ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]::May be you:: |KyuMin|

    ลำดับตอนที่ #7 : Part 07

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 54


    May be you

     


















    Part 07  















    เสียงโหวกเหวกโวยวายในวันหยุดทำให้ตึกคณะดุริยางคศิลป์ดูมีสีสันไม่ต่างไปจากวันธรรมดา นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งถึงสามถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อประชุมเกี่ยวกับงานกู้ดบายซีเนียร์ของรุ่นพี่ปีสุดท้ายที่จะจัดในสัปดาห์หน้า การประชุมมอบหมายแบ่งงานผ่านไปได้ด้วยดีโดยมีนักศึกษาปีสามคอยดูแล





    งานเลี้ยงถูกกำหนดว่าจะจัดขึ้นในห้องประชุมใหญ่ของคณะเช่นทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการแสดงดนตรีอันเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาทุกรุ่น นักศึกษาทั้งสี่ชั้นปีจะต้องเลือกการแสดงที่ดีที่สุดหนึ่งรายการแล้วโชว์ให้กับรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะได้ชมเพื่อเป็นการบอกว่าที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาตลอดนั้นได้อะไรกลับไปบ้าง ดังนั้นการแสดงดนตรีของแต่ละชั้นปีจะมีความยากและความกดดันที่ต่างกันไปตามประสบการณ์





    ม้านั่งใต้ตัวตึกถูกจับจองโดยคนหลายกลุ่มที่กำลังระดมความคิดที่จะทำให้โชว์ในชั้นปีของตนเองออกมาดีที่สุด มีการฝึกซ้อมร่วมกันนานนับเดือนก่อนจะถึงวันสำคัญนี้ และสุดท้ายจึงมีการคุยกันถึงรูปแบบการนำเสนอเพื่อให้น่าประทับใจ..กลุ่มเด็กปีหนึ่งที่นั่งกระจายตัวกันอยู่ประปรายใต้ตัวตึกมีทั้งทำงานส่วนรวมและทำงานส่วนตัว ไม่ต่างจากเด็กปีสองมากนัก




    แต่ไอ้ที่ต่างจากพวกเห็นจะเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เตรียมตัวจะขึ้นเป็นพี่ใหญ่ในปีการศึกษาหน้าที่ต่างพกความเก๋ามาโชว์กันเต็มที่ เสียงเพลงที่ประกอบกันขึ้นจากเครื่องดนตรีที่มีทั้งพื้นเมืองและสากลทั้งยังรวมมิตรเครื่องสายเครื่องเป่าขาดเพียงเสียงกลองแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะมันยังสามารถใช้ขวดน้ำเคาะแทนได้ซึ่งแม้จะฟังดูแล้วน่าขันแต่ก็ยังเข้ากันดี




    เสียงเพลงจังหวะเอาแต่ใจคนเล่นที่ดังมาจากใต้ตึกในวันที่ไม่มีการเรียนการสอนไม่ทำให้คนที่มาสายกว่านัดแปลกใจมากนัก โจคยูฮยอนในชุดเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนสีดำพร้อมร้องเท้าผ้าใบคู่เก่งเดินเข้ามาหากลุ่มเพื่อนที่กำลังตั้งวงเล่นดนตรีอย่างเมามันโดยไม่ทีท่าว่าจะเกรงใจรุ่นน้องที่กำลังนั่งหน้าเครียดกับโปรเจ็ควันบายเนียร์กันอยู่ดวงตาคู่คมกวาดมองกลุ่มเพื่อนปีสามแต่ไม่พบคนที่กำลังตามหา ร่างสูงก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าจางจุนโฮเพื่อนร่วมชั้นเรียนก่อนเอ่ยปากถามหาคนที่ต้องการพบ




    “จุนโฮ.. มึงเห็นชเวซึงมั้ย” คิมจุนโฮที่กำลังใช้ไม้กลองเคาะขวดอย่างเมามันพยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังด้านหลังตึกเล็กที่แบ่งย่อยเป็นห้องซ้อมดนตรีสำหรับนักศึกษา




    “ซอกตึก.. มันไปสูบบุหรี่มั้งกูเห็นมันชวนยองกุกไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ มึงลองตามไปดูสิ” คยูฮยอนพยักหน้าว่ารับรู้แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปยังทิศทางที่คิมจุนโฮบอก ร่างสูงก้าวเท้าไปตามทางเดินข้างตัวตึกจุดหมายคือลานเล็กๆที่อยู่ระหว่างด้านหลังของตึกใหญ่กับตึกปฏิบัติการทางดนตรี




    เมื่อพ้นทางโค้งมุมตึกก็พบว่าสองพี่น้องสายรหัสเดียวกันกำลังนั่งพ่นควันสีขาวอยู่ตรงม้าหินอ่อนสีทึมที่อยู่กลางลาน เห็นดังนั้นโจคยูฮยอนจึงตบเท้าเข้าไปหาคนทั้งคู่ทันที บังยองกุกลุกขึ้นค้อมตัวน้อยๆให้รุ่นพี่ร่วมคณะในขณะที่ชเวซึงฮยอนเพียงแค่ยักคิ้วเป็นการทักทาย




    “หวัดดีครับพี่” โจคยูฮยอนพยักหน้าสองสามทีแล้วหย่อนก้นลงบนม้านั่งตัวที่ว่างอยู่ ใบหน้าหล่อจัดมีรอยยับย่นจนเห็นได้ชัด




    “มึงเอากายละเอียดไปทิ้งไว้ที่ไหนถึงได้เสด็จมาแต่กายหยาบ” คยูฮยอนมองหน้าคนถามแล้วจึงคว้าเอาซองบุหรี่ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะปาไปยังเจ้าของ




    “มึงเอาเบอร์โทรศัพท์กูไปให้เจ้ชินเฮอะไรนั่นทำไม” 




    “อ้าววว ก็เจ้เค้ามาขอเบอร์มึงแล้ววันนั้นกูก็เห็นว่ามึงบอกว่าเจ้สวยดีก็นึกว่าสนใจ” แร็พเปอร์ตาคมลอยหน้าตอบอีกฝ่ายไปด้วยความยียวน




    “ก็สวย แต่กูไม่ได้จะอะไรด้วย นี่ก็โทรมาอยู่นั่นโทรแล้วโทรอีก กูบอกไม่ว่างก็จะคุยให้ได้” เสียงหัวเราะในลำคอของคนฟังยิ่งตอกย้ำความหงุดหงิด โจคยูฮยอนอยากโทษว่าเป็นความผิดของฝ่ายนั้นเต็มๆแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าคืนก่อนโน้นที่ออกไปเที่ยวกันเขาไม่เมาแล้วดันไปบ้าชมเจ้แกว่าสวยอย่างนั้นสวยอย่างนี้ตามที่ไอ้เพื่อนแต่ละคนยุยงส่งเสริมเพื่อแลกกับเหล้าฟรีแค่ขวดเดียวก็คงจะไม่ต้องมารับกรรมที่ตัวเองก่อโดยไม่ได้ตั้งใจ 




    ถามว่าฮันชินเฮสวยมั้ยก็คงต้องบอกว่าสวย แต่เขาไม่ได้จะจีบโว้ย วันนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายัยเจ้นี่เป็นรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยเห็นแต่งตัวแต่งหน้าก็ยังคิดไปว่าเป็นป้าวัยทำงานมีอันจะกิน หล่อนเข้ามาขอชนแก้วคยูฮยอนก็ชนไม่ได้คิดอะไร ผ่านไปสักพักหล่อนก็แสดงตัวว่าอยากร่วมโต๊ะโดยเอาเหล้ามาเสนอให้อยู่ดื่มต่อตอนที่พวกเขาเกือบจะแยกย้ายกันกลับ พอเห็นว่าจะได้กินของฟรีไอ้เพื่อนผู้หวังดีแต่ละคนก็กรอกหูให้เขาสรรเสริญความงามของเจ้แกเป็นการขอบคุณ




    หลังจากนั้นเขาก็เมาไม่ได้สนใจว่าเป็นไงต่อ รู้แค่เพียงไอ้ซึงฮยอนพากลับไปทิ้งไว้หน้าคอนโดแล้วเรียกอีซองมินลงมารับ ตื่นมาก็ปวดหัวตุบๆจำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อวานที่เจ้แกโทรมาเพราะไอ้เพื่อนบางคนเสร่อให้เบอร์เขาไปนั่นล่ะถึงได้รู้ว่าพี่สาวคนสวยเป็นนักศึกษาร่วมสถาบัน แถมยังแอบมองเขามานานแล้ว..




