คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ✚ A Seraph's Rememberance :: chapter 2
Author : MR.SNOWMAN
Starring : Kim Jongin x Do Kyungsoo
Rate : NC - 18
02.00
คำเตือน :
ในเนื้อเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
อาจมีการอ้างอิงจากตำนานหรือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเพื่อความสมจริง
ไรเตอร์ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายศาสนา
ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน...
"อ๊ะ!"
ผมร้องออกมาในขณะที่ก็ยกมือขึ้นกุมที่หน้าท้องด้านซ้ายเอาไว้
จังหวะเดินสะดุดกึกเพราะรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ
แต่เมื่อยกมือยันกำแพงแล้วหอบหายใจซักพักมันก็หายไป
มันเป็นอย่างนี้เสมอ...มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
อาการเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาเพียงชั่วครู่ หากแต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะตาย
อาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย...ไม่มีแพทย์แผนใดที่จะรักษาได้หายขาด
ผมชื่อ โด คยองซู และยี่สิบปีที่ผ่านมาก็มักจะมีเหตุการณ์ประหลาด...
เพราะเมื่อถึงวันที่ 29 ของเดือนตุลาคมของทุกๆปีผมมักจะฝันถึงมันเสมอ
ฝันถึงเหตุการณ์ซ้ำๆเดิมๆ จนน่าแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ผมรู้ว่าเป็นโรคประหลาด...แต่ผมไม่รู้ว่าจะรักษามันให้หายได้ยังไง
ที่หน้าท้องด้านซ้ายของผมมีปานแดงวงรีใหญ่...มันเป็นจุดเดียวกับที่มีบาดแผลแสนเจ็บปวดในความฝันนั้น
ซึ่งบางครั้งบางทีมันก็เจ็บปวดเหมือนๆกับแผลรูปสายฟ้าของพ่อมดในหนังสือนิยายขายดีที่ชื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์...
แต่แตกต่างกันที่ว่านิยายเรื่องนั้นมีเหตุมีผลยกมาประกอบ หากแต่ผมไม่มี...
มันเจ็บปวดมากขึ้นทุกทีเมื่อใกล้ถึงวันที่ 29 ตุลาฯ
และติดตามมาด้วยความฝันเดิมๆแบบนี้ไม่รู้จบ...
ผมเผชิญกับมันมายี่สิบปีนับตั้งแต่จำความได้
พ่อกับแม่เคยส่งผมไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาทเมื่ออยู่เกรดสี่
แต่นั่นยิ่งทำให้เรื่องมันแย่เข้าไปใหญ่.....
ผมโดนเพื่อนๆในห้องล้อเลียนว่าเป็นคนบ้าจนสุดท้ายก็ไม่มีใครคบแม้แต่คนเดียว
ผมเป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนักจนพ่อกับแม่ต้องพาผมย้ายโรงเรียนหนีความวุ่นวายเหล่านั้น
จนกระทั่งเกรดห้า...ผมเรียนรู้ที่จะปิดปากเงียบเพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับคนทั่วไป
ได้เจอสังคมใหม่เพื่อนใหม่และเรียนรู้ได้ว่าผมกลายเป็นเด็กที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป
เพราะพวกเขาไม่เคยฝันถึงอะไรพวกนี้...
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง...
สถานที่ๆผมมักจะมาเสมอหลังจากได้ผ่านความฝันนั้น ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่หลังจากฝันร้ายปีที่ 14 ของผมได้ผ่านไป
ราวกับมีอะไรดลใจให้ผมเดินทางมาที่นี่ และปฏิญาณกับตัวเองว่าต้องมาทุกปีหลังจากที่ตื่นจากฝันนั้น...
ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อได้ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยาวในโบสถ์แห่งหนึ่ง...
มันเป็นโบสถ์เล็กๆที่เคยโด่งดังมาก่อนในอดีต แต่เพราะด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป
โบสถ์แห่งนี้จึงกลายมาเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบของตึกระฟ้าสูงใหญ่มากมายเท่านั้น...
ผมครุ่นคิดถึงความฝัน...
ดวงตาคู่โตของผมเจ็บปวดและแสบขัดเมื่อผมพยายามทบทวนความฝัน
ที่แม้จะไม่ต้องเรียงลำดับก็จำได้ขึ้นใจ...
