ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF-EXO] ✚ :: THE FL0WERS:: ✚ [ KRIS x D.O.]*

    ลำดับตอนที่ #5 : ✚ SH0T 5 :: THE R0SE

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 55


     Author : MR.SN0WMAN
    Pairing : KRIS x D.O.

    Photo by :PickaJae★PickaJi 
    Rate :PG-13

     





    THE FL0WERS*





     
    ---------------------------













     

    คยองซูตื่นขึ้นมาพร้อมความปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย...
    เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อเนื่องอยู่ที่หัวเตียงแต่เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะกดปิดมัน 
    เสียงเม็ดฝนที่ดังกระทบหลังคาทำให้เขารู้ว่าบัดนี้ฝนตกรุนแรงขนาดไหน...
     

    อา...ไม่ชอบเลย ทำไมวันนี้ฝนต้องตกด้วยนะ?
    มันทำให้คยองซูรู้สึกหดหู่ไปหมด
    เพราะแม้แต่จะขยับหรือทำอะไรคยองซูก็รู้สึกไม่ดีไปหมดทุกอย่าง...


    คยองซูอยากจะโดดเรียนวันนี้ หากแต่ถ้านี่เป็นความจริงที่เขาต้องเจอ ต่อให้เขาจะหนีมันไปก็คงไม่มีประโยชน์
    เมื่อคิดได้อย่างนั้น...คยองซูจึงค่อยๆลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกวันอย่างไม่มีอิดออดอะไรอีก...
    โชคดีเหลือเกินที่เมื่อคืนพ่อกับแม่ของคยองซูไม่อยู่บ้าน...
    เพราะพวกท่านเดินทางไปสังสรรค์ในงานเลี้ยงรุ่นของพ่อที่ต่างจังหวัดโน่นล่ะ
    เขาเลยไม่จำเป็นต้องเปิดร้านในวันนี้ และก็ไม่จำเป็นต้องรีบแต่งตัวลงไปนั่งรอเพื่อไปจัดดอกไม้ให้ใครด้วย

     
     

    หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คยองซูก็ใช้เวลานั่งเหม่อลอยอยู่กับตัวเอง
    คิดอะไรคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลาไปเรียนตอนแปดโมงเช้า...
    เวลาทุกวินาทีดูเหมือนจะยาวนานราวกับผ่านไปนานนับปีสำหรับเขา
    ได้แต่โทษตัวเองว่าเขาจะตื่นเช้าขึ้นมาทำไมกันนะ
    ทำไมไม่นอนตื่นสายๆจะได้ไม่ต้องเหลือเวลามาให้คิดอะไรแบบนี้...
    เขาคงติดเป็นนิสัยไปแล้วสินะ...หรืออาจจะเป็นเพราะความเคยชินซักอย่าง
    ที่ทำให้เขาต้องกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทุกๆเช้าเพื่อจะได้ทำหน้าที่พ่อค้าร้านขายดอกไม้ในทุกๆวันอย่างนี้...

     

     









     

    กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง...

     


     

    เสียงกริ่งที่ดังขึ้นตอนเจ็ดโมงครึ่งช่างตรงต่อเวลาจนทำให้คยองซูต้องกัดริมฝีปาก

    หลับตาลงแน่นเมื่อได้ยินเสียงกริ่งนั้นถูกกดถี่รัวราวกับคนที่ยืนกดกำลังร้อนใจอะไรซักอย่างเสียเต็มประดา...

    คยองซูพยายามจะทำใจแข็งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น

    หากแต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ...



    เขาอยากเจอหน้าคริสจนแทบจะบ้า...

     

     

    คยองซูค่อยๆย่องเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะแหวกผ้าม่านสีขาวที่เขาชอบแล้วชะเง้อมองออกไปทางหน้าต่าง

    คริสดูหงุดหงิดงุ่นง่านในขณะที่ยังเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าร้าน...

    สายฝนที่ยังคงตกลงมาทำเอาตัวพี่เขาเปียกปอนไปหมด แม้ว่าจะถือร่มสีฟ้าเอาไว้ในมือก็ตาม

    คยองซูเอนหัวพิงไปกับขอบหน้าต่างอย่างเศร้าใจ...พลางถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดในหัวอก

    น่าตลกดีนะที่ได้มองเห็นคริสยืนกดโทรศัพท์ต่อสายหาคยองซูไม่ได้หยุด

    แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยที่ได้เห็นอย่างนั้น....?



    เสียงมือถือที่สั่นอยู่บนหัวเตียงนั่นร่ำร้องให้คนเป็นเจ้าของต้องกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวด

    คยองซูรู้ดีว่าเขามักจะอ่อนแอเสมอเวลาที่เขาอยู่กับคริส เวลาที่ได้เจอกันเวลาที่พูดคุยกัน

    หัวใจมันพร่ำเพ้อตลอดเวลาว่าเขาอาจจะมีโอกาส...

    มีโอกาสที่จะกลายเป็นใครคนนั้นที่คริสจะมอบช่อดอกไม้ให้


    ...แต่มันเห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด...

