังฝันไปใช่ไหม?....

     

     

    “พี่รักนายนะคยองซู...รักนายและหวงนายมาตลอด

    ยกโทษให้พี่ได้ไหมที่ก่อนหน้านี้พี่ไม่รู้ใจตัวเอง...

    ได้โปรดยกโทษให้พี่ พี่ขอโทษที่เคยทำให้นายเสียใจและร้องไห้

    แต่ต่อจากนี้ไปผู้ชายคนนี้จะขอทำทุกอย่างให้นายมีความสุข

    พี่รู้ตัวเองแล้วว่าพี่รักนาย ได้โปรดเถอะ...เป็นแฟนกับพี่ได้ไหม?”

     

     

    คำพูดที่ท้ายประโยคทำเอาผมต้องกลั้นหายใจ รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวผมเงียบสงัด...

    และมีเพียงเสียงหัวใจของผมเท่านั้นที่กำลังเต้นระรัวในเวลานี้

    หากแต่เมื่อได้ยินคำที่รอคอยมาตลอดถูกเอ่ยออกมาในตอนนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกโกรธ

    เขาเห็นผมเป็นของเล่นหรือไงกันนะ! คิดอยากจะมาก็มา คิดอยากจะไปก็ไป!

    คิดอยากจะบอกรักกันก็มาบอก...ทั้งๆที่เขาหายไปนานขนาดนั้น

    อู๋อี้ฟาน...คุณมันคนใจร้ายจริงๆ!

     

     

    “ค...คนบ้า! คนโกหก!! พี่ทิ้งผมไปตั้งเกือบเดือนแล้วโผล่มาบอกรักผมตอนนี้เนี่ยนะ!!

    พี่เห็นผมเป็นของเล่นหรือไง?! คิดอยากจะให้ผมยกโทษให้จนต้องหลอกว่ารักผมเลยงั้นเหรอ?!

    พี่มันร้ายกาจ! หลอกใช้หัวใจผมเป็นเครื่องมืองั้นสินะ

    พี่มันใจร้าย! พี่มันใจร้าย!!!

     

     

    ผมตะโกนออกไปในขณะที่น้ำตาก็ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก

    ในหัวใจเต้นลิงโลดอย่างน่าประหลาดเพราะคำว่ารักของคริสเพียงแค่คำเดียว

    หากแต่ในหัวสมองก็ตีกันวุ่นไปหมด เพราะรู้สึกโกรธและน้อยใจที่พี่เขาหายไปนานขนาดนี้



    โอ...คำว่ารักของคริสช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน

    ช่างเอาแต่ใจจนคยองซูรู้ถึงว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ให้กับคำว่ารักนั้นอย่างราบคาบ

    และเขารู้ดีว่าเกมส์นี้เขากำลังจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้...

     

     

    “พี่ขอโทษนะคยองซู...พี่รู้ตัวแล้วว่าพี่รักนายแค่ไหน

    ยกโทษให้พี่นะ ได้โปรดให้อภัยพี่...แล้วเรามาเริ่มกันใหม่ได้ไหม? ได้โปรดให้โอกาสพี่...”

     
     

    คริสกระซิบและส่งสายตาเจ็บปวดมาให้คยองซู

    ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและมันทำให้คยองซูต้องหวั่นไหว...

     
     

    “ข..ขอโทษงั้นเหรอ?!!!

    แล้วที่ผมต้องทนทรมาณมาเกือบเดือนนี่มันอะไร?!!

    พี่เคยติดต่อเคยโทรมาหาผมไหม? พี่รู้รึเปล่าว่าผมเป็นยังไงตอนที่พี่ไม่อยู่?!

    พี่มันคนเห็นแก่ตัว!!! คนเลว!!! เอาแต่ได้!!!!!

     
     

    คยองซูไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาควรทำอย่างไร...

