ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] ✚ :: THE APPLES :: ✚ [CHANYEOL x BAEKHYUN]*

    ลำดับตอนที่ #5 : ✚ SH0T 5 :: THE APPLE FIVE

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ย. 55


    Author : MidnightSunny
    Pairing : Chanyeol x Baekhyun
    Story by : Zenumist
    Rate : PG-15


     




    THE APPLES *








    ll CHAPTER 5 ll

    คำเตือน :  ตอนนี้มันยาวมาก....









    ช่างเถอะ...ไม่เป็นไร....

     

     

     

    เป็นคำที่ผมเลือกใช้ตลอดสามวันที่ผ่านมาในทุกครั้งที่คยองซูคิดจะถามหรือพูดเรื่องของเขา

    แต่แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะพูดอย่างนี้แต่หัวใจของผมรู้สึกเจ็บปวดเสียจริงๆ

    ผมพยายามจะปิดตัวเองด้วยการบอกว่าผมไม่เป็นไร...

    แต่คุณรู้อะไรไหมครับ? มันไม่ใช่เลย

    หัวใจของผมยังเจ็บปวดเพราะคำพูดร้ายกาจของชานยอลที่ทิ้งเอาไว้

     

    ผมรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าสถานการณ์ตอนนี้มีสิ่งที่ผมทำได้อยู่แค่สองอย่างถ้าผมไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนกับเขา

    ก็คือหนึ่ง...เป็นไอ้โง่ที่คอยแอบรักเขาต่อไป และสอง...เลิกรักเขาซะ

    แต่ถ้าคุณเคยรักใครซักคนมาก่อนคุณก็จะรู้ว่าข้อสองนั้นทำได้ยากยิ่งกว่าฆ่าตัวเองให้ตายเสียอีก

    การที่ใครซักคนจะมีผลต่อชีวิตและการเต้นของคุณแบบนั้น...การจะขาดเขาไปไม่ง่ายเลย

     

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆในขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องพักอาจารย์ที่คุ้นเคยกันอย่างกับเป็นบ้านหลังที่สอง

    วันนี้ผมมาเรียนสายและโดดคาบเช้าของอาจารย์จุนมยอน

    เพราะเมื่อคืนกว่า ผมจะทำใจข่มตาให้หลับได้ก็เกือบๆตีสามแล้ว

    ดูเอาเถอะว่าปาร์คชานยอลมีผลกับชีวิตผมแค่ไหน...

    กับอิแค่ตัดเรื่องเขาออกจากใจแล้วข่มตานอนผมยังทำไม่ได้เลย

    จะนับประสาอะไรกับตัดใจจากเขากันล่ะ...

    และตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว...และมันก็ถึงเวลาที่ผมจะโดนทัณฑ์บนที่มาสายเหมือนทุกๆที

    เหมือนครั้งก่อนที่ชานยอลเรียกนามสกุลผม...

     

    ไม่นะ...จะคิดถึงเขาทำไมกันล่ะแบคฮยอน ลืมเขาไปซักวินาทีนึงจะได้ไหม?

     

    ผมคิดในใจขณะที่กัดริมฝีปากจนมันเจ็บ...รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลลงมายังไงก็ไม่รู้

    จึงตัดสินใจเปิดประตูห้องพักอาจารย์ออกไป ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาซะก่อน

     

    "ผมมาแล้วครับอาจารย์"

     

    "โอ้มาแล้วเรอะ...เมื่อเช้านายกล้ามากนะที่โดดวิชาของฉันน่ะบยอน"

     

    “ผมเปล่าโดดนะครับ...ผมป่วย”

     

    ผมโกหกไปอย่างนั้น...ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องและหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งประจำ

    อาจารย์จุนมยอนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมและบ่งบอกสีหน้าว่าเขาไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่

     

     

    “ป่วยแต่คาบของฉันแต่มาเรียนคาบอาจารย์อู๋ฟานได้สินะ...นี่มันน่าน้อยใจจริงๆ

    แต่หน้านายก็ดูป่วยๆเหมือนกันนะ ไหวเปล่าวัยรุ่น?”

     

    อาจารย์ยกยิ้มก่อนจะเดินมาตบที่บ่าผมเบาๆ

    ผมลอบถอนหายใจกับคำถามนั้นแต่ก็ตอบกลับเขาไปเหมือนทุกครั้งทุกทีที่คนอื่นก็ถามแบบนี้

    ....ไม่เป็นไร...

