คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ✚ SH0T 5 :: THE APPLE FIVE
Author : MidnightSunny
Pairing : Chanyeol x Baekhyun
Story by : Zenumist
Rate : PG-15
THE APPLES *
ll CHAPTER 5 ll
คำเตือน : ตอนนี้มันยาวมาก....
ช่างเถอะ...ไม่เป็นไร....
เป็นคำที่ผมเลือกใช้ตลอดสามวันที่ผ่านมาในทุกครั้งที่คยองซูคิดจะถามหรือพูดเรื่องของเขา
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะพูดอย่างนี้แต่หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวดเสียจริงๆ
ผมพยายามจะปิดตัวเองด้วยการบอกว่าผมไม่เป็นไร...
แต่คุณรู้อะไรไหมครับ? มันไม่ใช่เลย
หัวใจของผมยังเจ็บปวดเพราะคำพูดร้ายกาจของชานยอลที่ทิ้งเอาไว้
ผมรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าสถานการณ์ตอนนี้มีสิ่งที่ผมทำได้อยู่แค่สองอย่างถ้าผมไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนกับเขา
ก็คือหนึ่ง...เป็นไอ้โง่ที่คอยแอบรักเขาต่อไป และสอง...เลิกรักเขาซะ
แต่ถ้าคุณเคยรักใครซักคนมาก่อนคุณก็จะรู้ว่าข้อสองนั้นทำได้ยากยิ่งกว่าฆ่าตัวเองให้ตายเสียอีก
การที่ใครซักคนจะมีผลต่อชีวิตและการเต้นของคุณแบบนั้น...การจะขาดเขาไปไม่ง่ายเลย
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องพักอาจารย์ที่คุ้นเคยกันอย่างกับเป็นบ้านหลังที่สอง
วันนี้ผมมาเรียนสายและโดดคาบเช้าของอาจารย์จุนมยอน
เพราะเมื่อคืนกว่า ผมจะทำใจข่มตาให้หลับได้ก็เกือบๆตีสามแล้ว
ดูเอาเถอะว่าปาร์คชานยอลมีผลกับชีวิตผมแค่ไหน...
กับอิแค่ตัดเรื่องเขาออกจากใจแล้วข่มตานอนผมยังทำไม่ได้เลย
จะนับประสาอะไรกับตัดใจจากเขากันล่ะ...
และตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว...และมันก็ถึงเวลาที่ผมจะโดนทัณฑ์บนที่มาสายเหมือนทุกๆที
เหมือนครั้งก่อนที่ชานยอลเรียกนามสกุลผม...
ไม่นะ...จะคิดถึงเขาทำไมกันล่ะแบคฮยอน ลืมเขาไปซักวินาทีนึงจะได้ไหม?
ผมคิดในใจขณะที่กัดริมฝีปากจนมันเจ็บ...รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลลงมายังไงก็ไม่รู้
จึงตัดสินใจเปิดประตูห้องพักอาจารย์ออกไป ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาซะก่อน
"ผมมาแล้วครับอาจารย์"
"โอ้มาแล้วเรอะ...เมื่อเช้านายกล้ามากนะที่โดดวิชาของฉันน่ะบยอน"
“ผมเปล่าโดดนะครับ...ผมป่วย”
ผมโกหกไปอย่างนั้น...ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องและหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งประจำ
อาจารย์จุนมยอนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมและบ่งบอกสีหน้าว่าเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
“ป่วยแต่คาบของฉันแต่มาเรียนคาบอาจารย์อู๋ฟานได้สินะ...นี่มันน่าน้อยใจจริงๆ
แต่หน้านายก็ดูป่วยๆเหมือนกันนะ ไหวเปล่าวัยรุ่น?”
อาจารย์ยกยิ้มก่อนจะเดินมาตบที่บ่าผมเบาๆ
ผมลอบถอนหายใจกับคำถามนั้นแต่ก็ตอบกลับเขาไปเหมือนทุกครั้งทุกทีที่คนอื่นก็ถามแบบนี้
....ไม่เป็นไร...