    ได้แต่ปรี่เข้าไปรัวกำปั้นเล็กๆทุบที่แผงอกกว้างของคริสอย่างนั้นด้วยความโมโห

    คริสยืนนิ่งแต่โดยดีและยอมให้คยองซูผลักและทุบตีเขาอย่างนั้นและก็ได้แต่เงียบ

    จนคยองซูจากที่ตะโกนก่นด่าพี่เขาและทุบตี แต่สุดท้ายแรงที่ใช้ทุบตีก็แปรเปลี่ยนเป็นอ้อมแขนที่ยกขึ้นไปโอบรอบตัวพี่เขา




    คยองซูแพ้แล้ว...แพ้หัวใจที่อ่อนแอของตัวเองอย่างราบคาบ...

     



    “ค...คนบ้า! ทำไมถึงเพิ่งโผล่มา!

    พี่รู้บ้างไหมว่าผมคิดถึงพี่แค่ไหน...คนใจร้าย! ใจร้าย!!!

     
     

    คยองซูตะโกนออกมาในขณะที่ก็ยกแขนโอบกอดพี่เขาเอาไว้แนบแน่น

    หากแต่กำปั้นเล็กก็ยังคงทุบไปที่หลังของคริสไม่ได้หยุด

    คริสยกแขนขึ้นกอดตอบคยองซูเสียแนบแน่น จนคยองซูแทบจะจมหายเข้าไปในแผงอกกว้างของคริสเสียแล้ว

    เขาก้มลงสูดดมกลิ่นผมหอมของคยองซูเข้าไปเต็มปอดด้วยความคิดถึง

    ก่อนจะกระซิบออกมาเสียงแหบปร่าและสั่นเครือ...าวกับว่าเขาเองกำลังหักห้ามใจเหลือเกินไม่ให้ร้องไห้

     
     

    “พ...พี่ขอโทษ...แต่พี่มีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น

    หัวใจพี่สับสนเหลือเกิน และพี่มันขี้ขลาดที่ไม่เคยยอมรับเลยว่าที่จริงแล้วพี่รักนายมาตลอด

    พี่เอาแต่หลอกตัวเอง...พี่เอาแต่หลอกตัวเองว่าพี่คิดกับนายแค่น้องชาย

    เพราะพี่ไม่อยากหักหลังลู่หาน...คนที่พี่ทำให้ชีวิตเขาต้องดิ่งลงเหวไปเพราะความโง่ของพี่

     

    พี่ใช้เวลาที่หายไปเพื่อพิสูจน์ใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วพี่ต้องการอะไร

    และรู้อะไรไหมคยองซู? พี่ต้องการนายเหลือเกิน...

    พี่คิดถึงนายจนแทบบ้า ทุกครั้งที่พี่เห็นนายกบัจงอินพี่ก็หึงนายจนเป็นบ้าเป็นหลัง

    จนสุดท้ายพี่ก็รู้ว่าพี่รักนาย พี่หวงนายเหลือเกิน!!!

     
     

    คริสกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นในขณะที่คำว่ารักของเขาถูกเปิดเผยออกมา

    น้ำตาของคริสรินไหลเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คยองซูเชื่อใจในเวลานี้

    คยองซูตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขา...ยังคงเงียบงันจนเขาใจหาย

    กลัวว่าคยองซูจะไม่ใจอ่อน และไม่เชื่อคำพูดของเขา

     
     

    เขาถอนกอดออกมามองหน้าคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้

    เชยคางคนตัวเล็กให้เงยขึ้นมาสบสายตาก่อนจะกระซิบเสียงหวาน

     
     

    “เชื่อพี่ได้ไหมคยองซู...แค่ครั้งนี้ ครั้งสุดท้าย

    ได้โปรดพูดอะไรบ้างเถอะ อย่าเงียบอย่างนี้เลยได้ไหม?”

     
     

    คริสกระพริบตาเพื่อขับไล่น้ำใสๆที่กำลังคลออยู่ในดวงตาจนทำให้ใบหน้าใสของคยองซูพร่ามัวไปหมด
    เขารู้สึกว่ากำลังตัวสั่น หัวใจกำลังหวาดกลัวเพราะคนตัวเล็กไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเลยซักนิด...