     

    “ไม่เป็นไรครับ...ไหนล่ะครับจะให้ผมกรอกอะไรล่ะวันนี้”

     

    “ไม่ๆ...วันนี้นายไม่ต้องกรอกอะไรทั้งนั้นล่ะ เพราะอีกเดี๋ยวนายต้องเข้าไปช่วยงานฉัน”

     

    อาจารย์จุนมยอนไม่พูดเปล่าแต่เขากลับยื่นเอาโปสเตอร์ให้ผมใบหนึ่ง

    ผมยกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อมองโปสเตอร์สีสดในมือของอาจารย์จุนมยอน

    ผมจึงยกมื่อขึ้นไปคว้ามันไว้ก่อนจะถามออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มอ่าน

     

    “นี่อะไรครับ?” ผมถาม...

     

    “นี่ไงบทลงโทษของนายวันนี้...

    อ่ะ! นี่บัตรสต๊าฟ วันนี้นายต้องไปเป็นสต๊าฟงานดนตรีของมหาลัยเรา

    เพราะว่านักศึกษาในชมรมไม่พอน่ะ...โดโดก็ลากแฟนมาลงชื่อไว้จะบอกว่าไปช่วยนายด้วย

    อ้าวนั่นไง...มาพอดีเลย พร้อมหรือยังล่ะโดโด”

     

    อาจารย์จุนมยอนยกยิ้มเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง...

    ผมหันไปมองตามสายตาเขาก็พบว่าเป็นคยองซูนั่นเองที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน

    เขายกยิ้มบางๆพร้อมทั้งค้อมศรีษะลงเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาจับบ่าผมแล้วบีบเบาๆ

     

    “พร้อมแล้วครับอาจารย์...จงอินกำลังตามมาครับ” คยองซูตอบ

     

    “ดีเลย...งั้นเราไปที่รถฉันกันเถอะ

    ตอนนี้พวกนักแสดงเขาไปรอกันอยู่ที่งานกันแล้ว

    เราคงต้องรีบไปให้ถึงก่อนจะหกโมงเย็นนะ เพราะพวกนั้นเริ่มแสดงตอนหนึ่งทุ่ม”

     

    จุนมยอนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ซึ่งพวกผมก็เข้าใจและเดินตามเขาออกไปทันที

    ผมรั้งให้คยองซูเดินห่างออกมาจากอาจารย์จุนมยอนเล็กน้อยก่อนจะกระซิบถามเขาอย่างแปลกใจ

     

    “ทำไมมึงถึงมาอยู่ตรงนี้? กูนึกว่ามึงไปเดทกับจงอิน” ผมถามเขา

     

    “เพื่อนกูเป็นแบบนี้กูไม่มีอารมณ์ไปเดทหรอก”

     

    “กูไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย...”

     

    “หัดไปเรียนโกหกใหม่เหอะไอ้แบคฮยอน...เลิกบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรซักที

    กูเป็นห่วงมึงนะ...มีอะไรก็พูดออกมาดิวะ ทำแบบนี้คนอื่นเขาเป็นห่วงมึงรู้บ้างไหม?”

     

    คยองซูพูดพลางดึงผมเข้าไปกอดไว้...

    ผมก้มลงไปซบหน้าลงกับบ่าของเขาแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความรู้สึกผิดต่อคยองซู

     

    นับจากวันนั้นที่ผมร้องไห้กับคยองซูผมก็ไม่ได้ร้องไห้อีก

    เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องร้องออกมาเสียหน่อย...ในเมื่อเป็นผมเองที่ทำผิดเองทั้งหมด

    ผมชอบเขาเอง...รักเขาเอง...แม้กระทั่งทำทุกอย่างทั้งหมด ชานยอลไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นมันเสียหน่อย

    ไม่มีใครที่ผิดทั้งนั้น...เพราะถ้าผมกล้าพอเรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้

    ผมยัดเยียดทุกอย่างให้ทุกคนมาตลอด

    ตั้งแต่ยัดเยียดความรักให้ชานยอล ยัดเยียดความห่วงใยที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจให้คยองซู

    และยัดเยียดสิ่งที่ผมชื่นชอบให้กับชานยอลแล้วดันปรารถนาว่าเขาจะชอบเหมือนกับผม...

    ผมมันโง่เอง...

     

     

    “กูขอโทษนะคยองซู”

     

    ผมกระซิบกับเขาเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ

    คยองซูมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ...เขามักจะรู้ดีเสมอว่าผมกำลังคิดหรือรู้สึกยังไง

    และนั่นแสดงให้เห็นว่ามิตรภาพของเรามันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเพื่อนหรือพี่น้อง...