“ไม่เป็นไรครับ...ไหนล่ะครับจะให้ผมกรอกอะไรล่ะวันนี้”
“ไม่ๆ...วันนี้นายไม่ต้องกรอกอะไรทั้งนั้นล่ะ เพราะอีกเดี๋ยวนายต้องเข้าไปช่วยงานฉัน”
อาจารย์จุนมยอนไม่พูดเปล่าแต่เขากลับยื่นเอาโปสเตอร์ให้ผมใบหนึ่ง
ผมยกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อมองโปสเตอร์สีสดในมือของอาจารย์จุนมยอน
ผมจึงยกมื่อขึ้นไปคว้ามันไว้ก่อนจะถามออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มอ่าน
“นี่อะไรครับ?” ผมถาม...
“นี่ไงบทลงโทษของนายวันนี้...
อ่ะ! นี่บัตรสต๊าฟ วันนี้นายต้องไปเป็นสต๊าฟงานดนตรีของมหาลัยเรา
เพราะว่านักศึกษาในชมรมไม่พอน่ะ...โดโดก็ลากแฟนมาลงชื่อไว้จะบอกว่าไปช่วยนายด้วย
อ้าวนั่นไง...มาพอดีเลย พร้อมหรือยังล่ะโดโด”
อาจารย์จุนมยอนยกยิ้มเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง...
ผมหันไปมองตามสายตาเขาก็พบว่าเป็นคยองซูนั่นเองที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน
เขายกยิ้มบางๆพร้อมทั้งค้อมศรีษะลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาจับบ่าผมแล้วบีบเบาๆ
“พร้อมแล้วครับอาจารย์...จงอินกำลังตามมาครับ” คยองซูตอบ
“ดีเลย...งั้นเราไปที่รถฉันกันเถอะ
ตอนนี้พวกนักแสดงเขาไปรอกันอยู่ที่งานกันแล้ว
เราคงต้องรีบไปให้ถึงก่อนจะหกโมงเย็นนะ เพราะพวกนั้นเริ่มแสดงตอนหนึ่งทุ่ม”
จุนมยอนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ซึ่งพวกผมก็เข้าใจและเดินตามเขาออกไปทันที
ผมรั้งให้คยองซูเดินห่างออกมาจากอาจารย์จุนมยอนเล็กน้อยก่อนจะกระซิบถามเขาอย่างแปลกใจ
“ทำไมมึงถึงมาอยู่ตรงนี้? กูนึกว่ามึงไปเดทกับจงอิน” ผมถามเขา
“เพื่อนกูเป็นแบบนี้กูไม่มีอารมณ์ไปเดทหรอก”
“กูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย...”
“หัดไปเรียนโกหกใหม่เหอะไอ้แบคฮยอน...เลิกบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรซักที
กูเป็นห่วงมึงนะ...มีอะไรก็พูดออกมาดิวะ ทำแบบนี้คนอื่นเขาเป็นห่วงมึงรู้บ้างไหม?”
คยองซูพูดพลางดึงผมเข้าไปกอดไว้...
ผมก้มลงไปซบหน้าลงกับบ่าของเขาแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความรู้สึกผิดต่อคยองซู
นับจากวันนั้นที่ผมร้องไห้กับคยองซูผมก็ไม่ได้ร้องไห้อีก
เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องร้องออกมาเสียหน่อย...ในเมื่อเป็นผมเองที่ทำผิดเองทั้งหมด
ผมชอบเขาเอง...รักเขาเอง...แม้กระทั่งทำทุกอย่างทั้งหมด ชานยอลไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นมันเสียหน่อย
ไม่มีใครที่ผิดทั้งนั้น...เพราะถ้าผมกล้าพอเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้
ผมยัดเยียดทุกอย่างให้ทุกคนมาตลอด
ตั้งแต่ยัดเยียดความรักให้ชานยอล ยัดเยียดความห่วงใยที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจให้คยองซู
และยัดเยียดสิ่งที่ผมชื่นชอบให้กับชานยอลแล้วดันปรารถนาว่าเขาจะชอบเหมือนกับผม...
ผมมันโง่เอง...
“กูขอโทษนะคยองซู”
ผมกระซิบกับเขาเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ
คยองซูมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ...เขามักจะรู้ดีเสมอว่าผมกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง
และนั่นแสดงให้เห็นว่ามิตรภาพของเรามันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเพื่อนหรือพี่น้อง...
