ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ (ทามมายต้องมีการนิ)
ครั้งหนึ่งเคยมีตำนานเล่าขานถึง อาณาจักรแห่งหนึ่ง อาณาจักรซึ่งถูกปกคลุ้มไปด้วยอำนาจมืด ดินแดนแห่งดิม ( Dim )
เหล่าประชาชนต่างหวาดกลัวต่อเหล่าทหาร บ้านเมืองเริ่มวุ่นวายจนแม้แต่กษัตริย์ก็มิอาจดูแลได้ ไม่นานนักเหล่าเชื้อพระวงค์ก็ล้มตายทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ
กลุ่มคนเริ่มคิดกบฏต่อต้านทางการ เศรษฐกิจที่เคยฟุ้มเฟอนั้นกลับยุบฮวบอย่างน่าใจหาย ผู้คนล้มตายด้วยโรคระบาดนาๆชนิด สงครามระหว่างมหานครเริ่มขึ้น เปลวไฟแห่งหายะค่อยๆกลืนกินเมืองนี้ทุกทีๆ
ดูจากภายนอกมันก็เป็นเพียงมหาสงครามเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า เบื้องหลังนั้นกลับมีสิ่งหนึ่งที่คอยบงการอยู่ สิ่งที่สามารถเป็นได้ทั้งดีและเลว สิ่งที่เป็นอมตะ สิ่งที่ไม่มีความรู้สึกใด สิ่งที่เคยหายไปจากโลกนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมา กลับมาทวงผืนแผ่นดินของพวกเขาอีกครั้ง มรรตัยเอ๋ย ยุคของพวกเจ้าได้จบสิ้นแล้ว
"ท่านพ่อ เมื่อใดเราจะได้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจเสียที เราจะต้องหลบซ่อนอีกนานเพียงใด"
เสียงของชายหนุ่มดังกังวานก้องไปทั่วทั้งประสาท เสียงฝีเท้าที่อย่างเข้ามานั้นกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
"อีกไม่นานนักหรอก อีกไม่นานโลกใบนี้จะกลับมาเป็นของเราอีกครั้ง "
ชายชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจองหอง แววตานั่นเดือดพล่านด้วยความเคียดแค้น
.มาดิคัส เจ้าเคยทำอะไรกับเผ่าพันธุ่ของข้า ข้าก็จะสนองสิ่งนั้นกับเผ่าพันธุ์ของเจ้า!!
...............................
ปึง
เสียงประตูไม้โอ๊คเก่าบานใหญ่เปิดออกเด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเลือด หายใจหอบถี่มือทั้งสองข้างยังคงจับแน่นที่ลูกบิดประตูอย่างอ่อนแรง
"ท่านนักบุญรีบหนีเถอะ พวกกบฏมันกำลังจะมาแล้ว"
"ข้ากำลังท่องบทสวดอยู่เจ้าไม่เห็นรึเช่นไร บาปจะติดหัวเจ้าข้าไม่รู้ด้วย"
นักบวชคนนั่นกล่าวโดยไม่ละใบหน้าจากคัมภีร์สีดำเล่มหนา
"แต่ว่าท่านนัก.."