     

    “ขอโทษกูเรื่องอะไรล่ะ...กูเป็นเพื่อนมึงนะแบคฮยอน

    ถ้ามึงไม่มีความสุข แล้วจะให้กูทิ้งมึงไว้คนเดียวได้ยังไง

    เลิกทำหน้าเหมือนหมาหงอยเหอะ...เราควรไปได้แล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะดุเอา”

     

    คยองซูผละกอดออกจากผม แล้วลูบหัวผมเบาๆอย่างรักใคร่

    ก่อนจะคล้องคอผมให้เริ่มออกเดินในที่สุด

    ผมยกยิ้มออกมาบางๆเมื่อเขาทำอย่างนั้น

    เพราะมันเห็นได้ชัดว่าคยองซูอยากจะถาม...แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำเพราะมันอาจจะทำให้ผมเศร้าขึ้นมาอีก

    ผมคว้าตัวคยองซูมากอดไว้อีกหนก่อนจะยกยิ้ม

    รู้สึกดีที่อย่างน้อยวันที่รู้สึกเฟลที่สุดในชีวิตก็ยังมีเพื่อนดีๆที่อยู่ข้างๆผม

     

    “ขอบใจนะคยองซู...กูรักมึงมากเว่อร์”

     

    ผมกระซิบ ยกยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าคยองซูยกแขนขึ้นมากอดตอบแล้วตบที่หลังผมเบาๆอย่างอ่อนโยน

     

    “กูก็รักมึงมากเว่อร์ๆเหมือนกัน” คยองซูตอบพร้อมทั้งหัวเราะ

     

    “ไม่ได้นะ...ห้ามเด็ดขาด! ปล่อยแขนเลยพี่แบคฮยอน

    ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือนนะ ผมหึงโหดนะจะบอกให้”

     

    เสียงของจงอินดังขึ้นมาขัดจังหวะเราทั้งคู่...

    ก่อนที่ไม่นานเท่าเขาก็เดินออกมาดึงคยองซูไปกอดเอาไว้จากด้านหลัง

    ผมเบะปากอย่างหมั่นไส้เมื่อเห็นอย่างนั้นก่อนจะพยายามยื้อแขนคยองซูไปกอดไว้เอง

     

    “ไม่ๆๆๆๆๆๆ ฉันไม่ยกให้นายแน่จงอิน

    มึงบอกจงอินไปสิว่ากูกับมึงรักกันน่ะ”

     

    ผมแกล้งจงอินด้วยการออดอ้อนคยองซูและแย่งคยองซูมากอดไว้

    คยองซูหัวเราะเสียงใสในขณะที่ก็ถูกผมและจงอินยื้อยุดฉุดเขาไว้ทั้งคู่

     

    “ไม่ได้ๆๆๆๆๆ ถ้าพี่บอกอย่างนั้นนะ คืนนี้พี่โดนจัดหนักแน่คยองซู”

     

    จงอินพูดออกมาในขณะที่ยกยิ้มที่มุมปาก ผมอ้าปากค้างไปเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้น

    คยองซูรีบเอามืออุดปากของจงอินไว้แล้วเหลือกตามองมาที่ผมอย่างตกอกตกใจ

     

    “ก...กูว่าเราไปกันเหอะ อาจารย์คงรอนานแล้ว”

     

    “แหม...ทำเป็นอายนะมึงเนี่ย

    จงอินมันพูดจนชาวบ้านเขารู้กันทั่วแล้วไอ้โด้เอ๊ยยยยย”

     

    “พูดมากน่าไปกันได้แล้ว!” คยองซูตะโกนออกมาทั้งๆที่หน้าแดงจัด

    เขารุนหลังผมให้เริ่มออกเดินก่อนซึ่งผมก็ทำอย่างว่าง่าย

    จนเมื่อผมเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวผมก็ได้ยินเสียงโอดโอยของจงอิน

     

     

    .

     

    อ่า...บางทีผมอาจจะต้องเดินให้เร็วกว่านี้ซักนิดหนึ่งสินะ

     

     

     

    ************

     

     

    ผมไม่แน่ใจว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากผมกันแน่...

    เพราะในตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในห้องพักนักดนตรีซึ่งมีนักศึกษาจากมหาลัยของผมอยู่ในนั้นเต็มไปหมด

    แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับการที่ได้รู้ว่างานนี้เป็นงานของชมรมดุริยางค์...

    ที่มีชานยอลและจงแดมาร่วมเป็นนักดนตรีรับเชิญด้วย

     

    ผมยืนมองเขาอยู่ตรงนี้มาร่วมยี่สิบนาทีได้แล้ว

    ถึงแม้ว่าจะพยายามทำอย่างอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีเวลามายืนมองเขาอยู่แบบนี้

    แต่ก็เห็นจะเป็นไปได้ยากเมื่อจงแดกลับจำผมได้ทันทีที่เขาเห็นผม และเขาก็เดินเข้ามาทักทายผมทันที

     

    “อ้าว...นายคนเมื่อวานนี่นา ที่สำลักไอติมใช่ไหมครับ?”