     
     

    แต่แล้วมันยังไงล่ะ...คยองซูไม่เห็นว่าเขาจะเข็ดหลาบตรงไหน

    แม้ว่าจะรู้ว่าพี่เขามีคนที่ชอบ มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว

    แต่ทำไมนะ...ทำไมหัวใจถึงชอบไปหวั่นไหวให้กับเขาทุกที...

     
     

    คยองซูอยากจะพยายามจะทำเป็นไม่สนใจเสียงโทรศัพท์และคนที่ยังคงเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านนั้น...

    หากแต่บ้าชะมัด ที่จู่ๆขาก็พาตัวเองเดินลงมายังประตูหน้าอย่างช่วยไม่ได้

    คยองซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงก่อนจะคว้าลูกบิดประตูแล้วกระชากมันให้เปิดออก

    พลางมองหน้าคนร่างสูงที่ดูเคร่งเครียดและดูหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างไรชอบกล

    คยองซูยืนนิ่งเงียบในขณะที่คริสกลับยิงคำถามมาไม่ได้หยุด

     
     

    “นายเป็นอะไรไปน่ะคยองซู ทำไมถึงไม่รับสายพี่?!”

    เมื่อคืนก็กลับบ้านดึกนายไปทำอะไรมา! ไอ้จงอินใช่มั้ย?!

    พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปหามันแล้วทำไมนายถึง..// พี่คริส...ผมรักพี่

     
     

     

    คยองซูพูดขัดขึ้นจนทำเอาคริสเบิกตากว้างพลางเงียบลงไปถนัดตา

    คริสมองหน้าคยองซูอย่างไม่เชื่อหูอยู่วินาทีหนึ่ง

    ก่อนเสตามองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าจะสบสายตาของคยองซูที่จ้องตรงมาที่เขา

    คยองซูกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างอย่างลำบาก ปรารถนาว่าคริสจะตอบอะไรกลับมาบ้าง

    แต่ไม่มีเลย...ไม่มีอะไรตอบกลับมาจากคริสทั้งนั้น...

     
     

    คยองซูถอนหายใจ ในหัวใจเจ็บปวดหากแต่เขาคิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้

    เขาหันหลังกลับเข้าบ้านเพราะไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้าคนเป็นพี่ให้ได้อายหรอก

    หากแต่คริสเอ่ยรั้งเขาไว้จนเขาต้องหันกลับไปหาคนที่เรียกเขาไว้อย่างไม่เข้าใจ

     
     

    “คยองซู...”

     
     

    “อะไรครับ??”

     
     

    “พี่...”

     
     

    คริสชะงัก...แววตาวูบหนึ่งดูเหมือนจะมีประกายบางอย่างฉายขึ้นมาในแววตานั้น

    คยองซูไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หากแต่เขารับรู้ได้ว่าเขาอาจจะมีความหวังก็ได้

    เพราะสายตาของคริสดูราวกับคิดไม่ต่างจากเขา...

     
     

    คยองซูกลืนน้ำลายนิ่งเงียบและรอฟังคนเป็นพี่พูด

    เขาเห็นคริสอึกอักและต่อสู้กับตัวเองอยู่พักหนึ่ง...หากแต่มันนานจนคยองซูใจเสีย

    มันผ่านไปนานจนเขาแน่ใจแล้วว่าเขาคิดไปเอง

    ไม่มีอะไรวูบไหวทั้งนั้นในสายตาของเขา...

     
     

    “พอเถอะครับ...พี่ควรจะกลับไปได้แล้ว”

     
     

    “คยองซู...”

     
     

    คยองซูเอ่ยขึ้นในขณะที่น้ำตาเม็ดหนึ่งไหลรินลงมาที่ข้างแก้ม

    คริสกัดริมฝีปากลงแน่น...ก่อนจะตัดสินใจส่งเสียงเอ่ยรั้งคยองซูเอาไว้

    เอ่ยบางอย่างออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ

    หากแต่คำพูดไม่กี่คำที่คริสพูดออกมา

    มันกลับทำให้คยองซูหัวใจแตกสลายลงไปในพริบตา...


    “วันสุดท้าย...พี่ขอร้องแค่อย่างเดียว

    ช่วยจัดดอกไม้ให้พี่ได้ไหม?

    พี่สัญญาว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย...”

     
     

    คริสพูดขึ้นพลางส่งสายตาวิงวอนขอร้องมาให้ผม...

    เขาคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หัวใจผมเจ็บปวดเหมือนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆสมองมันขาวโพลนไปหมด...

    มีเพียงคำเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ และมันกำลังวนเวียนอยู่ในหัวของผมราวกับว่ามันกำลังตอกย้ำซ้ำเติมผมอยู่อย่างนั้น...

     
     

     

    .

    .

    .


    มันจบแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     

     

    “นายไม่คิดจะบอกคยองซูหน่อยเหรอ?”

     

    เซฮุนถามขึ้นในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่งรอสำหรับผู้โดยสารในสนามบิน

    ข้างๆของเขาคือจงอินที่ตอนนี้มีกระเป๋าสัมภาระวางอยู่ข้างๆเป็นเครื่องหมายว่าเขากำลังจะออกเดินทางในวันนี้

    จงอินยิ้มออกมาเมื่อฟังคำถามของเซฮุน ยกยิ้มออกมาราวกับว่าคำถามนั้นมันช่างน่าตลก

     

    “จะบอกไปทำไม ในเมื่อเขาก็ไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้วนี่”

     

    จงอินตอบเสียงเรียบ ในขณะโบกหนังสือเดินทางของเขาไปมา

    ราวกับว่าถ้าหากเขาเล่นมายากลได้เขาคงเสกให้มันหายไปต่อหน้าต่อตา...