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังลั่นถึงสามนัดติดต่อกันภายในโบสถ์แห่งนี้ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะราวกับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
"พระผู้เป็นเจ้าได้ลงทันแล้ว"
บาทหลวงหนุ่มลดกระบอกปืนเก็บไว้ภายใต้เสื้อคลุมสีดำตามแบบฉบับบาทหลวงทั่วไป พลางสวดมนตร์ต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูได้แต่ยืนขาสั่นพับๆ เพราะร่างของชายหนุ่มตัวโตอีกคนนอนล้มลงตรงข้างเขาเลือดไหลซึมจากจุดสำคัญของร่างกายทั้งสามแห่งคือ สมอง ต้นคอ และหัวใจ อย่างแม่นยำ
"ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงคุ้มครอง"
ชายหนุ่มกล่าวก่อนที่จะปิดประตูโบสถ์ลง เห็นที่เข้าคงต้องท่องบทสวดให้เป็นซักบทเสียแล้วซิ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะได้เป็นศพเหมือน กบฏคนนั้นก็ได้
"นี่ๆ ประตูแค่นี้ใครก็พังได้หรอก ไปเอาเก้าอี้มาบังไว้เสียซิ"
"ขอรับ"
ชายหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปลากเก้าอี้นั่งยาวสำหรับผู้ที่จะมาโบสถ์ เขาลากมันอย่างทุลักทุเลเพราะไอ้ขาแห้งๆนั่นก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย นานกว่าสิบนาที ที่เขาจะลากมันมาบังประตูไว้ได้
"เห้อ.. ท่านนักบุญ ท่านเป็นใครกันนะ ข้าไม่เคยเห็นท่านเลย"
"ข้าคือผู้แสวงบุญจากแดนอาทิตย์อัสดง ข้ามาที่นี้เพื่อล้างบาปให้ดินแดนแห่งนี้ ภัยร้ายจักคลืบคลาน เหล่าพฤษาจะร่วงโรยไปตามทางของมัน ไม่มีผู้ใดจะหยุดพวกมันได้ นอกจากการไถ่บาปของข้าเสียกระมัง.."
บาทหลวงหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนจะเบนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมพัดเอื่อยๆทำให้กระดิ่งใบเล็กๆที่เรียงร้อยอยู่ริมหน้าต่างส่งเสียงชวนไพเราะหู เส้นผมสีดำสนิทนั่นโบกส่ายไปมา แววตาสีเฉกเช่นเดียวกันนั่นยิ่งมืดมนดุจเหวลึก ริมฝีปากชมพูอ่อนนั่นบิดเกร็งเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิด เขาชักใบหน้าหันกลับมามอง ชายหนุ่มอีกครั้ง เขายกมือขวาขึ้นสูงในระดับสายตา ถุงมือสีขาวที่ตัดกับแขนเสื้อสีดำนั่นบิดตัวเข้าที่กับนิ้วมือเรียวทั้งห้า ชายหนุ่มเบื้องล่างมองเขาด้วยแววตาใคร่รู้ ซึ่งบาทหลวงหนุ่มได้เพียงแค่ชม้ายตามองปราดเดียวเท่านั่น ก่อนที่จะพึมพำภาษาแปลกหู แสงสีฟ้าอ่อนก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนล้อมฝ่ามือเขาส่งเสียงดังเปรี๊ยะประตลอดเวลาเมื่อมันหมุนวนถี่ความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเส้นวงแหวนสีฟ้านั่นก็เริ่มแปรเป็นสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาขุ่นและกลายเป็นสีขาวสุกสกวาว วงแหวนนั่นเริ่มก่อขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาชูมือขึ้นเหนือหัว
โฮลี คีฟ!!
วงแหวนสีขาวนั่นลอยดิ่งด้วยความเร็วชั่วพริบตามันก็ลอยเกือบจะติดเพดานเสียแล้วและทันทีที่ลูกพลังนั้นแตะเพดาน ชายหนุ่มที่ยืนมองนั่นรีบก้มตัวนอนราบกับพื้นโดยคลาดการไว้ว่าอาจเกิดแรงสั่นสะเทือน แต่เขาคิดผิด ทันทีที่ลูกพลังนั่นแตะกับเพดานมันก็กระจายตัวออกคลุมโบสถ์นี้ทั้งโบสถ์ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ แต่มิได้น่ากลัว กลับอบอุ่นอย่างหาบอกไม่ถูก กลิ่นหอมบางๆลอยจากที่ไหนก็ไม่มีใครรู้หอมฟุ่งทั่ว ชายหนุ่มที่เพิ่งตะเกียดตะกายตนเมื่อครู่แหงนหน้ามองด้วยแววตาเสมือนเด็กเพิ่งพบของเล่นชิ้นโปรดปราน เขายิ้มพลางกระโดดโลดเต้นส่งเสียงหัวเราะร่าเริง เสื้อผ้าผิวกายที่เคยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั่นค่อยๆจางหาย แต่เสื้อผ้าที่มีรอยฉีกขาดนั่นยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยน
"อ้าวท่านนักบุญ เหตุใดเสื้อข้าถึงมิได้แปรสภาพด้วยล่ะ"
"เจ้าบ้าเอ้ยนั่นพลังแห่งการคุ้มครองนะ ไม่ใช่เวทมนคาถาเลือกอาพรดีๆให้เจ้าได้นะ"
"งี้ก็แย่นะซิ"
"เจ้านี่ทำตัวเป็นเด็กๆไปเสียได้ ที่นี้ก็พอจะมีเสื้อผ้าอยู่หรอกนะ แต่เป็นชุดแม่ชีนะเจ้าจะใส่รึเปล่าล่ะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรกันเล่าดีแต่ซักไซ้ข้า ยังไม่เอ่ยชื่อเสียงตนเลย"
"ข้านะเหรอ ข้าชื่อ รามานห์ บุตร ราโมฮาร์ ข้าเป็นคนของที่นี้โดยกำเนิด พ่อของข้าเป็นทหารพวกเราจึงถูกชาวบ้านสุ่มทำร้ายเอา ตัวพ่อข้านั่นตั้งแต่วานซืนหลังจากการบุกรุกครั้งนั้นข้าก็ไม่เห็นท่านอีกเลย "
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเจือแววจะร้องไห้อยู่ร่ำร่อ ตาสีฟ้าใสๆคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาน้ำใสๆเริ่มคลอที่เบ้าตาและเมื่อเขารู้ตัวก็รีบเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาร่วงออกมาให้ใครเห็น
"คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย บางทีพ่อของเจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ จงเชื่อมั่นในตัวของพ่อเจ้า พ่อเจ้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป พระผู้เป็นเจ้าบอกกับข้าเช่นนั้น"
"ข้าก็คิดเช่นกัน พ่อของข้าจะไม่ตาย"
รามานห์ตอบด้วยน้ำเสียงแข็มแข็ง จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกๆ พลางเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน เขากำมือพนมไว้แน่น
ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงคุ้มครองพ่อของข้าด้วย
..................................................
"อยู่นี่เองหรือตามหาเสียทั่ว ไม่นึกว่าบุคคลในตำนานจะปลงสังขารมารับใช้พระผู้เป็นเจ้าเสียแล้ว "
เจ้าของเสียงนั้นสบถในลำคอ เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความหย่อหยิ่ง ผิวกายสีขาวนั้นรับได้ดีกับเส้นผมสีเงินพริ้มดุจแพรไหม แสงแดดร่ำไรไล้ไปทั่วไปหน้าของชายหนุ่ม นัยต์ตาสีทมึนนั่นรี่หดตัวลงจนเล็กเท่าหัวเข็มมุดก่อนที่จะเด้งออกมีขนาดตามปกติ แต่นัยต์ตานั้นกลับเป็นสีเพลิงที่โชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มกวาดสายตาอยู่ครู่ก่อนที่จะยิ้มแสยะขึ้นที่มุมปาก ใบดาบสีเงินวาวโรจน์ขึ้น และทันทีที่แสงสุริยาไล้ไปทั่วใบดาบนั้นชายหนุ่มก็ตวัดมันขึ้นกลางอากาศก่อนที่ฟาดลงตรงพื้นว่างเปล่าข้างหน้า ทำให้ผืนดินเกิดรอยแตกแยกเป็นระยะทางยาวแต่รอยแยกนั่นกลับหยุดพลันลงเกิดเสียงเสียดสีของบางสิ่งบางอย่างชั่วขณะก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงระเบิดฝุ่นดินนั้นฟุ้งกระจายไปทั่วคล้ายดอกเห็ด และเมื่อหมอกควันนั้นจางหายไปเผยให้เห็นในสิ่งที่ไม่คาดฝัน โบสถ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรแสงสีขาวอ่อนนั่นแผ่รอบบริเวณโบสถ์แห่งนี้ก่อนจะอ่อนแรงแสงลงแล้วดับมอดในทันที
"มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้มันเสียงอะไรหรือขอรับ"
"เจ้ารออยู่ที่นี้หากข้าไม่เรียกอย่าได้ออกมาเป็นอันขาด"
"ขอรับ"
นักบวชหนุ่มนั้นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตา เขาไม่อาจคิดว่ามันจะเป็นไปจริงตามที่เขาคิด สองเท้ายังคงก้าวซวกๆเดินไปจนสุดทางและทันทีที่ฝ่ามือนั่นสัมผัสประตูไม่โอ้คทุกอย่างก็พลันสลายไปหมดไม่เหลือบานประตูหรือเก้าอี้ไม้แล้ว
"โผล่หัวออกมาจนได้นะ"
ชายหนุ่มผมสีเงินนั่นพูดด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะพลางเก็บใบดาบไว้หลังเอว ผ้าคลุมสีขาวนั้นโบกสะบัดไร้ทิศทางแต่ดูน่าเกรงขาวยิ่งนัก
"เจ้าคงต้องการมันมากซินะ เดซิลวอร์"
"ใช่ เพราะของสิ่งนั้นมันคู่ควรกับข้ามากกว่าคนทรยศอย่างเจ้า!!"