เด็กผู้ชายในความฝันคนนั้นคือผม...
ในความฝันกับตอนนี้ก็น่าจะอายุเท่าๆกัน เขาโดนแทงที่ท้องด้านซ้ายด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง
และยมทูต...เขาหน้าตาเป็นยังไงนะ ผมพยายามนึกหน้าตาของเขาให้ออก แต่กลับจำได้เพียงแค่ลางเลือนเท่านั้น
ทั้งๆที่เรื่องอื่นช่างเด่นชัดในความทรงจำ แต่เรื่องราวของยมทูตในความฝันกลับเป็นสีจางๆเหมือนม้วนฟิล์มที่ถูกฉายภาพแล้วกระตุกสั่น
ไม่เข้าใจเลย....
ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจ...
หยิบฉวยเอาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากเก้าอี้ตัวหน้าขึ้นมาเปิดอ่าน
ในยามนี้โบสถ์ไร้ผู้คนจนเงียบสงัดและดูเหมือนโบสถ์ร้าง หากแต่ผมไม่ได้กลัวความเงียบเหล่านั้นเลยซักนิด...
กลับรู้สึกสงบดีเสียอีกที่จะได้ไม่ต้องมีใครมากวนใจ....
ผมเปิดพลิกหน้าพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆหมายจะหาข้อพระคัมภีร์ดีๆที่ทำให้ใจสงบ...
หากแต่ดวงตาก็ต้องสะดุดกับบทพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง
“ แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น ดูเอาเถิดมีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง
ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตายและนรกก็ติดตามเขามาด้วย
และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน
ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย
และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน”
(พระคัมภีร์ไบเบิ้ล, วิวรณ์ 6:7-8)
ผมอ่านข้อพระคัมภีร์นั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายหนจนขึ้นใจ...
หากแต่ข้อความที่ทำให้ผมรู้สึกขบขันคือคำบรรยายถึงยมทูตที่พระคัมภีร์ได้พูดถึง
“พระเจ้าโกหก...พระองค์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง” ผมเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา
“แล้วเคยเจอยมทูตแล้วหรือไงถึงได้รู้ว่าหน้าตาของยมทูตเป็นแบบไหน?”
ผมสะดุ้งเฮือก...เมื่อจู่ๆก็มีเสียงนุ่มเย็นดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
หันหลังกลับไปก็ผมชายหนุ่มคุ้นตาคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมีมาด...
เขาเดินเข้ามาทรุดตัวนั่งที่ข้างผมแล้วปลดสายสะพายกระเป๋าเป้ออกไปจากบ่าและเริ่มพูดคุยกับผม
“เคยตายแล้วเหรอ? ถึงได้รู้ว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง?” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่เคย...แต่ฉันรู้แล้วกันว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง”
ผมตอบกลับพลางยักไหล่...
ไม่ได้ปรารถนาให้เขาเชื่อ แต่ผมก็เลือกที่จะเปิดใจกับเขาทั้งๆที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก
“รู้ได้ไง...เคยเจอแล้วหรือ...”
“อืม...เคยเจอแล้ว” ผมตอบ
“เคยเจอที่ไหนล่ะ?” เขาถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ในฝันของฉัน"
“งั้นเหรอ...”
บทสนทนาของเราเป็นไปด้วยความเรียบง่าย...
หากแต่ผมกับเขากลับไม่ได้แม้แต่มองหน้ากันด้วยซ้ำ
ผมรู้สึกดีที่ได้มองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีข้างหน้า
แล้วได้เปิดเผยเรื่องราวหนักอกในหัวใจออกมาให้ใครซักคนที่พร้อมจะรับฟัง
ถึงแม้ว่าเขาจะหาว่าผมเพ้อเจ้อ
แต่วินาทีนี้ผมเองอยากจะลองระบายมันออกไปให้ใครซักคนได้รู้
ยิ่งไม่รู้จักกันยิ่งดีใหญ่...เพราะนั่นแปลว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
และผมจะพูดอะไรออกมาก็ได้ไม่ต้องคิดมาก
“ไหนลองบอกมาสิว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง”
เขาถามต่อ ผมยักไหล่อย่างรู้สึกว่าประหลาดใจที่เขาไม่เห็นว่าผมบ้า...