    แล้วเป็นไงต่อ.. พอได้เบอร์ไปเจ้แกก็โทรจิกเขาเช้ากลางวันเย็น ชวนกินข้าว ช้อปปิ้ง ดูหนัง แถมยังจะบุกมาหาถึงคอนโด..




    “แหม มึงจะคิดอะไรมากล่ะ เจ้เสนอมามึงก็แค่สนองไป อีกสองอาทิตย์เจ้แกก็เรียนจบแล้ว ขี้คร้านได้มึงแล้วเจ้จะสะบัดก้นใส่เพราะไม่เร้าใจพอ” เลว! จากที่แค่ซองบุหรี่คราวนี้ไฟแช็กก็ลอยตามไปอีกอัน




    โจคยูฮยอนฮึดฮัดที่ถูกล้อเลียนด้วยข่าวลือที่ปาร์คเจอินกุทิ้งไว้เมื่อคราวที่เลิกกับเขา ไอ้เสี่ยวของคณะพ่นลมหายใจทิ้งจนแทบจะหมดปอดด้วยความเซ็ง




    “พี่ครับ งั้นเดี๋ยวผมขอกลับไปหาเพื่อนก่อนละกัน” ชเวซึงฮยอนโบกมือให้น้องรหัสที่ขอตัวไปก่อนไม่ต่างจากโจคยูฮยอน“ฝากบอกจีอึนด้วยว่าเดี๋ยวเย็นๆพี่โทรหา เมื่อกี้มองหาแล้วไม่เจอ” บังยองกุกยิ้มรับก่อนจะเดินออกมาจากลานเล็กๆนั่นปล่อยให้รุ่นพี่สองคนนั่งคุยกันต่อไป




    “เมื่อก่อนกูก็ไม่เห็นว่ามึงจะบ่นตอนกูแจกเบอร์ให้ใครไป แล้วนี่เป็นอะไรกระแดะมานั่งคร่ำครวญ” โจคยูฮยอนนั่งหน้าเครียดเคาะนิ้วกับโต๊ะ มองสบสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอื่น กะแค่ผู้หญิงที่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตคนเดียวน่ะมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนคยูฮยอนคงจะทำเหมือนที่ซึงฮยอนพูดมาแต่เวลานี้มันไม่ใช่ เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว..




    อ่า.. ไม่ใช่ทำไม่ได้อีกแล้ว แต่เขาไม่คิดจะใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว




    “กูอยากอยู่แบบสงบๆ” คราวนี้คนที่ฟังอยู่จึงแค่นยิ้ม ชเวซึงฮยอนบรรจงเก็บซองบุหรี่กับไฟแช็กไปวางบนโต๊ะเหมือนเดิม 




    “สงบของมึงเนี่ย อธิบายนิดนึงได้มั้ยครับว่า..กับใคร” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามแรงสั่นจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้คยูฮยอนครางฮือ ร่างสูงสอดมือเข้าไปล้วงเอาโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้ด้วยความรำคาญพลางบ่นเพื่อนไปด้วย




    “นั่นไง โทรมาอีกแล้ว โอ้ยยยย กูรำคาญมากเถอะ มึงไม่น่าให้เบอร์กูเลย อ่ะนี่ เดี๋ยวมึงคอยฟังนะว่าเจ้จะชวนกูไปทำอะไรอีก” กำลังจะเปิดลำโพงขยายเสียงของฮันชินเฮเพื่อให้เพื่อนที่นั่งด้วยกันฟังแต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อเห็นชื่อที่อยู่ปลายสายชัดๆ




    คยูฮยอนหยุดบ่นก่อนจะยกโทรศัพท์แนบหูแล้วกรอกเสียงลงไป ท่าทางเปลี่ยนอารมณ์กะทันหันทำให้ชเวซึงฮยอนรู้ว่าปลายสายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คุณเจ้ที่มันตั้งหน้าบ่นใส่ตั้งแต่มาถึง




    “ว่าไงครับ.. ไปมาแล้วตอนนี้ผมอยู่ที่คณะ.. หืมม์.. คืนนี้พี่จะนอนที่บ้าน.. ครับ โอเคครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” คุยอยู่ไม่กี่คำคยูฮยอนก็วางสาย




    ชเวซึงฮยอนหรี่ตามองประกายความมีชีวิตชีวาในแววตาของเพื่อนขณะที่เก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิมแล้วก็อดที่จะแซวออกไปไม่ได้




    “ท่าทางมึงดูมีความสุขดีนะ ไหนบอกว่ารำคาญไง ไม่อยากเจอแล้วพรุ่งนี้มึงนัดเค้าทำไม” เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความหมายทักขึ้นมา 




    “อย่ามาแกล้งโง่ กูรู้ว่ามึงรู้” โจคยูฮยอนมองสบตาอีกฝ่ายด้วยแววลุ่มลึก




    “คนนี้หรือเปล่า ที่อยู่ด้วยแล้วสงบ..” ใบหน้าคมคลี่เป็นรอยยิ้มบางเมื่อคิดไปถึง’คนนี้’




    คยูฮยอนไม่รู้หรอกว่าเวลาที่อยู่กับคนๆนี้เรียกว่าสงบได้ไหม เขารู้แต่เพียงมันเป็นความสุขเวลาที่ตื่นมาแล้วได้มองเห็นคนที่บอกราตรีสวัสดิ์กับเราก่อนนอนเป็นคนแรก 




    สองอาทิตย์กว่าแล้วที่คยูฮยอนทำมึนเก็บข้าวเก็บของมาอยู่ที่ห้องซองมิน แล้วคยูฮยอนก็คิดว่ามันเป็นสองอาทิตย์ที่ชีวิตเขามีอะไรให้ทำมากกว่าแค่การตื่นไปเรียน ซ้อมดนตรี หรือรอไปเที่ยวกับเพื่อน เมื่อก่อนเขาเห็นว่าการอยู่กับซองมินคือความสะดวกสบายในชีวิต หิวก็ไปหา ทำการบ้านไม่ได้ก็ไปหา อยากได้อะไรก็ไปหา




    แต่เมื่อได้มาอยู่ด้วยกันเขากลับรู้สึกว่าจากที่เป็นแค่ฝ่ายรับเขายังได้มีโอกาสเป็นผู้ให้ ความสุขที่เกิดจากการได้’แบ่งปัน’มันทำให้เขาคิดว่าตัวเองมีค่ามากกว่าที่ผ่านมา..