คำพูดนั้นดูเหมือนจะเสียดแทงขั้วหัวใจของบาทหลวงหนุ่มทันที เขาหายใจกระตุก แววตานั้นตกลงอย่างเห็นได้ชัด
"เจ้าทรยศต่อนางและข้า เจ้าไม่สมควรที่จะได้มันไปพอๆกับไม่สมควรที่นางจะรักเจ้า"
"ข้าผิดต่อพวกเจ้ามากหนัก ข้าหวังเพียงการให้อภัย แต่ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้าไม่ได้จริงๆมันขึ้นอยู่กับอนาคตของโลก.."
"แต่มันก็คือชีวิตของพวกพ้องเรา"
เดซิลวอร์พูดขึ้นดักคอทันทีสองสายตานั้นต่างมองกันเป็นการวางเชิงอยู่เสมอ
"ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ หากข้าเสร็จสิ้นภาระกิจนี้แล้วชีวิตของข้าจะเป็นของเจ้า"
"เจ้าจะยังมีชีวิตกลับมาอีกเหรอ ทั้งพวกมวลพฤกษา หมู่มนุษย์ ฝูงปีศาจจากแดนใต้ เจ้าคิดว่าจะหนีรอดเช่นนั้นหรือ"
"ข้าสัญญาด้วยเกียรติของสายเลือดแห่งฟิเนร่าที่เหลืออยู่"
บาทหลวงหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะโค้งคำนับต่อหน้าเดลซิวอร์แล้วยกมือขึ้นสายโลหิตเล็กน้อยได้ไหลรินจากข้อแขนร่วงลงพื้น
"เจ้าทำให้ข้าลำบากใจแต่ ข้าเชื่อในสายเลือดแห่งฟิเนร่า เจ้าจะเป็นฟิเนร่าคนสุดท้ายในผืนแผ่นดินนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงที่เจ้า ฟิเน่ในตำนาน สหายรักของข้า"
"เช่นกันสหายรักของข้า"
ทั้งสองมองตากันโดยความปลาบปลื้มเป็นวันเวลานานจนนับปีไม่ได้พวกเขาต้องต่อกรกันทั้งๆที่ใจจริงนั้นกลับตรงกันข้าม บาทหลวงหนุ่มหลับตาลงแน่นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาออกมาซึ่งเขาก็ไม่พบเดลซิวอร์อยู่ตรงนั้นแล้ว
..ข้าจะเป็นไปตามสายเลือดของข้า ฟิเนร่าพวกพ้องของข้าจงรอเถิด ข้าจะกลับไป ข้าจักเป็นฟิเน่ในตำนาน ทุกอย่างจะจบลงที่ข้า ข้าขอปฏิญาณ
ครั้งก่อนมีตำนาน ล้วนเล่าขานสืบต่อมา
ตำนานนั้นมีว่า ถึงผู้กล้าแห่งพงไพร
ออกย้ำป่าเลี้ยวลด สู่เมืองยลแลกลไก
รางวัลที่ท่านให้ ฟิเนร่าจักน้อมรับ ตามพระคุณ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++O+++++++..