    หากแต่แล้วหัวใจก็กลับมาเต้นถี่อย่างมีความหวังอีกครั้ง
    เมื่อคนตัวเล็กตรงหน้าตวัดสายตาขึ้นมาสบตา
    ก่อนที่ริมฝีปากน่าหลงใหลนั้นจะเริ่มเอ่ยเสียงกระซิบ

     
     

    “พี่...พูดจริงใช่ไหม? คำว่ารักของพี่...พี่ไม่ได้โกหกผมใช่ไหม?”

     


     

    “พี่ควรทำยังไงให้นายเชื่อ?”

     


     

    “...................จูบผมสิ”

     


     

    คริสเบิกตากว้างเมื่อถ้อยคำที่คยองซูกระซิบออกมา

    เขายกยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นประคองใบหน้าของคยองซูเอาไว้ในมือแล้วก้มลงไปกดจูบแสนหวาน



    กดซ้ำๆย้ำๆที่ริมฝีปากหนานุ่มของคนตัวเล็ก 

    จนคยองซูต้องเผยอริมฝีปากออกเพื่อเปิดทางให้เขาได้เข้าไปกอบกว้านตวัดลิ้นอย่างโหยหาความหวานในโพรงปากเล็กไม่รู้จบ

     
     

    คยองซูหลับตาพริ้มในขณะที่ยกแขนขึ้นโอบรอบคอของคริส

    เอียงคอเพื่อเปิดช่องทางให้ลิ้นร้อนและแข็งแรงของคนเป็นพี่ได้เข้ามาค้นหาความหวานในโพรงปาก

    ทุกครั้งที่เรียวลิ้นสัมผัสลิ้น...ความหอมหวานของรสจูบก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ

    จูบนี้ช่างหวานและน่าค้นหาเหลือเกิน...

     

    ลมหายใจของทั้งคู่ถูกผลัดเปลี่ยนจนกำลังจะหมดจากปอด

    คริสรู้สึกว่ากำลังจะตายแต่ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองให้หยุดจูบคยองซูได้

    มือเล็กของคยองซูกอบกำเอาเรือนผมสีทองของคริสเอาไว้เต็มกำมือ

    เขาผละจูบออกมาเพื่อหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปในปอด

    ก่อนที่คริสจะก้มลงกดจูบลงมาอีกหน...

     
     

    คริสผละจูบหวานออกมาก่อนจะแนบหน้าผากของตนกับหน้าผากของคนตัวเล็ก

    หอบหายใจเอาอากาศกลับเข้าไปในปอดก่อนจะเริ่มต้นกระซิบถ้อยคำแสนหวาน

     
     

    “พ...พี่รักนาย พี่รักนายจริงๆ”

     
     

    “บ...บอกทีว่าผมไม่ได้ฝันไป”

     
     

    “ไม่...มันเป็นเรื่องจริง พี่รักนาย”

     
     

    “พอแล้วคริส...เลิกพูดมันได้แล้ว
    ผมอาจจะตายอยู่ตรงนี้นะถ้าขืนพี่ยังคงพูดต่อ”

     
     

    “ให้โอกาสพี่ได้ไหม...ให้พี่รักนายได้ไหม?”

     
     

    คริสกระซิบเสียงหวานก่อนจะสบสายตากลมโตของคยองซูเพื่อจะค้นหาคำตอบ

    หลับตาพริ้มอีกครั้งเมื่อคยองซูเขย่งตัวขึ้นมาประทับจูบที่ริมฝีปากของเขาเบาๆอีกหน

    ก่อนที่คยองซูจะกระซิบตอบคริสพร้อมทั้งยกยิ้มกว้าง...

     
     

    “พี่รู้อะไรไหมคริส?

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ผมยอมยกโทษให้พี่...ตั้งแต่เราเปิดประตูมาสบตากันแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงฝนที่ตกลงมาข้างนอกหน้าต่าง...