    “ก็คนนี้แหละ..” คยูฮยอนไม่เห็นถึงประโยชน์ที่จะปิดบังว่าเขารู้สึกแบบไหนกับ’คนนี้’ เพราะแม้กระทั่งซองมินเองก็ไม่เคยคิดทำ คนตัวเล็กทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องปกติ ไม่ปิดบังทั้งอย่างนั้นก็ไม่ได้ป่าวประกาศ และคยูฮยอนเองก็คิดว่า..นั่นเป็นวิธีที่ดี




    “มึง คบกับพี่ซองมินแล้ว..” ท้ายประโยคซึงฮยอนยังมีแก่ใจตวัดเสียงเป็นคำถามมากกว่าที่จะพูดเอาเองตามที่เข้าใจ




    “คบ..อะไร”




    “ก็แบบว่าตกลงป็นแฟนกัน” คนถูกถามเหยียดรอยยิ้มออกพลางส่ายหน้าปฏิเสธการคาดเดาของซึงฮยอน ทำเอาแร็พเปอร์หน้าหล่อที่ถูกดับฝันตบเข่าดังฉาด




    “แล้วนี่ทำอะไร จีบกันอยู่? โหยยย คุณคยูครับรู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทำอะไรคิดถึงหน้าพ่อกับแม่มึงบ้างมั้ย เก็บเสื้อผ้าหนีตามไปอยู่กับเค้ายังบอกไม่ได้คบกัน ไร้น้ำยาสุดๆ” คนถูกกล่าวหาว่าไร้น้ำยายังคงยิ้ม




    ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงได้ท้าตีท้าต่อยที่บังอาจมาดูถูกท่านคยูฮยอนคนนี้ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ใครอยากพูดอะไรก็พูดไปเพราะเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้รู้จัก’อีซองมิน’อย่างที่เขารู้จัก 




    เป็น‘แฟน’งั้นหรือ จะเป็นไปทำไมล่ะ ในเมื่อกับอีซองมินแล้วโจคยูฮยอนเป็นได้มากกว่านั้น




    “วันไหนพี่ซองมินพาพ่อกับแม่มาสู่ขอกู มึงจะได้รู้เป็นแรกเลยเทมป์” ว่าจบก็ยักไหล่ไม่แคร์ให้อีกฝ่ายหมั่นไส้เล่น ชเวซึงฮยอนมองหน้าเพื่อนแล้วเกิดอารมณ์อยากเอาปลายเท้าไปสะกิดก้านคอมันดูสักที  




    “แล้วยัยเจ้ชินเฮนี่ล่ะมึงไม่กลัวพี่ซองมินเข้าใจผิดเหรอ เอ๊ะ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรนี่เนาะ พี่เค้าก็ดูไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่ามึงจะไปไหนกับใครยังไง แล้วที่พูดมาเมื่อกี้นี่ยังกับว่าพี่ซองมินเค้าจะเอามึงงั้นน่ะ กูเห็นพี่เค้าก็ทำแบบนี้กับมึงมาตั้งแต่ที่เข้าเรียนมา ที่เอ็นดูมากกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็เพราะเล่นดนตรีวงเดียวกัน อยู่คอนโดเดียวกัน ดูผ่านๆกูว่าพี่เค้าออกจะเอ็นดูรยออุกญาติมึงมากกว่าซะอีก”




    “มึงอย่ามาชักใบให้เรือเสีย โทษเก่ายังไม่ได้ลบล้างจะสร้างโทษใหม่อีกแล้วหรือไง ตกลงว่าเจ้ชินเฮนี่เอาไงช่วยกูคิดหน่อยเถอะ” เกิดมาไม่ใช่ว่าจะไม่เคยถูกตื้อ แต่ไอ้เรื่องปฏิเสธลูกตื้อนี่ล่ะที่คนอย่างโจคยูฮยอนไม่เคยทำ 




    “ก็แล้วทำไมมึงไม่บอกเจ้แกไปล่ะว่ามีแฟนแล้ว” เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อปากต่อคำซึงฮยอนจึงหันมาให้คำปรึกษากับชีวิตป๊อปปูล่าร์ของโจคยูฮยอนแทน




    “เลวละเทมป์ เจ้เค้าบอกว่าตอนที่ถามเบอร์กูมึงบอกเจ้ไปว่ากูยังว่าง” คนถูกด่าทำตาโตเลียนแบบไข่ห่านพลางยกมือทาบอกด้วยความตกใจ “อ้าววว กูพูดแบบนั้นเหรอ..” ดูก็รู้ว่าเสแสร้งสุดๆ




    “งั้นก็บอกไปว่าผมไม่ได้ชอบพี่ ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว อะไรประมาณนี้” คราวนี้คนฟังพรูลมหายใจเฮือกใหญ่




    “กูบอกไปหมดแล้ว แล้วมึงรู้มั้ยเจ้แกว่าไง พี่แค่อยากคุยกับคยูฮยอน” ท้ายประโยคยังเลียนเสียงสาวรุ่นพี่ให้ดูสมจริงอีกนิด ได้ยินดังนั้นซึงฮยอนจึงกระแทกแผ่นหลังลงกับพนักเก้าอี้ แบบนี้คง..รอดยาก!




    “งั้นก็คุยๆกับเจ้ไปเถอะ เดี๋ยวมึงทำท่ารำคาญหนักเข้าคงถอยไปเอง” โจคยูฮยอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางครางฮึมฮัม ขัดอกขัดใจไปทุกสิ่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดูท่าแล้วก็คงต้องยอมรับสภาพให้ฮันชินเฮตื้อเช้าตื้อเย็น ถ้าแค่โทรศัพท์มาคงไม่เท่าไหร่แต่ถ้าพาตัวเองมาหาถึงคณะเขาคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มโง่ๆโชว์ให้เจ้แกดู




    “แล้วตกลงว่าเราจะซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนซ้อมรวมกับน้องวันไหนวะ” หลังจากปิดประเด็นส่วนตัวได้จึงเริ่มถามถึงประเด็นส่วนรวมบ้าง




    เนื่องจากวันนี้ตอนช่วงเช้าคยูฮยอนต้องไปส่งครอบครัวที่สนามบินจึงมาร่วมประชุมไม่ทัน เมื่อตามมาถึงก็พบว่าทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องเริ่มแยกย้ายกันไปแล้ว 




    “วันพุธบ่ายสาม” 




    “แล้วซ้อมใหญ่ล่ะ”




    “วันศุกร์บ่ายโมง เฉพาะเรากับรุ่นน้องนะ ไม่รวมปีสี่” คยูฮยอนพยักหน้า รับเอาข้อมูลเข้าสู่สมองแล้วจึงชวนซึงฮยอนกลับเข้าไปหาเพื่อนๆที่นั่งเล่นดนตรีกันอยู่ใต้ตึกใหญ่ 




    เพื่อนของพวกเขายังคงนั่งเล่นดนตรีกันอยู่โดยมีรุ่นน้องให้เห็นเพียงประปรายเพราะบางคนก็กลับไปแล้วตั้งแต่ประชุมเสร็จ




    สองร่างก้าวเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆเรียกความสนใจจากรุ่นน้องที่เหลือได้เป็นอย่างดี ก็หน้าตาหล่อระดับรุ่นพี่ซึงฮยอนกับรุ่นพี่คยูฮยอนออกจะเป็นที่เลื่องลือไปทั่วมหาวิทยาลัยต่อให้ได้เห็นบ่อยแค่ไหนถึงยังไงก็ยังสร้างความปลาบปลื้มได้ทุกครั้งที่เจอ




    “เออ มานี่ก็ดีละคยู” ทันทีที่เห็นว่าคุณเสี่ยวสุดสุดเสี่ยวเดินเข้ามานั่งร่วมกลุ่มคังแทวอนก็รีบเรียกไว้ทันที




    “มีอะไรให้กระผมรับใช้มิทราบครับท่านนายก” โจคยูฮยอนเอียงคอมองนายกสโมสรนักศึกษาคณะดุริยางคศิลป์คนใหม่ในปีการศึกษาหน้าเพื่อดูว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรกับตนเอง 




    “วันจันทร์มึงยืมเลคเชอร์วิชาบันทึกเสียงในสตูของพี่ซองมินมาแบ่งพวกกูอ่านด้วยนะ เห็นพี่รหัสกูบอกว่าตอนที่เรียนวิชานี้มีแต่พี่ซองมินคนเดียวที่ได้เอ” คนถูกสั่งพยักหน้าหงึกหงัก




    “ได้ๆ เออ!แทวอน มึงปริ้นท์ตารางสอบมายัง วิชาที่อาจารย์นัดสอบนอกเวลาอ่ะ” คังแทวอนยกมือบอกว่า’โอเค..กูปริ้นท์แล้ว’ก่อนจะค้นกระเป๋าหยิบเอาตารางสอบออกมาแล้วแจกจ่ายแก่ผองเพื่อนผู้รักเรียนโดยทั่วกัน




    แต่ละคนเห็นตารางสอบแล้วจึงเริ่มโอดโอยว่าอ่านหนังสือไม่ทันบ้างล่ะ เวลาน้อยไปบ้างล่ะ สอบเสร็จช้าบ้างล่ะแล้วแต่ว่าจะหามาบ่นกันได้




