คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ✚ SH0T 5 :: THE R0SE
Author : MR.SN0WMAN
Pairing : KRIS x D.O.
Photo by :PickaJae★PickaJi
Rate :PG-13
THE FL0WERS*
คยองซูตื่นขึ้นมาพร้อมความปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย...
เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังต่อเนื่องอยู่ที่หัวเตียงแต่เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะกดปิดมัน
เสียงเม็ดฝนที่ดังกระทบหลังคาทำให้เขารู้ว่าบัดนี้ฝนตกรุนแรงขนาดไหน...
อา...ไม่ชอบเลย ทำไมวันนี้ฝนต้องตกด้วยนะ?
มันทำให้คยองซูรู้สึกหดหู่ไปหมด
เพราะแม้แต่จะขยับหรือทำอะไรคยองซูก็รู้สึกไม่ดีไปหมดทุกอย่าง...
คยองซูอยากจะโดดเรียนวันนี้ หากแต่ถ้านี่เป็นความจริงที่เขาต้องเจอ ต่อให้เขาจะหนีมันไปก็คงไม่มีประโยชน์
เมื่อคิดได้อย่างนั้น...คยองซูจึงค่อยๆลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวอย่างที่เคยทำเป็นปกติทุกวันอย่างไม่มีอิดออดอะไรอีก...
โชคดีเหลือเกินที่เมื่อคืนพ่อกับแม่ของคยองซูไม่อยู่บ้าน...
เพราะพวกท่านเดินทางไปสังสรรค์ในงานเลี้ยงรุ่นของพ่อที่ต่างจังหวัดโน่นล่ะ
เขาเลยไม่จำเป็นต้องเปิดร้านในวันนี้ และก็ไม่จำเป็นต้องรีบแต่งตัวลงไปนั่งรอเพื่อไปจัดดอกไม้ให้ใครด้วย
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คยองซูก็ใช้เวลานั่งเหม่อลอยอยู่กับตัวเอง
คิดอะไรคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยเพื่อรอเวลาไปเรียนตอนแปดโมงเช้า...
เวลาทุกวินาทีดูเหมือนจะยาวนานราวกับผ่านไปนานนับปีสำหรับเขา
ได้แต่โทษตัวเองว่าเขาจะตื่นเช้าขึ้นมาทำไมกันนะ
ทำไมไม่นอนตื่นสายๆจะได้ไม่ต้องเหลือเวลามาให้คิดอะไรแบบนี้...
เขาคงติดเป็นนิสัยไปแล้วสินะ...หรืออาจจะเป็นเพราะความเคยชินซักอย่าง
ที่ทำให้เขาต้องกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงในทุกๆเช้าเพื่อจะได้ทำหน้าที่พ่อค้าร้านขายดอกไม้ในทุกๆวันอย่างนี้...
กิ๊งก่อง...กิ๊งก่อง...
เสียงกริ่งที่ดังขึ้นตอนเจ็ดโมงครึ่งช่างตรงต่อเวลาจนทำให้คยองซูต้องกัดริมฝีปาก
หลับตาลงแน่นเมื่อได้ยินเสียงกริ่งนั้นถูกกดถี่รัวราวกับคนที่ยืนกดกำลังร้อนใจอะไรซักอย่างเสียเต็มประดา...
คยองซูพยายามจะทำใจแข็งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั้น
หากแต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เขาก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ...
เขาอยากเจอหน้าคริสจนแทบจะบ้า...
คยองซูค่อยๆย่องเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะแหวกผ้าม่านสีขาวที่เขาชอบแล้วชะเง้อมองออกไปทางหน้าต่าง
คริสดูหงุดหงิดงุ่นง่านในขณะที่ยังเดินวนไปวนมาอยู่ที่หน้าร้าน...
สายฝนที่ยังคงตกลงมาทำเอาตัวพี่เขาเปียกปอนไปหมด แม้ว่าจะถือร่มสีฟ้าเอาไว้ในมือก็ตาม
คยองซูเอนหัวพิงไปกับขอบหน้าต่างอย่างเศร้าใจ...พลางถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความอึดอัดในหัวอก
น่าตลกดีนะที่ได้มองเห็นคริสยืนกดโทรศัพท์ต่อสายหาคยองซูไม่ได้หยุด
แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจเลยที่ได้เห็นอย่างนั้น....?
เสียงมือถือที่สั่นอยู่บนหัวเตียงนั่นร่ำร้องให้คนเป็นเจ้าของต้องกัดริมฝีปากอย่างเจ็บปวด
คยองซูรู้ดีว่าเขามักจะอ่อนแอเสมอเวลาที่เขาอยู่กับคริส เวลาที่ได้เจอกันเวลาที่พูดคุยกัน
หัวใจมันพร่ำเพ้อตลอดเวลาว่าเขาอาจจะมีโอกาส...
มีโอกาสที่จะกลายเป็นใครคนนั้นที่คริสจะมอบช่อดอกไม้ให้
...แต่มันเห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด...