    ทำเอาคยองซูต้องสูดเอากลิ่นน้ำฝนและกลิ่นหญ้าชุ่มฉ่ำเข้าไปเต็มปอด

    เขายังคงยืนยันว่าเขาเองไม่ชอบหน้าฝนเท่าไหร่นัก

    แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นหอมนี้ทำให้เขาสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก

    ยิ่งเสียงเม็ดฝนขนาดกลางที่กำลังตกกระทบหลังคาร้านเป็นจังหวะก็ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขจริงๆ...

     

    เขาว่ากันว่าท้องฟ้าหลังฝนตกมักจะมีสายรุ้งเสมอ...

    คยองซูรักที่จะมองสายรุ้ง เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าท้องว่าสว่างและสดใสกว่าทุกที

    เหมือนกับเมื่อสายฝนผ่านไป บรรดาดอกไม้ก็จะผลิบานชูช่ออีกครั้ง....

     

     

    คยองซูหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดหนามดอกกุหลาบกองใหญ่เพื่อจะเอาลงไปแช่ในน้ำ

    ในขณะที่เงี่ยหูรอฟังเสียงที่เขาคุ้นเคยอย่างใจจดใจจ่อ...

     

     

     

     

     

    กรุ๊งกริ๊ง....

     

     

     

     

    เสียงกระดิ่งที่ดังมาจากประตูหน้าร้านสีขาวใหญ่ทำให้คยองซูต้องยกยิ้ม

    คยองซูยกยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

    เขารู้ทันทีว่าใครกันที่เป็นคนเดินเข้ามา...

    เพราะว่าแค่กลิ่นน้ำหอมกลิ่นหรูที่ลอยโชยเข้ามาแตะจมูกก็ทำให้เขาจำได้แล้วว่าใครกันที่เดินเข้ามาในตอนนี้

     

     

    คริส...คนรักของผม

     

     

    “ขยันอีกแล้วนะครับตัวเล็ก"


    หนึ่งปีผ่านไป สถานการณ์เดียวกันแต่ทุกอย่างช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

     


     

    เสียงทุ้มนุ่มกระซิบเอ่ยที่ข้างหูของผมก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นที่ข้างแก้ม

    ผมยกยิ้มกว้างหากแต่ยังไม่ได้หันเหความสนใจไปจากดอกกุหลาบในมือ

     

     

    “อื้ม...รอแปปเดียวนะครับ เหลืออีกสามดอกเอง”

     
     

    ผมกระซิบตอบคริส ที่ตอนนี้กำลังเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างผม

    และยกแขนขึ้นโอบที่บ่าของผมก่อนจะกระชับให้กายของเราสองคนเข้ามากอดก่ายกัน

     

     

    “อ่า...แค่สามดอกเองนี่นา พี่รอได้ครับ

    แต่ไหนดูซิ โอ้...เดี๋ยวนี้ตัวเล็กไม่โดนหนามปักเลยนี่นา

    เก่งจังเลยแฟนใครเนี่ย?”

     

     

    คริสเอ่ยแซวผมพร้อมทั้งยกมือขึ้นยีหัวผมโคลงเคลงไปมา

    ผมยิ้มบางๆก่อนจะกระซิบตอบกลับพี่เขาไปเบาๆว่า...

     

     

    “แต่ถึงผมจะโดนหนามปัก พี่ก็จะมีพลาสเตอร์ยามาติดให้ผมใช่ไหม?”

     

     

    “แน่นอน...พี่ซื้อเก็บไว้เป็นโหลเลย เพราะว่านายน่ะซุ่มซ่าม”

     

     

    “ที่ซุ่มซ่ามก็เพราะว่ามัวแต่มองใครบางคนแถวนี้หรอกครับ

    แต่ต่อจากนี้คงไม่โดนปักแล้วล่ะ...เพราะผมเลิกเหม่อแล้ว”

     

     

    “พูดอย่างนี้หมายความว่าเลิกมองพี่แล้ว?”