     

    “แต่นายไม่ควรหนีไปอย่างนี้...

    เพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอที่ทำให้นายต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่ไป

    ทำไมนายไม่คิดถึงใจคนอื่นบ้าง”

     

    “ฉันจะคิดถึงมันไปทำไม ในเมื่อคนๆนั้นเค้าไม่ได้มีใจให้ฉันอยู่แล้ว”

     

    จงอินยิ้มพลางผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกจากประชาสัมพันธ์ดังไปทั่ว

    หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะตัดสินใจออกเดิน

     

    หากแต่มือของเซฮุนกลับยื้อที่ชายเสื้อเชิ้ตของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย...

     

    “นายต้องปล่อยฉันได้แล้วเซฮุน...คยองซูเขาไม่ได้รักฉันเข้าใจไหม?

    ฉันควรจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ? ทำไมฉันต้องนึกถึงใจคนอื่น

    ในเมื่อคนอื่นที่ว่าเขาไม่ได้มีฉันอยู่ในสายตาเลยซักครั้ง...”

     

    จงอินพูดตัดพ้อออกมาอย่างรำคาญใจ

    เขาไม่เข้าใจเลยว่าเซฮุนจะยื้อเขาไว้เพื่ออะไร อยากจะถามให้แน่ชัด

    หากแต่เมื่อตวัดสายตากลับไปแล้วจงอินก็ต้องเบิกตากว้าง...

     
     

    โอเซฮุนกำลังร้องไห้...

     
     

    “น...นายเป็นอะไร?”  

     
     

    จงอินถามอย่างไม่เข้าใจเลยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เซฮุนปาดน้ำตาก่อนจะเริ่มกระซิบถาม...

     

    “ที่ฉันบอกว่าให้นายคิดถึงใจคนอื่น...ฉันไม่ได้หมายถึงคยองซู”

     
     

    เซฮุนเอ่ยออกมาเสียงเครือ...สายตายังจ้องตรงแน่วแน่ไปยังจงอินไม่ไปไหน

    จงอินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำตอบนั้น

    แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรเซฮุนก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง...

     
     

    “นายจำได้ไหมที่ฉันเคยบอกนายได้ไหม...

    ที่ฉันเคยบอกว่า การบอกความรู้สึกตรงๆออกไปไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว

    เพราะไม่แน่มันอาจจะทำให้เรามีตัวตนในสายตาของใครคนนั้นขึ้นมาบ้างก็ได้

    นายยังจำมันได้ไหม?...”

     
     

    “ด...ได้สิ...ฉันจำได้”

     
     

    จงอินตอบกลับ รู้สึกประหลาดใจที่เซฮุนเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาในตอนนี้

    จงอินใจเต้นตึกตักเมื่อเซฮุนปรายตาขึ้นมองหน้าเขา

    ใบหน้านั้นแดงก่ำจากการร้องไห้

    และเขารู้สึกได้ว่าในสายตานั้นมีบางอย่างซ่อนเอาไว้...

     
     

    จงอินมองเห็นเซฮุนกำลังตัวสั่นเพราะกำลังร้องไห้

    ชายเสื้อของจงอินถูกกำเอาไว้แน่นด้วยแรงฉุดดึงจากเซฮุน

    จงอินลอบกลืนน้ำลายเมื่อเขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างช้าๆ

    หากแต่เขาไม่จำเป็นต้องถามเลย...

    เซฮุนเอื้อนเอ่ยออกมาเพื่อเฉลยข้อข้องใจของเขา

    และคำตอบนั้นทำให้จงอินต้องกลั้นหายใจราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนลงตรงนี้

     
     

    “แล้วมันจะเป็นอะไรไหม...

    .

    .

    .
    .
    .


    ถ้าฉันจะขอร้องให้นายเห็นฉันมีตัวตนในสายตาของนายบ้าง?”

     

     

     
     

    ------------------------------------------------------------

     

     

    ผมรับได้กับการรอคอย

    ผมรับได้กับการที่คุณไม่อยากจะมองหน้าผม

    ...แค่อยู่ข้างๆผม...

    ผมรับได้ถ้าคุณจะด่า ผมรับได้เมื่อคุณทำให้ผมเจ็บผม  ผมจะทำให้ดีกว่านี้

    ผมจะยังอยู่แม้คุณจะเกลียดผม

    แม้คุณจะเอาแต่ผลักไสให้ผมไป

    ...แต่อย่าทิ้งผมไป...

     

     

     

    ------------------------------------------------------------










     

     

    ความรักก็เหมือนกับดอกไม้...

