คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ✚ :: L0VE N0TE :: 2
Rate : PG-15
LOVE NOTE*
- 2 -
เสียงลูกบาสกระทบพื้นดังสนั่นเสียจนทำเอาคนหลายคนหันมามอง
คิมจงอินทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพงกลางยกสองมือขึ้นมาปิดหน้า
จังหวะหายใจรัวเร็วนั้นก็ยังดูไม่น่ากลัวเท่ากับท่าทีที่เปลี่ยนไป
ผ่านกิริยาของสองมือหนาที่ปิดกั้นใบหน้าของตนเองออกจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตามชานยอลและเซฮุนค่อยๆ เดินตรงมาหาและทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
“เป็นอะไรไป"
เป็นชานยอลที่ถามขึ้นก่อน
"ไม่ได้เป็นอะไร...” ปฏิเสธกลับมา
"...ขออยู่คนเดียวสักพักได้ไหม"
“ก็ถ้านายยังเป็นแบบนี้ก็คงไม่ได้" ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
"...แต่นายคงอยากได้เวลาเงียบๆ ของนายคนเดียว
งั้นพวกเราสองคนก็จะนั่งเป็นเพื่อนนายเงียบๆ ตรงนี้ และไม่พูดอะไรก็แล้วกัน"
เซฮุนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วทั้งสองคนก็ทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิเอาหลังพิงกำแพง
ชานยอลส่งสัญญาณมือไปบอกคนอื่นๆ ที่กำลังเล่นอยู่ในสนามว่าให้เล่นต่อไปโดยไม่มีพวกเขาก่อน
เสียงลูกบาสกระทบพื้นจึงกลับมาดังเป็นจังหวะอีกครั้ง
และเมื่อทุกอย่างเริ่มต้นกลับไปเหมือนปกติอีกครั้งคิมจงอินก็ลดมือของเขาลง
“พวกนายเคยรู้สึกมั้ย...”
สายตานั้นมองตรงไปข้างหน้าขณะที่พูด
"รู้สึกอยากย้อนเวลากลับไปได้เพื่อที่จะได้ทำอะไรที่ตอนนั้นไม่กล้าทำ
เผื่อที่ว่าทุกอย่างจะออกมาไม่เป็นแบบที่มันเป็นอยู่ตอนนี้"
“เคยสิ...” เป็นเซฮุนที่ตอบคำถามขึ้นมาก่อน
"...พวกเราก็เป็นคนธรรมดานะ จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นเลยก็คงแปลกแล้วล่ะ"
“เออจริงของเซฮุนมัน...” อีกคนแสดงความเห็นบ้าง "...ทุกคนเขาก็เป็นกันทั้งนั้น"
“แล้วนายจะทำยังไงในเมื่อนายสลัดความคิดนั้นออกไปไม่ได้"
ถามต่อไปอย่างค่อนข้างจะฉุนเฉียว
"ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้เพราะก็เคยสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้วว่าจะไม่เสียใจในสิ่งที่ทำ
ขอให้ได้ทำแล้วมีความสุข และคนที่ฉันแคร์มีความสุข...” มือข้างหนึ่งนั้นกำแน่น
"...ทั้งๆ ที่เคยคิดไว้แบบนั้น"
“เรื่องคยองซูใช่ไหม" เซฮุนถาม
“ถ้าบอกว่าไม่ใช่จะเชื่อมั้ยล่ะ...” หันมายิ้มกวนๆ ครั้งหนึ่ง
“งั้นเล่าหน่อย"
คิมจงอินถอนหายใจยืดยาวก่อนจะเอนหลังไปพิงกำแพงอีกครั้งหนึ่ง
ชานยอลกับเซฮุนไม่ได้พูดอะไรขณะที่รอเวลาให้เจ้าตัวเรียบเรียงความคิดและคำพูด
พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบ ไม่จำเป็นต้องถาม
เพราะในเวลาที่ใครสักคนจะเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง เพียงแค่ปล่อยให้เรื่องนั้นไหลไปเหมือนสายน้ำก็คงเพียงพอแล้ว
“ฉันก็แค่คิด...” พูดออกมาเบาๆ พลางหลับตาลงเหมือนจะย้อนตัวเองกลับไปสู่เรื่องราวที่กำลังเล่าด้วยนั้น
"...ว่าถ้าเมื่อสี่ปีก่อนฉันกล้าที่จะบอกชอบเขาก่อนหน้าพี่คริส...
ถ้าเมื่อสี่ปีก่อนฉันเข้มแข็งพอที่จะแย่งคนที่ฉันรักกลับคืนมาจากเขา...