แต่แล้วมันยังไงล่ะ...คยองซูไม่เห็นว่าเขาจะเข็ดหลาบตรงไหน
แม้ว่าจะรู้ว่าพี่เขามีคนที่ชอบ มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว
แต่ทำไมนะ...ทำไมหัวใจถึงชอบไปหวั่นไหวให้กับเขาทุกที...
คยองซูอยากจะพยายามจะทำเป็นไม่สนใจเสียงโทรศัพท์และคนที่ยังคงเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านนั้น...
หากแต่บ้าชะมัด ที่จู่ๆขาก็พาตัวเองเดินลงมายังประตูหน้าอย่างช่วยไม่ได้
คยองซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ หลับตาลงก่อนจะคว้าลูกบิดประตูแล้วกระชากมันให้เปิดออก
พลางมองหน้าคนร่างสูงที่ดูเคร่งเครียดและดูหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างไรชอบกล
คยองซูยืนนิ่งเงียบในขณะที่คริสกลับยิงคำถามมาไม่ได้หยุด
“นายเป็นอะไรไปน่ะคยองซู ทำไมถึงไม่รับสายพี่?!”
เมื่อคืนก็กลับบ้านดึกนายไปทำอะไรมา! ไอ้จงอินใช่มั้ย?!
พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปหามันแล้วทำไมนายถึง..// พี่คริส...ผมรักพี่”
คยองซูพูดขัดขึ้นจนทำเอาคริสเบิกตากว้างพลางเงียบลงไปถนัดตา
คริสมองหน้าคยองซูอย่างไม่เชื่อหูอยู่วินาทีหนึ่ง
ก่อนเสตามองไปทางอื่นเพราะไม่กล้าจะสบสายตาของคยองซูที่จ้องตรงมาที่เขา
คยองซูกลืนน้ำลายลงไปในคออย่างอย่างลำบาก ปรารถนาว่าคริสจะตอบอะไรกลับมาบ้าง
แต่ไม่มีเลย...ไม่มีอะไรตอบกลับมาจากคริสทั้งนั้น...
คยองซูถอนหายใจ ในหัวใจเจ็บปวดหากแต่เขาคิดไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้
เขาหันหลังกลับเข้าบ้านเพราะไม่อยากจะร้องไห้ต่อหน้าคนเป็นพี่ให้ได้อายหรอก
หากแต่คริสเอ่ยรั้งเขาไว้จนเขาต้องหันกลับไปหาคนที่เรียกเขาไว้อย่างไม่เข้าใจ
“คยองซู...”
“อะไรครับ??”
“พี่...”
คริสชะงัก...แววตาวูบหนึ่งดูเหมือนจะมีประกายบางอย่างฉายขึ้นมาในแววตานั้น
คยองซูไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หากแต่เขารับรู้ได้ว่าเขาอาจจะมีความหวังก็ได้
เพราะสายตาของคริสดูราวกับคิดไม่ต่างจากเขา...
คยองซูกลืนน้ำลายนิ่งเงียบและรอฟังคนเป็นพี่พูด
เขาเห็นคริสอึกอักและต่อสู้กับตัวเองอยู่พักหนึ่ง...หากแต่มันนานจนคยองซูใจเสีย
มันผ่านไปนานจนเขาแน่ใจแล้วว่าเขาคิดไปเอง
ไม่มีอะไรวูบไหวทั้งนั้นในสายตาของเขา...
“พอเถอะครับ...พี่ควรจะกลับไปได้แล้ว”
“คยองซู...”
คยองซูเอ่ยขึ้นในขณะที่น้ำตาเม็ดหนึ่งไหลรินลงมาที่ข้างแก้ม
คริสกัดริมฝีปากลงแน่น...ก่อนจะตัดสินใจส่งเสียงเอ่ยรั้งคยองซูเอาไว้
เอ่ยบางอย่างออกมาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
หากแต่คำพูดไม่กี่คำที่คริสพูดออกมา
มันกลับทำให้คยองซูหัวใจแตกสลายลงไปในพริบตา...
“วันสุดท้าย...พี่ขอร้องแค่อย่างเดียว
ช่วยจัดดอกไม้ให้พี่ได้ไหม?
พี่สัญญาว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย...”
คริสพูดขึ้นพลางส่งสายตาวิงวอนขอร้องมาให้ผม...
เขาคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้หัวใจผมเจ็บปวดเหมือนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆสมองมันขาวโพลนไปหมด...
มีเพียงคำเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้ และมันกำลังวนเวียนอยู่ในหัวของผมราวกับว่ามันกำลังตอกย้ำซ้ำเติมผมอยู่อย่างนั้น...
.
.
.
มันจบแล้ว...
“นายไม่คิดจะบอกคยองซูหน่อยเหรอ?”
