ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF EXO] ✚ :: A Seraph's Remembrance :: ✚[KAI x D.O.]

    ลำดับตอนที่ #2 : ✚ A Seraph's Rememberance :: chapter 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      13
      19 ก.ย. 55

    Author : MR.SNOWMAN
    Starring : Kim Jongin x  Do Kyungsoo
    Rate : NC - 18






     




     

    02.00 
    คำเตือน :
    ในเนื้อเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อ
    ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องสมมติที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น
    อาจมีการอ้างอิงจากตำนานหรือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเพื่อความสมจริง

    ไรเตอร์ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายศาสนา
    ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน...













    "อ๊ะ!"




    ผมร้องออกมาในขณะที่ก็ยกมือขึ้นกุมที่หน้าท้องด้านซ้ายเอาไว้
    จังหวะเดินสะดุดกึกเพราะรู้สึกเจ็บปวดราวกับจะขาดใจ
    แต่เมื่อยกมือยันกำแพงแล้วหอบหายใจซักพักมันก็หายไป
    มันเป็นอย่างนี้เสมอ...มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว 
    อาการเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาเพียงชั่วครู่ หากแต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะตาย
    อาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย...ไม่มีแพทย์แผนใดที่จะรักษาได้หายขาด



    ผมชื่อ โด คยองซู และยี่สิบปีที่ผ่านมาก็มักจะมีเหตุการณ์ประหลาด...
    เพราะเมื่อถึงวันที่
    29 ของเดือนตุลาคมของทุกๆปีผมมักจะฝันถึงมันเสมอ
    ฝันถึงเหตุการณ์ซ้ำๆเดิมๆ จนน่าแปลกใจเหลือเกินว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
    ผมรู้ว่าเป็นโรคประหลาด...แต่ผมไม่รู้ว่าจะรักษามันให้หายได้ยังไง





    ที่หน้าท้องด้านซ้ายของผมมีปานแดงวงรีใหญ่...มันเป็นจุดเดียวกับที่มีบาดแผลแสนเจ็บปวดในความฝันนั้น
    ซึ่งบางครั้งบางทีมันก็เจ็บปวดเหมือนๆกับแผลรูปสายฟ้าของพ่อมดในหนังสือนิยายขายดีที่ชื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์...
    แต่แตกต่างกันที่ว่านิยายเรื่องนั้นมีเหตุมีผลยกมาประกอบ หากแต่ผมไม่มี...






    มันเจ็บปวดมากขึ้นทุกทีเมื่อใกล้ถึงวันที่ 29 ตุลาฯ
    และติดตามมาด้วยความฝันเดิมๆแบบนี้ไม่รู้จบ...

    ผมเผชิญกับมันมายี่สิบปีนับตั้งแต่จำความได้
    พ่อกับแม่เคยส่งผมไปรักษาที่โรงพยาบาลประสาทเมื่ออยู่เกรดสี่ 
    แต่นั่นยิ่งทำให้เรื่องมันแย่เข้าไปใหญ่.....




    ผมโดนเพื่อนๆในห้องล้อเลียนว่าเป็นคนบ้าจนสุดท้ายก็ไม่มีใครคบแม้แต่คนเดียว
    ผมเป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนักจนพ่อกับแม่ต้องพาผมย้ายโรงเรียนหนีความวุ่นวายเหล่านั้น




    จนกระทั่งเกรดห้า...ผมเรียนรู้ที่จะปิดปากเงียบเพราะรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับคนทั่วไป
    ได้เจอสังคมใหม่เพื่อนใหม่และเรียนรู้ได้ว่าผมกลายเป็นเด็กที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป
    เพราะพวกเขาไม่เคยฝันถึงอะไรพวกนี้...

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อเดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง...
    สถานที่ๆผมมักจะมาเสมอหลังจากได้ผ่านความฝันนั้น ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่หลังจากฝันร้ายปีที่
    14 ของผมได้ผ่านไป
    ราวกับมีอะไรดลใจให้ผมเดินทางมาที่นี่ และปฏิญาณกับตัวเองว่าต้องมาทุกปีหลังจากที่ตื่นจากฝันนั้น...




     

    ผมหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อได้ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยาวในโบสถ์แห่งหนึ่ง...
    มันเป็นโบสถ์เล็กๆที่เคยโด่งดังมาก่อนในอดีต แต่เพราะด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป
    โบสถ์แห่งนี้จึงกลายมาเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหลืบของตึกระฟ้าสูงใหญ่มากมายเท่านั้น...