“แล้วทำไมฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ...”
“เพราะฉันคิดว่าฉันเองก็เคยเจอยมทูตมาเหมือนกัน”
เขาตอบกลับในขณะที่เราทั้งสองหันมาสบตากันนิดหนึ่ง
ผมละสายตาจากรูปปั้นพระแม่มารีมามองหน้าเขา...
และฉับพลันที่เราสบตากัน ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็แว๊บเข้ามาในความรู้สึกของผม
...ดวงตาสีนิล...
“เหรอ...เคยเจอที่ไหนล่ะ?” ผมถามเขากลับไป
“ในฝันของฉัน....” เขาตอบพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ
“นี่กำลังล้อเลียนฉันหรือไง?”
ผมขมวดคิ้ว...
รู้สึกฉุนเมื่อได้รู้สึกว่าเขากวนประสาท
เพราะเขาตอบคำถามแบบเดียวกับที่ผมตอบเมื่อก่อนหน้านี้
“ฉันเปล่า...ไม่ได้ล้อเลียน แต่ฉันพูดจริงๆ
นายเลือกที่จะไม่เชื่อก็ได้นี่นา....แล้วจะจริงจังทำไมล่ะจริงไหม?
ว่าแต่อ่านอะไรอยู่ล่ะ ทำไมถึงพูดว่าพระเจ้าโกหก...พระเจ้าไม่เคยโกหกหรอกนะ”
เขาพูดพร้อมทั้งยกยิ้มออกมาบางๆ...แล้วเหล่มามองพระคัมภีร์ที่อยู่ในมือของผม
“ในวิวรณ์บทที่หก บอกว่ายมทูตที่มาพร้อมกับความตายนั้นขี่ม้าและมีอาวุธเป็นดาบ
แต่ยมทูตที่ฉันรู้จักไม่ได้ขี่ม้า...เขาไม่ได้ถือดาบแต่เขาถือเคียว
ฉันแค่พูดในสิ่งที่ฉันรู้...มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า
แค่ฉันรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับที่ฉันรู้จัก”
ผมอธิบายให้เขาฟัง เพราะกลัวเขาเข้าใจผิดว่าผมไม่เชื่อในพระเจ้า...
อันความจริงแล้วครอบครัวผมเป็นคริสเตียนที่ดีและเชื่อในพระเจ้าเสมอ...
แต่มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นล่ะที่ผมไม่เห็นด้วย
“ไม่คิดบ้างหรือว่าที่เขาหมายถึงอาจจะหมายความถึงทูตสวรรค์” ชายหนุ่มหน้าคมถามผมขึ้นมา
“ทูตสวรรค์ไม่ฆ่าคนหรอก...เขามีหน้าที่ทำกิจการเพื่อพระเจ้า
ทูตสวรรค์ที่ดีถูกพระเจ้าส่งมาให้ช่วยผู้ที่เชื่อในตัวพระองค์”
ผมตอบไปอย่างที่ผมเข้าใจ
รู้สึกตลกดีที่ได้มานั่งขบคิดข้อความในพระคัมภีร์กับคนแปลกหน้า...แต่ผมคิดว่ามันก็น่าสนใจดีไม่ใช่น้อย
“แต่อย่างที่พระคัมภีร์ว่าไว้ ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน
งั้นก็แปลว่าพระเจ้ายินยอมที่จะให้มีคนมาทำลายโลกน่ะสิจริงไหม?”
“นั่นเป็นเพราะมนุษย์ทำบาป...พระองค์จึงตั้งใจจะทำให้ถึงวันสุดท้ายของโลก”
“ที่นายเข้าใจมาก็มีส่วนถูก...แต่รู้อะไรไหม
คำว่ายมทูตมันมีอะไรที่มากกว่าที่นายคิดเยอะ...ที่นายรู้มามันก็แค่ผิวเผิน”
ชายหนุ่มผิวแทนข้างๆผมเอ่ยออกมาพร้อมทั้งยกยิ้มขัน...
“งั้นก็บอกมาสิว่านายรู้ดีแค่ไหน?”
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายพร้อมจะเปิดใจรับฟังหรือเปล่า?”
“ว่ามาเลย”
“จะไม่ว่าฉันบ้าใช่ไหม?”