เซฮุนถามขึ้นในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่งรอสำหรับผู้โดยสารในสนามบิน
ข้างๆของเขาคือจงอินที่ตอนนี้มีกระเป๋าสัมภาระวางอยู่ข้างๆเป็นเครื่องหมายว่าเขากำลังจะออกเดินทางในวันนี้
จงอินยิ้มออกมาเมื่อฟังคำถามของเซฮุน ยกยิ้มออกมาราวกับว่าคำถามนั้นมันช่างน่าตลก
“จะบอกไปทำไม ในเมื่อเขาก็ไม่ได้สนใจฉันอยู่แล้วนี่”
จงอินตอบเสียงเรียบ ในขณะโบกหนังสือเดินทางของเขาไปมา
ราวกับว่าถ้าหากเขาเล่นมายากลได้เขาคงเสกให้มันหายไปต่อหน้าต่อตา...
“แต่นายไม่ควรหนีไปอย่างนี้...
เพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอที่ทำให้นายต้องทิ้งทุกอย่างที่นี่ไป
ทำไมนายไม่คิดถึงใจคนอื่นบ้าง”
“ฉันจะคิดถึงมันไปทำไม ในเมื่อคนๆนั้นเค้าไม่ได้มีใจให้ฉันอยู่แล้ว”
จงอินยิ้มพลางผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกจากประชาสัมพันธ์ดังไปทั่ว
หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก่อนจะตัดสินใจออกเดิน
หากแต่มือของเซฮุนกลับยื้อที่ชายเสื้อเชิ้ตของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย...
“นายต้องปล่อยฉันได้แล้วเซฮุน...คยองซูเขาไม่ได้รักฉันเข้าใจไหม?
ฉันควรจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรล่ะ? ทำไมฉันต้องนึกถึงใจคนอื่น
ในเมื่อคนอื่นที่ว่าเขาไม่ได้มีฉันอยู่ในสายตาเลยซักครั้ง...”
จงอินพูดตัดพ้อออกมาอย่างรำคาญใจ
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเซฮุนจะยื้อเขาไว้เพื่ออะไร อยากจะถามให้แน่ชัด
หากแต่เมื่อตวัดสายตากลับไปแล้วจงอินก็ต้องเบิกตากว้าง...
โอเซฮุนกำลังร้องไห้...
“น...นายเป็นอะไร?”
จงอินถามอย่างไม่เข้าใจเลยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เซฮุนปาดน้ำตาก่อนจะเริ่มกระซิบถาม...
“ที่ฉันบอกว่าให้นายคิดถึงใจคนอื่น...ฉันไม่ได้หมายถึงคยองซู”
เซฮุนเอ่ยออกมาเสียงเครือ...สายตายังจ้องตรงแน่วแน่ไปยังจงอินไม่ไปไหน
จงอินขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำตอบนั้น
แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรเซฮุนก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง...
“นายจำได้ไหมที่ฉันเคยบอกนายได้ไหม...
ที่ฉันเคยบอกว่า การบอกความรู้สึกตรงๆออกไปไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว
เพราะไม่แน่มันอาจจะทำให้เรามีตัวตนในสายตาของใครคนนั้นขึ้นมาบ้างก็ได้
นายยังจำมันได้ไหม?...”
“ด...ได้สิ...ฉันจำได้”
จงอินตอบกลับ รู้สึกประหลาดใจที่เซฮุนเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาในตอนนี้
จงอินใจเต้นตึกตักเมื่อเซฮุนปรายตาขึ้นมองหน้าเขา
ใบหน้านั้นแดงก่ำจากการร้องไห้
และเขารู้สึกได้ว่าในสายตานั้นมีบางอย่างซ่อนเอาไว้...
จงอินมองเห็นเซฮุนกำลังตัวสั่นเพราะกำลังร้องไห้
ชายเสื้อของจงอินถูกกำเอาไว้แน่นด้วยแรงฉุดดึงจากเซฮุน
จงอินลอบกลืนน้ำลายเมื่อเขาเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาอย่างช้าๆ
หากแต่เขาไม่จำเป็นต้องถามเลย...
เซฮุนเอื้อนเอ่ยออกมาเพื่อเฉลยข้อข้องใจของเขา
และคำตอบนั้นทำให้จงอินต้องกลั้นหายใจราวกับโลกทั้งโลกหยุดหมุนลงตรงนี้
“แล้วมันจะเป็นอะไรไหม...
.
.
.
.
.
ถ้าฉันจะขอร้องให้นายเห็นฉันมีตัวตนในสายตาของนายบ้าง?”
------------------------------------------------------------
ผมรับได้กับการรอคอย
ผมรับได้กับการที่คุณไม่อยากจะมองหน้าผม
...แค่อยู่ข้างๆผม...
ผมรับได้ถ้าคุณจะด่า ผมรับได้เมื่อคุณทำให้ผมเจ็บผม ผมจะทำให้ดีกว่านี้
ผมจะยังอยู่แม้คุณจะเกลียดผม
แม้คุณจะเอาแต่ผลักไสให้ผมไป
...แต่อย่าทิ้งผมไป...
------------------------------------------------------------
ความรักก็เหมือนกับดอกไม้...
