คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ✚ :: ROCK :: 1
'01.00'
มันคงมีสักครั้งเวลาที่เรามองดูก้อนหินแล้วก็สงสัยว่าทำไมมันถึงต้องมาอยู่ตรงนั้น...
และผมก็เชื่อว่าทุกครั้งคำถามไร้สาระแบบนั้นก็จะถูกผลักลงไปเก็บในส่วนลึกของสมองของเรา
แทบจะในทันทีที่เราได้ตั้งคำถามนั้นออกไป จะสนใจไปทำไมว่าก้อนหินก้อนนั้นมันอยู่ที่ตรงนั้นได้อย่างไร
ในเมื่อยังมีอีกมากมายหลายพันอย่างที่เราจะต้องทำและยังทำไม่สำเร็จ
หลายพันอย่างที่คงสำคัญมากกว่าก้อนหินสีเทาๆ มากมายหลายเท่านัก
แต่จะมีสักครั้งหรือเปล่าที่เราจะหยุดมองมัน
แล้วเกิดคำถามขึ้นมาอีกหลายสิบคำถามที่ไร้สาระกว่าเดิม?
บางทีอาจจะเป็นคำถามที่ว่ามีก้อนหินบนโลกเป็นล้านก้อน
แล้วทำไมถึงต้องเป็นก้อนนี้เท่านั้นที่มาอยู่ตรงนี้และจงใจให้เราสะดุด
หรือคำถามประเภทใครกันที่เป็นคนมือบอนยกเจ้าก้อนหินก้อนนี้มาจากข้างทางมาวางเอาไว้
แต่ไม่ว่าจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมายขนาดไหนที่ผมมั่นใจก็มีอยู่เพียงหนึ่ง
นั้นก็คือผมคงไม่มีโอกาสได้รับรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้เท่าไรนัก
คงทำได้ก็แค่นั่งคิดยืนคิดเอาเองแล้วก็ปล่อยรอยยิ้มออกมา
เมื่อรับรู้ว่าเราเองนั้นสามารถคิดอะไรไร้สาระได้มากมายขนาดไหน
แต่ถ้าลองเปลี่ยนกันดู... จากก้อนหิน... เป็นใครสักคน... ที่เข้ามาหยุดอยู่ตรงกลางชีวิตเราล่ะ ???
ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเราจะยังคิดว่ามันไร้สาระอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า
ผมเดาเอาเองว่าคงไม่สำหรับใครหลายๆ คน
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วคนที่เข้ามาเหล่านั้นอาจทำเราเจ็บได้มากกว่าการเดินสะดุดก้อนหินเล็กๆ นี้มากมายหลายเท่านัก
แต่ก็ไม่เคยเลยที่เราจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นอันต้องหยุดพิจารณาแทบจะทุกครั้งไป
แล้วสมมติว่าถ้าก้อนหินที่เราบังเอิญเจอมันเป็นหินพิเศษที่จะสามารถกะเทาะออกมาเป็นอัญมณีได้ขึ้นมา
เราจะหยุดมองมันนานขึ้นไหม...
ผมนี่ช่างไร้สาระจริงๆ
R0CK
บยอนแบคฮยอนยืดตัวขึ้นหลังจากที่นั่งยองๆ
มองดูก้อนหินสีเทากลมเกลี้ยงที่วางอยู่กลางลานกีฬาสาธารณะ
และปล่อยให้ความคิดมากมายหลั่งใหลผ่านสมองของเขาไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรนัก
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งเดินออกจากบ้านและตัดผ่านสถานที่แห่งนี้เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังมหาวิทยาลัยตามปกติ
เพียงแต่ว่าเส้นทางเดิมๆ มันกลับเปลี่ยนไปเมื่อชายหนุ่มไปสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนนี้เข้าเสียก่อน
“นายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
หันไปมองตามเสียงที่ถามมาช้าๆ
แล้วก็เห็นชายตัวสูงคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขายืนอยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก
สองมือของชายคนนั้นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
และสายตานั้นก็มองตรงมาพร้อมกับร้อยยิ้มอย่างเป็นมิตร
เสื้อนักศึกษาที่ลอยชายออกมานอกกางเกงนั้นมองปราดเดียวก็พอจะรู้ได้ไม่ยาก
ว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นคนเรื่อยๆ สบายๆ ไม่ยึดติดกับอะไรมากนัก
“ทำไมเหรอฉันดูมีปัญหามากขนาดนั้นเลย?”