“ขอโทษกูเรื่องอะไรล่ะ...กูเป็นเพื่อนมึงนะแบคฮยอน
ถ้ามึงไม่มีความสุข แล้วจะให้กูทิ้งมึงไว้คนเดียวได้ยังไง
เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยเหอะ...เราควรไปได้แล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะดุเอา”
คยองซูผละกอดออกจากผม แล้วลูบหัวผมเบาๆอย่างรักใคร่
ก่อนจะคล้องคอผมให้เริ่มออกเดินในที่สุด
ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อเขาทำอย่างนั้น
เพราะมันเห็นได้ชัดว่าคยองซูอยากจะถาม...แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำเพราะมันอาจจะทำให้ผมเศร้าขึ้นมาอีก
ผมคว้าตัวคยองซูมากอดไว้อีกหนก่อนจะยกยิ้ม
รู้สึกดีที่อย่างน้อยวันที่รู้สึกเฟลที่สุดในชีวิตก็ยังมีเพื่อนดีๆที่อยู่ข้างๆผม
“ขอบใจนะคยองซู...กูรักมึงมากเว่อร์”
ผมกระซิบ ยกยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าคยองซูยกแขนขึ้นมากอดตอบแล้วตบที่หลังผมเบาๆอย่างอ่อนโยน
“กูก็รักมึงมากเว่อร์ๆเหมือนกัน” คยองซูตอบพร้อมทั้งหัวเราะ
“ไม่ได้นะ...ห้ามเด็ดขาด! ปล่อยแขนเลยพี่แบคฮยอน
ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ ผมหึงโหดนะจะบอกให้”
เสียงของจงอินดังขึ้นมาขัดจังหวะเราทั้งคู่...
ก่อนที่ไม่นานเท่าเขาก็เดินออกมาดึงคยองซูไปกอดเอาไว้จากด้านหลัง
ผมเบะปากอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นอย่างนั้นก่อนจะพยายามยื้อแขนคยองซูไปกอดไว้เอง
“ไม่ๆๆๆๆๆๆ ฉันไม่ยกให้นายแน่จงอิน
มึงบอกจงอินไปสิว่ากูกับมึงรักกันน่ะ”
ผมแกล้งจงอินด้วยการออดอ้อนคยองซูและแย่งคยองซูมากอดไว้
คยองซูหัวเราะเสียงใสในขณะที่ก็ถูกผมและจงอินยื้อยุดฉุดเขาไว้ทั้งคู่
“ไม่ได้ๆๆๆๆๆ ถ้าพี่บอกอย่างนั้นนะ คืนนี้พี่โดนจัดหนักแน่คยองซู”
จงอินพูดออกมาในขณะที่ยกยิ้มที่มุมปาก ผมอ้าปากค้างไปเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น
คยองซูรีบเอามืออุดปากของจงอินไว้แล้วเหลือกตามองมาที่ผมอย่างตกอกตกใจ
“ก...กูว่าเราไปกันเหอะ อาจารย์คงรอนานแล้ว”
“แหม...ทำเป็นอายนะมึงเนี่ย
จงอินมันพูดจนชาวบ้านเขารู้กันทั่วแล้วไอ้โด้เอ๊ยยยยย”
“พูดมากน่าไปกันได้แล้ว!” คยองซูตะโกนออกมาทั้งๆที่หน้าแดงจัด
เขารุนหลังผมให้เริ่มออกเดินก่อนซึ่งผมก็ทำอย่างว่าง่าย
จนเมื่อผมเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวผมก็ได้ยินเสียงโอดโอยของจงอิน
.
อ่า...บางทีผมอาจจะต้องเดินให้เร็วกว่านี้ซักนิดหนึ่งสินะ
************
ผมไม่แน่ใจว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากผมกันแน่...
เพราะในตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในห้องพักนักดนตรีซึ่งมีนักศึกษาจากมหาลัยของผมอยู่ในนั้นเต็มไปหมด
แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่ได้รู้ว่างานนี้เป็นงานของชมรมดุริยางค์...
ที่มีชานยอลและจงแดมาร่วมเป็นนักดนตรีรับเชิญด้วย
ผมยืนมองเขาอยู่ตรงนี้มาร่วมยี่สิบนาทีได้แล้ว
ถึงแม้ว่าจะพยายามทำอย่างอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเวลามายืนมองเขาอยู่แบบนี้
แต่ก็เห็นจะเป็นไปได้ยากเมื่อจงแดกลับจำผมได้ทันทีที่เขาเห็นผม และเขาก็เดินเข้ามาทักทายผมทันที
“อ้าว...นายคนเมื่อวานนี่นา ที่สำลักไอติมใช่ไหมครับ?”