     

     

    “อื้ม...เลิกมองแล้ว  เลิกมองเพราะหันไปจูบเอาเลยง่ายกว่า

    แหม...ก็แฟนผมหล่อขนาดนี้ ใครจะห้ามใจไหวล่ะ”

     
     

    ผมยกยิ้มกว้างพลางหันหน้าไปเอ่ยแซวเขา

    คริสยกมืออีกข้างที่ไม่ได้โอบผมขึ้นมาบีบที่จมูกผมเบาๆก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้

    ใกล้มากจนลมหายใจกลิ่นมิ้นท์ของคริสรวยรินอยู่ที่ปลายจมูกของผม

     

     

    คริสก้มลงมาประทับริมฝีปากนุ่มที่ริมฝีปากของผม

    ก่อนจะมอบจุมพิตแสนหวานที่แม้ว่าผมจะได้ลิ้มลองมันกี่ครั้งผมก็ต้องติดใจมันทุกครั้งไป...

    ติดใจจนร่ำร้องอยากจะได้ชิมอีก...



    หวาน...มันหวานจนผมไม่อาจจะถอนริมฝีปากออกมาได้

     
     

    “อ่า...อย่าพูดอย่างนี้อีกนะคยองซู

    ถ้าขืนนายพูดอย่างนี้อีกที ถ้าพี่ทำอะไรลงไปอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน

    อุตส่าห์ทนมาได้ตั้งนานแล้ว อย่าทำให้พี่ตบะแตก”

     

     

    คริสพูดขึ้นในขณะที่มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบกระชับบ่าผมก็ลงมาลูบไล้ยุ่มย่ามอยู่ตรงหน้าขา

    จนผมต้องเอาดอกกุหลาบที่อยู่ในมือตีมือซนของคริสไปทีหนึ่งอย่างเสียไม่ได้

     
     

    “นี่แหน่ะ...คนลามก”

     

     

    “ลามกตรงไหน...พี่ก็แค่อยากเป็นเจ้าของนาย

    อยากจะทำให้นายเป็นของพี่คนเดียว”

     
     

    “ผมไม่ใช่สิ่งของนะ...

    แล้วพูดอย่างกับว่าผมไม่ได้เป็นของพี่คนเดียวอย่างนั้นแหละ”

     
     

    ผมหันไปค้อนคนเป็นพี่ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าบูดบึ้งบอกบุญไม่รับ

    คริสสะบัดเสียงอย่างขัดใจก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขาไม่ค่อยพอใจนัก

     

     

    “ก็ไม่ใช่สิ่งของ...แต่ไอ้หมอนั่นมันชื่ออะไรนะ คิมจงแดใช่ไหม? ไหนจะปาร์คชานยอลอีก

    จะไม่ให้พี่หึงหรือไงในเมื่อแฟนพี่มีผู้ชายอื่นมาจีบตั้งหลายคน

    นี่ขนาดว่าพี่เป็นอาจารย์ พวกมันยังไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ

    อย่าให้พี่เห็นว่ามันมายุ่มย่ามวุ่นวายกับนายอีกนะ ไม่งั้นพี่ไม่เอาพวกมันไว้แน่”

     

     

    “พูดอย่างนี้แปลว่าไม่เชื่อใจผม?”

     

     

    “ก็เชื่อใจ...แต่ไม่ไว้ใจไอ้พวกนั้น

    พี่หึงสุดๆเลยเข้าใจไหม? ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับนายเลยซักคน”

     
     

     
    คริสส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    เขากระชับอ้อมแขนที่โอบรอบบ่าคยองซูให้แน่นเข้าไปอีกจนตัวเราเบียดชิดกันจนไม่เหลือที่ว่าง

    วันที่สายฝนโปรยปรายและเหน็บหนาวอย่างนี้ อ้อมกอดของคริสทำให้ผมอบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    ผมวางดอกกุหลาบดอกสุดท้ายที่ถูกริดหนามออกจนหมดลงไปในถังน้ำ

    ก่อนจะค่อยๆเอนศีรษะซบลงไปที่แผงอกกว้างของคริสอย่างช้าๆ

    มือทั้งสองของเรากุมกันไว้ และเสียงหัวใจของคริสก็เต้นดังออกมาจากอก

    จนผมอดที่จะยกยิ้มเพราะเสียงจังหวะหัวใจที่เต้นดังออกมานั้นไม่ได้

     
     

    “ทำเป็นหวงไม่เข้าเรื่อง มันไม่ได้มีอะไรซักหน่อยรู้ไหม?