ถ้าได้รับน้ำและการเอาใจใส่มันก็จะเปล่งประกายและส่งกลิ่นหอม
แต่ถ้าหากมันถูกทิ้งไว้ไม่ได้สนใจใยดีมันจะเหี่ยวเฉาและแห้งตายลงไปในที่สุด
แต่ทว่า...เหล่าดอกไม้สีสวยที่ส่งกลิ่นหอมหวนยวนใจ...
มันก็เป็นแค่เพียงรูปลักษณ์และกลิ่นที่หลอกล่อให้หมู่ภมรและแมลงเข้าดูดกินน้ำหวาน
หากคุณคิดจะสัมผัสคุณต้องยอมรับหนามของมันด้วย
มันเป็นข้อความที่ผมเคยได้อ่านมาจากไหนหนังสือเล่มหนึ่งที่แม่ซ่อนเอาไว้บนหลังตู้เก็บของ
ผมได้อ่านมันเมื่อหลายปีมาแล้ว...และผมชอบมันเอามากๆ
แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก
แต่ผมก็เอามันคัดลอกลงไปในสมุดไดอารี่เล่มโปรดของผม และผมมักจะเปิดมันอ่านทุกครั้งเวลาที่ผมเศร้าใจ...
ด้วยความที่ไม่เคยเข้าใจความหมายของมัน ผมเลยได้แต่อ่านมันวนไปวนมาแล้วนั่งขบคิด
มันช่วยให้ผมลืมความรู้สึกเจ็บปวดในชั่วขณะนั้นไปจนหมด หากแต่คราวนี้ไม่ใช่...
เพราะในตอนนี้ผมเข้าใจมันทุกอย่างแล้ว...และผมเข้าใจมันเป็นอย่างดี
คริสเหมือนดอกกุหลาบแสนสวยที่ผมมักจะถือมันไว้และสูดดมกลิ่นหอมของมันทุกวี่วัน...
มันให้ความสุขกับผม พอๆกับความภูมิใจที่ผมได้ครอบครองมันเอาไว้ในมือ...
หากแต่ผมไม่รู้เลยว่าดอกกุหลาบดอกนี้ยังไม่ถูกริดหนามออก
จนสุดท้ายแล้วผมก็โดนหนามของมันปักเข้าเต็มมือ...จนเจ็บปวดและชาแบบนี้
คริสอาจจะเป็นดอกกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอม...
ผมเสพติดกลิ่นหอมนั้นมากไป จนผมลืมคิดไปว่า
ถ้าวันใดวันหนึ่งที่ผมไม่มีมัน...ผมอาจจะตายก็ได้
อย่างเช่นที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรนักกับตายทั้งเป็น...
ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมกำลังเผชิญสถานการณ์แบบไหน
ผมฟุบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วทอดสายตาเหม่อมองออกไปที่ไหนก็ไม่อาจจะรู้ได้
ผมนั่งอยู่เงียบๆคนเดียวอย่างนี้มาราวสองชั่วโมงแล้ว
และปฏิเสธทำจะทำอะไรแม้กระทั่งขยับตัว....
หัวใจของผมชาและเจ็บปวด จนผมคิดว่าบางทีมันอาจจะหยุดเต้นไปแล้ว
หัวสมองของผมมันขาวโพลนไปหมด...
และผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงให้อาการบ้าบอเหล่านี้มันหายไปจากหัวสมองซักที
เฮ้อ....
ผมถอนหายใจออกมาครั้งที่สองร้อยห้าสิบสี่เห็นจะได้...
สามวันที่ผ่านมาที่คริสไม่ได้มาที่ร้านของผมเลย ใช่ครับ...มันเป็นเวลากว่าสามวันแล้ว...
เขาไม่ได้มาซื้อดอกไม้ที่ร้านผมอีก...และมันเป็นเพราะผมเองที่ทำให้เป็นแบบนั้น
โทษใครก็ไม่ได้หรอก รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีใจก็ยังจะดื้อแพ่งบอกเขาไปอย่างนั้นซะได้
เพื่ออะไร...ผมทำเพื่ออะไรเหรอ?
ผมล่ะเอาแต่ถามคำนี้กับตัวเองอยู่ตลอดสามวันที่ผ่านมาอยู่ซ้ำๆ
ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไร...ผมไม่รู้ว่าผมคาดหวังอะไรถึงได้ไปบอกเขา
เขาไม่เคยรักไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาเลย ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว
แล้วทำไมถึงคิดว่าแววตาวูบไหวนั้นบ่งบอกว่าคริสมีใจ?
ผมคิดอะไรของผมอยู่นะตอนนั้น...มันบ้ามากจริงๆที่คิดว่าตัวเองพอจะมีหวัง
เพียงเพราะแค่สายตาวูบเดียวเท่านั้น...แค่วินาทีเดียวจริงๆ....
“พอซักทีคยองซู...นายจะคิดถึงเขาไปทำไมนะ?
มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่เขาไม่โผล่มา...นายจะได้ลืมเขาง่ายๆไงล่ะไอ้โง่”
ถึงแม้ปากของคยองซูมักจะพูดย้ำๆซ้ำๆกับตัวเองเสมอว่าจะไม่อยากเจอหน้าคริสอีก
ไม่อยากแม้แต่จะเห็นปลายนิ้วหรือรอยยิ้มของเขาให้ต้องเจ็บปวดอีก
แต่แท้จริงแล้วในใจเขา กลับมีแต่ความรู้สึกเดียวที่วนเวียนอยู่ข้างใน...