     

    ผมครุ่นคิดถึงความฝัน...
    ดวงตาคู่โตของผมเจ็บปวดและแสบขัดเมื่อผมพยายามทบทวนความฝัน
    ที่แม้จะไม่ต้องเรียงลำดับก็จำได้ขึ้นใจ...



     

    เด็กผู้ชายในความฝันคนนั้นคือผม...
    ในความฝันกับตอนนี้ก็น่าจะอายุเท่าๆกัน เขาโดนแทงที่ท้องด้านซ้ายด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง

    และยมทูต...เขาหน้าตาเป็นยังไงนะ ผมพยายามนึกหน้าตาของเขาให้ออก แต่กลับจำได้เพียงแค่ลางเลือนเท่านั้น
    ทั้งๆที่เรื่องอื่นช่างเด่นชัดในความทรงจำ แต่เรื่องราวของยมทูตในความฝันกลับเป็นสีจางๆเหมือนม้วนฟิล์มที่ถูกฉายภาพแล้วกระตุกสั่น





    ไม่เข้าใจเลย....

     

     

    ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะถอนหายใจ...
    หยิบฉวยเอาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากเก้าอี้ตัวหน้าขึ้นมาเปิดอ่าน



    ในยามนี้โบสถ์ไร้ผู้คนจนเงียบสงัดและดูเหมือนโบสถ์ร้าง หากแต่ผมไม่ได้กลัวความเงียบเหล่านั้นเลยซักนิด...
    กลับรู้สึกสงบดีเสียอีกที่จะได้ไม่ต้องมีใครมากวนใจ....




    ผมเปิดพลิกหน้าพระคัมภีร์ไปเรื่อยๆหมายจะหาข้อพระคัมภีร์ดีๆที่ทำให้ใจสงบ...
    หากแต่ดวงตาก็ต้องสะดุดกับบทพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง

     






     

    “ แล้วข้าพเจ้าก็แลเห็น ดูเอาเถิดมีม้าสีกะเลียวตัวหนึ่ง

    ผู้ที่นั่งบนหลังม้านั้นมีชื่อว่าความตายและนรกก็ติดตามเขามาด้วย

    และได้ให้ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน

    ด้วยดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยความตาย

    และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน”

    (พระคัมภีร์ไบเบิ้ล, วิวรณ์  6:7-8)






     

     

     

    ผมอ่านข้อพระคัมภีร์นั้นซ้ำไปซ้ำมาหลายหนจนขึ้นใจ...
    หากแต่ข้อความที่ทำให้ผมรู้สึกขบขันคือคำบรรยายถึงยมทูตที่พระคัมภีร์ได้พูดถึง





    “พระเจ้าโกหก...พระองค์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง” ผมเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา




    “แล้วเคยเจอยมทูตแล้วหรือไงถึงได้รู้ว่าหน้าตาของยมทูตเป็นแบบไหน?”




    ผมสะดุ้งเฮือก...เมื่อจู่ๆก็มีเสียงนุ่มเย็นดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
    หันหลังกลับไปก็ผมชายหนุ่มคุ้นตาคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างมีมาด...
    เขาเดินเข้ามาทรุดตัวนั่งที่ข้างผมแล้วปลดสายสะพายกระเป๋าเป้ออกไปจากบ่าและเริ่มพูดคุยกับผม





    “เคยตายแล้วเหรอ? ถึงได้รู้ว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง?” เขาถามย้ำอีกครั้ง




    “ไม่เคย...แต่ฉันรู้แล้วกันว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง”




    ผมตอบกลับพลางยักไหล่...
    ไม่ได้ปรารถนาให้เขาเชื่อ แต่ผมก็เลือกที่จะเปิดใจกับเขาทั้งๆที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก






    “รู้ได้ไง...เคยเจอแล้วหรือ...”





    “อืม...เคยเจอแล้ว” ผมตอบ




    “เคยเจอที่ไหนล่ะ?” เขาถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง




    “ในฝันของฉัน"




    “งั้นเหรอ...”




    บทสนทนาของเราเป็นไปด้วยความเรียบง่าย...
    หากแต่ผมกับเขากลับไม่ได้แม้แต่มองหน้ากันด้วยซ้ำ
    ผมรู้สึกดีที่ได้มองไปยังรูปปั้นพระแม่มารีข้างหน้า
    แล้วได้เปิดเผยเรื่องราวหนักอกในหัวใจออกมาให้ใครซักคนที่พร้อมจะรับฟัง


    ถึงแม้ว่าเขาจะหาว่าผมเพ้อเจ้อ
    แต่วินาทีนี้ผมเองอยากจะลองระบายมันออกไปให้ใครซักคนได้รู้
    ยิ่งไม่รู้จักกันยิ่งดีใหญ่...เพราะนั่นแปลว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
    และผมจะพูดอะไรออกมาก็ได้ไม่ต้องคิดมาก






    “ไหนลองบอกมาสิว่ายมทูตหน้าตาเป็นยังไง”



    เขาถามต่อ ผมยักไหล่อย่างรู้สึกว่าประหลาดใจที่เขาไม่เห็นว่าผมบ้า...