    เชื่อใจผมแล้วเลิกสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นเถอะ

    ไหนว่าวันนี้จะพาผมไปเดทไง...จะพาผมไปไหนเหรอ?”

     

     

    ผมช้อนตามองเขาก่อนจะเอ่ยถาม คริสยกยิ้มออกมาก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผมบางๆอย่างอ่อนโยน

     
     

    “ถ้าตัวเล็กอยากไปไหนพี่จะพาไปหมดเลย

    ว่าแต่อยากไปไหนล่ะหืม?”

     

     

    “นั่นสินะ...ฝนตกซะด้วยสิ

    ไม่รู้เลยว่าจะไปไหน...”

     

     

    “แต่ความจริงพี่ว่าเราอยู่อย่างนี้เฉยๆก็ดีเหมือนกันนะ

    ในวันที่อากาศหนาวๆแบบนี้ แค่มีคยองซูก็อุ่นแล้ว”

     

     

    คริสพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีกจนผมแทบจะไปเกยบนตักเขาอยู่แล้ว

    มือเล็กของผมที่มีมือของคริสกุมไว้ถูกบีบแน่นเมื่อคริสพูดจบประโยค...

    ผมยกยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังประโยคหวานเลี่ยนของคนเป็นพี่จนผมไม่อาจห้ามความรู้สึกที่ประทุอยู่ในอกได้

     

     

    “พี่รักผมไหมคริส?”

     
     

    ผมถามออกไปเพราะอยากจะได้ยินคำรักแสนหวานจากปากคนเป็นพี่

    ถึงจะมั่นใจว่าเราคิดตรงกันแต่ผมก็อยากจะได้ยินคำๆนั้นอีกครั้งให้ชื่นหัวใจ

     
     

    คริสหันมามองผมอย่างหาความหมายในคำถามนั้น

    หากแต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้สื่อความหมายอะไรนอกจากคำถามซื่อๆ

    เขาเลยยกยิ้มกว้างก่อนจะกดจมูกที่ขมับของผมแล้วหอมเสียฟอดหนึ่ง

    ผมยกยิ้มกว้างที่เขาทำอย่างนั้น...ยิ้มรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินพี่เขากระซิบคำนั้นที่ข้างหู

     

     
     

    “รักสิ...รักมากจนไม่อยากจะเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่นเลย”

     

     

    คริสกระซิบคำรักแสนหวานก่อนจะเบียดริมฝีปากลงมาเบียดของผม

    ผมเผยอกลีบปากเพื่อเปิดทางต้อนรับพี่เขาให้ส่งลิ้นร้อนเข้ามากอบกว้าน

    สัมผัสจากปลายลิ้นที่หยอกล้อกันทำให้ผมรู้สึกขนลุก...

    มือของคริสที่เคยกุมมือผมบัดนี้ถูกสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดแล้วเริ่มสาละวนลูบไล้ที่หน้าท้องและหน้าอกของผมไปมาไม่ได้หยุด

    ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยกแขนขึ้นโอบรอบคอพี่เขาแล้วตวัดลิ้นตอบกลับลิ้นร้อนที่พี่เขาส่งมาให้อย่างรู้งาน...

    หลับตาพริ้มเมื่อเอียงคอแล้วปล่อยให้พี่เขาได้ส่งลิ้นเข้ามาตวัดไปทั่วโพรงปาก

    จนกระทั่งรับรู้ได้ว่ามือของคริสเริ่มมายุ่มย่ามอยู่ที่ขอบกางเกง

     

    ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อนิ้วเรียวของคริสตวัดเกี่ยวขอบกางเกงชั้นในของผมอย่างช้าๆ

    ผมถดหน้าออกมาก่อนจะยกมือข้างที่ว่างไปจับมือคริสไว้ไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่านั้นอีก