เป็นความรู้สึกที่ห้ามไม่ได้
คิดถึง...ผมคิดถึงเขาจริงๆ...
พี่อยู่ไหนนะคริส กลับมาหาผมได้ไหม?...
.
.
.
.
ครืดดดดดด....ครืดดดดดดดดดด....
ราวกับฟ้าจะได้ยินคำถามของผม
เสียงโทรศัพท์เครื่องน้อยของผมสั่นครืดคราดอยู่บนเคาท์เตอร์
มันเป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่มันไม่ได้สั่นหรือมีเสียงดังขึ้นมาเลย...
แต่ตอนนี้สัญญาณอะไรบางอย่างกำลังถูกส่งมา และผมไม่อาจจะหักห้ามใจให้ตัวเองทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันต่อไปได้
ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดออกดูว่าใครกันนะที่ส่งข้อความมา
ก่อนที่หัวใจจะเต้นระรัวอยู่ในอก เมื่อหน้าจอขึ้นชื่อหนึ่งที่ผมคุ้นเคยและรอคอยมันมาตลอดสามวันนี้
ชื่อของคริส...
ผมเปิดเข้าไปดูโดยไม่ต้องหยุดคิด...หัวใจเต้นรัวเร็วจนน่ากลัวว่ามันจะหยุดเต้น
ผมใช้นิ้วเล็กเลื่อนหน้าจอสัมผัสก่อนจะได้พบข้อความสั้นๆแต่ได้ใจความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
และมันทำให้ผมใจหายจริงๆ...
พี่อยู่ที่โรงพยาบาล S ห้อง 431
มาหาพี่หน่อยได้ไหม?
ผมเบิกตากว้างก่อนจะกลั้นหายใจเมื่อได้อ่านข้อความนั้น
ผมอ่านมันถึงสามรอบก่อนที่จะรู้สึกร้อนรนที่สุดในชีวิต
นี่เป็นเหตุผลหรือเปล่าที่เขาไม่โผล่มาหาผมเลยตลอดสามวันนี้...
เขาป่วยใช่ไหม? เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาหลังจากที่ได้อ่านข้อความจบ
และไม่ต้องรอให้สมองได้ประมวลผลอะไรเลย...
ผมกระชากตัวลุกจากเก้าอี้ทำนั่งตั้งแต่เช้า เดินไปหยิบเอาเสื้อโค้ทแล้ววิ่งออกบ้านไปทันที...
.
.
.
ไม่นานเท่าไหร่ผมก็มาถึงโรงพยาบาลที่คริสบอก
ผมหยุดยืนหอบหายใจที่หน้าห้อง 431 ก่อนจะพยายามปรับลมหายใจให้กลับเป็นปกติ
กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อได้รู้สึกว่าผมทำอะไรไม่เข้าท่า
ผมจะมาที่นี่ทำไมกันนะ...ในเมื่อเขาปฏิเสธความรักของผมไปแล้ว
มีเหตุผลอะไรที่ผมยังต้องแคร์เขา...มีเหตุผลอะไรที่ผมยังต้องเป็นห่วง
ทำไมผมยังคงรักเขา?
และแม้ว่าคำถามไร้สาระพวกนี้จะลอยวนเวียนอยู่ในหัวของผมไปมาไม่ได้หยุด
แต่ผมก็ยังคงตัดสินใจยื่นมือไปหมุนลูกบิดประตูสีเงินเย็นเฉียบตรงหน้าอย่างร้อนใจ
ก่อนจะเปิดแล้วเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ...
ใจผมร้อนรนอย่างกับไฟ...กลัวว่าคริสจะเป็นอะไรมากมายกว่าที่คิด
หากแต่เมื่อได้เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยห้องใหญ่นั้น
ผมก็ต้องขมวดคิ้ว...
“สวัสดีครับ...คุณคงเป็นคยองซูสินะ”
ชายหนุ่มหน้าสวยคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้ผมอย่างเป็นมิตร
แตกต่างกับผมที่ตอนนี้งงเป็นไก่ตาแตก...สมองผมประมวลผลไม่ทันเลย
และกว่าที่ผมจะรู้ตัวว่าผมทำตัวเสียมารยาทมันก็ผ่านไปเป็นนาทีแล้ว
“อะ...ครับ ผมคยองซูครับ แล้วคุณคือ?
เอ่อ...ผมขอโทษนะครับ...แต่ผมคิดว่าคริสอยู่ที่นี่”
“คริสอยู่ที่นี่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน...ตอนนี้เขาไปทำงานแล้วครับ
ผมชื่อลู่หาน และเป็นผมเองที่ตามคุณมา...คริสไม่ได้รู้เรื่องด้วย”
“ผ...ผมไม่เข้าใจ”
“นั่งก่อนสิครับ คุณจะได้รู้เรื่องทุกอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง...”