มันคงไม่เป็นแบบนี้"
เงียบกันไปครู่หนึ่ง
“ก็จริง มันคงไม่เป็นแบบนี้...” ชานยอลพูดออกมาในที่สุด
"...แต่ก็ใช่ว่าถ้านายได้ทำแบบที่ว่าตอนเมื่อสี่ปีก่อนแล้ว
ทุกอย่างมันจะออกมาในแบบที่นายคิดซะเมื่อไรล่ะ...”
จงอินหันมามองหน้าเพื่อนตัวสูงของเขา
"...ทุกอย่างมันก็เป็นแค่ความคิดของนาย และมันก็อยู่แค่ในนี้เท่านั้น...”
นิ้วชี้ของชานยอลกดลงมาที่หัวของอีกฝ่าย
"...และในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่เหมือนในหัวนายหรอก
มันมีอีกตั้งหลายอย่างที่นายคิดไม่ถึง
เพราะฉะนั้นถ้าถามฉัน อย่าไปคิดมาก"
“แล้วฉันควรจะทำยังไง"
“ไม่รู้ นายก็คือนาย ฉันบอกไปมันก็เป็นเรื่องของนายอยู่ดี"
ชานยอลตอบก่อนจะหันกลับไปมองเพื่อนๆ เล่นบาสต่อ
“แล้วนายล่ะเซฮุน" หันกลับไปหาอีกคน
“ก็ฉันคิดเหมือนชานยอลนะเรื่องที่อยากย้อนเวลาได้น่ะ...” ตอบกลับมาพลางยิ้มอย่างอายๆ
"...เพราะก็มีหลายๆ ครั้งที่ฉันอยากกลับไปทำอะไรให้มันดีกว่าที่ได้ทำ
แต่มาคิดดูอีกทีมันก็คงไม่ออกมาเป็นแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอกจริงป่ะ
และถึงแม้ทุกวันนี้มันจะยังไม่เพอร์เฟคต์
แต่ก็เพราะว่ามันไม่เพอร์เฟคต์ไม่ใช่หรือไงฉันถึงได้เป็นฉันอย่างทุกวันนี้น่ะ...”
พูดเสียยืดยาวแต่อีกคนก็ยังคงตั้งใจฟัง
"...เพราะฉะนั้น ไม่ล่ะขอให้ฉันได้เติบโตไปกับสิ่งที่ผ่านมาก็น่าจะพอแล้วมั้ง"
“แล้วฉันควรจะทำยังไง" ถามคำถามเดิมซ้ำกลับไปอีกครั้ง
“เท่าที่ฉันเห็น...” เซฮุนทำท่าพิจารณาเพื่อนอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง
"...คิมจงอินทุกวันนี้ก็เข้มแข็งและมีดีมากพออยู่แล้วนะ ไม่เห็นต้องย้อนกลับไปแก้ไขอะไรเลยสักนิด"
เว้นระยะเล็กน้อย
"...ส่วนเรื่องคยองซู ฉันว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับพี่คริสหรือใครเลยสักคน...
มันอยู่ที่นายคนเดียวเท่านั้นแหละ
ถ้านายคิดว่านายดีพอ นายเจ๋งพอ เขาก็รอนายอยู่เสมอแหละ"
และเพียงเท่านั้นคิมจงอินก็ยิ้มออกมา
“ไปเล่นบาสต่อได้ยัง"
Love Note
กริ๊ง!
มือเรียวคว้าไปที่โทรศัพท์มือถืออย่างรวดเร็วเมื่อมันดังขึ้น
ดวงตาจ้องไปยังหน้าจอที่บ่งบอกว่าใครเป็นคนโทรมา
แล้วก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความสงสัยระคนตกใจที่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนรักเก่าของเขาเอง
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย
“ครับ?”