จงแดถามพร้อมทั้งยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีในขณะที่เดินมารับขวดน้ำดื่มจากผม
อันความจริงผมมั่นใจว่าผมเดินแจกน้ำดื่มอยู่ที่คนละฟากห้องกับจงแด
แต่เขากลับตั้งใจเดินมาเอามันจากผมพร้อมทั้งทักทายผมทั้งๆที่เขาไม่น่าจะทำ
อาจารย์ไม่น่าสั่งคยองซูให้ไปยกกล่องข้าวกับจงอินข้างนอกเลย
ไม่งั้นเขาคงรู้ว่าผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้...
แต่เมื่อรู้ว่าตอนนี้หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ผมจึงจำเป็นต้องยืนคุยกับจงแดต่อไป
ผมแอบกลอกตาแล้วหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาจำได้เกี่ยวกับผม
“อ่า...ใช่แล้วครับ ผมนั่นแหละไอ้งั่งคนเมื่อวาน”
ผมพูดออกไปติดตลก...
อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่จงแดเดินมาแค่คนเดียวแต่ชานยอลกลับกำลังตั้งใจดูสคริปต์ของเขาอยู่ที่มุมห้อง
อ่า...ให้ตายเหอะ ดูเอาสิว่าผมแอบมองเขาอีกแล้ว!
“เป็นสต๊าฟเหรอครับ? อยู่ชมรมดุริยางค์เหรอ?” จงแดถามผมต่อ
“อ๋อเปล่าหรอกครับ...พอดีวันนี้ผมโดดวิชาอาจารย์จุนมยอน
ก็เลยโดนทัณฑ์บนให้มาช่วยงานวันนี้น่ะ
ความจริงเราก็ปีเดียวกันนะ พูดแบบเป็นกันเองดีไหม?”
ผมยกยิ้มให้เขาพร้อมทั้งชวนคุย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สายตาเคลื่อนคล้อยไปยังคนด้านหลัง
ผมจึงพยายามมองหน้าจงแดอย่างตั้งอกตั้งใจและส่งยิ้ม
ให้ความพยายามทั้งหมดในการต่อบทสนทนาทั้งๆที่ไม่เคยต้องหักห้ามใจตัวเองอย่างนี้มาก่อน
“จริงเหรอ? ฉันนึกว่านายเด็กกว่า...นี่รู้จักฉันด้วยเหรอถึงได้รู้ว่าอยู่ปีเดียวกัน?”
จงแดหลิ่วตาแล้วถามผมในขณะที่เขาก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่ม
ผมอ้าปากค้างเมื่อรู้สึกตัวว่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม แต่ก็รีบพยักหน้าก่อนจะตอบเขาไปทันที
“ต...ต้องรู้สิ! นายร้องเพลงเพราะออก ใครจะไม่รู้จักนายล่ะ”
ผมตอบพร้อมยิ้มเจื่อนๆ เพราะอันที่จริงที่ผมรู้จักเขามันเป็นเพราะชานยอลต่างหากล่ะ
เพราะถึงแม้ว่าจะเขาจะดังในฐานะนักร้องอันดับหนึ่งของชมรมดนตรีสากล
แต่ผมดันรู้จักเขาผ่านผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลซะอย่างนั้น
อ่า...ขอโทษที่โกหกนะจงแด
“ว้าว...ดีใจจัง ขอบคุณมากนะที่รู้จักกัน
นึกว่าจะมีแต่คนชอบไอ้ชานยอลมันซะอีก
หน้าตาอย่างฉันนี่หาแฟนคลับยากนะว่าไหม? ฮ่าๆๆๆๆ”
จงแดยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีส่งมาให้ผม
ถึงแม้ว่าเขาจะยิ้มแย้มแต่บทสนทนาของเขาดูตัดพ้อจนผมต้องรีบแก้ให้เขาเลิกคิดแบบนั้น
“บ้าน่า...ไม่ใช่หรอก เสียงจงแดเพราะออก ฉันชอบนะ
ฉันเองก็อยู่ชมรมร้องประสานเสียงนะ ฉันอยากร้องเพลงแนวนั้นบ้างแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ร้องเลย
นายเก่งมากเลยนะ ฉันชอบเสียงนายเวลาร้องเพลงจริงๆ”
ผมรีบเอ่ยชมเพื่อให้จงแดรู้สึกดีขึ้น
แต่ผมเองก็รู้สึกตามที่พูดไปอย่างนั้นจริงๆ
เพราะหลังจากที่ได้แอบไปดูชานยอลเล่นดนตรีอยู่บ่อยๆ
ผมก็พบว่าเหตุผลที่จงแดเป็นนักร้องอันดับหนึ่งของชมรมดนตรีสากล นั่นก็เพราะพลังเสียงระดับเทพของเขา
“อ่า....เขินจังแฮะ ขอบคุณมากเลยนะที่ชอบ
ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ คุยกันมาตั้งนาน ลืมถามไปเลย?