ย้อนถามกลับไปเสียงสูงโดยไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องอีกฝ่ายแต่อย่างใด
แต่ที่ถามออกไปแบบนั้นก็เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นดูอารมณ์ดีมากเกินกว่าที่จะพูดกลับไปแบบสุภาพ
“เออเนอะ...” รอยยิ้มนั้นกว้างขึ้นไปอีกเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนกลับมาแบบนั้น
“...ก็ไม่ได้อะไรมากนักหรอก...” เสียงใหญ่ๆ นั้นพูดต่อไปสบายๆ
“...แต่ก็แค่เห็นนายก้มๆ มองๆ อยู่ที่ก้อนหินของฉันมานานสองนานแล้วก็เลยนึกว่านายไปมีปัญหาอะไรกับมันเสียอีก”
“ของนาย?”
ร่างสูงส่งเสียงตอบรับในลำคอกลับมาพร้อมกับค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้ๆ
ก่อนจะย่อตัวลงนั่งตรงหน้าก้อนหินกลมเกลี้ยงนั้น มือหนาหยิบมันขึ้นมาพิจารณา
“ก็ปกติตอนค่ำๆ ที่ฉันเดินกลับก็จะเอามาวางไว้
แล้วตอนเช้าก็มาเก็บมันใส่กระเป๋าแบบนี้...”
พูดพลางสาธิต มือหนาเปิดกระเป๋าสะพายออกและวางก้อนหินขนาดพอดีมือนั้นเข้าไปข้างใน
“...อาจจะดูงี่เง่า แต่มันเป็นวิธีวัดระยะเวลาของฉันเอง”
ไม่ต้องบอกแบคฮยอนก็รู้สึกว่าช่างเป็นการกระทำที่แสนจะงี่เง่าอยู่แล้ว
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ในความงี่เง่าทั้งหมดทั้งมวลเขาก็รับรู้ได้ถึงความน่าหลงใหลที่จะต้องซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
เสน่ห์ของอะไรบางอย่างที่เหมือนจะจงใจให้เขาสะดุดก้อนหินในตอนเช้าวันนี้
เพื่อที่จะได้มาฟังเรื่องราวเหล่านั้นของคนตัวสูงตรงหน้าที่ยังไม่รู้จักกัน
“วัดระยะเวลา?” ย้อนถามกลับไปพลางย่อตัวลงนั่งด้วยเช่นกัน
“อืมใช่...” ตอบกลับมาเสียงจริงจัง “...ปกติฉันจะเดินมาถึงตรงนี้ตอนประมาณเจ็ดโมง...”
พูดพลางพลิกข้อมือขึ้นมามองนาฬิกา
“...และถ้าฉันตรงเวลาบวกลบไม่เกินสิบนาที
ฉันก็จะมีเวลาแวะร้านกาแฟที่หน้ามหาวิทยาลัยสักแป๊ปนึงก่อนเข้าเรียน”
ถ้าหากดวงตาคู่เล็กๆ ของร่างบางนั้นจะเบิกกว้างขึ้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่เขาก็คงจะทำไปแล้ว
เมื่อได้ฟังตรรกะประหลาดๆ ของชายแปลกหน้าคนนี้ที่ยอมลงทุนทำเรื่องยากๆ ขนาดนั้น
ทั้งๆ ที่เขาทำเพียงแค่มองนาฬิกาตอนเดินผ่านร้านกาแฟเอาก็ได้ว่าพอจะมีเวลาให้ซื้อก่อนเข้าเรียนหรือเปล่า
“ทำหน้าเหมือนจะหาว่าฉันปัญญาอ่อนงั้นแหละ...” คนตัวสูงพูดมาเหมือนรู้ทัน
“เออ จะว่าจริงมันก็ดูปัญญาอ่อนจริงๆ”
ไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธเคืองหากพูดออกไปแบบนั้น
เพราะรอยยิ้มกว้างที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้นยังคงทำให้แบคฮยอนมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนสบายๆ
เกินกว่าจะถือโทษโกรธกันด้วยเรื่องแบบนี้
“...เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอเนี่ยแหละ”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรแต่ยักไหล่เบาๆ
ก่อนจะยืดตัวลุกขึ้นยืน ปัดปลายเสื้อและตบกางเกงเล็กน้อยด้วยกลัวว่าอาจจะมีฝุ่นจับ
ก่อนจะมองลงมายังคนตัวบางที่ยังนั่งอยู่อีกครั้ง
“นายอยู่ปีอะไรแล้วอ้ะ”
“ปีสาม...” ตอบกลับไปพลางลุกขึ้นยืน “...ทำไมเหรอ”
“เหมือนกันเลย...” พูดกลับมาเรื่อยๆ
“...งั้นเดี๋ยววันนี้ไหนๆ เราก็ได้บังเอิญเจอกันแล้วก็คุยกันมากขนาดนี้แล้ว
เดินไปมหา'ลัยด้วยกันเลยนะ เดี๋ยวซื้อกาแฟเลี้ยงแก้วหนึ่ง
ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ประหลาดๆ ในชีวิตของนายก็แล้วกัน..”
บยอนแบคฮยอนไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปอีกฝ่ายก็ออกเดินไปเสียก่อน
ชายหนุ่มมองตามไปทั้งที่ยังยืนอยู่กับที่ด้วยตามความคิดแปลกๆ ของชายคนนั้นไม่ค่อยทันเท่าไรนัก
ใจหนึ่งก็นึกสงสัยว่าทำไมมันต้องเป็นเขาที่มาพานพบกับเรื่องอะไรแบบนี้ตั้งแต่เช้า
แต่คิดอีกทีมันก็เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ใช่หรอกหรือที่นั่งคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่หน้าก้อนหินเสียนานสองนาน
ก็ถ้าเพียงแต่จะสะดุดก้อนหินแล้วเดินต่อไปเหมือนปกติเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นแล้วกระมัง
แต่ยังไม่ทันจะได้สงสัยไปมากกว่านั้นชายตัวสูงก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา
“เอ้า เร็วๆ หน่อยสินาย ถ้าไปสายก็อดนะกาแฟน่ะ”
สงสัยก้อนหินก้อนนั้นจะเป็นมากกว่าก้อนหินเป็นแน่
R0CK
“อ้อเหรอ ตลกดีเนอะ...”
โดคยองซูหัวเราะเบาๆ เมื่อฟังเรื่องที่เพื่อนสนิทของเขาเล่าให้ฟังจบ
เขากับแบคฮยอนกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังห้องสมุดเพื่อค้นคว้าข้อมูลมาทำรายงาน
หลังจากที่หน้าดำคร่ำเคร่งกับการเรียนมาตลอดเช้าและก็ว่างในตอนบ่ายแบบนี้
ขาสี่ข้างของคนสองคนก้าวไปเกือบจะพร้อมกันขณะที่เปิดประตูห้องสมุด
“นั่นน่ะสิ ฉันยังสงสัยเลยว่าทำไมอยู่ๆ เซฮุนมันถึงได้เปลี่ยนไป...” ลดเสียงลงเมื่อเข้ามาในเขตงดใช้เสียง
“...นายต้องได้เห็นหน้ามันตอนฉันเดินไปเจอมันที่โรงหนังกับแฟนมันนะ...”
รอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่ “โหย ช๊อคมากอ้ะ คงไม่คิดว่าจะมีใครรู้”
“นายก็เลวเนอะ แทนที่จะช่วยเก็บความลับเพื่อน เล่นเอามาเหยียบซะกระจายแบบนี้น่ะ”
คนตัวเล็กแซวกลับมาอย่างไม่คิดอะไรมากขณะที่ปลดเป้ลงวางบนโต๊ะตัวใหญ่และเริ่มต้นหยิบเอากองชีทและหนังสือออกมา
แบคฮยอนเลิกคิ้วตอบรับคำด่านั้นอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรเพราะรู้ว่าคนส่วนมากในโลกใบนี้ก็คงทำเหมือนกับเขา
มือเรียววางกระเป๋าลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับคยองซูก่อนจะเอ่ยปากว่าไปหาหนังสือเพิ่มที่ชั้นก่อน
ไม่นานนักเจ้าตัวจึงมาหยุดอยู่ที่ชั้นวางหนังสือหมวดวิทยาศาสตร์และเริ่มต้นไล่สายตาไปตามสันปกหนังสืออย่างคุ้นเคย
ความจริงถ้าจะทำให้ง่ายก็เพียงแค่ไปกดคอมพิวเตอร์ค้นหาหนังสือจากฐานข้อมูลของหอสมุดเอาก็คงได้
แต่แบคฮยอนไม่ชอบใช้วิธีที่เหมือนจะต้องพึ่งเครื่องมือเสียหลายขั้นตอนแบบนั้น
ทำเอาแบบโบราณๆ อย่างนี้ง่ายกว่ากันหลายเท่านัก
ชื่อหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การออกกำลังผ่านหน้าเขาไป
และที่คนตัวบางทำก็เพียงแต่ย่นจมูกด้วยยังไม่ค่อยถูกใจเท่าไรนัก
ในความคิดของเขาถ้าหากชื่อหนังสืออ่านแล้วเข้าใจยากก็คงไม่ต้องถามถึงเนื้อหาข้างใน
และเพียงหลักการนั้นหลักการเดียวก็ทำให้เขาลดจำนวนหนังสือที่ไม่อยากอ่านออกไปได้มากมายอยู่
ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สันหนังสือสีน้ำเงินขนาดประมาณหกร้อยหน้าเล่มหนึ่ง
ที่ชื่อเรื่องฟังดูเข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะมันเขียนเอาไว้ว่า
“พื้นฐานวิทยาศาสตร์การออกกำลังฉบับพกพา”
รูปปากของแบคฮยอนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่จะเอื้อมมือตรงไปหยิบ
“อ้าว...”
ร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อวินาทีเดียวกันนั้นก็มีมือของใครอีกคนพุ่งตรงไปยังหนังสือเล่มเดียวกัน
ปลายนิ้วสัมผัสกันเล็กน้อยและทั้งสองก็ต่างถอนมือออกไปแทบจะในทันที
คนตัวบางหันไปด้านข้างอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมจะขอโทษและบอกให้อีกฝ่ายเป็นคนหยิบหนังสือเล่มนั้นไป
แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากไปตามที่คิดดวงตาก็เบิกกว้่างเสียก่อนพร้อมๆ
กับที่มุมปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“นายนี่เอง”
จะห้ามไม่ให้แบคฮยอนยิ้มได้อย่างไรในเมื่อฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ใช่ใครอื่น
แต่เป็นชายแปลกหน้าตัวสูงผู้ที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลาที่เขายังไม่ทันได้รู้จักชื่อ
“สวัสดี...” รอยยิ้มกว้างฉายกลับมาเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ได้เจอกันครั้งแรก “เราบังเอิญเจอกันอีกแล้วนะ”
“นั่นสิ” แบคฮยอนตอบกลับไป สองมือนั้นไขว้กันอยู่ด้านหลังตัวด้วยไม่รู้จะไปเก็บเอาไว้ที่ไหน “...นายจะใช้เล่มนั้นเหรอ เอาไปสิ”
“ไม่เป็นไรดีกว่านายก็จะใช้เหมือนกัน” เสียงใหญ่ๆ ตอบกลับมา “...นายเอาไปเถอะ ฉันอ่านเล่มอื่นเอาก็ได้”
“แน่ใจนะ...”
เลิกคิ้วถามและอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ
มือเรียวจึงเอื้อมขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในครอบครอง “...แล้วจะมาขอคืนทีหลังไม่ได้หรอกนะนาย”
“เออ ไม่ขอคืนหรอกน่า...”
คนตัวสูงยังไม่ละสายตาไปจากคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า
“...แต่ไหนๆ นายก็ได้เล่มที่อยากได้ไปแล้ว
เลือกให้ฉันอีกสักเล่มสิ เอาเรื่องเดียวกันกับนายนี่แหละ”
“เอาไปทำอะไรล่ะ”
เหมือนแบคฮยอนจะไม่ได้สังเกตว่าดวงตาคู่กลมโตของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าและท่าทางของตน
เพราะเขานั้นหันไปไล่ชื่อของหนังสือแต่ละเล่มอีกครั้งอย่างตั้งใจ
“...ถ้าจะเอาไปอ่านเล่นเฉยๆ ก็เอาเล่มไม่ต้องหนามากก็ได้
แต่ถ้าจะเอาไปทำรายงานก็เอาเล่มที่เนื้อหาเยอะๆ หน่อยแต่อ่านง่าย
แต่ถ้าจะเอาไปใช้ตอบคำถามอาจารย์ก็ต้องอ่านลึกๆ หน่อยล่ะนะ”
“รายงานน่ะ”
“อืม...”