ช่วยเม้นๆกันหน่อยเน้อ ไงก็นะๆเม้นให้กำลังใจหน่อย ด่าให้จะดีมาก อิอิซาดิสก์กินสมอง
เหล่าประชาชนต่างหวาดกลัวต่อเหล่าทหาร บ้านเมืองเริ่มวุ่นวายจนแม้แต่กษัตริย์ก็มิอาจดูแลได้ ไม่นานนักเหล่าเชื้อพระวงค์ก็ล้มตายทีละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ
กลุ่มคนเริ่มคิดกบฏต่อต้านทางการ เศรษฐกิจที่เคยฟุ้มเฟอนั้นกลับยุบฮวบอย่างน่าใจหาย ผู้คนล้มตายด้วยโรคระบาดนาๆชนิด สงครามระหว่างมหานครเริ่มขึ้น เปลวไฟแห่งหายะค่อยๆกลืนกินเมืองนี้ทุกทีๆ
ดูจากภายนอกมันก็เป็นเพียงมหาสงครามเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า เบื้องหลังนั้นกลับมีสิ่งหนึ่งที่คอยบงการอยู่ สิ่งที่สามารถเป็นได้ทั้งดีและเลว สิ่งที่เป็นอมตะ สิ่งที่ไม่มีความรู้สึกใด สิ่งที่เคยหายไปจากโลกนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมา กลับมาทวงผืนแผ่นดินของพวกเขาอีกครั้ง มรรตัยเอ๋ย ยุคของพวกเจ้าได้จบสิ้นแล้ว
"ท่านพ่อ เมื่อใดเราจะได้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจเสียที เราจะต้องหลบซ่อนอีกนานเพียงใด"
เสียงของชายหนุ่มดังกังวานก้องไปทั่วทั้งประสาท เสียงฝีเท้าที่อย่างเข้ามานั้นกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
"อีกไม่นานนักหรอก อีกไม่นานโลกใบนี้จะกลับมาเป็นของเราอีกครั้ง "
ชายชรากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจองหอง แววตานั่นเดือดพล่านด้วยความเคียดแค้น
.มาดิคัส เจ้าเคยทำอะไรกับเผ่าพันธุ่ของข้า ข้าก็จะสนองสิ่งนั้นกับเผ่าพันธุ์ของเจ้า!!
...............................
ปึง
เสียงประตูไม้โอ๊คเก่าบานใหญ่เปิดออกเด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเลือด หายใจหอบถี่มือทั้งสองข้างยังคงจับแน่นที่ลูกบิดประตูอย่างอ่อนแรง
"ท่านนักบุญรีบหนีเถอะ พวกกบฏมันกำลังจะมาแล้ว"
"ข้ากำลังท่องบทสวดอยู่เจ้าไม่เห็นรึเช่นไร บาปจะติดหัวเจ้าข้าไม่รู้ด้วย"
นักบวชคนนั่นกล่าวโดยไม่ละใบหน้าจากคัมภีร์สีดำเล่มหนา
"แต่ว่าท่านนัก.."
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังลั่นถึงสามนัดติดต่อกันภายในโบสถ์แห่งนี้ เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะราวกับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
"พระผู้เป็นเจ้าได้ลงทันแล้ว"
บาทหลวงหนุ่มลดกระบอกปืนเก็บไว้ภายใต้เสื้อคลุมสีดำตามแบบฉบับบาทหลวงทั่วไป พลางสวดมนตร์ต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูได้แต่ยืนขาสั่นพับๆ เพราะร่างของชายหนุ่มตัวโตอีกคนนอนล้มลงตรงข้างเขาเลือดไหลซึมจากจุดสำคัญของร่างกายทั้งสามแห่งคือ สมอง ต้นคอ และหัวใจ อย่างแม่นยำ
"ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงคุ้มครอง"
ชายหนุ่มกล่าวก่อนที่จะปิดประตูโบสถ์ลง เห็นที่เข้าคงต้องท่องบทสวดให้เป็นซักบทเสียแล้วซิ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะได้เป็นศพเหมือน กบฏคนนั้นก็ได้
"นี่ๆ ประตูแค่นี้ใครก็พังได้หรอก ไปเอาเก้าอี้มาบังไว้เสียซิ"
"ขอรับ"
ชายหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปลากเก้าอี้นั่งยาวสำหรับผู้ที่จะมาโบสถ์ เขาลากมันอย่างทุลักทุเลเพราะไอ้ขาแห้งๆนั่นก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย นานกว่าสิบนาที ที่เขาจะลากมันมาบังประตูไว้ได้
"เห้อ.. ท่านนักบุญ ท่านเป็นใครกันนะ ข้าไม่เคยเห็นท่านเลย"
"ข้าคือผู้แสวงบุญจากแดนอาทิตย์อัสดง ข้ามาที่นี้เพื่อล้างบาปให้ดินแดนแห่งนี้ ภัยร้ายจักคลืบคลาน เหล่าพฤษาจะร่วงโรยไปตามทางของมัน ไม่มีผู้ใดจะหยุดพวกมันได้ นอกจากการไถ่บาปของข้าเสียกระมัง.."
บาทหลวงหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนจะเบนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมพัดเอื่อยๆทำให้กระดิ่งใบเล็กๆที่เรียงร้อยอยู่ริมหน้าต่างส่งเสียงชวนไพเราะหู เส้นผมสีดำสนิทนั่นโบกส่ายไปมา แววตาสีเฉกเช่นเดียวกันนั่นยิ่งมืดมนดุจเหวลึก ริมฝีปากชมพูอ่อนนั่นบิดเกร็งเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิด เขาชักใบหน้าหันกลับมามอง ชายหนุ่มอีกครั้ง เขายกมือขวาขึ้นสูงในระดับสายตา ถุงมือสีขาวที่ตัดกับแขนเสื้อสีดำนั่นบิดตัวเข้าที่กับนิ้วมือเรียวทั้งห้า ชายหนุ่มเบื้องล่างมองเขาด้วยแววตาใคร่รู้ ซึ่งบาทหลวงหนุ่มได้เพียงแค่ชม้ายตามองปราดเดียวเท่านั่น ก่อนที่จะพึมพำภาษาแปลกหู แสงสีฟ้าอ่อนก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนล้อมฝ่ามือเขาส่งเสียงดังเปรี๊ยะประตลอดเวลาเมื่อมันหมุนวนถี่ความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเส้นวงแหวนสีฟ้านั่นก็เริ่มแปรเป็นสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาขุ่นและกลายเป็นสีขาวสุกสกวาว วงแหวนนั่นเริ่มก่อขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาชูมือขึ้นเหนือหัว
โฮลี คีฟ!!
วงแหวนสีขาวนั่นลอยดิ่งด้วยความเร็วชั่วพริบตามันก็ลอยเกือบจะติดเพดานเสียแล้วและทันทีที่ลูกพลังนั้นแตะเพดาน ชายหนุ่มที่ยืนมองนั่นรีบก้มตัวนอนราบกับพื้นโดยคลาดการไว้ว่าอาจเกิดแรงสั่นสะเทือน แต่เขาคิดผิด ทันทีที่ลูกพลังนั่นแตะกับเพดานมันก็กระจายตัวออกคลุมโบสถ์นี้ทั้งโบสถ์ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ แต่มิได้น่ากลัว กลับอบอุ่นอย่างหาบอกไม่ถูก กลิ่นหอมบางๆลอยจากที่ไหนก็ไม่มีใครรู้หอมฟุ่งทั่ว ชายหนุ่มที่เพิ่งตะเกียดตะกายตนเมื่อครู่แหงนหน้ามองด้วยแววตาเสมือนเด็กเพิ่งพบของเล่นชิ้นโปรดปราน เขายิ้มพลางกระโดดโลดเต้นส่งเสียงหัวเราะร่าเริง เสื้อผ้าผิวกายที่เคยเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดนั่นค่อยๆจางหาย แต่เสื้อผ้าที่มีรอยฉีกขาดนั่นยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยน
"อ้าวท่านนักบุญ เหตุใดเสื้อข้าถึงมิได้แปรสภาพด้วยล่ะ"
"เจ้าบ้าเอ้ยนั่นพลังแห่งการคุ้มครองนะ ไม่ใช่เวทมนคาถาเลือกอาพรดีๆให้เจ้าได้นะ"
"งี้ก็แย่นะซิ"
"เจ้านี่ทำตัวเป็นเด็กๆไปเสียได้ ที่นี้ก็พอจะมีเสื้อผ้าอยู่หรอกนะ แต่เป็นชุดแม่ชีนะเจ้าจะใส่รึเปล่าล่ะ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรกันเล่าดีแต่ซักไซ้ข้า ยังไม่เอ่ยชื่อเสียงตนเลย"
"ข้านะเหรอ ข้าชื่อ รามานห์ บุตร ราโมฮาร์ ข้าเป็นคนของที่นี้โดยกำเนิด พ่อของข้าเป็นทหารพวกเราจึงถูกชาวบ้านสุ่มทำร้ายเอา ตัวพ่อข้านั่นตั้งแต่วานซืนหลังจากการบุกรุกครั้งนั้นข้าก็ไม่เห็นท่านอีกเลย "
ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเจือแววจะร้องไห้อยู่ร่ำร่อ ตาสีฟ้าใสๆคู่นั้นกลอกกลิ้งไปมาน้ำใสๆเริ่มคลอที่เบ้าตาและเมื่อเขารู้ตัวก็รีบเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาร่วงออกมาให้ใครเห็น
"คนเรามีเกิดก็ต้องมีตาย บางทีพ่อของเจ้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ จงเชื่อมั่นในตัวของพ่อเจ้า พ่อเจ้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป พระผู้เป็นเจ้าบอกกับข้าเช่นนั้น"
"ข้าก็คิดเช่นกัน พ่อของข้าจะไม่ตาย"
รามานห์ตอบด้วยน้ำเสียงแข็มแข็ง จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกๆ พลางเงยหน้ามองไปยังรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน เขากำมือพนมไว้แน่น
ขอให้พระผู้เป็นเจ้าจงคุ้มครองพ่อของข้าด้วย
..................................................
"อยู่นี่เองหรือตามหาเสียทั่ว ไม่นึกว่าบุคคลในตำนานจะปลงสังขารมารับใช้พระผู้เป็นเจ้าเสียแล้ว "
เจ้าของเสียงนั้นสบถในลำคอ เขาเชิดหน้าขึ้นด้วยความหย่อหยิ่ง ผิวกายสีขาวนั้นรับได้ดีกับเส้นผมสีเงินพริ้มดุจแพรไหม แสงแดดร่ำไรไล้ไปทั่วไปหน้าของชายหนุ่ม นัยต์ตาสีทมึนนั่นรี่หดตัวลงจนเล็กเท่าหัวเข็มมุดก่อนที่จะเด้งออกมีขนาดตามปกติ แต่นัยต์ตานั้นกลับเป็นสีเพลิงที่โชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มกวาดสายตาอยู่ครู่ก่อนที่จะยิ้มแสยะขึ้นที่มุมปาก ใบดาบสีเงินวาวโรจน์ขึ้น และทันทีที่แสงสุริยาไล้ไปทั่วใบดาบนั้นชายหนุ่มก็ตวัดมันขึ้นกลางอากาศก่อนที่ฟาดลงตรงพื้นว่างเปล่าข้างหน้า ทำให้ผืนดินเกิดรอยแตกแยกเป็นระยะทางยาวแต่รอยแยกนั่นกลับหยุดพลันลงเกิดเสียงเสียดสีของบางสิ่งบางอย่างชั่วขณะก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงระเบิดฝุ่นดินนั้นฟุ้งกระจายไปทั่วคล้ายดอกเห็ด และเมื่อหมอกควันนั้นจางหายไปเผยให้เห็นในสิ่งที่ไม่คาดฝัน โบสถ์สีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรแสงสีขาวอ่อนนั่นแผ่รอบบริเวณโบสถ์แห่งนี้ก่อนจะอ่อนแรงแสงลงแล้วดับมอดในทันที
"มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้มันเสียงอะไรหรือขอรับ"
"เจ้ารออยู่ที่นี้หากข้าไม่เรียกอย่าได้ออกมาเป็นอันขาด"
"ขอรับ"
นักบวชหนุ่มนั้นสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันตา เขาไม่อาจคิดว่ามันจะเป็นไปจริงตามที่เขาคิด สองเท้ายังคงก้าวซวกๆเดินไปจนสุดทางและทันทีที่ฝ่ามือนั่นสัมผัสประตูไม่โอ้คทุกอย่างก็พลันสลายไปหมดไม่เหลือบานประตูหรือเก้าอี้ไม้แล้ว
"โผล่หัวออกมาจนได้นะ"
ชายหนุ่มผมสีเงินนั่นพูดด้วยน้ำเสียงยิ้มเยาะพลางเก็บใบดาบไว้หลังเอว ผ้าคลุมสีขาวนั้นโบกสะบัดไร้ทิศทางแต่ดูน่าเกรงขาวยิ่งนัก
"เจ้าคงต้องการมันมากซินะ เดซิลวอร์"
"ใช่ เพราะของสิ่งนั้นมันคู่ควรกับข้ามากกว่าคนทรยศอย่างเจ้า!!"