“ฉันคิดว่าฉันบ้ากว่านายเยอะเลย...ไม่ต้องห่วง”
“งั้นก็ดี...เราจะได้พูดกันง่ายหน่อย” เขาพูดกับผม
“นายชื่ออะไร??” ผมถามเขาในขณะที่มองเขายกมือขึ้นสวดภาวนา
“จงอิน...ฉันชื่อ คิม จงอิน”
“เล่าให้ฉันฟังสิ...ก่อนที่นายจะสวดภาวนา”
เมื่อผมพูดจบ ผมกับชายหนุ่มตรงหน้ามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาขยับเปลี่ยนท่านั่งให้เป็นท่ากอดอกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้
ก่อนจะเริ่มต้นอธิบายออกมาในที่สุด
“ตั้งแต่สมัยปฐมกาล...
พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาพร้อมๆอดัมและเอวาแต่พระองค์ก็ถูกหักหลัง
แต่เพราะพระองค์รักมนุษย์ทั้งคู่ที่หักหลังพระองค์อย่างสุดซึ้ง
ด้วยความรัก พระองค์จึงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมาเพื่อคอยปกป้องและคุ้มครองมนุษย์
และพวกเขาถูกมอบหมายงานใหญ่ให้เป็นผู้ประกาศกิตติคุณของพระเจ้า
และทำให้พวกลูกหลานของอดัมและเอวากลับใจไปอยู่ในใต้ร่มกาสาวพัสตร์ของพระองค์”
ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบก่อนจะหันมามองหน้าผม
ราวกับจะมองว่าผมมีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องที่เขาเพิ่งพูดออกมา
“ต่อสิ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะบอกให้เขาพูดต่อไป...
“เหล่าทูตสวรรค์ได้รับสติปัญญาที่แสนฉลาด และถูกประทานพรวิเศษแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกัน
หากแต่พระเจ้าเองก็มีข้อผิดพลาด เขาสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมา แต่แน่นอนว่าทูตสวรรค์ก็เหมือนกับมนุษย์
มีจิตใจอาฆาตริษยา อยากได้สิ่งที่ตนไม่มีเอามาครอบครองเช่นกัน...
โลกของทูตสวรรค์เริ่มสั่นคลอนและถึงจุดแตกหัก ทูตสวรรค์แต่ละคนทำหน้าที่ให้พระองค์ด้วยความหวาดกลัว
เพราะวันดีคืนดีอาจจะถูกแย่งชิงพลังวิเศษไปจากตัวก็ได้ นายเข้าใจเรื่องนี้ไหม?”
“อืม...ฉันเข้าใจ แล้วไหนล่ะยมทูตที่นายพูดถึง?” ผมทวงถามเขาต่อไป
“ใจร้อนจังนะ....อืม...มาถึงยุคหนึ่งของคริสตกาลก่อนที่จะเริ่มคริสศักราชหลายพันล้านปี
มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งเกิดมีรักต้องห้ามกับน้องสาวในอาณัติของเขา
พวกเขารักกันแต่มันผิดกฎสวรรค์...และแน่นอนว่าผิดกฎของโลกด้วย
ทูตสวรรค์นามว่า ดีมอส เป็นทูตสวรรค์ที่ดื้อรั้น เขาหยิ่งและจองหองถือตัวและอวดดีแม้แต่กับพระเจ้า
เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขารักและเชื่อฟังก็คือน้องสาวของเขา
เมื่อดินแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ไม่ต้อนรับดีมอส แต่พระเจ้ารักทูตสวรรค์ทุกตนที่พระเจ้าสร้างมา...
ไม่สิ...พระเจ้ารักทุกอย่างบนโลกนี้เลยล่ะ
จนทำให้พระองค์ต้องจัดเตรียมสถานที่ให้ดีมอสได้ออกมาอยู่ต่างหาก
และให้บทลงโทษเขาโดยการทำงานที่น่ารังเกียจ นั่นคือการดูแลวิญญาณชั่วร้ายของมนุษย์
ซึ่งเป็นงานที่ทูตสวรรค์ต่างรังเกียจที่จะทำ...