     

    จงแดถามพร้อมทั้งยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีในขณะที่เดินมารับขวดน้ำดื่มจากผม

    อันความจริงผมมั่นใจว่าผมเดินแจกน้ำดื่มอยู่ที่คนละฟากห้องกับจงแด

    แต่เขากลับตั้งใจเดินมาเอามันจากผมพร้อมทั้งทักทายผมทั้งๆที่เขาไม่น่าจะทำ

    อาจารย์ไม่น่าสั่งคยองซูให้ไปยกกล่องข้าวกับจงอินข้างนอกเลย

    ไม่งั้นเขาคงรู้ว่าผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้...

     

    แต่เมื่อรู้ว่าตอนนี้หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ผมจึงจำเป็นต้องยืนคุยกับจงแดต่อไป

    ผมแอบกลอกตาแล้วหัวเราะออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาจำได้เกี่ยวกับผม

     

    “อ่า...ใช่แล้วครับ ผมนั่นแหละไอ้งั่งคนเมื่อวาน”

     

    ผมพูดออกไปติดตลก...

    อย่างน้อยก็รู้สึกดีที่จงแดเดินมาแค่คนเดียวแต่ชานยอลกลับกำลังตั้งใจดูสคริปต์ของเขาอยู่ที่มุมห้อง

    อ่า...ให้ตายเหอะ ดูเอาสิว่าผมแอบมองเขาอีกแล้ว!

     

    “เป็นสต๊าฟเหรอครับ? อยู่ชมรมดุริยางค์เหรอ?” จงแดถามผมต่อ

     

    “อ๋อเปล่าหรอกครับ...พอดีวันนี้ผมโดดวิชาอาจารย์จุนมยอน

    ก็เลยโดนทัณฑ์บนให้มาช่วยงานวันนี้น่ะ

    ความจริงเราก็ปีเดียวกันนะ พูดแบบเป็นกันเองดีไหม?”

     

    ผมยกยิ้มให้เขาพร้อมทั้งชวนคุย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สายตาเคลื่อนคล้อยไปยังคนด้านหลัง

    ผมจึงพยายามมองหน้าจงแดอย่างตั้งอกตั้งใจและส่งยิ้ม

    ให้ความพยายามทั้งหมดในการต่อบทสนทนาทั้งๆที่ไม่เคยต้องหักห้ามใจตัวเองอย่างนี้มาก่อน

     

     

    “จริงเหรอ? ฉันนึกว่านายเด็กกว่า...นี่รู้จักฉันด้วยเหรอถึงได้รู้ว่าอยู่ปีเดียวกัน?”

     

    จงแดหลิ่วตาแล้วถามผมในขณะที่เขาก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

    ผมอ้าปากค้างเมื่อรู้สึกตัวว่าปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม  แต่ก็รีบพยักหน้าก่อนจะตอบเขาไปทันที

     

    “ต...ต้องรู้สิ!  นายร้องเพลงเพราะออก ใครจะไม่รู้จักนายล่ะ”

     

    ผมตอบพร้อมยิ้มเจื่อนๆ เพราะอันที่จริงที่ผมรู้จักเขามันเป็นเพราะชานยอลต่างหากล่ะ

    เพราะถึงแม้ว่าจะเขาจะดังในฐานะนักร้องอันดับหนึ่งของชมรมดนตรีสากล

    แต่ผมดันรู้จักเขาผ่านผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลซะอย่างนั้น

    อ่า...ขอโทษที่โกหกนะจงแด

     

    “ว้าว...ดีใจจัง ขอบคุณมากนะที่รู้จักกัน

    นึกว่าจะมีแต่คนชอบไอ้ชานยอลมันซะอีก

    หน้าตาอย่างฉันนี่หาแฟนคลับยากนะว่าไหม? ฮ่าๆๆๆๆ”

     

    จงแดยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีส่งมาให้ผม

    ถึงแม้ว่าเขาจะยิ้มแย้มแต่บทสนทนาของเขาดูตัดพ้อจนผมต้องรีบแก้ให้เขาเลิกคิดแบบนั้น

     

    “บ้าน่า...ไม่ใช่หรอก เสียงจงแดเพราะออก ฉันชอบนะ

    ฉันเองก็อยู่ชมรมร้องประสานเสียงนะ ฉันอยากร้องเพลงแนวนั้นบ้างแต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ร้องเลย

    นายเก่งมากเลยนะ ฉันชอบเสียงนายเวลาร้องเพลงจริงๆ”