    ถ้าได้รับน้ำและการเอาใจใส่มันก็จะเปล่งประกายและส่งกลิ่นหอม

    แต่ถ้าหากมันถูกทิ้งไว้ไม่ได้สนใจใยดีมันจะเหี่ยวเฉาและแห้งตายลงไปในที่สุด

     

    แต่ทว่า...เหล่าดอกไม้สีสวยที่ส่งกลิ่นหอมหวนยวนใจ...

    มันก็เป็นแค่เพียงรูปลักษณ์และกลิ่นที่หลอกล่อให้หมู่ภมรและแมลงเข้าดูดกินน้ำหวาน

    หากคุณคิดจะสัมผัสคุณต้องยอมรับหนามของมันด้วย

     

     

    มันเป็นข้อความที่ผมเคยได้อ่านมาจากไหนหนังสือเล่มหนึ่งที่แม่ซ่อนเอาไว้บนหลังตู้เก็บของ
    ผมได้อ่านมันเมื่อหลายปีมาแล้ว...และผมชอบมันเอามากๆ
    แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก 
    แต่ผมก็เอามันคัดลอกลงไปในสมุดไดอารี่เล่มโปรดของผม และผมมักจะเปิดมันอ่านทุกครั้งเวลาที่ผมเศร้าใจ...
     

    ด้วยความที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของมัน ผมเลยได้แต่อ่านมันวนไปวนมาแล้วนั่งขบคิด
    มันช่วยให้ผมลืมความรู้สึกเจ็บปวดในชั่วขณะนั้นไปจนหมด หากแต่คราวนี้ไม่ใช่...

     
     

    เพราะในตอนนี้ผมเข้าใจมันทุกอย่างแล้ว...และผมเข้าใจมันเป็นอย่างดี

    คริสเหมือนดอกกุหลาบแสนสวยที่ผมมักจะถือมันไว้และสูดดมกลิ่นหอมของมันทุกวี่วัน...

    มันให้ความสุขกับผม พอๆกับความภูมิใจที่ผมได้ครอบครองมันเอาไว้ในมือ...

    หากแต่ผมไม่รู้เลยว่าดอกกุหลาบดอกนี้ยังไม่ถูกริดหนามออก

    จนสุดท้ายแล้วผมก็โดนหนามของมันปักเข้าเต็มมือ...จนเจ็บปวดและชาแบบนี้

     
     

    คริสอาจจะเป็นดอกกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอม...

    ผมเสพติดกลิ่นหอมนั้นมากไป จนผมลืมคิดไปว่า

    ถ้าวันใดวันหนึ่งที่ผมไม่มีมัน...ผมอาจจะตายก็ได้

    อย่างเช่นที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรนักกับตายทั้งเป็น...

     
     

    ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมกำลังเผชิญสถานการณ์แบบไหน

    ผมฟุบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วทอดสายตาเหม่อมองออกไปที่ไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้

    ผมนั่งอยู่เงียบๆคนเดียวอย่างนี้มาราวสองชั่วโมงแล้ว

    และปฏิเสธทำจะทำอะไรแม้กระทั่งขยับตัว....

     
     

    หัวใจของผมชาและเจ็บปวด จนผมคิดว่าบางทีมันอาจจะหยุดเต้นไปแล้ว

    หัวสมองของผมมันขาวโพลนไปหมด...

    และผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงให้อาการบ้าบอเหล่านี้มันหายไปจากหัวสมองซักที

     

     

    เฮ้อ....

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาครั้งที่สองร้อยห้าสิบสี่เห็นจะได้...

    สามวันที่ผ่านมาที่คริสไม่ได้มาที่ร้านของผมเลย ใช่ครับ...มันเป็นเวลากว่าสามวันแล้ว...

    เขาไม่ได้มาซื้อดอกไม้ที่ร้านผมอีก...และมันเป็นเพราะผมเองที่ทำให้เป็นแบบนั้น

    โทษใครก็ไม่ได้หรอก รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีใจก็ยังจะดื้อแพ่งบอกเขาไปอย่างนั้นซะได้

    เพื่ออะไร...ผมทำเพื่ออะไรเหรอ?

     
     

    ผมล่ะเอาแต่ถามคำนี้กับตัวเองอยู่ตลอดสามวันที่ผ่านมาอยู่ซ้ำๆ

    ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไร...ผมไม่รู้ว่าผมคาดหวังอะไรถึงได้ไปบอกเขา

    เขาไม่เคยรักไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาเลย ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว

     

    แล้วทำไมถึงคิดว่าแววตาวูบไหวนั้นบ่งบอกว่าคริสมีใจ?

    ผมคิดอะไรของผมอยู่นะตอนนั้น...มันบ้ามากจริงๆที่คิดว่าตัวเองพอจะมีหวัง

    เพียงเพราะแค่สายตาวูบเดียวเท่านั้น...แค่วินาทีเดียวจริงๆ....

     

    “พอซักทีคยองซู...นายจะคิดถึงเขาไปทำไมนะ?

    มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เขาไม่โผล่มา...นายจะได้ลืมเขาง่ายๆไงล่ะไอ้โง่”

     

    ถึงแม้ปากของคยองซูมักจะพูดย้ำๆซ้ำๆกับตัวเองเสมอว่าจะไม่อยากเจอหน้าคริสอีก

    ไม่อยากแม้แต่จะเห็นปลายนิ้วหรือรอยยิ้มของเขาให้ต้องเจ็บปวดอีก

    แต่แท้จริงแล้วในใจเขา กลับมีแต่ความรู้สึกเดียวที่วนเวียนอยู่ข้างใน...