    “แล้วทำไมฉันต้องบอกนายด้วยล่ะ...”





    “เพราะฉันคิดว่าฉันเองก็เคยเจอยมทูตมาเหมือนกัน”




    เขาตอบกลับในขณะที่เราทั้งสองหันมาสบตากันนิดหนึ่ง
    ผมละสายตาจากรูปปั้นพระแม่มารีมามองหน้าเขา...
    และฉับพลันที่เราสบตากัน ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดก็แว๊บเข้ามาในความรู้สึกของผม



    ...
    ดวงตาสีนิล...






    “เหรอ...เคยเจอที่ไหนล่ะ?” ผมถามเขากลับไป





    “ในฝันของฉัน....” เขาตอบพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ





    “นี่กำลังล้อเลียนฉันหรือไง?”




    ผมขมวดคิ้ว...
    รู้สึกฉุนเมื่อได้รู้สึกว่าเขากวนประสาท
    เพราะเขาตอบคำถามแบบเดียวกับที่ผมตอบเมื่อก่อนหน้านี้






    “ฉันเปล่า...ไม่ได้ล้อเลียน แต่ฉันพูดจริงๆ
    นายเลือกที่จะไม่เชื่อก็ได้นี่นา....แล้วจะจริงจังทำไมล่ะจริงไหม?
    ว่าแต่อ่านอะไรอยู่ล่ะ ทำไมถึงพูดว่าพระเจ้าโกหก...พระเจ้าไม่เคยโกหกหรอกนะ”




    เขาพูดพร้อมทั้งยกยิ้มออกมาบางๆ...แล้วเหล่มามองพระคัมภีร์ที่อยู่ในมือของผม






    “ในวิวรณ์บทที่หก บอกว่ายมทูตที่มาพร้อมกับความตายนั้นขี่ม้าและมีอาวุธเป็นดาบ
    แต่ยมทูตที่ฉันรู้จักไม่ได้ขี่ม้า...เขาไม่ได้ถือดาบแต่เขาถือเคียว
    ฉันแค่พูดในสิ่งที่ฉันรู้...มันไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า
    แค่ฉันรู้สึกว่ามันขัดแย้งกับที่ฉันรู้จัก”





    ผมอธิบายให้เขาฟัง เพราะกลัวเขาเข้าใจผิดว่าผมไม่เชื่อในพระเจ้า...
    อันความจริงแล้วครอบครัวผมเป็นคริสเตียนที่ดีและเชื่อในพระเจ้าเสมอ...
    แต่มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นล่ะที่ผมไม่เห็นด้วย







    “ไม่คิดบ้างหรือว่าที่เขาหมายถึงอาจจะหมายความถึงทูตสวรรค์” ชายหนุ่มหน้าคมถามผมขึ้นมา






    “ทูตสวรรค์ไม่ฆ่าคนหรอก...เขามีหน้าที่ทำกิจการเพื่อพระเจ้า
    ทูตสวรรค์ที่ดีถูกพระเจ้าส่งมาให้ช่วยผู้ที่เชื่อในตัวพระองค์”




    ผมตอบไปอย่างที่ผมเข้าใจ
    รู้สึกตลกดีที่ได้มานั่งขบคิดข้อความในพระคัมภีร์กับคนแปลกหน้า...แต่ผมคิดว่ามันก็น่าสนใจดีไม่ใช่น้อย





    “แต่อย่างที่พระคัมภีร์ว่าไว้  ทั้งสองนี้มีอำนาจล้างผลาญแผ่นดินโลกได้หนึ่งในสี่ส่วน
    งั้นก็แปลว่าพระเจ้ายินยอมที่จะให้มีคนมาทำลายโลกน่ะสิจริงไหม?”




    “นั่นเป็นเพราะมนุษย์ทำบาป...พระองค์จึงตั้งใจจะทำให้ถึงวันสุดท้ายของโลก”





    “ที่นายเข้าใจมาก็มีส่วนถูก...แต่รู้อะไรไหม
    คำว่ายมทูตมันมีอะไรที่มากกว่าที่นายคิดเยอะ...ที่นายรู้มามันก็แค่ผิวเผิน”





    ชายหนุ่มผิวแทนข้างๆผมเอ่ยออกมาพร้อมทั้งยกยิ้มขัน...