นายคิดออกไหม ก็เหมือนกับงานกรรมกรอะไรพวกนี้น่ะ
ที่คนมีความรู้คิดว่าเป็นงานน่ารังเกียจและไม่สมควรทำ”
“อืม...ฉันเข้าใจ แล้วดีมอสกับน้องเขาได้รักกันไหม?”
ผมถามออกมาอย่างสนอกสนใจ
เพิ่งรู้สึกจริงๆจังๆว่าเรื่องนี้มันน่าติดตามเกินกว่าที่จะหยุดอยู่แค่นี้...
“ไม่...วีนัสถูกจับขังอยู่ในก้นบึ้งของทะเลสาบแห่งความโศกเศร้าบนโลกมนุษย์
แต่ด้วยความรักที่มีต่อดีมอสทำให้จิตวิญญาณของเธอแรงกล้า
พอที่จะส่งกระแสจิตออกมาเป็นผีเสื้อกลางคืนเพื่อบินวนเวียนตามหาดีมอส
แต่หารู้ไม่ว่าดีมอสไม่ได้อยู่บนโลกแต่อยู่อีกโลกภายใต้พื้นพิภพแทน”
“น่าสงสารจังนะ...ความรักที่ไม่สมหวังน่ะ
แล้วยมทูตมีแค่คนเดียวหรือ? มีแค่ดีมอสเท่านั้นหรือ?”
ผมถาม..เริ่มแอบวนเข้าเรื่องที่อยากจะรู้
เพราะผมมั่นใจว่ายมทูตในฝันของผมไม่ใช่ดีมอสแน่ๆ ผมเห็นชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะอธิบายต่อไป
“ดีมอสไม่ได้เป็นยมทูต แต่ดีมอสเป็นพญามัจจุราช เขามีตำแหน่งสูงสุดในนรก
ยมทูตคือทูตสวรรค์ที่ทำความผิดแล้วโดนระเห็จลงมาช่วยงานดีมอสก็เท่านั้น
พูดง่ายๆก็เหมือนเป็นทาสในเรือนเบี้ยที่ดีมอสสามารถเรียกใช้งานได้ทุกเวลานั่นแหละ”
ริมฝีปากหนาของจงอินขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ...
ผมมองมันพร้อมๆกับครุ่นคิดถึงข้อความที่เขาบอกออกมาอย่างประหลาดใจ
ผู้ชายคนนี้รู้มากเกินไป...รู้มากราวกับว่าเขาเคยเป็นยมทูต
หรือแม้กระทั่งทูตจากสวรรค์ที่เขาเพิ่งพูดถึงมาด้วยตัวเอง
“ยมทูตมีเยอะไหมล่ะ...พวกเขาชื่ออะไรกันบ้าง”
ผมถามออกมาเสียงอ้อมแอ้ม เพราะเพียงแค่อยากจะได้ยินชื่อยมทูตซักชื่อที่คาดว่าน่าจะคุ้นหูบ้าง
มันอาจจะน่าเหลือเชื่อเพราะผมไม่คิดว่าเขาจะรู้จักชื่อยมทูตหรอก...
แต่ก็ต้องอดตกใจไม่ได้จริงๆเมื่อเขาเริ่มร่ายชื่อยมทูตและหน้าที่ของแต่ละตนออกมาไม่รู้จบ
“ดีมอสมีตำแหน่งสูงสุดในแดนนรก...
แต่ยมทูตที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงกว่าเขาคือ ลูซิเฟอร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือซาตาน
เขามีหน้าที่ตัดสินและพิพากษาวิญญาณที่ต้องถูกลงทัณฑ์ในนรก...
แต่ดีมอสได้รับหน้าที่ๆดีกว่านั้นคือเขาจะได้ตัดสินแค่เฉพาะทูตสวรรค์ที่ทำผิดเท่านั้น...
เขาสามารถขึ้นไปบนมนุษย์ภูมิและไปแดนสวรรค์ได้ แต่ลูซิเฟอร์ทำไม่ได้ เขามีหน้าที่ตัดสินวิญญาณเท่านั้น
ยมทูตที่รับใช้ลูซิเฟอร์ก็มีหลายตน อย่างเฮเซเลียสที่ทำงานฝ่ายสมุหกลาโหม
กับเฟอร์เรียนทำหน้าที่รองลงมาเขาเป็นผู้คุมประตูนรก...