    เป็นความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้

     

    คิดถึง...ผมคิดถึงเขาจริงๆ...

    พี่อยู่ไหนนะคริส กลับมาหาผมได้ไหม?...

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    ครืดดดดดด....ครืดดดดดดดดดด....

     
     

    ราวกับฟ้าจะได้ยินคำถามของผม

    เสียงโทรศัพท์เครื่องน้อยของผมสั่นครืดคราดอยู่บนเคาท์เตอร์

    มันเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่มันไม่ได้สั่นหรือมีเสียงดังขึ้นมาเลย...

    แต่ตอนนี้สัญญาณอะไรบางอย่างกำลังถูกส่งมา และผมไม่อาจจะหักห้ามใจให้ตัวเองทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันต่อไปได้

     
     

    ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดออกดูว่าใครกันนะที่ส่งข้อความมา

    ก่อนที่หัวใจจะเต้นระรัวอยู่ในอก เมื่อหน้าจอขึ้นชื่อหนึ่งที่ผมคุ้นเคยและรอคอยมันมาตลอดสามวันนี้

    ชื่อของคริส...

     

     

    ผมเปิดเข้าไปดูโดยไม่ต้องหยุดคิด...หัวใจเต้นรัวเร็วจนน่ากลัวว่ามันจะหยุดเต้น

    ผมใช้นิ้วเล็กเลื่อนหน้าจอสัมผัสก่อนจะได้พบข้อความสั้นๆแต่ได้ใจความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

    และมันทำให้ผมใจหายจริงๆ...

     

     
     

    พี่อยู่ที่โรงพยาบาล S ห้อง 431

    มาหาพี่หน่อยได้ไหม?

     
     

    ผมเบิกตากว้างก่อนจะกลั้นหายใจเมื่อได้อ่านข้อความนั้น

    ผมอ่านมันถึงสามรอบก่อนที่จะรู้สึกร้อนรนที่สุดในชีวิต

     
     

    นี่เป็นเหตุผลหรือเปล่าที่เขาไม่โผล่มาหาผมเลยตลอดสามวันนี้...

    เขาป่วยใช่ไหม? เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง?

     

    คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาหลังจากที่ได้อ่านข้อความจบ

    และไม่ต้องรอให้สมองได้ประมวลผลอะไรเลย...

    ผมกระชากตัวลุกจากเก้าอี้ทำนั่งตั้งแต่เช้า เดินไปหยิบเอาเสื้อโค้ทแล้ววิ่งออกบ้านไปทันที...

     

     

    .

    .

    .

     

     



     

    ไม่นานเท่าไหร่ผมก็มาถึงโรงพยาบาลที่คริสบอก

    ผมหยุดยืนหอบหายใจที่หน้าห้อง 431 ก่อนจะพยายามปรับลมหายใจให้กลับเป็นปกติ

    กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อได้รู้สึกว่าผมทำอะไรไม่เข้าท่า

    ผมจะมาที่นี่ทำไมกันนะ...ในเมื่อเขาปฏิเสธความรักของผมไปแล้ว

    มีเหตุผลอะไรที่ผมยังต้องแคร์เขา...มีเหตุผลอะไรที่ผมยังต้องเป็นห่วง

    ทำไมผมยังคงรักเขา?

     
     

    และแม้ว่าคำถามไร้สาระพวกนี้จะลอยวนเวียนอยู่ในหัวของผมไปมาไม่ได้หยุด

    แต่ผมก็ยังคงตัดสินใจยื่นมือไปหมุนลูกบิดประตูสีเงินเย็นเฉียบตรงหน้าอย่างร้อนใจ

    ก่อนจะเปิดแล้วเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ...

     

    ใจผมร้อนรนอย่างกับไฟ...กลัวว่าคริสจะเป็นอะไรมากมายกว่าที่คิด

    หากแต่เมื่อได้เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยห้องใหญ่นั้น

    ผมก็ต้องขมวดคิ้ว...

     
     

    “สวัสดีครับ...คุณคงเป็นคยองซูสินะ”

     
     

    ชายหนุ่มหน้าสวยคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ผมอย่างเป็นมิตร

    แตกต่างกับผมที่ตอนนี้งงเป็นไก่ตาแตก...สมองผมประมวลผลไม่ทันเลย

    และกว่าที่ผมจะรู้ตัวว่าผมทำตัวเสียมารยาทมันก็ผ่านไปเป็นนาทีแล้ว

     
     

    “อะ...ครับ ผมคยองซูครับ แล้วคุณคือ?

    เอ่อ...ผมขอโทษนะครับ...แต่ผมคิดว่าคริสอยู่ที่นี่”

     
     

    “คริสอยู่ที่นี่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน...ตอนนี้เขาไปทำงานแล้วครับ

    ผมชื่อลู่หาน และเป็นผมเองที่ตามคุณมา...คริสไม่ได้รู้เรื่องด้วย”

     
     

    “ผ...ผมไม่เข้าใจ”

     
     

    “นั่งก่อนสิครับ คุณจะได้รู้เรื่องทุกอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง...”