     

    ผมรีบเอ่ยชมเพื่อให้จงแดรู้สึกดีขึ้น

    แต่ผมเองก็รู้สึกตามที่พูดไปอย่างนั้นจริงๆ

    เพราะหลังจากที่ได้แอบไปดูชานยอลเล่นดนตรีอยู่บ่อยๆ

    ผมก็พบว่าเหตุผลที่จงแดเป็นนักร้องอันดับหนึ่งของชมรมดนตรีสากล นั่นก็เพราะพลังเสียงระดับเทพของเขา

     

     

    “อ่า....เขินจังแฮะ ขอบคุณมากเลยนะที่ชอบ 

    ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ คุยกันมาตั้งนาน ลืมถามไปเลย?

    ฉันชื่อจงแดนะ แต่นายก็รู้อยู่แล้วนี่นา...”

     

     

    “อื้ม...ฉันชื่อ บยอน แบคฮยอน” ผมตอบเขาไปก่อนจะยกยิ้ม

     

     

    “แบคฮยอนเหรอ ชื่อน่ารักดีนะ

    นายอยากไปนั่งตรงนั้นด้วยกันไหมล่ะ? ฉันเห็นนายเดินไม่หยุดตั้งแต่เข้ามาแล้ว

    ไปพักซักหน่อยสิ ฉันกับชานยอลกำลังคุยเรื่องเพลงที่จะใช้ร้องวันนี้อยู่พอดี นายอยากไปแจมหรือเปล่า?

    นายบอกว่าอยากร้องเพลงแนวนี้นี่นา ให้ฉันแนะนำให้ก็ได้นะ”

     

    จงแดยกมือหมุนปิดฝาขวดน้ำก่อนที่จะชักชวนให้ผมไปนั่งอีกฟากห้องตรงที่เขาและชานยอลนั่งอยู่

    ผมหันไปมองที่ตรงนั้นและก็ได้พบว่าชานยอลกำลังมองผมและจงแดอยู่อย่างเปิดเผย

    ผมรีบหลบสายตามองไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรง...

    บ้าจริงๆเลยแบคฮยอน...เลิกเป็นอย่างนี้เพราะแค่เขามองมาได้ไหม?

     

    “เป็นอะไรไปล่ะ เงียบไปเลย” จงแดถาม

     

    “อ๋อ...เปล่าๆ พอดีฉันคิดออกว่าต้องออกไปช่วยอาจารย์ขนของที่ข้างนอกน่ะ

    ขอบใจมากนะแต่ฉันต้องทำงานน่ะ”

     

    ผมปฏิเสธจงแดไป ในขณะที่ใช้สายตาวินาทีหนึ่งตวัดไปมองชานยอลและพบว่าเขากำลังมองผมและจงแดอยู่เช่นกัน

    คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย...เขากำลังมองผม เขากำลังมองผม!

     

    “อ้อ...งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวซักพักก็ขึ้นแสดงแล้วล่ะ เดี๋ยวนายก็ได้พักแล้ว”

     

    จงแดยิ้มกว้างก่อนจะยกมือขึ้นมาตบที่บ่าผมเบาๆ

    ผมหัวเราะออกมาเมื่อเขาทำอย่างนั้น เพราะการที่เขาทำแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นมิตรจริงๆ

     

    “อื้ม ขอบใจนะ...นายกลับไปเถอะ

    ดูเหมือนว่าชานยอลมีเรื่องจะคุยกับนายน่ะ”

     

    ผมบอกจงแดพลางพยักเพยิดกลับไปยังคนที่ผมพยายามหลบสายตาอยู่

    ผมต้องรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะสายตาของชานยอลกำลังทำให้ผมเป็นบ้าตายให้ได้

    และโชคดีเหลือเกินที่มีผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก กำลังส่งเสียงร้องเรียกเพื่อขอน้ำดื่มจากผม

     

    “อ้อ...ไปเดี๋ยวนี้ครับบบบ

    ฉันไปก่อนนะจงแด ขึ้นเวทีก็ตั้งใจแสดงนะ ฉันเป็นกำลังใจให้ ไฟท์ติ้งนะ!