เวลาถัดมาชายหนุ่มเองก็แทบจะจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกันไปบ้าง
จำได้เพียงแต่ว่าหัวใจของเขานั้นเต้นดังโครมครามสนั่นหวั่นไหวมากขนาดไหน
น้ำตาของเขารื้นขึ้นมากี่รอบและเขาต้องห้ามตัวเองไม่ให้มันไหลออกมากี่ครั้ง
จำได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองนั้นดีใจจนเหมือนกับคนบ้าและการควบคุมไม่ให้สั่นได้ยากมากเพียงไร
และเมื่อวางสายก็เหลืออยู่เพียงไม่กี่คำที่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เขาเองก็รอฟังอยู่
รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นมาบนใบหน้าของคนตัวเล็กอย่างที่ไม่ต้องพยายามเมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะอีกครั้ง
มือทั้งสองก็ช่วยกันเก็บข้าวของใส่กลับลงไปในกระเป๋าเพื่อเตรียมจะเอาไปเรียนในวันพรุ่งนี้
และเมื่อเสร็จก็ลุกขึ้นยืนเข้าห้องอาบน้ำไป
สิบห้านาทีต่อมาก็แต่งตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้งหนึ่ง
เวลาผ่านไปอย่างค่อนข้างรวดเร็วเสียยิ่งกว่าตอนที่คุยโทรศัพท์
ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังหรือเปล่าสำหรับโดคยองซู
เขารู้เพียงแต่ว่าตัวเองแต่งตัวอย่างดีที่สุดแล้วตอนที่ออกไปกินข้าวเย็นกันสองคนกับพี่คริส
พยายามทำใบหน้าให้มีความสุขและสดชื่นมากที่สุดแล้ว
และก็ทำตัวให้มีข้อบกพร่องน้อยที่สุดแล้วตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
แต่พอท้ายที่สุดก็เป็นเขาเองที่รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกเมื่อตอนที่กลับถึงห้อง
คยองซูปล่อยให้ตัวเองนอนร้องไห้อย่างทรมานอยู่ครู่หนึ่งจนทนไม่ไหว
มือเล็กหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกดส่งข้อความออกไปหาคนที่แว่บขึ้นมาในความคิดของเขา
...นายอยู่ที่ไหนเหรอ ว่างหรือเปล่า...
...ฉันอยากมีเพื่อน...
...นายเป็นอะไรไปคยองซู โอเคหรือเปล่า?
นายอยู่ที่ห้องใช่ไหม?
...เดี๋ยวฉันไปหานะ...
...อืมอยู่ที่ห้อง แต่ถ้านายไม่ว่างไม่เป็นไรนะ ฉันโอเค...
...ร้องไห้อยู่สินะคยองซู?
...นายก็เป็นแบบนี้ซะเรื่อย...
...รอแป๊ปนึงนะ เดี๋ยวไปถึงแล้วจะโทรไป...
สิบห้านาทีถัดมาคิมจงอินก็มานั่งอยู่ในห้องของโดคยองซู
เมื่อมาถึงนั้นร่างสูงเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองตรงเข้ามาในดวงตาและส่งยิ้มมาให้เท่านั้น
และเพียงเท่านั้นคนตัวเล็กก็โผเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนาและปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนแอออกมาอย่างหักห้ามไม่ได้
ปลอบประโลมกันอยู่พักหนึ่งจนดีขึ้นแล้วจึงขึ้นมาบนห้องนอน
“ขอโทษนะที่ต้องรบกวนนายอยู่เรื่อยเลย" พูดออกมาเป็นคำแรก
“เขาทำอะไรนาย" ตอบกลับไปด้วยคำถามสั้นๆ
“ไม่หรอก...” ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
"...เขาไม่ได้ทำอะไรเลย"
มือหนาทั้งสองข้างวางลงไปบนหัวไหล่กลมมนของคนตัวเล็ก
ใบหน้าเนียนค่อยๆ เงยขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงตาดุดัน
“นายร้องไห้จะเป็นจะตายหนักขนาดนี้แล้ว...”
จงอินพูดออกมาอีกครั้งหลังจากที่เงียบไป
"...ยังจะบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรนายอยู่อีกเหรอคยองซู"
ถ้าหากจะมีความโกรธหรือน้อยใจซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นชายหนุ่มก็ปกปิดมันได้อย่างแนบเนียนนัก
"...ทำไมถึงต้องปกป้องเขามากมายขนาดนั้นด้วย"
แต่ที่อีกฝ่ายตอบกลับมามีเพียงความเงียบเท่านั้น
ร่างสูงรออยู่อีกพักหนึ่งจึงยอมปล่อยมือลงไปในที่สุด
มือหนาส่งข้ามมาอีกครั้งก่อนจะจรดลงไปบนเรือนผมสีดำของคนตัวเล็กและลูบอย่างแผ่วเบาอย่างปลอบโยน
มือเรียวสองข้างรวบเข้าหากัน
“จงอิน... อย่า...”
“นายนั่นแหละอย่าห้ามฉัน...”