    “เฮ้ยเสี่ยว กูขอเลคเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตกของพี่ซองมินอีกเล่มเถอะ กูจดไม่ทันตลอดอ่ะ ป๋าชองฮุนสอนเร็วโคตร” 




    “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวกูยืมมาให้” (เพราะกูก็จดไม่ทัน) ตะโกนตอบโอบุนจาที่รีเควสมาจากอีกฟากของโต๊ะแล้วโจคยูฮยอนก็ก้มลงไปอ่านตารางสอบอีกรอบ ดูท่าว่าหลังจากนี้ไปคงต้องเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาคแบบจริงจังแล้ว




    นั่งคุยกันไปมาอีกพักใหญ่เพื่อนแต่ละคนก็เริ่มเตรียมจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ถุงขนม แก้วน้ำ ขวดเปล่าที่ซื้อมาทานกันระหว่างที่ทำงานถูกเก็บรวมกันเพื่อจะเอาไปทิ้งขยะ และทันทีที่เห็นคิมจุนโฮกำลังจะโยนขวดที่ใช้เคาะให้จังหวะลงถังคยูฮยอนก็รีบเรียกไว้




    “จุนโฮ ขวดเปล่ามึงใส่ถุงให้กู กูจะเอา” คิมจุนโฮชะงักก่อนจะเอาขวดในมือยัดลงถุงที่ไม่ใช้แล้วตามคำขอของคยูฮยอนแถมยังใจดีเดินเก็บขวดน้ำเปล่าที่เพื่อนทั้งหลายวางทิ้งไว้บนโต๊ะให้อีกด้วย ถ้าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันก็พอจะรู้ว่าคยูฮยอนมันชอบเก็บขวดเปล่าไว้ไปบริจาคให้เด็ก แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยถามสักทีว่าเด็กแถวไหน




     “แต๊งค์กิ้วจุนโฮ ขอให้มึงหล่อวันหล่อคืน หล่อทั้งชาตินี้และชาติหน้า หล่อจากภายในสู่ภายนอก” มือหนารับเอาถุงใส่ขวดน้ำเปล่ามาจากเพื่อนมือกลอง แล้วจึงออกปากสรรเสริญไปอีกเล็กน้อย




    “แหม ถ้าหล่อได้สักครึ่งของมึงกูก็พอใจแล้วครับเสี่ยวคยู” คิมจุนโฮตอบกลับพร้อมกับโบกมือลามิสเตอร์เสี่ยวเพื่อเดินไปขึ้นไปรถที่คังแทวอนขับมาจอดรออยู่แล้ว เห็นเพื่อนแยกย้ายกันกลับเกือบหมดคยูฮยอนก็หันมาหาแร็พเปอร์ตาคม




    “มึงมาไง กูไปส่งมั้ย” ถามเพราะตอนที่เข้ามาคยูฮยอนไม่เห็นรถของซึงฮยอนแต่ฝ่ายนั้นกลับล้วงมือชูกุญแจรถให้ดูเป็นคำตอบ เมื่อตอนที่มาถึงแสงแดดกำลังสาดใส่ลานจอดรถของคณะเต็มที่คนที่รักรถยิ่งกว่าอะไรจึงเลือกที่จะขับไปจอดใต้ตึกคณะอักษรที่อยู่ใกล้กันแล้วเดินมาที่นี่แทน



    “โอเค งั้นกูไปก่อนนะ พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระด่วน” ว่าจบก็ตบเท้าก้าวไปตามทางเดินเล็กๆข้างตึกเพื่อจะลัดเลาะไปยังลานจอดรถของคณะ




    “ธุระด่วนอะไร คืนนี้พี่ซองมินไม่อยู่ มึงจะแอบไปหาเจ้ชินเฮหรือไง” ได้ยินคำถามจากสุดหล่อเบอร์หนึ่งของคณะคนที่มีธุระด่วนก็หันกลับมาสะบัดนิ้วกลางใส่แล้วก็หันกลับไปโดยไม่ต่อความอีก




    ซึงฮยอนหัวเราะร่วนเมื่อเห็นปฏิกิริยาของไอ้เสี่ยวแล้วจึงหมุนตัวเดินออกไปอีกทางหนึ่ง ดูท่าว่าธุระนั่นจะสำคัญจริงมันถึงได้ละทิ้งโอกาสที่จะด่าเขากลับมา..



    .


    .



    .


    รั้วสีขาวตระหง่านเป็นแนวยาวที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาคนมองใจแกว่งไปไม่น้อย คยูฮยอนละสายตาจากแนวรั้วก่อนจะเคลื่อนรถไปหยุดสนิทตรงประตูไม้บานใหญ่สีน้ำตาล ร่างสูงลงจากรถไปกดกริ่งที่ติดอยู่บนเสาข้างประตูแล้วรอคนมาเปิด




    ผ่านไปชั่วอึดใจเดียวหญิงสูงวัยร่างท้วมก็โผล่หน้ามาทักทาย




    “มาพบใคร..อ้าว คุณคยูฮยอน เข้ามาก่อนค่ะ เดี๋ยวป้าเปิดประตูใหญ่ให้” เมื่อเห็นว่าคนที่มากดกริ่งเรียกเป็นเพื่อนกับคุณหนูคนโตคุณแม่บ้านจึงกระวีกระวาดเปิดประตูรั้วบานใหญ่ให้ชายหนุ่มขับรถเข้าไปจอดในบริเวณบ้าน



    คยูฮยอนลงจากรถแล้วจึงค้อมตัวขอบคุณคุณป้าใจดีก่อนจะถามหาคนที่ต้องการพบ




    “พี่ซองมินอยู่ใช่มั้ยครับป้า” 




    “อยู่ค่ะ คุณหนูอยู่ที่สระว่ายน้ำหลังบ้านค่ะคุณคยูฮยอน แล้วนี่ถุงอะไรเยอะแยะคะ” คิมเยวอนมองสิ่งที่อยู่ในถุงใบใหญ่ที่คยูฮยอนเปิดท้ายรถหยิบออกมาแล้วจึงถามด้วยความสงสัย



    “ขวดน้ำใช้แล้วครับ พอดีจะมาหาพี่ซองมินผมก็เลยเอาขวดน้ำที่เก็บๆไว้มาฝากวูยองด้วย” เมื่อรู้ว่าเพื่อนคุณหนูซองมินมีน้ำใจเก็บขวดน้ำมาฝากหลานชายตนเองคุณป้าเยวอนจึงเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่มไว้ด้วยความตื้นตัน




    “โถ พ่อคุณ ป้าขอบคุณแทนเจ้าวูยองมันด้วยนะคะ เห็นแบบนี้คงดีใจ นี่ก็เล่นอยู่กับคุณหนูที่สระน้ำนั่นแหละค่ะ เห็นว่าคุณซองมินกำลังสอนการบ้านอยู่” โจคยูฮยอนยิ้มรับคำขอบคุณนั้นด้วยความยินดี ชายหนุ่มชูถุงในมือขึ้นมาก่อนเอ่ยปากขอตัวเพื่อไปทำธุระกับเจ้าเด็กน้อย




    “ถ้างั้นเดี๋ยวผมเอาถุงนี่ไปให้วูยองก่อนนะครับ” 



    “ค่ะ นั่งเล่นไปก่อนนะคะคุณคยูฮยอน เดี๋ยวป้าจะเตรียมขนมไปให้” ว่าจบก็ก้าวเร็วๆเข้าไปในตัวบ้านปล่อยให้คนใจดี(ศรีสังคม)เดินลัดเลาะไปตามแผ่นอิฐสีเหลืองอ่อนที่ปูเป็นทางเดินขนานไปกับรั้วบ้านเพื่อไปยังสระว่ายน้ำ 