     
     

    ลู่หานผายมือให้คยองซูไปที่เก้าอี้ข้างๆเตียงผู้ป่วย

    ซึ่งคยองซูเองก็ไม่ได้อิดออด...เขาเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างว่าง่าย

    แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...

     

    คยองซูมองไปที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย

    ก่อนจะเห็นช่อดอกไม้ที่เขาจัดให้คริสเมื่อสามวันก่อนวางอยู่บนนั้น

    ดอกไม้เริ่มเฉาลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในห้องดูหมองลงไปนัก

     
     

    จนมาถึงตอนนี้ผมก็เข้าใจทุกอย่าง...ผมรู้แล้วว่าผู้ชายตรงหน้าผมคือใคร

    ดอกไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นบ่งบอกได้ทุกอย่าง..

    เขาคือคนสำคัญของคริส...

     

     

    “คุณจัดดอกไม้เก่งนะครับ...ผมชอบดอกไม้ของคุณมาก”

     

    “ไม่หรอกครับ...แม่ผมจัดสวยกว่านี้เยอะ”

     
     

    “คุณคงสงสัยสินะครับว่าผมเรียกคุณมาทำไม”

     
     

    ลู่หานพูดพร้อมทั้งยิ้ม คยองซูกลืนน้ำลายเพราะไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้พร้อมที่จะฟังมันหรือยัง

    แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว...

     
     

    “ค...ครับ”

     
     

    “ผม...เป็นคนรักของคริส”

     

    ลู่หานตอบกลับมาเสียงเรียบ ในน้ำเสียงไม่ได้เจือแววอะไรลงไป

    หากแต่คำพูดสั้นๆของลู่หานก็ทำให้คยองซูแทบจะหยุดหายใจ

    คยองซูกัดริมฝีปากแน่น...มันมากเกินไปที่เขาต้องมารับรู้

    เจ็บจัง...หัวใจมันเจ็บจังเลย

     

     

    “เราเป็นคนรักกัน...แต่เราไม่ได้รักกันแล้ว”

     

     

    ลู่หานพูดต่อ...ซึ่งเมื่อคยองซูได้ยินคำนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองลู่หานอย่างไม่เข้าใจ

     

    “อ...อะไรนะครับ?” คยองซูกระซิบถามอย่างไม่แน่ใจว่าลู่หานพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

     

    ลู่หานยกยิ้มออกมาบางๆและพยักหน้าราวกับรับรู้ว่าคยองซูกำลังคิดอะไรอยู่

     

    “คุณฟังไม่ผิดหรอก...ถึงเราจะเป็นคนรักกันก็จริงแต่เราไม่ได้รักกันแล้ว”

     

    “ไม่หรอกครับ...คุณลู่หานคิดมากไปแล้ว

    พี่คริสยังรักคุณอยู่นะครับ”

     

    คยองซูตอบไป แม้ในใจจะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้หรอก

    ผมไม่ใช่คนเลวขนาดนั้น...ถึงแม้ผมจะแอบรักแอบชอบพี่เขาทั้งๆที่พี่เขามีแฟนอยู่แล้ว

    แต่ผมก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดจะแย่งของใคร ไม่ถึงขนาดนั้น...

     

    ยิ่งงงหนักไปใหญ่เมื่อลู่หานหัวเราะออกมาเบาๆในลำคออย่างไม่เห็นด้วยในคำพูดของผมเท่าไหร่
    เขาส่ายหน้าน้อยก่อนที่จะตอบกลับ

     

    “ฮ่าๆ...ไม่หรอกครับ ทุกวันนี้ที่ยังมาหาทุกวันเพราะเขารู้สึกผิดต่างหาก

    เราหมดรักต่อกันนานเป็นปีแล้ว ทุกวันนี้ที่ยังอยู่ด้วยกันคงเพราะคริสเขาคงอยากจะไถ่บาป”

     

    ลู่หานมองหน้าคยองซูพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ

    รู้สึกขันเมื่อได้เห็นคยองซูเหลือกตากว้างฟังอย่างไม่เข้าใจ

    ลู่หานเอื้อมมือเรียวของตนไปจับที่มือเรียวของคยองซูแล้วลูบมันให้เขาคลายกังวลใจ

    ก่อนจะเริ่มพูดต่อ...

     

    “คริสมีกำแพงในใจที่เขาสร้างขึ้นเอง...และมันก็เป็นเพราะผม

    ผมอยากจะขออะไรซักอย่างให้คุณช่วยนะคยองซู

    และผมเชื่อว่ามีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้...ผมรู้ว่าคุณชอบคริสใช่ไหม?

    ช่วยคริสได้ไหม? ช่วยคริสให้หลุดจากบาปในใจของเขาที

    ผมไม่อาจจะช่วยเขาได้...เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องสร้างกำแพงขึ้นมาแบบนี้”

     

    “บาปอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ...”

     

    “ผมและคริสมาเกาหลีด้วยกัน ผมมาที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์สาขาจิตรกรรมของสถาบันศิลปะโซล คุณรู้จักไหม?”