ตอบกลับไปก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกให้เขาหยุด
"...ฉันไม่รู้ว่าพี่คริสเขามีอะไรดี หรือทำไมนายถึงรักเขา
แต่ตรงนี้ ที่นี่ ที่อยู่กับนายตอนนี้ คือฉัน”
แต่ละคำของจงอินนั้นชัดเจนและมั่นคง
"และที่หัวใจของฉันสั่งคือทำยังไงก็ได้ให้หัวใจของนายหยุดร้องไห้
ทำยังไงก็ได้ให้นายมีความสุข เพราะฉันจะมีความสุขตามไปกับนายด้วย...”
หยดน้ำตาเม็ดเล็กๆ ก่อตัวขึ้นที่ขอบตาของคนตัวเล็กช้าๆ
"...และมันบอกให้ฉันทำแบบนี้ เพราะฉะนั้นอย่าห้ามฉันเลยนะ"
แล้วคยองซูก็ต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างอีกครั้งอย่างห้ามไม่ไหวและไม่สนใจที่จะห้าม
เขาไม่สนใจว่าตัวเองจะอ่อนแอมากเท่าไรเพราะก็อย่างที่จงอินบอก
ที่ตรงนี้มันมีแค่เขากับจงอินสองคนเท่านั้น
และคนตรงหน้าเขาก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่แสดงความไม่ยอมรับส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเขา
ดังนั้นหากจะร้องไห้เสียจนไม่มีน้ำตาให้ไหลอีกต่อไปกับคนๆ นี้ก็คงไม่เป็นไรกระมัง
“จงอิน...” พูดออกไปอีกครั้งอย่างยากลำบาก
"...อยู่ตรงนี้กับฉันสักพักเถอะนะ"
“ไม่ต้องให้นายบอกฉันก็จะอยู่...” มืออีกข้างที่ยังว่างยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
"...และฉันไม่ไปไหนหรอก...” กระซิบเบาๆ แต่ก็ดังมากพอที่จะก้องสะท้อนอยู่ในใจของคนตัวเล็ก
"...ร้องเถอะ ร้องมันออกมาให้หมด ไม่ว่าจะมีอะไร ร้องออกมาเถอะนะ"
ราวห้านาทีที่ไม่มีใครพูดอะไรและก็ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงสะอื้นของคนตัวเล็กสลับกับเสียงลมหวีดหวิวเท่านั้น
บรรยากาศรอบๆ ห้องค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปตามเวลา
เวลาที่คงจะช่วยทำให้หยดน้ำตาแห้งไปได้ในสักวันหนึ่ง
โมบายเล็กๆ ที่แขวนห้อยลงมาจากเพดานห้องนั้นก็หมุนไปตามแรงลมเอื่อยๆ
คิมจงอินนั่งนิ่งและคอยซับหยดน้ำออกไปจากใบหน้าของอีกคน
จนในที่สุดคยองซูก็ยืดตัวขึ้นอีกครั้ง
“ขอบคุณนะ ฉันโอเคแล้วล่ะ”
ร่างสูงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อยตอบรับคำพูดนั้นก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนและเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง
เมื่อก่อนนี้เขาก็มานั่งเล่นที่นี่อยู่บ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลอะไรทำให้พักหลังๆ ก็เริ่มห่างเหินไป
พอได้กลับมาอีกครั้งก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
หลายสิ่งหลายอย่างก็ยังอยู่ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของห้อง
ไม่เว้นแม้แต่ของขวัญต่างๆ ที่เขาเป็นคนมอบให้เจ้าตัวเองก็เช่นกัน
ทุกชิ้นยังคงตั้งอยู่ที่ๆ เขาจำได้ และไม่มีเศษฝุ่นแม้สักนิดมาจับ
“วันนี้พี่คริสโทรมาชวนไปกินข้าวเย็นกันสองคน...”
อยู่ๆ คยองซูก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
"...ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม...”
ไม่มีใครมองหน้ากันระหว่างที่พูดและคยองซูก็ยิ้มกับตัวเองขณะที่ทบทวนเรื่องเมื่อเย็น
"...หวังว่าเราคงจะได้ขอโทษกัน และก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
แล้วทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น...” น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นอีกครั้ง
"...แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น และเพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลย...”
“ชู่ว์" ห้ามอีกฝ่ายไม่ให้พูดต่อด้วยนิ้วที่จรดไปอยู่บนเรียวปากเล็กนั้น
"...ถ้านายไม่อยากเล่าถึงมัน ถ้ามันทำให้นายช้ำใจ...”
แต่คยองซูกลับค่อยๆ ยกมือของอีกฝ่ายลง
“ฉันไม่เป็นไรหรอกก็มีนายอยู่ตรงนี้ทั้งคน...”