ฉันชื่อจงแดนะ แต่นายก็รู้อยู่แล้วนี่นา...”
“อื้ม...ฉันชื่อ บยอน แบคฮยอน” ผมตอบเขาไปก่อนจะยกยิ้ม
“แบคฮยอนเหรอ ชื่อน่ารักดีนะ
นายอยากไปนั่งตรงนั้นด้วยกันไหมล่ะ? ฉันเห็นนายเดินไม่หยุดตั้งแต่เข้ามาแล้ว
ไปพักซักหน่อยสิ ฉันกับชานยอลกำลังคุยเรื่องเพลงที่จะใช้ร้องวันนี้อยู่พอดี นายอยากไปแจมหรือเปล่า?
นายบอกว่าอยากร้องเพลงแนวนี้นี่นา ให้ฉันแนะนำให้ก็ได้นะ”
จงแดยกมือหมุนปิดฝาขวดน้ำก่อนที่จะชักชวนให้ผมไปนั่งอีกฟากห้องตรงที่เขาและชานยอลนั่งอยู่
ผมหันไปมองที่ตรงนั้นและก็ได้พบว่าชานยอลกำลังมองผมและจงแดอยู่อย่างเปิดเผย
ผมรีบหลบสายตามองไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรง...
บ้าจริงๆเลยแบคฮยอน...เลิกเป็นอย่างนี้เพราะแค่เขามองมาได้ไหม?
“เป็นอะไรไปล่ะ เงียบไปเลย” จงแดถาม
“อ๋อ...เปล่าๆ พอดีฉันคิดออกว่าต้องออกไปช่วยอาจารย์ขนของที่ข้างนอกน่ะ
ขอบใจมากนะแต่ฉันต้องทำงานน่ะ”
ผมปฏิเสธจงแดไป ในขณะที่ใช้สายตาวินาทีหนึ่งตวัดไปมองชานยอลและพบว่าเขากำลังมองผมและจงแดอยู่เช่นกัน
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย...เขากำลังมองผม เขากำลังมองผม!
“อ้อ...งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวซักพักก็ขึ้นแสดงแล้วล่ะ เดี๋ยวนายก็ได้พักแล้ว”
จงแดยิ้มกว้างก่อนจะยกมือขึ้นมาตบที่บ่าผมเบาๆ
ผมหัวเราะออกมาเมื่อเขาทำอย่างนั้น เพราะการที่เขาทำแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรจริงๆ
“อื้ม ขอบใจนะ...นายกลับไปเถอะ
ดูเหมือนว่าชานยอลมีเรื่องจะคุยกับนายน่ะ”
ผมบอกจงแดพลางพยักเพยิดกลับไปยังคนที่ผมพยายามหลบสายตาอยู่
ผมต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะสายตาของชานยอลกำลังทำให้ผมเป็นบ้าตายให้ได้
และโชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก กำลังส่งเสียงร้องเรียกเพื่อขอน้ำดื่มจากผม
“อ้อ...ไปเดี๋ยวนี้ครับบบบ
ฉันไปก่อนนะจงแด ขึ้นเวทีก็ตั้งใจแสดงนะ ฉันเป็นกำลังใจให้ ไฟท์ติ้งนะ!”