    “งั้นก็บอกมาสิว่านายรู้ดีแค่ไหน?”






    “มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายพร้อมจะเปิดใจรับฟังหรือเปล่า?”





    “ว่ามาเลย”





    “จะไม่ว่าฉันบ้าใช่ไหม?”






    “ฉันคิดว่าฉันบ้ากว่านายเยอะเลย...ไม่ต้องห่วง”






    “งั้นก็ดี...เราจะได้พูดกันง่ายหน่อย” เขาพูดกับผม






    “นายชื่ออะไร??” ผมถามเขาในขณะที่มองเขายกมือขึ้นสวดภาวนา






    “จงอิน...ฉันชื่อ คิม จงอิน






    “เล่าให้ฉันฟังสิ...ก่อนที่นายจะสวดภาวนา”







    เมื่อผมพูดจบ ผมกับชายหนุ่มตรงหน้ามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง
    ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาขยับเปลี่ยนท่านั่งให้เป็นท่ากอดอกแล้วเอนหลังพิงที่พนักเก้าอี้
    ก่อนจะเริ่มต้นอธิบายออกมาในที่สุด





    “ตั้งแต่สมัยปฐมกาล...
    พระเจ้าสร้างโลกขึ้นมาพร้อมๆอดัมและเอวาแต่พระองค์ก็ถูกหักหลัง

    แต่เพราะพระองค์รักมนุษย์ทั้งคู่ที่หักหลังพระองค์อย่างสุดซึ้ง
    ด้วยความรัก พระองค์จึงสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมาเพื่อคอยปกป้องและคุ้มครองมนุษย์
    และพวกเขาถูกมอบหมายงานใหญ่ให้เป็นผู้ประกาศกิตติคุณของพระเจ้า
    และทำให้พวกลูกหลานของอดัมและเอวากลับใจไปอยู่ในใต้ร่มกาสาวพัสตร์
    ของพระองค์”





    ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบก่อนจะหันมามองหน้าผม
    ราวกับจะมองว่าผมมีปฏิกิริยาอะไรกับเรื่องที่เขาเพิ่งพูดออกมา





    “ต่อสิ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะบอกให้เขาพูดต่อไป...




    “เหล่าทูตสวรรค์ได้รับสติปัญญาที่แสนฉลาด และถูกประทานพรวิเศษแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกัน
    หากแต่พระเจ้าเองก็มีข้อผิดพลาด เขาสร้างทูตสวรรค์ขึ้นมา แต่แน่นอนว่าทูตสวรรค์ก็เหมือนกับมนุษย์
    มีจิตใจอาฆาตริษยา อยากได้สิ่งที่ตนไม่มีเอามาครอบครองเช่นกัน...
    โลกของทูตสวรรค์เริ่มสั่นคลอนและถึงจุดแตกหัก ทูตสวรรค์แต่ละคนทำหน้าที่ให้พระองค์ด้วยความหวาดกลัว
    เพราะวันดีคืนดีอาจจะถูกแย่งชิงพลังวิเศษไปจากตัวก็ได้ นายเข้าใจเรื่องนี้ไหม?”






    “อืม...ฉันเข้าใจ แล้วไหนล่ะยมทูตที่นายพูดถึง?” ผมทวงถามเขาต่อไป





    “ใจร้อนจังนะ....อืม...มาถึงยุคหนึ่งของคริสตกาลก่อนที่จะเริ่มคริสศักราชหลายพันล้านปี
    มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งเกิดมีรักต้องห้ามกับน้องสาวในอาณัติของเขา
    พวกเขารักกันแต่มันผิดกฎสวรรค์...และแน่นอนว่าผิดกฎของโลกด้วย


    ทูตสวรรค์นามว่า ดีมอส เป็นทูตสวรรค์ที่ดื้อรั้น เขาหยิ่งและจองหองถือตัวและอวดดีแม้แต่กับพระเจ้า
    เพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขารักและเชื่อฟังก็คือน้องสาวของเขา


    เมื่อดินแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ไม่ต้อนรับดีมอส แต่พระเจ้ารักทูตสวรรค์ทุกตนที่พระเจ้าสร้างมา...
    ไม่สิ...พระเจ้ารักทุกอย่างบนโลกนี้เลยล่ะ
    จนทำให้พระองค์ต้องจัดเตรียมสถานที่ให้ดีมอสได้ออกมาอยู่ต่างหาก
    และให้บทลงโทษเขาโดยการทำงานที่น่ารังเกียจ นั่นคือการดูแลวิญญาณชั่วร้ายของมนุษย์
    ซึ่งเป็นงานที่ทูตสวรรค์ต่างรังเกียจที่จะทำ...