ลู่หานผายมือให้คยองซูไปที่เก้าอี้ข้างๆเตียงผู้ป่วย
ซึ่งคยองซูเองก็ไม่ได้อิดออด...เขาเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้นอย่างว่าง่าย
แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจนักกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น...
คยองซูมองไปที่โต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย
ก่อนจะเห็นช่อดอกไม้ที่เขาจัดให้คริสเมื่อสามวันก่อนวางอยู่บนนั้น
ดอกไม้เริ่มเฉาลงแต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในห้องดูหมองลงไปนัก
จนมาถึงตอนนี้ผมก็เข้าใจทุกอย่าง...ผมรู้แล้วว่าผู้ชายตรงหน้าผมคือใคร
ดอกไม้ที่วางอยู่ตรงนั้นบ่งบอกได้ทุกอย่าง..
เขาคือคนสำคัญของคริส...
“คุณจัดดอกไม้เก่งนะครับ...ผมชอบดอกไม้ของคุณมาก”
“ไม่หรอกครับ...แม่ผมจัดสวยกว่านี้เยอะ”
“คุณคงสงสัยสินะครับว่าผมเรียกคุณมาทำไม”
ลู่หานพูดพร้อมทั้งยิ้ม คยองซูกลืนน้ำลายเพราะไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้พร้อมที่จะฟังมันหรือยัง
แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว...
“ค...ครับ”
“ผม...เป็นคนรักของคริส”
ลู่หานตอบกลับมาเสียงเรียบ ในน้ำเสียงไม่ได้เจือแววอะไรลงไป
หากแต่คำพูดสั้นๆของลู่หานก็ทำให้คยองซูแทบจะหยุดหายใจ
คยองซูกัดริมฝีปากแน่น...มันมากเกินไปที่เขาต้องมารับรู้
เจ็บจัง...หัวใจมันเจ็บจังเลย
“เราเป็นคนรักกัน...แต่เราไม่ได้รักกันแล้ว”
ลู่หานพูดต่อ...ซึ่งเมื่อคยองซูได้ยินคำนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองลู่หานอย่างไม่เข้าใจ
“อ...อะไรนะครับ?” คยองซูกระซิบถามอย่างไม่แน่ใจว่าลู่หานพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
ลู่หานยกยิ้มออกมาบางๆและพยักหน้าราวกับรับรู้ว่าคยองซูกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณฟังไม่ผิดหรอก...ถึงเราจะเป็นคนรักกันก็จริงแต่เราไม่ได้รักกันแล้ว”
“ไม่หรอกครับ...คุณลู่หานคิดมากไปแล้ว
พี่คริสยังรักคุณอยู่นะครับ”
คยองซูตอบไป แม้ในใจจะเจ็บปวดแต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้หรอก
ผมไม่ใช่คนเลวขนาดนั้น...ถึงแม้ผมจะแอบรักแอบชอบพี่เขาทั้งๆที่พี่เขามีแฟนอยู่แล้ว
แต่ผมก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดจะแย่งของใคร ไม่ถึงขนาดนั้น...
ยิ่งงงหนักไปใหญ่เมื่อลู่หานหัวเราะออกมาเบาๆในลำคออย่างไม่เห็นด้วยในคำพูดของผมเท่าไหร่
เขาส่ายหน้าน้อยก่อนที่จะตอบกลับ
“ฮ่าๆ...ไม่หรอกครับ ทุกวันนี้ที่ยังมาหาทุกวันเพราะเขารู้สึกผิดต่างหาก
เราหมดรักต่อกันนานเป็นปีแล้ว ทุกวันนี้ที่ยังอยู่ด้วยกันคงเพราะคริสเขาคงอยากจะไถ่บาป”
ลู่หานมองหน้าคยองซูพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ
รู้สึกขันเมื่อได้เห็นคยองซูเหลือกตากว้างฟังอย่างไม่เข้าใจ
ลู่หานเอื้อมมือเรียวของตนไปจับที่มือเรียวของคยองซูแล้วลูบมันให้เขาคลายกังวลใจ
ก่อนจะเริ่มพูดต่อ...
“คริสมีกำแพงในใจที่เขาสร้างขึ้นเอง...และมันก็เป็นเพราะผม
ผมอยากจะขออะไรซักอย่างให้คุณช่วยนะคยองซู
และผมเชื่อว่ามีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำได้...ผมรู้ว่าคุณชอบคริสใช่ไหม?
ช่วยคริสได้ไหม? ช่วยคริสให้หลุดจากบาปในใจของเขาที
ผมไม่อาจจะช่วยเขาได้...เพราะผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องสร้างกำแพงขึ้นมาแบบนี้”
“บาปอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ...”
“ผมและคริสมาเกาหลีด้วยกัน ผมมาที่นี่เพื่อเป็นอาจารย์สาขาจิตรกรรมของสถาบันศิลปะโซล คุณรู้จักไหม?”