ส่งเสียงออกมาเล็กน้อยพลางไล่นิ้วไปตามสันหนังสืออย่างมีสมาธิ
ก่อนที่จะไปหยุดที่อีกเล่มหนึ่งที่ความหนาพอๆ กับเล่มที่แล้ว
“...อันนี้ก็แล้วกัน ท่าทางจะอ่านง่ายดี ไหนดูซิ...”
พูดต่อไปคนเดียวเรื่อยๆ ขณะที่หยิบหนังสือลงจากชั้นแล้วเริ่มต้นพลิกไปยังด้านในเพื่อดูตัวอย่างเนื้อหา
“...อืม ก็ดีนะ มีรูปประกอบเยอะพอสมควรเลย แล้วก็อ่านไม่ยากเท่าไรด้วย อ้ะ...”
มือเรียวปิดหนังสืออย่างฉับไวก่อนจะยื่นตรงมาให้ยังคนตัวสูงที่ก็รับมาพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนอย่างปกติ
แต่แทนที่จะเปิดดูเนื้อหาข้างในเขากลับหนีบมันไว้ใต้แขนอย่างมั่นคงและเงยหน้าขึ้นมามองแบคฮยอนอีกครั้ง
ดวงตาทั้งสองข้างที่ฉายไปยังคนตัวเล็กนั้นแสดงออกซึ่งความสุขและความอบอุ่นเช่นเดียวกันกับรอยยิ้มกว้าง
และในจังหวะนั้นเองที่คนตัวเล็กเริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติที่แอบซ่อนอยู่
สองขาเรียวขยับเขามาอยู่ชิดกันเหมือนจะหาหลักมั่นให้ตัวเองยืนและสองมือก็ยกหนังสือขึ้นมากอดแนบตัวไว้แน่น
“มีอะไรเหรอมองฉันแบบนั้น”
“ก็เปล่า...” ตอบกลับไปเสียงนุ่มๆ “...แค่คิดว่า มันก็ครั้งที่สองแล้วที่ฉันบังเอิญเจอนาย...”
เสมองไปทางอื่นเหมือนกับกำลังเขินอย่างไรอย่างนั้น “...และก็เป็นในสถานที่และเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น...”
ยังคงไม่มองกลับมาที่ใบหน้าของแบคฮยอนแต่มองไปทางอื่นเรื่อยๆ
“...ไม่รู้สิ ในมหาวิทยาลัยนี้ก็มีคนเป็นร้อยเป็นพันคนแต่มันกลับเป็นนายถึงสองครั้ง
ฉันก็เลยคิดอยู่เมื่อกี้ว่าจะเป็นอะไรไหมนะ...” กลับมาสบตาเล็กๆ นั้นอีกครั้งหนึ่ง “...ถ้าเราจะรู้จักกันไว้สักหน่อย...”
ก้มตัวลงมาเล็กน้อยเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
และนั่นก็ทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“...ฉันชื่อปาร์คชานยอล นายล่ะชื่ออะไร”
เหมือนกับเวลาจะหยุดเดินไปสักนาทีหรือสองเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกจู่โจมด้วยประโยคเกริ่นนำและคำถามแบบนั้นจากคนตัวสูงตรงหน้า
สมองของแบคฮยอนเหมือนจะหยุดทำงานไปสักระยะเมื่อในหูกลายเป็นเสียงดังสะท้อนไปสะท้อนมา
และเขาก็เกิดไม่เข้าใจขึ้นมาเสียอย่างนั้นว่าคนตรงหน้าพูดอะไร
“หา?”