     

    ผมยกยิ้มก่อนจะกำมือส่งท่าทางให้เขาตั้งใจแสดง

    จงแดยกมือขึ้นเช่นกันก่อนจะขอบคุณผมแล้วเดินกลับไปหาชานยอลที่นั่งรออยู่

    ผมรีบหันหลังกลับและเดินไปอย่างรวดเร็ว จนลืมตัวว่าต้องเอาน้ำไปให้คนที่ยกมือขอเมื่อครู่

     

    “อ้าวสต๊าฟ...น้ำผมล่ะครับ”

     

     

    “โอ้ใช่! ขอโทษทีครับ...นี่ครับน้ำ” ผมรีบปรี่เข้าไปยื่นน้ำให้เขาแล้วรีบเผ่นออกมา

    เพราะกลัวว่าถ้ายิ่งอยู่ต่อไป ผมอาจจะทำอะไรที่มันน่าอายมากกว่านี้ก็ได้

     

     

     

    ************

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาในขณะที่วงดนตรีกำลังทำการแสดงอยู่บนเวที

    รู้สึกเหนื่อยทั้งๆที่อยู่ในช่วงพัก แต่หัวใจกลับทำงานหนักยิ่งกว่าตอนอื่นๆเสียอีก

    เพราะสายตาผมตอนนี้มีแต่ชานยอลที่กำลังเล่นกีต้าร์อยู่บนเวทีอย่างตั้งอกตั้งใจ

    เขาดูเท่ห์มาก...ดูเท่ห์จนทำเอาหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ

    เพราะทุกครั้งที่เขาดีด ทุกครั้งที่เขาโยกหัว หรือแม้กระทั่งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาดังขึ้นเป็นคอรัสแทรกขึ้นมา

    มันทำเอาหัวใจผมเต้นกระตุกทุกครั้งที่ได้เห็นเขาแบบนั้น...

     

    ผมรู้สึกทึ่งเล็กน้อยเมื่อวงดนตรีของชานยอลกับวงออเครสตร้าเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด

    จงแดร้องเพลงได้ดีมากจนคนทั้งฮอล์ที่จัดแสดงปรบมือให้เขาไม่หยุด

    และวงดนตรีของพวกเขาก็แสดงได้อย่างกับมืออาชีพจนผมอดชื่นชมไม่ได้

     

    “เพลงสุดท้ายแล้วมึง...วิญญาณยังอยู่กับร่างหรือเปล่า?”

     

    คยองซูที่เดินมากับจงอินยื่นกระป๋องโค้กให้ผมมาถือไว้ในมือ

    ทำไมต้องเป็นโค้กด้วยนะ...

     

    “รีบดื่มเถอะมึง...เดี๋ยวพวกนั้นลงมาต้องทำงานกันอีกนะ”

     

    คยองซูเห็นผมชะงักไปจึงเรียกสติให้ผมกลับมา

    โดยการหยิบเอากระป๋องโค้กของผมไปเปิดให้แล้วยัดกลับมาในมือเหมือนเดิม

    ผมได้แต่พยักหน้าเพราะไม่อยากให้คยองซูสงสัยหรือเป็นห่วงอะไรอีก แล้วจึงยกกระป๋องโค้กขึ้นดื่มทันที

     

    รสชาติหวานที่ไหลผ่านลำคอของผมลงไปช้าๆทำให้ผมต้องหลับตาพริ้ม

    ได้ยินเสียงของจงแดที่ร้องเพลงรักหวานโดยมีวงออเครสตร้าบรรเลงอยู่เบื้องหลังแล้วก็ต้องถอนหายใจ

    ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นแค่เพียงเขา...เห็นแค่เพียงผู้ชายคนเดียวเท่านั้นจากมุมไกลๆนี้

    ผมให้คำตอบกับตัวเองได้ทันทีหลังจากที่ครุ่นคิดกับมันมาหลายวันว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกนี้

    ผมจะเสียเวลาตัดใจไปจากเขาทำไมกันนะ...

    ในเมื่อตอนนี้หัวใจและสายตาของผมมันร่ำร้องให้มองเพียงแค่เขาคนเดียวแบบนี้

     

    ขอแค่นี้ก็พอแล้ว...แบคฮยอน

     

    .

    .

    .

    .

     

    ขอแค่ได้มองอยู่จากที่ไกลๆ...ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

     


     

    ************

     

     

    หลังจากที่แสดงเสร็จ นักแสดงทุกคนก็กรูกันลงมาจากเวทีแล้วเริ่มต้นจิกหัวใช้งานผมอย่างกับทาส

    ผมปาดเหงื่อที่ไหลลงมาทั้งๆที่แอร์ภายในห้องเย็นเฉียบ เมื่อกำลังแบกกล่องข้าวกล่องใหญ่เดินไล่แจกทุกคนในห้องพักนักดนตรีแห่งนี้

     
    เริ่มหน้าบูดเมื่อรับรู้ได้ว่าแขนกำลังปวดเกร็งที่ต้องถือกล่องหนักๆนี่จนไหล่แทบหลุด

    หากแต่ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครบางคนถือวิสาสะแย่งกล่องนั้นไปถือไว้ซะเอง

     

    “เอามานี่สิ...กล่องนี่หนักจะตาย นายถือไหวได้ไงกันตัวก็เล็กออก”

     

    เป็นจงแดนั่นเองที่เข้ามาช่วยผม...