    เสียงคนคุยกันที่ดังมาให้ได้ยินทำให้คยูฮยอนหยุดอยู่ตรงทางเดินที่จะขึ้นไปยังตัวสระ รั้วไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มที่ปล่อยให้กุหลาบป่าเลื้อยเกาะสำหรับกั้นสายตาของคนที่ผ่านมาในชั้นแรกช่วยเสริมให้บรรยากาศดูร่มรื่น มองผ่านรั้วไม้เข้าไปคยูฮยอนก็พบว่าคุณหนูคนโตของบ้านกำลังนั่งเอาขาตีน้ำเล่นในขณะที่คิมวูยองนอนคว่ำอ่านหนังสืออะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ




    ร่างสูงสืบเท้าเข้าไปด้วยความเงียบจนกระทั่งผ่านขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นบนสุดแล้วคุณเจ้าของบ้านก็เห็นว่ามีแขกมาเยือน




    “อ้าว มาได้ไง” อีซองมินถามคนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของสระน้ำพลางมองถุงขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือผู้มาเยือน




    “ขับรถมาครับ พอดีผมมีธุระกับ..วูยอง” คิมวูยองหูผึ่งหันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองจากพี่ชายตัวสูง เด็กน้อยกระโดดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งอ้อมสระน้ำมาหาอีกฝ่ายก่อนโค้งตัวสวัสดี ต่างจากอีกคนที่ยังนั่งลอยชายไม่ยอมลุกมาต้อนรับแขก




    “สวัสดีครับพี่คยูฮยอน” มือใหญ่เอื้อมไปขยี้ผมเด็กน้อยก่อนจะยื่นถุงใบโตที่หิ้วมาด้วยไปให้ 




    “พี่เอาขวดน้ำเปล่ามาให้น่ะ คราวนี้ได้เยอะเลยนะ” เด็กน้อยทำตาโตขณะที่รับถุงไปเปิดดู แบบนี้รายได้ในอาทิตย์หน้าของเขาต้องมหาศาลแน่ๆ คิมวูยองเอื้อมมือข้างที่ว่างมาจับมือหนาไว้แล้วจูงพี่ชายใจดีให้เดินตามไปตรงที่พี่ชายอีกคนนั่งอยู่ ใบหน้าคมมีแววขัดเขินไม่ต่างจากคนที่ยังนั่งตีขากับน้ำในสระ 




    “ใจดีจังนะ” ซองมินทักคนที่กำลังทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิข้างๆ มือเล็กวักน้ำในสระเล่นพร้อมกับมองเจ้าเด็กน้อยที่กำลังวิ่งปรู้ดเพื่อเอาขวดน้ำทั้งหลายที่เพิ่งได้มาไปเก็บให้เรียบร้อยเตรียมขาย




    “ไหนบอกว่าไปทำงานกับเพื่อนที่คณะ” โจคยูฮยอนเอียงคอด๊อกแด็กไปมาพลางลอบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย




    “ก็ทำงานเสร็จแล้วแล้วพอดีเห็นขวดน้ำมันวางเกลื่อนอยู่เต็มใต้ตึกก็เลยเก็บมาฝากวูยอง” อีซองมินพยักหน้าไปเรื่อยๆขณะที่ฟังอีกฝ่ายพูด




    “ความจริงนายไม่ต้องลำบากมาถึงนี่ก็ได้ เก็บใส่ท้ายรถไว้ก่อนแล้วค่อยฝากฉันมาทีหลังก็ยังทัน” คนตัวสูงท้าวแขนไปด้านหลังทั้งสองข้าง เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนลงเรื่อยๆ




    “ผมไม่ได้ลำบากอะไรนี่นา อีกอย่าง..คิดถึง’วูยอง’ด้วยก็เลยมาหา” คนตัวเล็กหัวเราะในลำคอ มือบางวักเอาน้ำขึ้นมาแล้วสาดไปหาคนที่นั่งด้านข้าง




    “เฮ้ย ผมจะเปียก”




    “ทานข้าวมาหรือยัง” อีซองมินไม่ได้สนใจที่คยูฮยอนท้วงแต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปเป็นอย่างอื่น 




    “ยังไม่ได้ทานครับ ออกมาจากม.ก็ตรงมาที่นี่เลย วันนี้ผมอยู่คนเดียวไม่รู้จะทานอะไร ที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่..ที่คอนโดก็เหมือนกัน” กว่าซองมินจะรู้ตัวว่าพลาดส่งคำถามเปิดทางให้น้องเสี่ยวก็ตอนที่ฝ่ายนั้นอ้อนกลับมาแบบเรียบๆแล้ว คนตัวเล็กฟังแล้วก็กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม




     “แล้วหิวหรือยัง” 




    “ถ้าหิวแล้วจะให้ทานข้าวด้วยมั้ยล่ะ” เกินจะทนไหวอีซองมินก็จัดการวักน้ำสาดคนขี้อ้อนไปอีกที ก่อนจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน




    “อยู่ตรงนี้รอก่อนละกัน เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้รองท้อง อีกนานกว่าถึงเวลาอาหารเย็น” ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไปไหนก็ถูกมือใหญ่รั้งไว้ คยูฮยอนกระตุกข้อมือเล็กจนซองมินเสียหลักล้มลงมานั่งข้างกัน พอสบโอกาสก็วางแขนพาดเอวเล็กไว้อีกชั้น




    “ไม่ต้องไปหรอกนั่งด้วยกันนี่แหละ ผมยังไม่หิว” ซองมินจิ๊ปากใส่ความเนียนของคนข้างๆ




    “แล้ววันนี้จะทานข้าวที่นี่มั้ย” คนถูกถามพยักหน้ารัวๆ รอยยิ้มดีใจเบ่งบานเต็มแก้มจนคนมองชักหมั่นไส้ กำลังจะลองประทุษร้ายคนที่เนียนกอดไม่ยอมปล่อยก็มีอันต้องหยุดความคิดเสียก่อนเพราะเสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัว




    มือหนาควานเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วมองชื่อคนที่โทรมา คิ้วเข้มขมวดทันทีที่เห็นว่าเป็นใคร.. 



    คยูฮยอนคิดว่าบางทีช่วงนี้ยัยเจ้ฮันชินเฮควรจะตรวจดวงชะตาตัวเองดูบ้างนะ โทรมาไม่รู้จักเวล่ำเวลา นอกจากดวงความรักจะไม่รุ่งแล้วชะตาชีวิตอาจจะถึงฆาตด้วย!



    คนตัวโตกดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างตัวกำลังจะหันไปคุยกับซองมินต่อเสียงเรียกเข้าก็ดังขั้นมาอีกครั้ง คยูฮยอนพรูลมหายใจแสดงออกว่าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด




    “ทำไมไม่รับล่ะเค้าอาจจะมีธุระสำคัญ” ซองมินออกจะแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เห็นคยูฮยอนกดตัดสายโทรศัพท์ถึงสองรอบ ทุกทีคยูฮยอนไม่ค่อยจะละเลยเรื่องพวกนี้แต่วันนี้กลับดูไม่สบอารมณ์จนน่ากลัว




    “ไม่สำคัญหรอกครับ พวกว่างงานน่ะ” 




    “คนใหม่หรือไง” คยูฮยอนมองคนถามแล้วจึงถอนใจน้อยๆ คำพูดของชเวซึงฮยอนเมื่อกลางวันดังขึ้นในหัวเมื่อเห็นแววตาเรียบเฉยของซองมินขณะที่ถามถึงคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา




    ‘พี่เค้าก็ดูไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่ามึงจะไปไหนกับใครยังไง’




    นั่นสินะ ถ้าอีซองมินจะแสดงท่าทางเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องพวกนี้สักนิดเขาอาจจะแน่ใจในความรู้สึกอีกฝ่ายได้มากกว่านี้..




    “เปล่าหรอก เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง”




    “เรื่องที่ไปป้อสาวแล้วได้เหล้าฟรีมาน่ะเหรอ” โจคยูฮยอนทำหน้าประหลาดใจจนคนมองเผลอหลุดหัวเราะอีกรอบ




    “พี่รู้ได้ไง”




    “ก็คืนนั้นที่ซึงฮยอนมาส่งนาย เห็นเมาขนาดนั้นฉันก็เลยถามว่านายไปทำอะไรมา”




    “แล้วมันก็เล่าให้พี่ฟัง?” อีซองมินพยักหน้า




    “หมดเลย?” 