คำพูดนั้นดูเหมือนจะเสียดแทงขั้วหัวใจของบาทหลวงหนุ่มทันที เขาหายใจกระตุก แววตานั้นตกลงอย่างเห็นได้ชัด
"เจ้าทรยศต่อนางและข้า เจ้าไม่สมควรที่จะได้มันไปพอๆกับไม่สมควรที่นางจะรักเจ้า"
"ข้าผิดต่อพวกเจ้ามากหนัก ข้าหวังเพียงการให้อภัย แต่ของสิ่งนี้ข้าให้เจ้าไม่ได้จริงๆมันขึ้นอยู่กับอนาคตของโลก.."
"แต่มันก็คือชีวิตของพวกพ้องเรา"
เดซิลวอร์พูดขึ้นดักคอทันทีสองสายตานั้นต่างมองกันเป็นการวางเชิงอยู่เสมอ
"ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ หากข้าเสร็จสิ้นภาระกิจนี้แล้วชีวิตของข้าจะเป็นของเจ้า"
"เจ้าจะยังมีชีวิตกลับมาอีกเหรอ ทั้งพวกมวลพฤกษา หมู่มนุษย์ ฝูงปีศาจจากแดนใต้ เจ้าคิดว่าจะหนีรอดเช่นนั้นหรือ"
"ข้าสัญญาด้วยเกียรติของสายเลือดแห่งฟิเนร่าที่เหลืออยู่"
บาทหลวงหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะโค้งคำนับต่อหน้าเดลซิวอร์แล้วยกมือขึ้นสายโลหิตเล็กน้อยได้ไหลรินจากข้อแขนร่วงลงพื้น
"เจ้าทำให้ข้าลำบากใจแต่ ข้าเชื่อในสายเลือดแห่งฟิเนร่า เจ้าจะเป็นฟิเนร่าคนสุดท้ายในผืนแผ่นดินนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบลงที่เจ้า ฟิเน่ในตำนาน สหายรักของข้า"
"เช่นกันสหายรักของข้า"
ทั้งสองมองตากันโดยความปลาบปลื้มเป็นวันเวลานานจนนับปีไม่ได้พวกเขาต้องต่อกรกันทั้งๆที่ใจจริงนั้นกลับตรงกันข้าม บาทหลวงหนุ่มหลับตาลงแน่นก่อนที่จะเปิดเปลือกตาออกมาซึ่งเขาก็ไม่พบเดลซิวอร์อยู่ตรงนั้นแล้ว
..ข้าจะเป็นไปตามสายเลือดของข้า ฟิเนร่าพวกพ้องของข้าจงรอเถิด ข้าจะกลับไป ข้าจักเป็นฟิเน่ในตำนาน ทุกอย่างจะจบลงที่ข้า ข้าขอปฏิญาณ
ครั้งก่อนมีตำนาน ล้วนเล่าขานสืบต่อมา
ตำนานนั้นมีว่า ถึงผู้กล้าแห่งพงไพร
ออกย้ำป่าเลี้ยวลด สู่เมืองยลแลกลไก
รางวัลที่ท่านให้ ฟิเนร่าจักน้อมรับ ตามพระคุณ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++O+++++++..
ช่วยเม้นๆกันหน่อยเน้อ ไงก็นะๆเม้นให้กำลังใจหน่อย ด่าให้จะดีมาก อิอิซาดิสก์กินสมอง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น