    เขากำลังยกยิ้มกว้างให้ผมแล้วเริ่มเดินออกไปแจกกล่องข้าวแทนผมเสียเอง

    ผมเห็นชานยอลเพิ่งเดินลงมา เขาเดินไปหยิบเอาผ้าขนหนูที่วางเอาไว้ตรงเก้าอี้ขึ้นมาเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

    ผมรีบละสายตากลับมาเมื่อเห็นว่าเขากำลังหันกลับมามองผม...

    ไม่สิ...เขาหันมามองจงแดต่างหาก และนั่นทำให้ผมยิ่งกระวนกระวานอยากจะดึงงานตัวเองกลับมาทำ

    แต่ผมพยายามจะแย่งกล่องข้าวกลับมาแต่จงแดก็ไม่ยอมเสียด้วยสิ

     

    “ไม่เป็นไรหรอก...นายแสดงมาเหนื่อยๆก็ไปพักเถอะน่า” ผมพูดกับจงแด

     

    “ร้องเพลงแค่นั้นไม่เหนื่อยหรอก...กระจอกมากไม่อยากจะคุย

    เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง เหมือนว่าอาจารย์จะให้เอาผลไม้ไปแจกน่ะ

    นายไปทำตรงนั้นแล้วกันนะ น่าจะเบากว่า”

     

    จงแดยิ้มก่อนจะพยักเพยิดให้ผมไปหาอาจารย์จุนมยอนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง

    โดยที่หลังจากพูดจบเขาก็เดินเอากล่องข้าวในมือไปแจกให้บรรดานักดนตรีโดยที่ผมไม่ทันได้ห้าม


    อ่า...ก็คงต้องเลยตามเลยสินะ

     

    ผมคิดก่อนจะรีบเดินออกมา เพราะชานยอลที่เมื่อครู่มองผมกับจงแดอยู่

    เขาเดินมาหยิบกล่องข้าวเพื่อช่วยจงแดแจกให้กับทุกคนอีกแรงหนึ่ง

     

    ผมหันไปมองคยองซูและตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปหาและพูดคุยกับเขา

    แต่ผมก็พบว่าเขาเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานสต๊าฟ และมันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์จุนมยอนเรียกผมพอดี

     

    “อ้าว...มาทางนี้ทีสิบยอน ช่วยเอาผลไม้นี้ไปแจกเพื่อนๆหน่อย

    แล้วถ้านายแจกเสร็จแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ พักได้เลย”

     
     

    “คร๊าบบบบบบ”

     

    ผมตะโกนตอบรับไปก่อนจะรีบวิ่งไปหาเขา

    หากแต่จังหวะการวิ่งก็หยุดชะงักเมื่อผมเห็นผลไม้ที่อยู่เบื้องหน้าในถุงพลาสติกใสใบใหญ่บนโต๊ะ

    แอปเปิ้ลสีแดงฉ่ำหลายลูกกำลังนอนรอให้ใครต่อใครได้เข้าไปลิ้มรสความอร่อยของมันหากแต่ไม่ใช่ผมในตอนนี้...

    ทำไมต้องเป็นแอปเปิ้ลด้วยนะ...พระเจ้ากำลังจะแกล้งผมใช่ไหม?

     

    “อ้าว...เป็นอะไรไปล่ะ? มาเอาไปสิ...

    เพื่อนรอใหญ่แล้วนะบยอน...เหม่ออะไรของนายเนี่ย”

     

    อาจารย์จุนมยอนมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ และนั่นทำให้ผมต้องรีบพยักหน้าส่งให้เขาเพื่อกลบเกลื่อน

     

    “ปละ...เปล่าครับ ผมจะเอาไปแจกเดี๋ยวนี้แหละ”

     

    ผมพูดก่อนจะก้าวไปคว้าเอาถุงแอปเปิ้ลมาถือไว้ในมือแล้วเริ่มเดินแจก

    พยายามไม่คิดว่ามันจะมีความหมายอะไรทั้งนั้น เพราะมันก็เป็นแค่ผลไม้หลังอาหารธรรมดาก็เท่านั้นเอง...

    แค่เรื่องธรรมดาไม่มีอะไรน่าพิเศษ...

     

    ผมเดินแจกแอปเปิ้ลไปทั่วทั้งห้องก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าเก้าอี้ของชานยอลและจงแดอย่างช่วยไม่ได้

    หัวใจผมเต้นจนแทบจะหลุดจากอกเมื่อได้มองเห็นชานยอลเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างฉาบใบหน้าของเขา

    น้ำเสียงของชานยอลดังขึ้นอย่างร่าเริงในขณะที่วิ่งเข้ามาหาผม...