“ฮ่าๆๆ...” ชานยอลหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“...แค่บอกว่าฉันชื่อชานยอล... ปาร์คชานยอล แล้วนายล่ะชื่ออะไร”
“แบคฮยอน...” ได้ยินเสียงของตัวเองตอบไปแบบนั้น “...บยอนแบคฮยอน”
“งั้นเราก็รู้จักกันแล้วนะแบคฮยอน” พูดออกมาอีกครั้ง
“...และคงจะดีกว่านี้อีกถ้าเราไม่ได้รู้จักกันเพียงแค่เท่านี้เนอะนายว่าไหม”
“ห๊ะ?”
“ฮ่าๆๆ...” อีกครั้งที่เสียงหัวเราะสดใสดังออกมาจากลำคอของชานยอล
"นายนี่ตลกดีเนอะ บทจะบ๊องก็บ๊องขึ้นมาซะอย่างนั้น...” มือหนายกขึ้นมาเกาศีรษะเบาๆ ด้วยพยายามหาคำพูด
“...คือฉันหมายถึง เราก็รู้จักชื่อกันแล้ว
และมันคงจะดีมากเลยถ้ามันจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น...”
รอยยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ละมุนๆ ที่แสดงออกถึงความจริงใจ
“...เพราะโลกของฉันมันคงจะสวยกว่านี้อีกถ้าได้รู้จักนายมากขึ้นน่ะ”
ถ้าหากแบคฮยอนตกใจมากกว่านี้อีกเพียงสักเล็กน้อยคงไม่พ้นต้องทำหนังสือหล่นออกจากที่กอดไว้เป็นแน่
เพราะแม้จะตั้งสติไว้มาแล้วก็ตามเขายังเกือบรั้งมันเอาไว้ไม่อยู่
เรียวปากได้รูปนั้นอ้าออกเล็กน้อยด้วยความตื่นตะลึงในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
และแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรใบหน้านั้นก็เหมือนจะร้อนขึ้นมาเล็กๆ เสียแบบนั้น
“อ้าว เงียบเลย...”
เหมือนคนตัวสูงนั้นจะมั่นใจเต็มที่ว่าจะไม่โดนคนตัวเล็กซัดหน้าหงายไปตรงนั้น
เพราะเขาก็ยังดึงดันที่จะพูดต่อไปเรื่อยๆ
“...ถ้าไม่พูดอะไรแบบนี้ฉันก็เข้าข้างตัวเองนะนายรู้เปล่า”
ยืดตัวขึ้นสูงอีกครั้งหนึ่ง “...ถ้าไม่อยากให้ฉันเข้าข้างตัวเองล่ะก็ ให้เวลาคิดสิบวินาที แล้วก็ตอบมาว่าได้ไหม”
“ห๊ะ? อะไรได้ อะไรไม่ได้?”
“ก็เรารู้จักกันมากกว่านั้นไง”
“ปกติคนเขาถามกันตรงๆ แบบนี้เหรอไงนะ”
“ก็ไม่รู้เพราะว่าฉันก็ไม่เคยมองคนอื่นเขาทำเหมือนกันนั่นแหละ...”
ตอบกลับไปตรงๆ แล้วก็ทำเอาร่างบางต้องเงียบไปอีกครั้ง
“...แต่ตอนที่นายรู้จักฉันครั้งแรกนายคงรู้แล้วว่าฉันไม่เหมือนคนอื่นจริงป่ะ...”
คงเถียงได้ยากหากครั้งแรกที่รู้จักกันเป็นเพราะก้อนหินก้อนเดียวแบบนั้น
“...แล้วนายยังจะคาดหวังให้ฉันทำเหมือนคนอื่นๆ อีกเหรอ”
บยอนแบคฮยอนเม้มปากลงเสียบางเฉียบเมื่อหาคำไปต่อล้อต่อเถียงไม่ได้
เงียบไปสักครู่หนึ่งแล้วคนตัวสูงก็ยกนาฬิกาขึ้นมาก่อนจะเริ่มนับถอยหลัง
“ก่อนจะตอบถามหน่อยสิ...” รีบชิงพูดก่อนที่อีกเวลาจะเหลือศูนย์ “...แล้วถ้าฉันตอบว่าไม่โอเคนายจะทำยังไง”
“ก็ไป” ตอบกลับมาสั้นๆ ง่ายๆ
“เหรอ” พยักหน้ารับอย่างค่อนข้างตกใจในคำตอบ
“ทำไมอ้ะ”
“นายดูเรื่อยๆ ง่ายๆ ไปหน่อยมั้ยนะ” ถามออกไปตรงๆ
“ก็ทำไมอ้ะ...” อีกครั้งที่ยกมือขึ้นมาเกาศีรษะ
“...คือบางครั้งฉันก็คิดว่าถ้าไปยุ่งกับคนที่เขาไม่อยากจะให้เราไปยุ่งด้วย
บางทีมันจะลงเอยด้วยการเกลียดกันเปล่าๆ
และถ้าเป็นแบบนั้นสู้รู้จักกันแค่เบาๆ แล้วก็จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันมากนักก็น่าจะดีกว่ากันตั้งเยอะ...”