    “หมดเลย.. ” พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเมื่อยซองมินจึงเล่าต่อ




    “ก็พอถามว่าไปไงมาไงซึงฮยอนก็บอกว่าผู้หญิงคนนั้นชวนนายไปต่อกันสองคน แต่นายไม่ยอมไป งอแงจะกลับท่าเดียว จากที่คิดว่าจะพานายไปนอนที่บ้านก่อนเพราะมันดึกแล้ว ซึงฮยอนเลยต้องลากเอามาส่งที่คอนโด” จากที่กำลังหงุดหงิดพอได้ฟังที่อีกฝ่ายเล่าคยูฮยอนก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ




    “แล้วพี่ก็ลงไปรับผมขึ้นมานอน?”




    “เออดิ๊ มันจะมีใครล่ะ คราวหน้าให้ใครมอมเหล้าก็บอกให้เค้ารับผิดชอบด้วย เอะอะก็ลากมาทิ้งไว้ให้ดีนะที่ฉันยังไม่หลับ ไม่งั้นนายคงจะได้นอนตากยุงอยู่แถวๆหน้าลิฟท์นั่นแหละ” พอซองมินเล่าจบก็รู้สึกถึงแรงกดลงตรงบ่าเล็ก




    ไอ้เด็กเสี่ยวมันกำลังไถศีรษะไปมากับไหล่ของซองมิน ช่วงนี้รู้สึกว่ามันจะอ้อนเก่งเกินไปแล้ว




    “แต่พี่ก็ดูแลผมดีนี่นา อ่า...ฟังดูแล้วเหมือนเราเป็นแฟนกันเลยเนอะ” 




    “แฟนเองเหรอ ทั้งเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าไหนจะพาไปนอน ฉันนึกว่าอยู่ดีๆก็มีลูกเพิ่มมาหนึ่งคน” 




    “โหยยยย แฟนก็พอออ” เป็นพ่อแล้วทำอะไรกันไม่ได้.. คยูฮยอนอยากจะบอกแบบนี้แต่ก็นั่นแหละเกิดอีกฝ่าย’เขิน’ขึ้นมาแล้วเผลอต่อยเขาปากแตกก็ไม่รู้ว่าจะไปเรียกค่าเสียหายได้จากไหน 




    R R R R R R R R 




    กำลังมีความสุขที่ได้ต่อปากต่อคำกับเจ้าของบ้านเสียงโทรศัพท์เจ้าปัญหาก็ดังมาให้ได้ยินอีกรอบใบหน้าหล่อที่กำลังฉายแววระรื่นกลับมุ่ยลงทันที




    “ฮันชินเฮ..” ซองมินอ่านชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ที่คยูฮยอนยื่นมาให้ดู แล้วเจ้าตัวก็กดเงียบเสียงปล่อยให้ปลายสายรอไปเรื่อยๆโดยไม่เดือดร้อน




    “ชื่อคุ้นๆแฮะ”





    “คุ้นสิ เห็นว่าเรียนนิเทศปีสี่เท่ากันกับพี่อ่ะ น่าจะเคยเห็นบ้างแหละข่าวว่าเป็นดาวด้วย” อีซองมินทำปากรูปตัวโอ





    “งั้นก็สวยน่ะสิ นายไม่เสียดายหรือไง โปรไฟล์ดีขนาดนี้ทุกทีไม่เคยเห็นปล่อยให้หลุดมือ” ท้ายประโยคยังวกกลับมาพาดพิงคนที่นั่งด้วยกันได้อีก




    คยูฮยอนเหยียดยิ้มใส่คำว่า’เสียดาย’




    “เสียดายทำไม” 





    “อ้าว ก็เมื่อก่อนเห็นออกจะชอบเก็บเข้าคอลเล็คชั่นนี่นา พวกดาวๆเดือนๆอะไรเนี่ย” คยูฮยอนหรี่ตามองคนพูดก่อนออกแรงรัดเอวเล็กพาให้คนข้างๆขยับเข้ามาเบียดในวงแขนอีกนิด ชายหนุ่มเกลี่ยปลายนิ้วปัดปอยผมที่ระแก้มเนียนอยู่ไปทัดหูให้เรียบร้อยแล้วจึงเลื่อนใบหน้าหล่อจัดเข้าคลอเคลียฝากเสียงกระซิบเพื่อบอกความจริงบางอย่างที่เขาคิดว่าอีซองมินควรจะรับรู้ไว้..





    “นั่นมันเมื่อก่อนครับ แต่ตอนนี้..ผมเปลี่ยนไปแล้ว”

     







    แสงไฟสีนวลถูกเปิดให้สว่างขึ้นโดยเซนเซอร์รับความมืดอัตโนมัติ บรรยากาศโดยรอบสลัวลงจนเห็นเพียงลางๆแต่กระนั้นสองคนที่นั่งอยู่ตรงสระว่ายน้ำก็ยังไม่ได้ย้ายตัวเองเข้าไปในบ้าน




    ซองมินยังคงนั่งเงียบปล่อยให้คยูฮยอนกอดอยู่อย่างนั้น และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบคยูฮยอนจึงนั่งเงียบไปอีกคน แต่ความเงียบของซองมินในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขาอึดอัดอีกแล้ว




    เขาเรียนรู้แล้วว่าการที่ซองมินไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่พอใจ หากแต่เจ้าตัวกำลังใช้ความเงียบเพื่อบอกอะไรบางอย่างและถ้าเขาอยากได้ยินต้องใช้ใจฟัง 




    ความรู้สึกของคนเราเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยเฉพาะกับคนที่เราให้ความสำคัญสิ่งนั้นก็จะยิ่งเปราะบาง




    ที่ผ่านมาเขาอาจจะละเลยไม่สนใจ แต่จากนี้ไปคยูฮยอนจะดูแลอย่างดี..




    R R R R R R R R R R R




    เสียงโทรศัพท์ดังฝ่าความเงียบระหว่างคนสองคนขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้อีซองมินถึงกับหลุดหัวเราะ คนตัวเล็กนั่งคอยดูว่าเจ้าของโทรศัพท์จะจัดการกับคุณดาวนิเทศยังไง แต่โจคยูฮยอนยังคงเมินเฉยกับเสียงโทรศัพท์




    ชายหนุ่มกดเงียบเสียงแล้วเปลี่ยนเข้าสู่ไฟลท์โหมดจากนั้นจึงขยับตัวเองให้มานั่งซ้อนข้างหลังซองมินทั้งตัว ร่างสูงวางปลายคางลงบนไหล่เล็กสอดแขนกอดเอวซองมินไว้อย่างที่ชอบทำบ่อยๆ




    “ผมชอบกอดพี่แบบนี้ พี่รู้ใช่มั้ยครับ” อีซองมินทำเพียงแค่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม




    “ผมกอดเพราะผมอยากกอด เพราะเวลาที่กอดพี่ไว้แบบนี้ผมรู้สึกดี ดีมากๆด้วย แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเวลาที่ผมกอดพี่รู้สึกยังไง ผมไม่เคยคิดว่าทำไมพี่ถึงยอมให้ผมกอด เพราะผมคิดเอาเองว่าถ้าพี่รำคาญก็คงแกะมือผมออกแต่จนแล้วจนรอดพี่ก็ไม่เคยรำคาญ ไม่เคยเลยซักครั้งที่พี่จะเป็นฝ่ายดึงมือผมออกก่อน ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้ และถ้าพี่ไม่บอกผมก็คงจะไม่สังเกต แต่วันนี้ผมเห็นแล้วว่าพี่ทำอะไรเพื่อผมบ้าง..”




    คราวนี้จากที่นั่งซ้อนหลังคยูฮยอนค่อยๆจับคนในอ้อมกอดให้หันมาเผชิญหน้า ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในลูกแก้วสีนิลและสิ่งที่คยูฮยอนเห็นก็ยังเป็นคนๆเดิมที่เขาเห็นมาตลอด.. 