“รู้จักสิครับ...ที่นั่นดังมาก จิตรกรดังๆของเกาหลีก็จบที่นั่นกันทั้งนั้น
คุณเก่งนะครับที่เข้าไปเป็นอาจารย์ที่นั่นได้...ผมได้ยินว่าในนั้นการแข่งขันสูงมาก”
คยองซูพยักหน้าก่อนจะถามต่อ...ลู่หานยกยิ้มอย่างน่ารักที่ได้ยินคยองซูพูดอย่างนั้น
“นั่นแหละ...ผมกับคริส ตอนนั้นเรารักกันและไม่อยากแยกจากกัน
เพราะเราคิดว่าความรักที่ต้องห่างกันน่ะมันเป็นไปไม่ได้...
คริสเลยหาลู่ทางเพื่อที่จะมาทำงานที่เกาหลีกับผม
จนสุดท้ายเขาก็ได้ตอบรับไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อย่างที่คุณก็รู้...”
“....................”
คยองซูพยักหน้ารับแต่ยังไม่พูดอะไร ลู่หานจึงพูดต่อไปอีก
“แต่ทันทีที่เรามาถึงที่นี่...ผมกับคริสก็ทะเลาะกันรุนแรงมาก
คริสใช้อารมณ์และมันทำให้ผมกับเขาประสบอุบัติเหตุ
ตอนนั้นคริสคาดเข็มขัดนิรภัยแต่ผมไม่
รถของเราก็พลิกคว่ำจนผมเกือบจะตายเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น...
คริสรอดมาได้แต่ผมต้องเข้าห้องไอซียูและสลบไปเกือบสองอาทิตย์”
ผมฟังเหตุการณ์ที่คนตรงหน้าเล่ามาอย่างไม่เชื่อหู...
ใบหน้าของลู่หานยังคงยิ้มซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่มั่นใจนักว่าลู่หานกำลังฝืนหรือไม่
ลู่หานเอียงคอนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป...
ผมไม่แน่ใจนักว่าในน้ำเสียงนั้นเจือความรู้สึกอะไรอยู่ แต่เมื่อผมได้ฟังแล้วมันทำให้ผมแทบจะร้องไห้...
“ผมฟื้นขึ้นมาในที่สุด แต่สุดท้ายผมก็ต้องเสียบางสิ่งบางอย่างที่ผมรักไปตลอดกาล
ผมได้รับบาดเจ็บที่แขน...และมันทำให้ผมไม่สามารถวาดรูปได้อีกตลอดชีวิต”
ผมกลั้นหายใจ...เพราะลู่หานเงียบลงหลังจากที่เขาพูดจบ
ผมไม่แน่ใจเลยว่าผมจะปลอบใจเขาอย่างไรดี...
น่าสงสารเหลือเกิน มันแย่มากนะที่เขาสูญเสียสิ่งหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เขามีไปตลอดชีวิต
“ผม...ผมเสียใจด้วยครับ”
คยองซูเอ่ยออกมาแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบ
เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นอกจากว่าเขาเสียใจกับลู่หานแค่ไหน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ...มันผ่านมาเป็นปีแล้วล่ะ
ผมยอมรับว่าผมเองก็เจ็บปวด แต่โชคยังดีที่ทางสถาบันไม่ได้ไล่ผมออก
แต่ยังให้ผมเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาด้วยทั้งๆที่ผมวาดรูปไม่ได้อีกแล้ว
ผมยังคงเข้ารักษา...ข้อมือของผมยังคงเจ็บปวด
หมอปลอบใจผมว่าผมมีโอกาสที่จะหาย
แต่หลังจากที่ผ่านการผ่าตัดมาสามครั้ง
มันทำให้ผมแน่ใจว่าผมไม่มีวันจะกลับไปวาดรูปได้อีกแล้ว”
แววตาของลู่หานวูบไปในห้วงคำพูดท้ายประโยค...
คยองซูยื่นมือไปบีบที่มือเล็กของลู่หานเพราะกลัวว่าเขาจะร้องไห้
รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ทำอย่างนั้นเพราะเมื่อคยองซูทำอย่างนั้นลู่หานก็กลับมาหัวเราะเบาๆอีกครั้ง
“ฮ่าๆ...ผมไม่เป็นไรแล้วครับ มันก็เป็นเรื่องจริงที่ต้องเจอนี่จริงไหม?
เพราะอย่างนั้นแหละครับคริสเองก็เลยโทษตัวเองว่าเป็นความผิดเขามาตลอด
เขาปิดกั้นตัวเองเพราะรู้สึกว่าทำผิดต่อผม...และเขาบอกว่าเขาจะเป็นคนดูแลผมตลอดไป
แต่คุณรู้อะไรไหมคยองซู? คริสไม่ได้รักผมแล้ว...และผมคิดว่าเป็นผมเองด้วยซ้ำที่นอกใจเขาก่อน”
“คุณมีคนรักใหม่เหรอครับ?”
“ใช่...และคริสเองก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
“......................”