    นายคิดออกไหม ก็เหมือนกับงานกรรมกรอะไรพวกนี้น่ะ
    ที่คนมีความรู้คิดว่าเป็นงานน่ารังเกียจและไม่สมควรทำ”







    “อืม...ฉันเข้าใจ แล้วดีมอสกับน้องเขาได้รักกันไหม?”




    ผมถามออกมาอย่างสนอกสนใจ
    เพิ่งรู้สึกจริงๆจังๆว่าเรื่องนี้มันน่าติดตามเกินกว่าที่จะหยุดอยู่แค่นี้...







    “ไม่...วีนัสถูกจับขังอยู่ในก้นบึ้งของทะเลสาบแห่งความโศกเศร้าบนโลกมนุษย์
    แต่ด้วยความรักที่มีต่อดีมอสทำให้จิตวิญญาณของเธอแรงกล้า
    พอที่จะส่งกระแสจิตออกมาเป็นผีเสื้อกลางคืนเพื่อบินวนเวียนตามหาดีมอส
    แต่หารู้ไม่ว่าดีมอสไม่ได้อยู่บนโลกแต่อยู่อีกโลกภายใต้พื้นพิภพแทน”






    “น่าสงสารจังนะ...ความรักที่ไม่สมหวังน่ะ
    แล้วยมทูตมีแค่คนเดียวหรือ? มีแค่ดีมอสเท่านั้นหรือ?”





    ผมถาม..เริ่มแอบวนเข้าเรื่องที่อยากจะรู้
    เพราะผมมั่นใจว่ายมทูตในฝันของผมไม่ใช่ดีมอสแน่ๆ ผมเห็นชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะอธิบายต่อไป






    “ดีมอสไม่ได้เป็นยมทูต แต่ดีมอสเป็นพญามัจจุราช เขามีตำแหน่งสูงสุดในนรก
    ยมทูตคือทูตสวรรค์ที่ทำความผิดแล้วโดนระเห็จลงมาช่วยงานดีมอสก็เท่านั้น
    พูดง่ายๆก็เหมือนเป็นทาสในเรือนเบี้ยที่ดีมอสสามารถเรียกใช้งานได้ทุกเวลานั่นแหละ”






    ริมฝีปากหนาของจงอินขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ...
    ผมมองมันพร้อมๆกับครุ่นคิดถึงข้อความที่เขาบอกออกมาอย่างประหลาดใจ



    ผู้ชายคนนี้รู้มากเกินไป...รู้มากราวกับว่าเขาเคยเป็นยมทูต
    หรือแม้กระทั่งทูตจากสวรรค์ที่เขาเพิ่งพูดถึงมาด้วยตัวเอง





    “ยมทูตมีเยอะไหมล่ะ...พวกเขาชื่ออะไรกันบ้าง”






    ผมถามออกมาเสียงอ้อมแอ้ม เพราะเพียงแค่อยากจะได้ยินชื่อยมทูตซักชื่อที่คาดว่าน่าจะคุ้นหูบ้าง
    มันอาจจะน่าเหลือเชื่อเพราะผมไม่คิดว่าเขาจะรู้จักชื่อยมทูตหรอก...
    แต่ก็ต้องอดตกใจไม่ได้จริงๆเมื่อเขาเริ่มร่ายชื่อยมทูตและหน้าที่ของแต่ละตนออกมาไม่รู้จบ






    “ดีมอสมีตำแหน่งสูงสุดในแดนนรก...
    แต่ยมทูตที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงกว่าเขาคือ ลูซิเฟอร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือซาตาน
    เขามีหน้าที่ตัดสินและพิพากษาวิญญาณที่ต้องถูกลงทัณฑ์ในนรก...
    แต่ดีมอสได้รับหน้าที่ๆดีกว่านั้นคือเขาจะได้ตัดสินแค่เฉพาะทูตสวรรค์ที่ทำผิดเท่านั้น...
    เขาสามารถขึ้นไปบนมนุษย์ภูมิและไปแดนสวรรค์ได้ แต่ลูซิเฟอร์ทำไม่ได้ เขามีหน้าที่ตัดสินวิญญาณเท่านั้น



    ยมทูตที่รับใช้ลูซิเฟอร์ก็มีหลายตน อย่างเฮเซเลียสที่ทำงานฝ่ายสมุหกลาโหม
    กับเฟอร์เรียนทำหน้าที่รองลงมาเขาเป็นผู้คุมประตูนรก...