ตอบกลับมาอย่างจริงจัง
“...อีกอย่างถ้านายตอบตกลงมันคงเป็นกำไรชีวิตของฉันที่ฉันจะได้ลองเรียนรู้อะไรจากนายบ้าง
แต่ถ้านายบอกว่าไม่มันก็หมายความว่าไม่ฉันไม่มีโชคที่ไม่ได้มีโอกาสรู้จักนายให้มากขึ้น
และก็คงเป็นโชคร้ายของนายเองที่ไม่มีโอกาสได้เห็นด้านดีๆ ของฉัน”
อีกครั้งที่คำตอบของคนตัวสูงทำเอาแบคฮยอนนิ่งเงียบไป
ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าเขาคงไม่มีทางเข้าใจความคิดของคนตรงหน้าได้ในวันนี้อย่างแน่นอน
และคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการคาดเดาด้วยซ้ำกระมังว่าอีกฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่
ความคิดที่ค่อนข้างหลุดโลกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนอีกครั้งตอนวันนี้นั้นหากจะมองว่าแปลกก็คงมองได้ไม่ยากนัก
แต่หากจะมองว่าเป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้ดูน่าคบหาอยู่ไม่น้อย
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจะมีข้อเสียอะไรหรือเปล่าที่เขาจะไม่ลองรู้จักกันดู
“เหลืออีกห้าวินาทีนะ”
“เออๆ ฉันยอมแล้ว” ตอบกลับไปแบบพยายามรักษามาดสุดฤทธิ์ “...ไม่ต้องนับแล้ว”
ชานยอลยืดตัวขึ้นอย่างคนที่ได้รับชัยชนะและรูปปากนั้นก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง
แบคฮยอนมองกิริยาท่าทางนั้นด้วยความสงสัย
หากจะมีอะไรสักอย่างของคนตรงหน้าที่ดึงดูดให้คนอื่นเข้าหาและพร้อมทำความรู้จักก็คงเป็นเพราะรอยยิ้มกว้างๆ นั้นเป็นแน่
“และฉันรับปากนายได้อย่างหนึ่งเลยนะ...” คนตัวสูงพูดออกมาอีกครั้ง
.
.
.
“...ถ้านายได้รู้จักฉันแล้ว ฉันรับรองได้เลยว่า... ชีวิตของนายจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
✚TALK
สวัสดีครับ แนะนำตัวก่อนนะฮะ ผมชื่อไอซ์ครับ อายุอานามปีนี้ก็ 23 ปีหน้าก็ 24 ฮะ
จริงๆ เรื่องนี้ก็แต่งไว้นานแล้วนะครับ แต่ไม่มีโอกาสลงสักที
พอดีว่าเด็กๆ เราเพิ่งได้รางวัลมา ร่วมกับมีภาพโมเมนท์มาให้ฟินกันจนจะตายไปข้างหนึ่ง
ก็เลยได้โอกาสเอาฟิคที่เก็บไว้มาลงสักหน่อยนะฮะ
แต่ก็เนื่องจากว่า ผมคงไม่ค่อยว่างมาลงฟิคเองเท่าไร...
ก็เลยฝาก นมน ลงให้นะครับ (นมน ใจดี จุงเบย)
และหลังจากนี้ก็คงขอให้ นมน ลงฟิคของผมต่อให่เรื่อยๆ ละนะครับ (ถ้า นมน ไม่รังเกียจนะ)
ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะคับ ^^ (โค้ง)
ความคิดเห็น