    สองตาของอีซองมิน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะมีเพียงแค่คนๆเดียว..




    คยูฮยอนมองเห็นตัวเองอยู่ในนั้น




    โจคยูฮยอนเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้ตัวเองในสองตาของอีซองมิน แขนแกร่งยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีโดยการออกแรงรัดร่างเล็กเข้าหาปิดทางไม่ให้ซองมินถดกายหนีไปไหนได้




    คยูฮยอนวางฝ่ามือลงบนแก้มเนียนไล้นิ้วโป้งไปตามริมฝีปากบางด้วยความทะนุถนอม ก่อนบรรจงแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากมนให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรง 




    “คยู..”




    ซองมินวางมือทาบลงไปบนแผ่นอกของคนที่กำลังกระทำการอุกอาจ เสียงเรียกชื่อที่เหมือนจะดังแล้วแต่สุดท้ายมันก็ยังบางเบาไม่ต่างจากสติที่ถูกลิดรอน สันจมูกโด่งลากไล้ลงมาตามเปลือกตาผ่านแก้มเนียนกระทั่งหยุดที่มุมปากหยักงอน



    “ผมขอเข้าข้างตัวเองได้มั้ยครับ..” ถามชิดริมฝีปากบางแล้วก็นิ่งรอคำตอบอยู่อย่างนั้น คยูฮยอนกดดันจนสุดท้ายคนที่เคยใช้ความนิ่งเงียบเพื่อเบี่ยงเบนสถานการณ์มาตลอดต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ทุกวิธีที่ซองมินเคยใช้แล้วได้ผล แต่วันนี้คยูฮยอนกลับปัดมันทิ้งได้ทั้งหมด




    คนตัวโตกว่าย้ำแรงลงกับริมฝีปากบางให้ซองมินยอมเผยความในใจ.. 




    “อืม..”



    คนตัวเล็กค่อยๆถอนใบหน้าออกมาแต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ถูกรั้งเข้าไปซุกในอกกว้าง แขนแกร่งกอดรัดจนคนอายุมากกว่าแทบจมลงไปในอก คยูฮยอนกดริมฝีปากลงบนกระหม่อมบางด้วยความเอ็นดู 



    “ผมจะยังไม่พูดคำนั้น.. จะไม่พูดจนกว่าจะผมจะพิสูจน์ให้พี่เห็น ผมอยากให้พี่เป็นฝ่ายได้รับ อย่างที่ผมได้รับจากพี่”  




    “ขอโทษที่เคยมองข้ามความรู้สึกของพี่”




    มือหนาเชยคางเล็กขึ้นมาให้สบตากัน




    “ซองมิน.. พี่ผ่านเรื่องพวกนั้นมาได้ยังไง ทั้งๆที่ผมไม่เคยมองเห็นหรือใส่ใจแต่พี่ก็ยังดูแลผมอย่างดี..”




    อีซองมินกัดปากจนเจ็บ โจคยูฮยอนกำลังถามว่าเขาผ่านวันคืนโหดร้ายเหล่านั้นมาได้อย่างไร.. 




    ทั้งที่ก่อนหน้านี้ซองมินอาจจะเคยทั้งน้อยใจและเศร้าใจแต่นั่นก็เกิดจากการตัดสินใจของเขาเอง เขาไม่เคยเรียกร้องให้คยูฮยอนรับรู้ เขาไม่เคยเสียน้ำตาเพราะสิ่งที่ทำลงไปเพื่อโจคยูฮยอน ไม่ว่าเจ้าตัวจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม




    แต่มาวันนี้ คนที่ซองมินอยากให้รับรู้ทุกความรู้สึกกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าและถามว่า เขา’รู้สึก’อย่างไร.. 




    ความเข้มแข็งทั้งหมดที่เคยมีดูเหมือนจะพังทลายลงในพริบตา วินาทีนี้ซองมินรู้เพียงว่าเขากำลังต้องการคำปลอบใจ ร่างเล็กซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดอบอุ่นให้มากขึ้นเพื่อปลดปล่อยความอ่อนไหวให้โจคยูฮยอนรับไปดูแล..




    สิ่งที่ถามออกไป คยูฮยอนไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเขารู้ว่าซองมินจะไม่มีทางพูดออกมา แต่ที่คยูฮยอนถามเพียงเพราะต้องการบอกกับตัวเองว่าคนๆนี้เข้มแข็งเพียงใด




    “พี่อยากร้องไห้หรือเปล่า..” คนตัวเล็กส่ายหน้าทั้งที่น้ำตายังคลอหน่วง




    “ฉันเต็มใจ..”




    เท่านั้นคนที่มองอยู่ก็แนบริมฝีปากลงไปบนกลีบปากบาง แตะซับความความนุ่มหยุ่นน่าสัมผัสอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยบดเบียดด้วยความรู้สึกขอบคุณจนล้นใจ ปลายนิ้วแกร่งสอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มลื่นประคองศีรษะได้รูปให้เอียงไปตามองศาที่เหมาะสม ปัดปลายจมูกโด่งคมระเรื่อยไปตามแก้มเนียน




    คยูฮยอนถอนริมฝีปากออกมาเพื่อมองซองมินให้เต็มตา แขนแกร่งกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นเข้า เสียงหัวใจของซองมินเต้นเป็นจังหวะถี่รัวชัดเจนให้คนที่ได้ยินเต็มตื้นไปทั้งอก




    คยูฮยอนยิ้มกว้างให้กับเจ้าของหัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่แบกรับทุกความรู้สึกเอาไว้ หัวใจดวงเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ที่สุด..



    หัวใจของคนที่คยูฮยอนเลือกแล้วว่านับจากนี้เขาดูแลและรักให้ดีที่สุด..



    หัวใจของอีซองมิน..





    .




    .




    .





    ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานเต็มที่ทำให้คนที่โผล่เข้ามาในห้องนั่งเล่นห่อปาก เพราะซองมินเพิ่งอาบน้ำเสร็จความเย็นจึงยังเกาะอยู่บนผิวกาย พอเข้ามาปะทะกับอากาศเย็นแบบโคตรๆของเครื่องปรับอากาศที่น้องเสี่ยวมันปรับอุณหภูมิประหนึ่งจำลองว่าอยู่ที่ขั้วโลกจึงทำเอาตัวสั่นได้เหมือนกัน



    “เปิดแอร์อะไรกันขนาดนี้ล่ะ หนาวก็ลดแอร์ลงนิดนึงสิ” ซองมินมองคนที่ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวถุงเท้าแถมยังเอาผ้าห่มพันตัวอยู่หน้าโทรทัศน์จอยักษ์ โจคยูฮยอนส่ายหน้าเป็นคำตอบโดยไม่ยอมหันไปมองซองมิน ดวงตาคู่คมจ้องเป๋งที่หน้าจอทำให้คนที่มีเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นต้องเดินมาหยุดข้างๆเพื่อดูว่าคยูฮยอนกำลังดูอะไร




    “เฮ้ย! นายดูหนังผีเหรอคยู” สิ้นเสียงอุทานซองมินคิดว่าเขาได้ยินเสียงครางหนักๆมาจากก้อนผ้าห่มใกล้ตัว




    “พี่อาบน้ำเสร็จแล้วก็ไปอ่านหนังสือต่อสิ เหลือสอบอีกหนึ่งวิชานี่นา ผมสอบเสร็จแล้ว จะดูหนัง” สั่งมาเป็นชุดโดยที่สองตาก็ยังจ้องภาพในจอ




    เจ้าของห้องถอนหายใจ ดูหนังผีแต่เปิดไฟสว่างโร่ หมอนหนุน หมอนอิง หมอนข้าง มันเอามาวางกั้นรอบตัวจนรกไปหมด




    แทนที่จะไปฉลองที่สอบปลายภาคเสร็จกับเพื่อนแต่โจคยูฮยอนกลับไปขนเอาแผ่นหนังที่ยังไม่ได้ดูทั้งหมดก่อนหน้านี้จากบ้านชเวซึงฮยอนมาแทนและมันก็เอามาไม่ต่ำกว่าหกเรื่อง ซองมินคิดว่ามันคงจะฉลองสอบเสร็จจนเครื่องเล่นดีวีดีพังเป็นแน่..