ผมยกยิ้มก่อนจะกำมือส่งท่าทางให้เขาตั้งใจแสดง
จงแดยกมือขึ้นเช่นกันก่อนจะขอบคุณผมแล้วเดินกลับไปหาชานยอลที่นั่งรออยู่
ผมรีบหันหลังกลับและเดินไปอย่างรวดเร็ว จนลืมตัวว่าต้องเอาน้ำไปให้คนที่ยกมือขอเมื่อครู่
“อ้าวสต๊าฟ...น้ำผมล่ะครับ”
“โอ้ใช่! ขอโทษทีครับ...นี่ครับน้ำ” ผมรีบปรี่เข้าไปยื่นน้ำให้เขาแล้วรีบเผ่นออกมา
เพราะกลัวว่าถ้ายิ่งอยู่ต่อไป ผมอาจจะทำอะไรที่มันน่าอายมากกว่านี้ก็ได้
************
ผมถอนหายใจออกมาในขณะที่วงดนตรีกำลังทำการแสดงอยู่บนเวที
รู้สึกเหนื่อยทั้งๆที่อยู่ในช่วงพัก แต่หัวใจกลับทำงานหนักยิ่งกว่าตอนอื่นๆเสียอีก
เพราะสายตาผมตอนนี้มีแต่ชานยอลที่กำลังเล่นกีต้าร์อยู่บนเวทีอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาดูเท่ห์มาก...ดูเท่ห์จนทำเอาหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ
เพราะทุกครั้งที่เขาดีด ทุกครั้งที่เขาโยกหัว หรือแม้กระทั่งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาดังขึ้นเป็นคอรัสแทรกขึ้นมา
มันทำเอาหัวใจผมเต้นกระตุกทุกครั้งที่ได้เห็นเขาแบบนั้น...
ผมรู้สึกทึ่งเล็กน้อยเมื่อวงดนตรีของชานยอลกับวงออเครสตร้าเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด
จงแดร้องเพลงได้ดีมากจนคนทั้งฮอล์ที่จัดแสดงปรบมือให้เขาไม่หยุด
และวงดนตรีของพวกเขาก็แสดงได้อย่างกับมืออาชีพจนผมอดชื่นชมไม่ได้
“เพลงสุดท้ายแล้วมึง...วิญญาณยังอยู่กับร่างหรือเปล่า?”
คยองซูที่เดินมากับจงอินยื่นกระป๋องโค้กให้ผมมาถือไว้ในมือ
ทำไมต้องเป็นโค้กด้วยนะ...
“รีบดื่มเถอะมึง...เดี๋ยวพวกนั้นลงมาต้องทำงานกันอีกนะ”
คยองซูเห็นผมชะงักไปจึงเรียกสติให้ผมกลับมา
โดยการหยิบเอากระป๋องโค้กของผมไปเปิดให้แล้วยัดกลับมาในมือเหมือนเดิม
ผมได้แต่พยักหน้าเพราะไม่อยากให้คยองซูสงสัยหรือเป็นห่วงอะไรอีก แล้วจึงยกกระป๋องโค้กขึ้นดื่มทันที
รสชาติหวานที่ไหลผ่านลำคอของผมลงไปช้าๆทำให้ผมต้องหลับตาพริ้ม
ได้ยินเสียงของจงแดที่ร้องเพลงรักหวานโดยมีวงออเครสตร้าบรรเลงอยู่เบื้องหลังแล้วก็ต้องถอนหายใจ
ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่เพียงเขา...เห็นแค่เพียงผู้ชายคนเดียวเท่านั้นจากมุมไกลๆนี้
ผมให้คำตอบกับตัวเองได้ทันทีหลังจากที่ครุ่นคิดกับมันมาหลายวันว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้
ผมจะเสียเวลาตัดใจไปจากเขาทำไมกันนะ...
ในเมื่อตอนนี้หัวใจและสายตาของผมมันร่ำร้องให้มองเพียงแค่เขาคนเดียวแบบนี้
ขอแค่นี้ก็พอแล้ว...แบคฮยอน
.
.
.
.
ขอแค่ได้มองอยู่จากที่ไกลๆ...ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
************
หลังจากที่แสดงเสร็จ นักแสดงทุกคนก็กรูกันลงมาจากเวทีแล้วเริ่มต้นจิกหัวใช้งานผมอย่างกับทาส
ผมปาดเหงื่อที่ไหลลงมาทั้งๆที่แอร์ภายในห้องเย็นเฉียบ เมื่อกำลังแบกกล่องข้าวกล่องใหญ่เดินไล่แจกทุกคนในห้องพักนักดนตรีแห่งนี้
เริ่มหน้าบูดเมื่อรับรู้ได้ว่าแขนกำลังปวดเกร็งที่ต้องถือกล่องหนักๆนี่จนไหล่แทบหลุด
หากแต่ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครบางคนถือวิสาสะแย่งกล่องนั้นไปถือไว้ซะเอง
“เอามานี่สิ...กล่องนี่หนักจะตาย นายถือไหวได้ไงกันตัวก็เล็กออก”
เป็นจงแดนั่นเองที่เข้ามาช่วยผม...