และรองลงมาจากนั้นอีกก็พวกที่เฝ้าคุกและป้อมปราการในนรก
มีสี่ตนคือ มิการ์ เครูฟ โมเอล และเคเชียส
พวกนี้เป็นยมทูตที่น่าสงสาร...พวกเขาไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
แถมมิหนำซ้ำยังต้องมาอดทนฟังเสียงโอดโอยกรีดร้องของพวกวิญญาณที่เจ็บปวดตลอดทั้งวันทั้งคืนอีก
นายเบื่อไหม...ฉันพูดเร็วไปหรือเปล่า?”
จงอินหันกลับมาถามผมเมื่อเขาเห็นผมแอบเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง...
เวลาราวกับผ่านมานานนับปีแล้วที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้
แต่ผมก็ค้นพบความจริงว่าแท้จริงแล้วมันเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที...
“ไม่หรอก...ฉันไม่ได้เบื่อ
เล่าต่อสิ...ยมทูตในนรกมีแค่นี้เหรอ?”
ผมถามเขาหลังจากที่ขอร้องให้เขาพูดต่อ...
ผมไม่ได้เบื่อจริงๆนะครับ แค่ผมรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแปลกๆเวลาที่ได้มองริมฝีปากของเขาขยับขึ้นลงอย่างนั้น
และมันทำได้ยากจริงๆที่จะหยุดมองเขา...
ผมรีบละสายตาออกมาจ้องคัมภีร์ไบเบิลในมือ...
ก่อนจะเงียบเสียงและรอฟังต่อ จนกระทั่งเขาพูดขึ้นมาอีกหน
“มียมทูตอีกพวกหนึ่งที่ทำงานอยู่บนโลกมนุษย์...
พวกนี้ดีหน่อยที่ยังวนเวียนไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับนรกได้
ได้รับพรวิเศษคือสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกเขาขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ได้นอกจากจะถูกเรียก
ยมทูตพวกนี้มีหน้าที่รับวิญญาณไปส่งที่หน้าประตูนรก
ยมทูตที่ทำหน้าที่นี้มีอยู่ห้าตน คือ ซาเมล สแกนดาร์ โมนิก วานิตี้
และ ไค.....”
เสียงของจงอินแผ่วเบาลงเมื่อถึงปลายประโยค...
เขาเสตาหันมามองผมอย่างเชื่องช้าเหมือนราวกับจงใจจะทำให้ผมต้องใจเต้น
เมื่อสายตาสีนิลนั้นตวัดเข้ามาจ้องมองในดวงตาผม...
หัวใจของผมเต้นรัวเร็วไปหมดเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหูนั้นอย่างชัดเจน...
กอปรกับสายตาอันนิ่งงันที่จงอินมองเข้ามาในตาผมนั้นทำให้ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่
คุ้นเหลือเกิน...ดวงตาคู่นี้มันคุ้นมาก...
“เป็นอะไรไปหรือคยองซู?”
เสียงนุ่มของเขาเอ่ยถามขึ้นมาแผ่วเบาหากแต่มีผลกับการเต้นของหัวใจของผมอย่างน่าประหลาด...
ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเพิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป
เขารู้จักชื่อผมได้อย่างไรในเมื่อผมยังไม่ได้บอกเขาเลยซักครั้ง...
“ม...ไม่...ฉันว่าฉันควรจะไปดีกว่า”
ผมผุดลุกขึ้นหากแต่เขากลับฉุดมือผมไว้...มือแข็งแรงนั้นเย็นเฉียบจนผมตกใจ
น่าแปลกที่แค่มือของเขาที่รั้งผมไว้เบาๆ มันก็ทำให้ขาของผมสะดุดกึกราวกับมันเชื่อฟังคนตรงหน้ามากกว่าผม...
“จำไม่ได้เลยหรือ...คิดให้ออกสิคยองซู มันเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
จงอินกัดริมฝีปากและส่งสายตาตัดพ้อมาให้ผม...
สัมผัสที่มือเขาแผ่วเบาแตกต่างจากความเย็นเยียบที่ผมได้รับ...
คิดอะไรล่ะ ผมควรจะต้องคิดอะไร?
“น...นายพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ” ผมล่ะล่ำละลักถามเขา...
“นายต้องพูดมันออกมาคยองซู...