     

    ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก....

    บ้าจริง...หัวใจทำไมต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยนะ

     

     

    “อ๊ากกกกก นี่มันแอปเปิลนี่นา ขอแอปเปิ้ลให้ฉันหน่อยได้ไหม?

    ขอฉันสองลูกเลยได้ไหม? นะ...นะๆๆ”

     

    ชานยอลกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วพูดออดอ้อนอย่างอารมณ์ดีในสไตล์ของเขา

    และนั่นทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะรอยยิ้มนั้นกว้างเพราะผลไม้ที่เขาเพิ่งบอกว่ามันมียาพิษเมื่อวันก่อน

     

     

    ถ้าชอบมันแล้วจะบอกว่ามันมียาพิษทำไมกันล่ะคนโง่...

    มันเหมือนกับว่านายกำลังแกล้งให้ฉันเป็นบ้าไป

    เหมือนกับว่านายอยากจะเห็นฉันร้อนรนเพราะคำพูดของนายอย่างนั้นใช่ไหม?

     

     

    ผมคิดอย่างเจ็บใจในขณะที่เขาก็กำลังมองผมตาแป๋ว...

    ผมเห็นคยองซูเดินก้าวเข้ามาใกล้เพื่อหมายจะมาช่วยผมให้พ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉิน

     

    แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว...

     

     

    “มียาพิษนะ....”

     

     

    หัวสมองของผมเป็นสีขาวโพลนเพราะผมไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังทำเรื่องโง่ๆอีกครั้งแล้ว

    ผมพูดโพล่งออกไปและนั่นทำให้ชานยอลเจื่อนยิ้มลงอย่างเห็นได้ชัด...

    ผมเห็นคยองซูยืนนิ่งและอ้าปากค้าง ดวงตาเขาเบิกกว้างราวกับจะถามว่าผมทำอะไรลงไป

    แต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว....

     

    ผมยืนมองหน้าเขาเงียบๆในขณะที่รอดูว่าชานยอลจะทำอย่างไรต่อไป

    หัวใจไม่ได้เต้นแรงอีกแล้วเพราะมันกำลังเตรียมใจรับความเจ็บปวดจากอะไรก็ตามที่ชานยอลกำลังจะตอบกลับมา

    ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมเจ็บไม่ใช่น้อย...

     

     

     

    “พิลึกคน...”

     

     

    ชานยอลกระซิบออกมาในขณะที่ล้วงมือเข้ามาในถุง  แล้วหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมาถือไว้ลูกหนึ่ง

    เขาจ้องเข้ามาในตาผมในขณะที่ก็ยกแอปเปิ้ลในมือขึ้นมากัดเข้าไปคำโตแล้วเคี้ยวจนแก้มพอง...

     

    ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเขา...

    แต่ประโยคที่เขาพูดมันออกมากลับทำให้โลกทั้งใบของผมเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสรรพสิ่งใดๆในโลกนี้ทั้งนั้น...

     

     

    เพราะที่มันดังก้องกังวานอยู่ตอนนี้คือเสียงหัวใจของผมและเสียงกระซิบของชานยอลที่เอ่ยออกมาเท่านั้น...

     

     

    ....และมันทำให้ผมแทบหยุดหายใจ....

     

     
     

    “งั้นถ้ามันมียาพิษจริงๆแล้วฉันสลบไป 

     

    .

    .

    .

    .
    .

     

     

    นายก็จูบฉันให้ฟื้นขึ้นมาสิ"


















     TALK


    และแล้วมันก็ยังไม่จบ...ดีใจหรือเสียใจดีหว่า

    ตอนนี้มันยาวไปใช่ไหมคะ?
    ไรเตอร์ไม่อยากตัดเป็นสองตอนน่ะค่ะเพราะมันไม่ได้อารมณ์
    ขอโทษด้วยจริงๆที่อัดอะไรไม่รู้ไร้สาระเยอะไปหน่อย -/\-

    ขอบคุณที่ติดตามและเม้นท์กันนะคะ
    ถ้าเกิดใครชอบฟิคเรื่องนี้อย่าลืมบอกต่อกันล่ะ 

    เจอกันตอนหน้าค่ะ...คิดว่าคงจบจริงๆละ
    อรุณสวัสดิ์...ช่วยอวยพรให้ไรเตอร์ฝันดีหน่อยนะคะ ^^

     

     -  ไรเตอร์ นมน. -


     

     

     

    © Tenpoints !
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×