    และรองลงมาจากนั้นอีกก็พวกที่เฝ้าคุกและป้อมปราการในนรก
    มีสี่ตนคือ มิการ์ เครูฟ โมเอล และเคเชียส
    พวกนี้เป็นยมทูตที่น่าสงสาร...พวกเขาไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
    แถมมิหนำซ้ำยังต้องมาอดทนฟังเสียงโอดโอยกรีดร้องของพวกวิญญาณที่เจ็บปวดตลอดทั้งวันทั้งคืนอีก

    นายเบื่อไหม...ฉันพูดเร็วไปหรือเปล่า?”






    จงอินหันกลับมาถามผมเมื่อเขาเห็นผมแอบเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง...
    เวลาราวกับผ่านมานานนับปีแล้วที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้
    แต่ผมก็ค้นพบความจริงว่าแท้จริงแล้วมันเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที...





    “ไม่หรอก...ฉันไม่ได้เบื่อ
    เล่าต่อสิ...ยมทูตในนรกมีแค่นี้เหรอ?”





    ผมถามเขาหลังจากที่ขอร้องให้เขาพูดต่อ...
    ผมไม่ได้เบื่อจริงๆนะครับ แค่ผมรู้สึกว่าหัวใจมันเต้นแปลกๆเวลาที่ได้มองริมฝีปากของเขาขยับขึ้นลงอย่างนั้น
    และมันทำได้ยากจริงๆที่จะหยุดมองเขา...








    ผมรีบละสายตาออกมาจ้องคัมภีร์ไบเบิลในมือ...
    ก่อนจะเงียบเสียงและรอฟังต่อ จนกระทั่งเขาพูดขึ้นมาอีกหน







    “มียมทูตอีกพวกหนึ่งที่ทำงานอยู่บนโลกมนุษย์...
    พวกนี้ดีหน่อยที่ยังวนเวียนไปมาระหว่างโลกมนุษย์กับนรกได้
    ได้รับพรวิเศษคือสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกเขาขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ได้นอกจากจะถูกเรียก



    ยมทูตพวกนี้มีหน้าที่รับวิญญาณไปส่งที่หน้าประตูนรก
    ยมทูตที่ทำหน้าที่นี้มีอยู่ห้าตน คือ ซาเมล สแกนดาร์ โมนิก วานิตี้

    และ
    ไค.....






    เสียงของจงอินแผ่วเบาลงเมื่อถึงปลายประโยค...
    เขาเสตาหันมามองผมอย่างเชื่องช้าเหมือนราวกับจงใจจะทำให้ผมต้องใจเต้น
    เมื่อสายตาสีนิลนั้นตวัดเข้ามาจ้องมองในดวงตาผม...






    หัวใจของผมเต้นรัวเร็วไปหมดเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหูนั้นอย่างชัดเจน...
    กอปรกับสายตาอันนิ่งงันที่จงอินมองเข้ามาในตาผมนั้นทำให้ผมแทบจะทรงตัวไม่อยู่





    คุ้นเหลือเกิน...ดวงตาคู่นี้มันคุ้นมาก...





    “เป็นอะไรไปหรือคยองซู?”





    เสียงนุ่มของเขาเอ่ยถามขึ้นมาแผ่วเบาหากแต่มีผลกับการเต้นของหัวใจของผมอย่างน่าประหลาด...
    ผมกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเพิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป



    เขารู้จักชื่อผมได้อย่างไรในเมื่อผมยังไม่ได้บอกเขาเลยซักครั้ง...






    “ม...ไม่...ฉันว่าฉันควรจะไปดีกว่า”






    ผมผุดลุกขึ้นหากแต่เขากลับฉุดมือผมไว้...มือแข็งแรงนั้นเย็นเฉียบจนผมตกใจ
    น่าแปลกที่แค่มือของเขาที่รั้งผมไว้เบาๆ มันก็ทำให้ขาของผมสะดุดกึกราวกับมันเชื่อฟังคนตรงหน้ามากกว่าผม...







    “จำไม่ได้เลยหรือ...คิดให้ออกสิคยองซู มันเหลือเวลาไม่มากแล้ว”






    จงอินกัดริมฝีปากและส่งสายตาตัดพ้อมาให้ผม...
    สัมผัสที่มือเขาแผ่วเบาแตกต่างจากความเย็นเยียบที่ผมได้รับ...
    คิดอะไรล่ะ ผมควรจะต้องคิดอะไร?