     

    “รู้จักสิครับ...ที่นั่นดังมาก จิตรกรดังๆของเกาหลีก็จบที่นั่นกันทั้งนั้น

    คุณเก่งนะครับที่เข้าไปเป็นอาจารย์ที่นั่นได้...ผมได้ยินว่าในนั้นการแข่งขันสูงมาก”

     

    คยองซูพยักหน้าก่อนจะถามต่อ...ลู่หานยกยิ้มอย่างน่ารักที่ได้ยินคยองซูพูดอย่างนั้น

     

    “นั่นแหละ...ผมกับคริส ตอนนั้นเรารักกันและไม่อยากแยกจากกัน

    เพราะเราคิดว่าความรักที่ต้องห่างกันน่ะมันเป็นไปไม่ได้...

    คริสเลยหาลู่ทางเพื่อที่จะมาทำงานที่เกาหลีกับผม

    จนสุดท้ายเขาก็ได้ตอบรับไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อย่างที่คุณก็รู้...”

     

    “....................”

    คยองซูพยักหน้ารับแต่ยังไม่พูดอะไร ลู่หานจึงพูดต่อไปอีก

     

    “แต่ทันทีที่เรามาถึงที่นี่...ผมกับคริสก็ทะเลาะกันรุนแรงมาก
    คริสใช้อารมณ์และมันทำให้ผมกับเขาประสบอุบัติเหตุ
    ตอนนั้นคริสคาดเข็มขัดนิรภัยแต่ผมไม่
    รถของเราก็พลิกคว่ำจนผมเกือบจะตายเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น...
    คริสรอดมาได้แต่ผมต้องเข้าห้องไอซียูและสลบไปเกือบสองอาทิตย์”

     
     

    ผมฟังเหตุการณ์ที่คนตรงหน้าเล่ามาอย่างไม่เชื่อหู...
    ใบหน้าของลู่หานยังคงยิ้มซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่มั่นใจนักว่าลู่หานกำลังฝืนหรือไม่
    ลู่หานเอียงคอนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป...
    ผมไม่แน่ใจนักว่าในน้ำเสียงนั้นเจือความรู้สึกอะไรอยู่ แต่เมื่อผมได้ฟังแล้วมันทำให้ผมแทบจะร้องไห้...

     
     

    “ผมฟื้นขึ้นมาในที่สุด แต่สุดท้ายผมก็ต้องเสียบางสิ่งบางอย่างที่ผมรักไปตลอดกาล

    ผมได้รับบาดเจ็บที่แขน...และมันทำให้ผมไม่สามารถวาดรูปได้อีกตลอดชีวิต”

     
     

    ผมกลั้นหายใจ...เพราะลู่หานเงียบลงหลังจากที่เขาพูดจบ
    ผมไม่แน่ใจเลยว่าผมจะปลอบใจเขาอย่างไรดี...
    น่าสงสารเหลือเกิน มันแย่มากนะที่เขาสูญเสียสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขามีไปตลอดชีวิต

     
     

    “ผม...ผมเสียใจด้วยครับ”

     

     

    คยองซูเอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบ
    เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นอกจากว่าเขาเสียใจกับลู่หานแค่ไหน

     
     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ...มันผ่านมาเป็นปีแล้วล่ะ

    ผมยอมรับว่าผมเองก็เจ็บปวด แต่โชคยังดีที่ทางสถาบันไม่ได้ไล่ผมออก

    แต่ยังให้ผมเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยทั้งๆที่ผมวาดรูปไม่ได้อีกแล้ว

    ผมยังคงเข้ารักษา...ข้อมือของผมยังคงเจ็บปวด

    หมอปลอบใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะหาย

    แต่หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดมาสามครั้ง
    มันทำให้ผมแน่ใจว่าผมไม่มีวันจะกลับไปวาดรูปได้อีกแล้ว”

     
     

    แววตาของลู่หานวูบไปในห้วงคำพูดท้ายประโยค...
    คยองซูยื่นมือไปบีบที่มือเล็กของลู่หานเพราะกลัวว่าเขาจะร้องไห้
    รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ทำอย่างนั้นเพราะเมื่อคยองซูทำอย่างนั้นลู่หานก็กลับมาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง

     
     

    “ฮ่าๆ...ผมไม่เป็นไรแล้วครับ มันก็เป็นเรื่องจริงที่ต้องเจอนี่จริงไหม?

    เพราะอย่างนั้นแหละครับคริสเองก็เลยโทษตัวเองว่าเป็นความผิดเขามาตลอด

    เขาปิดกั้นตัวเองเพราะรู้สึกว่าทำผิดต่อผม...และเขาบอกว่าเขาจะเป็นคนดูแลผมตลอดไป

    แต่คุณรู้อะไรไหมคยองซู? คริสไม่ได้รักผมแล้ว...และผมคิดว่าเป็นผมเองด้วยซ้ำที่นอกใจเขาก่อน”

     
     

    “คุณมีคนรักใหม่เหรอครับ?”

     
     

    “ใช่...และคริสเองก็รู้เรื่องนี้ด้วย”



    “......................”