เขากำลังยกยิ้มกว้างให้ผมแล้วเริ่มเดินออกไปแจกกล่องข้าวแทนผมเสียเอง
ผมเห็นชานยอลเพิ่งเดินลงมา เขาเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูที่วางเอาไว้ตรงเก้าอี้ขึ้นมาเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ผมรีบละสายตากลับมาเมื่อเห็นว่าเขากำลังหันกลับมามองผม...
ไม่สิ...เขาหันมามองจงแดต่างหาก และนั่นทำให้ผมยิ่งกระวนกระวานอยากจะดึงงานตัวเองกลับมาทำ
แต่ผมพยายามจะแย่งกล่องข้าวกลับมาแต่จงแดก็ไม่ยอมเสียด้วยสิ
“ไม่เป็นไรหรอก...นายแสดงมาเหนื่อยๆก็ไปพักเถอะน่า” ผมพูดกับจงแด
“ร้องเพลงแค่นั้นไม่เหนื่อยหรอก...กระจอกมากไม่อยากจะคุย
เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง เหมือนว่าอาจารย์จะให้เอาผลไม้ไปแจกน่ะ
นายไปทำตรงนั้นแล้วกันนะ น่าจะเบากว่า”
จงแดยิ้มก่อนจะพยักเพยิดให้ผมไปหาอาจารย์จุนมยอนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง
โดยที่หลังจากพูดจบเขาก็เดินเอากล่องข้าวในมือไปแจกให้บรรดานักดนตรีโดยที่ผมไม่ทันได้ห้าม
อ่า...ก็คงต้องเลยตามเลยสินะ
ผมคิดก่อนจะรีบเดินออกมา เพราะชานยอลที่เมื่อครู่มองผมกับจงแดอยู่
เขาเดินมาหยิบกล่องข้าวเพื่อช่วยจงแดแจกให้กับทุกคนอีกแรงหนึ่ง
ผมหันไปมองคยองซูและตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปหาและพูดคุยกับเขา
แต่ผมก็พบว่าเขาเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานสต๊าฟ และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์จุนมยอนเรียกผมพอดี
“อ้าว...มาทางนี้ทีสิบยอน ช่วยเอาผลไม้นี้ไปแจกเพื่อนๆหน่อย
แล้วถ้านายแจกเสร็จแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ พักได้เลย”
“คร๊าบบบบบบ”
ผมตะโกนตอบรับไปก่อนจะรีบวิ่งไปหาเขา
หากแต่จังหวะการวิ่งก็หยุดชะงักเมื่อผมเห็นผลไม้ที่อยู่เบื้องหน้าในถุงพลาสติกใสใบใหญ่บนโต๊ะ
แอปเปิ้ลสีแดงฉ่ำหลายลูกกำลังนอนรอให้ใครต่อใครได้เข้าไปลิ้มรสความอร่อยของมันหากแต่ไม่ใช่ผมในตอนนี้...
ทำไมต้องเป็นแอปเปิ้ลด้วยนะ...พระเจ้ากำลังจะแกล้งผมใช่ไหม?
“อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ? มาเอาไปสิ...
เพื่อนรอใหญ่แล้วนะบยอน...เหม่ออะไรของนายเนี่ย”
อาจารย์จุนมยอนมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ และนั่นทำให้ผมต้องรีบพยักหน้าส่งให้เขาเพื่อกลบเกลื่อน
“ปละ...เปล่าครับ ผมจะเอาไปแจกเดี๋ยวนี้แหละ”
ผมพูดก่อนจะก้าวไปคว้าเอาถุงแอปเปิ้ลมาถือไว้ในมือแล้วเริ่มเดินแจก
พยายามไม่คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรทั้งนั้น เพราะมันก็เป็นแค่ผลไม้หลังอาหารธรรมดาก็เท่านั้นเอง...
แค่เรื่องธรรมดาไม่มีอะไรน่าพิเศษ...