ฉันทำไม่ได้ ฉันฝืนกฎไม่ได้ คิดสิ...ได้โปรด”
ผมส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเมื่อจงอินดึงตัวผมเข้าไปแนบชิด...
ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ...หัวใจของผมกำลังเต้นแรงจนแทบกระตุกออกจากอก
ริมฝีปากที่ผมได้แต่เฝ้ามองมันเมื่อครู่กำลังเคลื่อนคล้อยมาหาผมอย่างช้าๆ...
ผมควรจะเบือนหน้าหนีและปฏิเสธ...แต่ผมกลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำมัน
“ฉ...ฉันไม่เข้าใจ...”
ผมกระซิบเมื่อริมฝีปากของจงอินเคลื่อนเข้ามาใกล้ หากแต่ยังไม่สัมผัส
ผมปรือตาเมื่อรับรู้ว่าลมหายใจของจงอินกำลังรวยรินอยู่ตรงปลายจมูกของผม
พระเจ้า...แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังเย็นเฉียบอย่างกับน้ำแข็ง
“คิดให้ออกสิ...เรื่องของฉัน ทาสรักที่ซื่อสัตย์กับนาย
ฉันยอมแลกทุกอย่างหรือแม้กระทั่งพลังของฉันเพื่อฝ่าฝืนกฏทั้งสวรรค์และนรก
ได้โปรดเถอะที่รัก...ได้โปรดเรียกชื่อฉัน”
เขากระซิบติดริมฝีปากของผม...
สัมผัสแผ่วเบานั้นทำเอาให้ผมแทบจะล้มทั้งยืน รู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับทั้งๆที่ยังยืนอยู่
ลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามาในปากของผมและนั้นก็ทำให้ผมต้องหลับตาพริ้ม...
คุ้นเหลือเกิน สัมผัสนี้เป็นสัมผัสที่ผมคิดถึง
ภาพฝันที่ผมเคยได้เห็นมันในตอนที่นอนหลับถูกฉายขึ้นในหัวสมองราวกับม้วนเทปที่ถูกกรอกลับ...
ผมเห็นใบหน้าของเขา และได้ยินชื่อของยมทูตชัดเจน
ผมจดจำมันได้แม้กระทั่งข้อความพรรณนาหรือร่ายมนต์อะไรก็ตาม
ที่เขาเอ่ยกระซิบก่อนที่ผมจะหลับไปผมก็ได้ยินมันดังก้องในหัวอย่างชัดเจน
ตอนนี้ผมไม่ได้หลับฝัน...ผมยังมีสติแม้ว่ามันจะเหลือน้อยนิดเพราะรสจูบหวานแต่เย็นยะเยือกที่จงอินมอบให้ผม
ไค...นั่นคือชื่อของเขา...
“ค...ไค”
ผมกระซิบเมื่อคนตรงหน้าผละริมฝีปากออกไป
หัวใจเต้นตึกตักในขณะที่วาดแขนขึ้นโอบรอบคอเขาแล้วเขย่งตัวขึ้นไปจูบเขาอีกหน
คิดถึง...คิดถึงสัมผัสนี้เหลือเกิน
“ที่รัก...ที่รัก...เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว”
จงอินหรือไคกระซิบเมื่อถอนริมฝีปากออกไป
เขาไล้จูบไปตามสันกรามของผมก่อนจะก้มลงมากระซิบ ผมปรือตาขึ้นมองหน้าเขา
และผมพบว่าปีกสีดำกำลังโอบคลุมพวกเราเอาไว้...
ผมยังคงมึนงงและไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด...
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ก็คือ เขาคือผู้ชายคนนั้น
ยมทูตที่รัก...และเขากำลังยืนอยู่ในอ้อมกอดของผม
“บอกให้ฉันรู้สิ...บอกสิ่งที่ฉันไม่รู้และพลาดไป”
ผมกระซิบติดริมฝีปาก...ลมหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของเขา
ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่ในตอนนี้ผมกำลังร้องไห้...
ผมต้องการรับรู้ทุกอย่าง หากแต่ร่างกายก็ต้องการสัมผัสจากเขามากกว่านี้
“เจ้าจะได้รู้ทุกอย่างยอดรัก...