คยองซูนิ่งเงียบ...เขางุนงงไปหมดเมื่อได้ฟังคำที่ลู่หานบอก
ทำไมคริสถึงยังรักลู่หานล่ะ ในเมื่อลู่หานก็มีคนรักใหม่ไปแล้ว
เป็นคริสเองที่ไม่ยอมปล่อยให้ลู่หานไป...
มันจะมีเหตุผลอะไรได้อีกที่คนเราจะยอมทนอยู่กับคนที่ไม่ได้เห็นเราในสายตา
ถ้าไม่รัก...ก็คงรู้สึกผิดต่อกันมาก...
“พรุ่งนี้ผมจะเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง...ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วผมก็จะกลับเมืองจีน
ผมคิดว่าผมควรกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิด และทำในสิ่งที่ผมรักต่อไป...
แต่ปัญหาอยู่ที่คริส...เขาไม่ยอมฟังคำพูดของผมเลย
เขายังยืนยันที่จะดูแลผม ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดเขาเลยซักนิด
มันเป็นอุบัติเหตุคุณเข้าใจใช่ไหมคยองซู? พระเจ้ากำหนดทางเดินที่ดีที่สุดมาให้เราเสมอ
มันเป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาให้ผมต้องเจอแบบนี้...
และผมไม่เคยโทษคริสเลยกับเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นที่เกิดขึ้น...
แต่คริสยังคงฝังจำกับโชคชะตาอันเลวร้ายของผม
เขารู้สึกผิดกับผมเพราะเขาคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตผมพัง...
เขาปิดกั้นหัวใจตัวเองเพราะมัน และผมอยากจะให้คุณช่วยเขาทีได้ไหม?”
ลู่หานพูดรัวเร็วในขณะที่เอื้อมมือมากุมที่มือของผมแล้วบีบมันเสียแน่น
ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ...ผมควรจะทำยังไงกับคำขอนี้ล่ะ
“ผมควรทำยังไง? คริสไม่ได้รักผม...ผมจะช่วยเขายังไงดีครับคุณลู่หาน
ผมไม่รู้จะเปิดหัวใจคริสยังไง กำแพงที่เขาก่อเอาไว้มันหนาเหลือเกิน”
คยองซูกัดริมฝีปากจนเจ็บปวด...
นี่เป็นสิ่งที่เขาพยายามมาตลอดไม่ใช่หรือ?
พยายามเปิดหัวใจให้คริสรับเขาเข้าไปอยู่ข้างในนั้นบ้าง
แต่คริสก็ไม่เคยเลย ไม่เคยจะรับรู้...หรือแม้แต่ตอนที่รับรู้เขาก็ผลักไสคยองซูออกไป
“ผมคิดว่าคุณอาจจะไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำคยองซู
แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ...อย่าโกรธเคืองเขาที่เป็นแบบนี้
มันอาจจะนานกว่าเขาจะเข้าใจทุกอย่าง...
และเมื่อเขารู้ตัว ผมหวังว่าคุณจะเป็นคำตอบสุดท้ายของเขา”
ลู่หานยกยิ้มอย่างมีเลศนัยส่งมาให้กับคยองซู
เป็นรอยยิ้มขี้เล่นที่ปิดไม่อยู่พร้อมๆกับดวงตาคู่สวยนั้นก็ดูอารมณ์ดี
คยองซูเอียงคอพลางยกคิ้ว...พยายามจะใช้สมองประมวลผลแต่มันก็ยากเกินจะเข้าใจ
หมายความว่าอะไรกันล่ะ? ลู่หานบอกให้เขาอยู่เฉยๆแล้วรอ...
แล้วแบบนั้นจะช่วยคริสได้ยังไง?
“ผมไม่เข้าใจครับ...แล้วมันจะช่วยคริสได้ยังไงในเมื่อคุณให้ผมทำแค่รอ?” คยองซูถามต่อ
“ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วล่ะครับคุณคยองซู...
ผมเหนื่อยมากแล้วครับ คุณช่วยปรับเตียงลงให้ผมได้ไหม?
ผมคิดว่าผมอยากจะนอนซักหน่อย...”
ใช่แล้ว...ลู่หานดูเพลียจริงๆ อาจจะเพลียเพราะฤทธิ์ยาหรืออะไรคยองซูก็ไม่อาจจะทราบได้
แต่ทันทีที่ลู่หานทิ้งหัวลงกับหมอน คยองซูก็เดินไปหมุนปรับระดับเตียงให้กับลู่หานอย่างว่าง่าย
“ขอบคุณนะครับคุณคยองซู...
ผมคิดว่าผมจะหลับเสียหน่อยก่อนที่คนรักของผมจะมาเยี่ยมจนผมไม่มีเวลาได้นอน
ขอบคุณที่มาคุยกับผมนะครับ...คุณนี่น่ารักอย่างที่คริสว่าจริงๆ”
“พี่คริส...เขาเคยพูดเรื่องผมกับคุณด้วยเหรอครับ?”
“โอ้..แน่นอนสิครับ
.
.
.
.
.
เขาพูดถึงคุณทุกวันจนบางครั้งผมยังอดรำคาญไม่ได้เลยแหน่ะ”
ความคิดเห็น