    “น...นายพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”  ผมล่ะล่ำละลักถามเขา...





    “นายต้องพูดมันออกมาคยองซู...
    ฉันทำไม่ได้ ฉันฝืนกฎไม่ได้ คิดสิ...ได้โปรด”





    ผมส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจเมื่อจงอินดึงตัวผมเข้าไปแนบชิด...
    ใบหน้าของเราห่างกันเพียงแค่คืบ...หัวใจของผมกำลังเต้นแรงจนแทบกระตุกออกจากอก
    ริมฝีปากที่ผมได้แต่เฝ้ามองมันเมื่อครู่กำลังเคลื่อนคล้อยมาหาผมอย่างช้าๆ...


    ผมควรจะเบือนหน้าหนีและปฏิเสธ...แต่ผมกลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำมัน






     “ฉ...ฉันไม่เข้าใจ...”





    ผมกระซิบเมื่อริมฝีปากของจงอินเคลื่อนเข้ามาใกล้ หากแต่ยังไม่สัมผัส
    ผมปรือตาเมื่อรับรู้ว่าลมหายใจของจงอินกำลังรวยรินอยู่ตรงปลายจมูกของผม







    พระเจ้า...แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังเย็นเฉียบอย่างกับน้ำแข็ง






    “คิดให้ออกสิ...เรื่องของฉัน ทาสรักที่ซื่อสัตย์กับนาย
    ฉันยอมแลกทุกอย่างหรือแม้กระทั่งพลังของฉันเพื่อฝ่าฝืนกฏทั้งสวรรค์และนรก
    ได้โปรดเถอะที่รัก...ได้โปรดเรียกชื่อฉัน”






    เขากระซิบติดริมฝีปากของผม...
    สัมผัสแผ่วเบานั้นทำเอาให้ผมแทบจะล้มทั้งยืน  รู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับทั้งๆที่ยังยืนอยู่

    ลิ้นของเขารุกล้ำเข้ามาในปากของผมและนั้นก็ทำให้ผมต้องหลับตาพริ้ม...
    คุ้นเหลือเกิน สัมผัสนี้เป็นสัมผัสที่ผมคิดถึง






    ภาพฝันที่ผมเคยได้เห็นมันในตอนที่นอนหลับถูกฉายขึ้นในหัวสมองราวกับม้วนเทปที่ถูกกรอกลับ...
    ผมเห็นใบหน้าของเขา และได้ยินชื่อของยมทูตชัดเจน
    ผมจดจำมันได้แม้กระทั่งข้อความพรรณนาหรือร่ายมนต์อะไรก็ตาม
    ที่เขาเอ่ยกระซิบก่อนที่ผมจะหลับไปผมก็ได้ยินมันดังก้องในหัวอย่างชัดเจน
    ตอนนี้ผมไม่ได้หลับฝัน...ผมยังมีสติแม้ว่ามันจะเหลือน้อยนิดเพราะรสจูบหวานแต่เย็นยะเยือกที่จงอินมอบให้ผม






    ไค...นั่นคือชื่อของเขา...




    “ค...ไค”




    ผมกระซิบเมื่อคนตรงหน้าผละริมฝีปากออกไป
    หัวใจเต้นตึกตักในขณะที่วาดแขนขึ้นโอบรอบคอเขาแล้วเขย่งตัวขึ้นไปจูบเขาอีกหน





    คิดถึง...คิดถึงสัมผัสนี้เหลือเกิน





    “ที่รัก...ที่รัก...เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว”





    จงอินหรือไคกระซิบเมื่อถอนริมฝีปากออกไป
    เขาไล้จูบไปตามสันกรามของผมก่อนจะก้มลงมากระซิบ ผมปรือตาขึ้นมองหน้าเขา






    และผมพบว่าปีกสีดำกำลังโอบคลุมพวกเราเอาไว้...





    ผมยังคงมึนงงและไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด...
    แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรับรู้ก็คือ เขาคือผู้ชายคนนั้น
    ยมทูตที่รัก...และเขากำลังยืนอยู่ในอ้อมกอดของผม





    “บอกให้ฉันรู้สิ...บอกสิ่งที่ฉันไม่รู้และพลาดไป”





    ผมกระซิบติดริมฝีปาก...ลมหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของเขา
    ผมไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่ในตอนนี้ผมกำลังร้องไห้...
    ผมต้องการรับรู้ทุกอย่าง หากแต่ร่างกายก็ต้องการสัมผัสจากเขามากกว่านี้