ข้าพร่ำบอกเจ้าแบบนี้มาร่วมร้อยปีและมันจะเป็นปัญหาอะไรอีกเล่าถ้าหากข้าจะบอกเจ้าอีกหน
ถึงแม้ว่าข้าต้องบอกเจ้าอีกกี่ร้อยปีข้าก็จะทำ...ข้ารักเจ้า คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
“ไม่เข้าใจ...ฉันไม่เข้าใจ...ฉันลืมมัน บอกฉันให้หมดสิ”
น้ำตาของผมไหลอาบแก้ม...โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไม
แต่ผมกำลังรู้สึกตื้นตันและมีคำว่ารักเอ่อล้นขึ้นมาจนท่วมท้นหัวใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้
“หากเจ้าพร้อมที่จะรับความเจ็บปวดข้าก็จะบอกเจ้า...
หากแต่เราสองคนไม่อาจหลีกหนีมันได้หรอกที่รัก ถึงอย่างไรเราก็ต้องรับโทษทัณฑ์นั้นอยู่ดี”
ไคกระซิบในขณะที่หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มเขา...
ผมเอนตัวเข้าไปแนบชิดเขา และกระซิบถ้อยคำที่ผมไม่คิดจะพูดมาก่อนในชีวิต
“ฉันพร้อม... ฉันก็จะรับมันให้ไหว
ขอเพียงแค่ฉันได้อยู่กับนายตรงนี้ ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว
ต่อให้ต้องตกนรกขุมที่ลึกที่สุดหรือทุกข์ทนอยู่ในโลกันต์ฉันก็ยอม”
ผมกระซิบเสียงแผ่วก่อนที่จะรับจุมพิตจากจงอินอีกหน...
และโดยที่ไม่รู้ตัว ปีกสีดำแข็งแกร่งนั้นก็โอบอุ้มเราเอาไว้
.
.
.
.
.
และโลกของผมก็ดับวูบลงไปอีกครา....
✚TALK
สวัสดีค่ะรีดเดอร์ที่รักทุกท่าน...
เรื่องนี้เป็นฟิคแฟนตาซีเรื่องแรกของไรเตอร์
ไรเตอร์หาข้อมูลและทำการบ้านมาพอสมควรก่อนจะทำการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
ตั้งใจมากค่ะ...อยากจะลองเขียนเรื่องแบบนี้ดูซักครั้ง
และมันก็ออกมา...ใช้ได้เหมือนกันนะว่าไหม
เรื่องนี้อาจจะดูมีสาระ แต่ความจริงแล้วไม่มีสาระนะคะ (เหมือนทุกเรื่องที่เคยแต่งมา) 55555555
อ่านเพื่อความสนุกสนานเนอะๆ อย่าไปเครียดกับตำนานที่เราเคยเกริ่นไปนะคะ
แต่งขึ้นมาเพื่อหวังจะเปิดเรื่องเฉยๆค่ะ มีพื้นความจริงแค่ 20% เท่านั้น 555555555
ไรเตอร์ขอโทษนะคะถ้าใครในนี้เป็นพวกเคร่งศาสนา
และไรเตอร์มีความยินดีที่จะบอกว่า ไรเตอร์อาจจะต้องนำศาสนามาบิดเบือนอีกในแชปต่อๆไป
เพราะฉะนั้นไรเตอร์จะไม่โกรธถ้าหากคุณจะเลิกอ่านฟิคของไรเตอร์เพราะเรื่องนี้ ^^
ขอบคุณสำหรับรีดเดอร์ที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
กำลังใจของทุกคนมีค่ามากค่ะ ไรเตอร์ได้รับมันมาตลอด
อยากจะขอบคุณจริงๆจากใจเลยค่ะ....รักทุกคนจริงๆ ^^
ไรเตอร์ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ...ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันบอกต่อ
อ่านตอนนี้ให้สนุกนะคะ อยากขบคิดอะไรก็ทิ้งไว้ที่คอมเม้นท์ได้เลยค่ะ
ป.ล.1 อ่านแล้วมีใครงงไหมคะ?
ไรเตอร์เขียนเองยังงงเลยค่ะ...555555555
แต่สัญญาว่าจะกลับมาเฉลยตอนหน้า
ป.ล. 2 เจอกันอีกที...อาทิตย์หน้านะคะ T T
ความคิดเห็น