ผมเดินแจกแอปเปิ้ลไปทั่วทั้งห้องก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าเก้าอี้ของชานยอลและจงแดอย่างช่วยไม่ได้
หัวใจผมเต้นจนแทบจะหลุดจากอกเมื่อได้มองเห็นชานยอลเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างฉาบใบหน้าของเขา
น้ำเสียงของชานยอลดังขึ้นอย่างร่าเริงในขณะที่วิ่งเข้ามาหาผม...
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก....
บ้าจริง...หัวใจทำไมต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ
“อ๊ากกกกก นี่มันแอปเปิลนี่นา ขอแอปเปิ้ลให้ฉันหน่อยได้ไหม?
ขอฉันสองลูกเลยได้ไหม? นะ...นะๆๆ”
ชานยอลกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดออดอ้อนอย่างอารมณ์ดีในสไตล์ของเขา
และนั่นทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะรอยยิ้มนั้นกว้างเพราะผลไม้ที่เขาเพิ่งบอกว่ามันมียาพิษเมื่อวันก่อน
ถ้าชอบมันแล้วจะบอกว่ามันมียาพิษทำไมกันล่ะคนโง่...
มันเหมือนกับว่านายกำลังแกล้งให้ฉันเป็นบ้าไป
เหมือนกับว่านายอยากจะเห็นฉันร้อนรนเพราะคำพูดของนายอย่างนั้นใช่ไหม?
ผมคิดอย่างเจ็บใจในขณะที่เขาก็กำลังมองผมตาแป๋ว...
ผมเห็นคยองซูเดินก้าวเข้ามาใกล้เพื่อหมายจะมาช่วยผมให้พ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉิน
แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว...
“มียาพิษนะ....”
หัวสมองของผมเป็นสีขาวโพลนเพราะผมไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องโง่ๆอีกครั้งแล้ว
ผมพูดโพล่งออกไปและนั่นทำให้ชานยอลเจื่อนยิ้มลงอย่างเห็นได้ชัด...
ผมเห็นคยองซูยืนนิ่งและอ้าปากค้าง ดวงตาเขาเบิกกว้างราวกับจะถามว่าผมทำอะไรลงไป
แต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว....
ผมยืนมองหน้าเขาเงียบๆในขณะที่รอดูว่าชานยอลจะทำอย่างไรต่อไป
หัวใจไม่ได้เต้นแรงอีกแล้วเพราะมันกำลังเตรียมใจรับความเจ็บปวดจากอะไรก็ตามที่ชานยอลกำลังจะตอบกลับมา
ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมเจ็บไม่ใช่น้อย...
“พิลึกคน...”
ชานยอลกระซิบออกมาในขณะที่ล้วงมือเข้ามาในถุง แล้วหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาถือไว้ลูกหนึ่ง
เขาจ้องเข้ามาในตาผมในขณะที่ก็ยกแอปเปิ้ลในมือขึ้นมากัดเข้าไปคำโตแล้วเคี้ยวจนแก้มพอง...
ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเขา...
แต่ประโยคที่เขาพูดมันออกมากลับทำให้โลกทั้งใบของผมเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ทั้งนั้น...
เพราะที่มันดังก้องกังวานอยู่ตอนนี้คือเสียงหัวใจของผมและเสียงกระซิบของชานยอลที่เอ่ยออกมาเท่านั้น...
....และมันทำให้ผมแทบหยุดหายใจ....
“งั้นถ้ามันมียาพิษจริงๆแล้วฉันสลบไป
.
.
.
.
.
นายก็จูบฉันให้ฟื้นขึ้นมาสิ"
✚ TALK
และแล้วมันก็ยังไม่จบ...ดีใจหรือเสียใจดีหว่า
ตอนนี้มันยาวไปใช่ไหมคะ?
ไรเตอร์ไม่อยากตัดเป็นสองตอนน่ะค่ะเพราะมันไม่ได้อารมณ์
ขอโทษด้วยจริงๆที่อัดอะไรไม่รู้ไร้สาระเยอะไปหน่อย -/\-
ขอบคุณที่ติดตามและเม้นท์กันนะคะ
ถ้าเกิดใครชอบฟิคเรื่องนี้อย่าลืมบอกต่อกันล่ะ
เจอกันตอนหน้าค่ะ...คิดว่าคงจบจริงๆละ
อรุณสวัสดิ์...ช่วยอวยพรให้ไรเตอร์ฝันดีหน่อยนะคะ ^^
- ไรเตอร์ นมน. -
© Tenpoints !
ความคิดเห็น