    “เจ้าจะได้รู้ทุกอย่างยอดรัก...
    ข้าพร่ำบอกเจ้าแบบนี้มาร่วมร้อยปีและมันจะเป็นปัญหาอะไรอีกเล่าถ้าหากข้าจะบอกเจ้าอีกหน
    ถึงแม้ว่าข้าต้องบอกเจ้าอีกกี่ร้อยปีข้าก็จะทำ...ข้ารักเจ้า คิดถึงเจ้าเหลือเกิน”






    “ไม่เข้าใจ...ฉันไม่เข้าใจ...ฉันลืมมัน บอกฉันให้หมดสิ”




    น้ำตาของผมไหลอาบแก้ม...โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไม
    แต่ผมกำลังรู้สึกตื้นตันและมีคำว่า
    รักเอ่อล้นขึ้นมาจนท่วมท้นหัวใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้





    “หากเจ้าพร้อมที่จะรับความเจ็บปวดข้าก็จะบอกเจ้า...
    หากแต่เราสองคนไม่อาจหลีกหนีมันได้หรอกที่รัก ถึงอย่างไรเราก็ต้องรับโทษทัณฑ์นั้นอยู่ดี”






    ไคกระซิบในขณะที่หยาดน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มเขา...
    ผมเอนตัวเข้าไปแนบชิดเขา และกระซิบถ้อยคำที่ผมไม่คิดจะพูดมาก่อนในชีวิต






    “ฉันพร้อม... ฉันก็จะรับมันให้ไหว
    ขอเพียงแค่ฉันได้อยู่กับนายตรงนี้ ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว

    ต่อให้ต้องตกนรกขุมที่ลึกที่สุดหรือทุกข์ทนอยู่ในโลกันต์ฉันก็ยอม





    ผมกระซิบเสียงแผ่วก่อนที่จะรับจุมพิตจากจงอินอีกหน...
    และโดยที่ไม่รู้ตัว ปีกสีดำแข็งแกร่งนั้นก็โอบอุ้มเราเอาไว้


     

    .

    .

    .

    .

    .


    และโลกของผมก็ดับวูบลงไปอีกครา....

     

     

     






     



    TALK



    สวัสดีค่ะรีดเดอร์ที่รักทุกท่าน...
    เรื่องนี้เป็นฟิคแฟนตาซีเรื่องแรกของไรเตอร์ 
    ไรเตอร์หาข้อมูลและทำการบ้านมาพอสมควรก่อนจะทำการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
    ตั้งใจมากค่ะ...อยากจะลองเขียนเรื่องแบบนี้ดูซักครั้ง
    และมันก็ออกมา...ใช้ได้เหมือนกันนะว่าไหม

    เรื่องนี้อาจจะดูมีสาระ แต่ความจริงแล้วไม่มีสาระนะคะ (เหมือนทุกเรื่องที่เคยแต่งมา) 55555555 
    อ่านเพื่อความสนุกสนานเนอะๆ อย่าไปเครียดกับตำนานที่เราเคยเกริ่นไปนะคะ
    แต่งขึ้นมาเพื่อหวังจะเปิดเรื่องเฉยๆค่ะ มีพื้นความจริงแค่ 20% เท่านั้น 555555555

    ไรเตอร์ขอโทษนะคะถ้าใครในนี้เป็นพวกเคร่งศาสนา 
    และไรเตอร์มีความยินดีที่จะบอกว่า ไรเตอร์อาจจะต้องนำศาสนามาบิดเบือนอีกในแชปต่อๆไป
    เพราะฉะนั้นไรเตอร์จะไม่โกรธถ้าหากคุณจะเลิกอ่านฟิคของไรเตอร์เพราะเรื่องนี้ ^^


    ขอบคุณสำหรับรีดเดอร์ที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
    กำลังใจของทุกคนมีค่ามากค่ะ ไรเตอร์ได้รับมันมาตลอด 
    อยากจะขอบคุณจริงๆจากใจเลยค่ะ....รักทุกคนจริงๆ ^^

    ไรเตอร์ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ...ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันบอกต่อ
    อ่านตอนนี้ให้สนุกนะคะ อยากขบคิดอะไรก็ทิ้งไว้ที่คอมเม้นท์ได้เลยค่ะ



    ป.ล.1 อ่านแล้วมีใครงงไหมคะ? 

    ไรเตอร์เขียนเองยังงงเลยค่ะ...555555555
    แต่สัญญาว่าจะกลับมาเฉลยตอนหน้า


    ป.ล. 2  เจอกันอีกที...อาทิตย์หน้านะคะ T T
     





     

    THE★
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×