     

     

    คยองซูนิ่งเงียบ...เขางุนงงไปหมดเมื่อได้ฟังคำที่ลู่หานบอก

    ทำไมคริสถึงยังรักลู่หานล่ะ ในเมื่อลู่หานก็มีคนรักใหม่ไปแล้ว

    เป็นคริสเองที่ไม่ยอมปล่อยให้ลู่หานไป...

    มันจะมีเหตุผลอะไรได้อีกที่คนเราจะยอมทนอยู่กับคนที่ไม่ได้เห็นเราในสายตา

    ถ้าไม่รัก...ก็คงรู้สึกผิดต่อกันมาก...

     

     

    “พรุ่งนี้ผมจะเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วผมก็จะกลับเมืองจีน
    ผมคิดว่าผมควรกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด และทำในสิ่งที่ผมรักต่อไป...
    แต่ปัญหาอยู่ที่คริส...เขาไม่ยอมฟังคำพูดของผมเลย
    เขายังยืนยันที่จะดูแลผม ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดเขาเลยซักนิด
    มันเป็นอุบัติเหตุคุณเข้าใจใช่ไหมคยองซู? พระเจ้ากำหนดทางเดินที่ดีที่สุดมาให้เราเสมอ
    มันเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาให้ผมต้องเจอแบบนี้...
    และผมไม่เคยโทษคริสเลยกับเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นที่เกิดขึ้น...

    แต่คริสยังคงฝังจำกับโชคชะตาอันเลวร้ายของผม
    เขารู้สึกผิดกับผมเพราะเขาคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตผมพัง...
    เขาปิดกั้นหัวใจตัวเองเพราะมัน และผมอยากจะให้คุณช่วยเขาทีได้ไหม?”

     
     

    ลู่หานพูดรัวเร็วในขณะที่เอื้อมมือมากุมที่มือของผมแล้วบีบมันเสียแน่น

    ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ...ผมควรจะทำยังไงกับคำขอนี้ล่ะ

     
     

    “ผมควรทำยังไง? คริสไม่ได้รักผม...ผมจะช่วยเขายังไงดีครับคุณลู่หาน

    ผมไม่รู้จะเปิดหัวใจคริสยังไง กำแพงที่เขาก่อเอาไว้มันหนาเหลือเกิน”

     
     

    คยองซูกัดริมฝีปากจนเจ็บปวด...

    นี่เป็นสิ่งที่เขาพยายามมาตลอดไม่ใช่หรือ?

    พยายามเปิดหัวใจให้คริสรับเขาเข้าไปอยู่ข้างในนั้นบ้าง

    แต่คริสก็ไม่เคยเลย ไม่เคยจะรับรู้...หรือแม้แต่ตอนที่รับรู้เขาก็ผลักไสคยองซูออกไป

     
     

    “ผมคิดว่าคุณอาจจะไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำคยองซู

    แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ...อย่าโกรธเคืองเขาที่เป็นแบบนี้

    มันอาจจะนานกว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่าง...

    และเมื่อเขารู้ตัว ผมหวังว่าคุณจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเขา”

     
     

    ลู่หานยกยิ้มอย่างมีเลศนัยส่งมาให้กับคยองซู

    เป็นรอยยิ้มขี้เล่นที่ปิดไม่อยู่พร้อมๆกับดวงตาคู่สวยนั้นก็ดูอารมณ์ดี

    คยองซูเอียงคอพลางยกคิ้ว...พยายามจะใช้สมองประมวลผลแต่มันก็ยากเกินจะเข้าใจ

    หมายความว่าอะไรกันล่ะ? ลู่หานบอกให้เขาอยู่เฉยๆแล้วรอ...

    แล้วแบบนั้นจะช่วยคริสได้ยังไง?

     
     

    “ผมไม่เข้าใจครับ...แล้วมันจะช่วยคริสได้ยังไงในเมื่อคุณให้ผมทำแค่รอ?” คยองซูถามต่อ

     
     

    “ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วล่ะครับคุณคยองซู...

    ผมเหนื่อยมากแล้วครับ คุณช่วยปรับเตียงลงให้ผมได้ไหม?

    ผมคิดว่าผมอยากจะนอนซักหน่อย...”

     
     

    ใช่แล้ว...ลู่หานดูเพลียจริงๆ อาจจะเพลียเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรคยองซูก็ไม่อาจจะทราบได้

    แต่ทันทีที่ลู่หานทิ้งหัวลงกับหมอน คยองซูก็เดินไปหมุนปรับระดับเตียงให้กับลู่หานอย่างว่าง่าย

     
     

    “ขอบคุณนะครับคุณคยองซู...

    ผมคิดว่าผมจะหลับเสียหน่อยก่อนที่คนรักของผมจะมาเยี่ยมจนผมไม่มีเวลาได้นอน

    ขอบคุณที่มาคุยกับผมนะครับ...คุณนี่น่ารักอย่างที่คริสว่าจริงๆ”

     

     
     

    “พี่คริส...เขาเคยพูดเรื่องผมกับคุณด้วยเหรอครับ?”

     


     

    “โอ้..แน่นอนสิครับ

    .

    .

    .

    .
    .

     
     

    เขาพูดถึงคุณทุกวันจนบางครั้งผมยังอดรำคาญไม่ได้เลยแหน่ะ”
     







     
    © Tenpoints !
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×