    เพราะว่าตอนนี้เราอยู่กันในร้าน และแม่ของผมอาจจะลงมาเห็นเมื่อไหร่ก็ได้

     
     

    “พี่...พี่ขอโทษ แต่พี่อดใจไม่ไหว”

     


    คริสกัดริมฝีปากเมื่อถอนจูบออกไปและกระซิบคำขอโทษประชิดริมฝีปาก
    ผมปรือตามองพี่เขา รสจูบของคริสทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มและมึนงงไปหมด
    รสชาติหวานที่ยังคงติดอยู่ตรงริมฝีปากทำให้ผมไม่อาจจะต้านทานความรู้สึกได้
    ผมรักสัมผัสของคริสราวกับว่ามันเป็นสารเสพติด ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็ไม่อาจจะหยุดได้


    ผมยกมือวางทาบไปบนแผ่นอกกว้างของคริส ริมฝีปากของเรายังประชิดกันแต่ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาอีก
    ผมหลับตาก่อนเงยหน้าขึ้นไปจะจุมพิศไปที่ริมฝีปากของพี่เขาเบาๆอีกครั้ง...
    แล้วตัดสินใจกระซิบตอบพี่เขาไปว่า...

     

     

    “คริส...ผมรู้แล้วว่าผมอยากไปเดทที่ไหน”

     

     

    “หืม...ที่ไหนล่ะครับ?”

     

     

     
     

    “ผมคิดว่า...อากาศหนาวๆอย่างนี้

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     
     

    ไปห้องของพี่หรือไม่ก็ห้องของผม...น่าจะเวิร์คดีนะว่าไหม”

     

     

     

     

    - END - 










     

    จบแล้วจริงๆค่ะ...ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาจนจบนะคะ
    มันอาจจะจบไม่ค่่อยถูกใจใครหลายคนเท่าไหร่ แต่ไรเตอร์คิดว่าจบแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว :)

    ไรเตอร์อยากจะขอโทษจริงๆที่เข้ามาอัพช้า และภาษาก็ไม่ดีเท่าทีควรจะเป็นเท่าไหร่
    แต่ก็อยากจะขอบคุณรีดเดอร์จริงๆที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจกันเข้ามาจนทำให้เรื่องนี้จบลงจนได้

    สำหรับรีดเดอร์ที่รักและคอมเม้นท์ให้กันมาตลอด
    ไรเตอร์อยากจะขอบคุณจริงๆนะคะ...เพราะทุกคนทำให้ไรเตอร์ยิ้มได้
    และมีกำลังใจที่จะแต่งฟิคมาจนถึงวันนี้

    ไม่มีอะไรจะบอกแทนนอกจากคำว่ารักและอยากจะขอบคุณจริงๆค่ะ
    ไรเตอร์ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆนะ ในหัวมีแค่สองคำนี้ที่วนเวียนอยู่ในหัว

    รักรีดเดอร์จริงๆค่ะ...ขอบคุณมากนะคะ
     
     ♥♥♥♥♥ 





    สำหรับรีดเดอร์ที่อ่านเรื่องนี้จบแล้วและสนใจอยากจะได้ฟิคเรื่องนี้แบบรวมเล่ม
    ก็เข้าไปอ่านรายละเอียดตามลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยค่ะ 


    http://writer.dek-d.com/sunnysnowman/writer/viewlongc.php?id=827254&chapter=10


    โดยที่รีดเดอร์ต้องกรอกแบบฟอร์มตามที่ไรเตอร์เขียนไว้นะคะ
    และเมื่อไรเตอร์จัดหน้าฟิคเสร็จแล้วเอาไปถามราคาอะไรเสร็จแล้ว
    ไรเตอร์ก็จะมาแจ้งรายละเอียดให้กันอีกทีหนึ่งค่ะ...


    ไรเตอร์หมดเรื่องจะทอล์คแล้วค่ะ
    แล้วก็หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกในผลงานเรื่องต่อๆไปนะ
    รักรีดเดอร์ค่ะ ^^






     

    © Tenpoints!
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×