เผยยิ้มออกมาอีกครั้งหนึ่ง และอาจจะเป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในคืนนี้ก็เป็นได้
"...และเพราะเขาไม่ทำอะไรเลยนั่นแหละมันก็เลยเหมือนกับว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วมันยังไง
ตกลงที่เราไปกินข้าวด้วยกันคือในฐานะอะไร
และพอฉันกลับมามันก็เลยมีแต่ความสับสน...” เว้นระยะเล็กน้อย
"...และมันก็ ไม่รู้สิ... เหมือนหมดแรงน่ะ"
คิมจงอินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนตัวเล็กอีกครั้ง
ในมือของเขามีหีบเพลงอยู่เครื่องหนึ่งที่เขายังจำได้ดีว่าพอเปิดออกมาแล้วข้างในเป็นรูปอะไร
และเพลงที่หีบเพลงเล่นนั้นเป็นเพลงอะไร
และยิ่งไปกว่านั้นก็ยังจำได้ว่าซื้อให้คยองซูเนื่องในโอกาสอะไร
“นายคงเหนื่อยมากสินะ..." ถามออกไปอีกครั้งอีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
"...นายลองกำมือดูนะ...” มือเล็กข้างขวากำเข้าหากันตามที่อีกฝ่ายบอก
"...กำไว้ให้แน่นที่สุดเลย...” มือนั้นบีบเกร็งแน่นขึ้นไปและมือข้างซ้ายของจงอินก็ทำแบบเดียวกัน
"...เจ็บเนอะนายว่ามั้ย"
“อือ เจ็บ"
“งั้นทำยังไงดีล่ะให้หายเจ็บ"
“ก็คงแบบนี้มั้ง"
พูดพลางปล่อยมือที่กำไว้ออกจากกันและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงส่งรอยยิ้มมาให้
“บางทีถ้าฝืนมากนายก็เจ็บเอง เหนื่อยเองนะ...”
เขาพูดออกมาเบาๆ พลางส่งมือมานวดมือข้างนั้นให้อย่างนุ่มนวล
"ลองปล่อยมันออกไปสักครั้ง ไม่แน่นายอาจจะเห็นอะไรมากขึ้นก็ได้...”
คนตัวเล็กนิ่งฟังเหมือนรูปปั้น
"...ปล่อยให้คนที่เขาไม่เห็นค่านายให้เขาไปตามทางของเขา...
ปล่อยตัวเองออกมาจากเรื่องราวพวกนั้นที่มันกักขังนายไว้
ฉันไม่ได้บอกว่ามันทำง่ายแต่ถ้านายไม่ทำฉันเองก็ช่วยอะไรนายไม่ได้...” เขาเว้นระยะ
"...กุญแจที่จะปลดปล่อยตัวนายน่ะมันอยู่ที่นายเองอยู่แล้ว เหลือที่นายเลือกจะทำหรือเปล่า"
อีกครั้งที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบและไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมหวีดหวิดเท่านั้น
“นายจำนี่ได้หรือเปล่า" หีบเพลงถูกยกขึ้นมาระหว่างคนทั้งสองคน คยองซูพยักหน้าเบาๆ
"...แล้วถ้าฉันเปิดมันออกนายจะเห็นอะไร"
“ก็เป็นกรอบรูปไม้ที่นายทำเอง ข้างในเป็นรูปฉันกับนายกำลังกอดคอกัน...”
รอยยิ้มฉายชัดอยู่บนใบหน้า "...และมันก็เป็นเพลงที่ฉันชอบมากเสียด้วยสิ"
และคิมจงอินก็บรรจงเปิดมันออกและปล่อยให้หีบเพลงทำหน้าที่ในการดึงความทรงจำของอีกฝ่ายกลับมาอีกครั้ง
“มีเรื่องดีๆ ให้นายจำตั้งเยอะนะ เรื่องที่นายแค่คิดถึงมันก็ยิ้มได้”
เขาพูดช้าๆ พลางลอบมองอีกฝ่ายที่จับจ้องไปยังหีบเพลงที่ไม่ได้เปิดออกฟังมานานแสนนาน
"อย่าผูกตัวเองไว้กับเรื่องที่มันทำร้ายนายเลยคยองซู"
“จงอิน...” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นเมื่อบทเพลงนั้นจบลง
"...กอดฉันหน่อยได้ไหม"
Love Note
✚TALK
จะมีใครใจดีกดเรตติ้งฟิคเรื่องนี้ให้ผมมั้ยน้าาาา ~~~
แค่เปรยเล่นๆ นะครับ
แต่ก็แอบหวังจริงๆ จัง้ๆ เหมือนกัน
ความคิดเห็น