    แต่ซองมินคงไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมคยูฮยอนถึงได้ยอมพลาดงานเลี้ยงที่เพื่อนๆจัดขึ้นเพื่อสุดเสี่ยวโจคยูฮยอน ซองมินรู้เพียงว่าวันนี้เพื่อนของคยูฮยอนนัดกันไปเที่ยว ชวนแล้วชวนอีกเจ้าตัวก็ไม่ยอมไปท่าเดียวเลยคิดเอาเองว่าคยูฮยอนคงไม่อยากไปเจอเหตุการณ์เหมือนคราวที่ไปทำไว้กับฮันชินเฮจนถูกตามตื้ออยู่เกือบอาทิตย์ ซึ่งความจริงแล้วคยูฮยอนไม่อยากถูกแซวต่างหาก



    ก็ไอ้งานเลี้ยงวันนี้ที่มันพากันไปร้านที่หรูที่สุดของย่านนี้ได้ก็เป็นเพราะว่าไอ้พวกที่มันได้เงินจากการพนันเรื่องของคยูฮยอนกับรุ่นพี่ร่วมคณะอย่างอีซองมินมันเอาเงินส่วนนั้นพากันไปเลี้ยง แล้วชื่องานเลี้ยงมันก็ตั้งซะสุดหรูว่า’งานเลี้ยงสละโสด(ครั้งสุดท้าย)ของโจคยูฮยอน’ ต่อให้ได้รับเกียรติเลือกให้เป็นเจ้าของงานแต่ให้ตายโจคยูฮยอนก็ไม่ไป!



    แล้วไอ้พวกที่เป็นตัวตั้งตัวตีมันจะมีใครถ้าไม่ใช่เพื่อนสุดที่รักอย่างชเวซึงฮยอนและก็เพื่อนที่เรียนคลาสเดียวกันทั้งหลาย น้องรหัสแสนร้ายกาจอย่างซงจีอึนแล้วก็ไอ้เด็กแรพเปอร์แฟนมันนั่นแหละ..  



    “ผมดูหนังแบบนี้พี่อ่านหนังสือรู้เรื่องมั้ย” คือมันจะถามมาให้ได้อะไร นางเอกหวีดร้องทุกสองนาทีแบบนี้แล้วที่สำคัญไอ้คนดูยังสะดุ้งเฮือกๆตลอดเวลาคิดว่าเขาจะเอาใจไปจดจ่อกับตำราได้อยู่มั้ยล่ะ




    “ไม่รู้เรื่องหรอก เดี๋ยวฉันไปอ่านในห้องนอนก็ได้” ได้ยินดังนั้นเด็กกำลังจะถูกทิ้งก็ท้วงขึ้นทันที




    “อ้าว.. ผมก็ต้องนั่งดูอยู่ข้างนอกคนเดียวนะสิ” คนตัวเล็กพยักหน้าให้กับคนที่เพิ่งกดหยุดเครื่องเล่นไว้ชั่วขณะแล้วหันมามองซองมินแบบเต็มตา ใบหน้าคมมุ่ยลงด้วยความไม่สบอารมณ์




    “ก็ฉันจะอ่านหนังสือ นายจะดูหนังก็ดูไป”




    “ก็มันเป็นหนังผี ผมนึกว่าพี่จะไปนั่งอ่านที่โต๊ะริมหน้าต่าง น่า..นั่งอ่านข้างนอกเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ”




    “แล้วจะรู้เรื่องมั้ยล่ะ” ซองมินย้อนถามคนที่นั่งจุ้มปุ๊กตาแป๋วในผ้าห่ม




    “งั้นไม่ดูแล้วก็ได้ เดี๋ยวพี่สอบเสร็จค่อยมาดูพร้อมกันดีกว่าเนาะ” ว่าจบก็สะบัดผ้าห่มออกจากตัว คยูฮยอนกดปิดเครื่องเล่นโดยไม่ได้เอาแผ่นออก จากนั้นจึงเดินไปเปิดโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่ข้างๆคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ของซองมินที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการแต่งเพลงไว้ด้วยแล้วหันมายิ้มเผล่ให้กับเจ้าของห้อง 




    “พี่อ่านหนังสือไปนะ ผมจะเล่นเกมเป็นเพื่อน” เห็นดังนั้นซองมินก็เลยยอมเออออตามไปด้วย คนตัวเล็กเดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือริมหน้าต่างที่มองเห็นบรรยากาศด้านนอก





    ซองมินเห็นตัวเองยิ้มเป็นภาพสะท้อนบนกระจกที่ฉากหลังมืดสนิท ความสุขที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าจะจับต้องได้จริงๆ หนังสือเล่มหนาที่วางตรงหน้ากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันทีเมื่อรู้ว่าต่อให้ดึกแค่ไหนแต่คืนนี้ซองมินก็ยังมีใครอีกคนนั่งเป็นเพื่อนกัน..




    ตั้งแต่ที่คยูฮยอนบอกเขาว่า..’จะพิสูจน์ให้เห็น อยากให้พี่เป็นฝ่ายได้รับ อย่างที่ผมได้รับ’ นับแต่วันนั้นคุณชายเธอก็เริ่มปฏิบัติการ’พิสูจน์’คำพูดตัวเองด้วยการดูแลเอาใจใส่ซองมินเป็นอย่างดี




    คิดแล้วก็ยังแอบขำตอนที่หมอนั่นพยายามจะทำอาหารง่ายๆให้เขาทานตอนที่เขาบนว่าหิวแต่ไม่มีแรงทำอะไรแล้วหลังจากเจอข้อสอบของศาสตราจารย์คิมยองวาเมื่อสองวันก่อน พอกลับมาถึงห้องซองมินก็ทิ้งตัวกองแหมะกับโซฟาแล้วเผลอหลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคล้ายกับว่าใครกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่ครัว พอลุกขึ้นมาดูก็พบว่าน้องเสี่ยวสุดที่รักกำลังยืนคนอะไรบางอย่างอยู่หน้าเตา



    แต่ประเด็นคือเคาน์เตอร์ครัวของซองมินเต็มไปด้วยเศษซากผักที่ถูกเด็ดเอาแต่ส่วนที่ดีไปใช้ เปลือกเต้าหู้ เนื้อไก่ที่ดูเหมือนว่าจะกระเด็นออกจากแพ็คสำเร็จรูปตอนที่ถูกแงะ กำลังจะอ้าปากถามถึงความสกปรกที่เกิดขึ้นฝ่ายนั้นก็หันมายิ้มระรื่นให้เสียก่อนจนซองมินโกรธไม่ลง




    “ผมทำซุปเพิ่มพลังให้พี่ เหมือนที่พี่เคยทำให้ผมทานตอนที่ผมไม่สบายไง” อีซองมินพยักหน้าแล้วเดินไปยืดคอมองซุปในหม้อ



    ซุป..อืม เจ้าตัวคนทำมันก็บอกว่านี่คือซุปซองมินก็จะลองเชื่อว่ามันคือซุป(ก็ได้) ซุปในหม้อดูน่า..กิน เพราะอย่างน้อยกลิ่นมันก็หอม แค่คิดกำลังจะชมว่าซุปมันหอมดีสายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องใส่ซุปก้อนที่นอนแอ้งแม้งในขยะ




    คนตัวเล็กสูดลมหายใจลึกแล้วลึกอีก ถ้าซองมินทำซุป ซุปก้อนที่ใส่ อย่างมากปริมาณที่ทานแค่สองคนก็ใส่แค่ก้อนเดียว แต่กล่องซุปที่มันอยู่ในขยะถึงห้ากล่องนั่นมันคืออะไร.. หมายความว่ายังไงครับไอ้คุณโจ..




    “นายใส่ซุปก้อนไปกี่ก้อน” โจคยูฮยอนยิ้มแฉ่งแล้วตอบด้วยความภาคภูมิใจ



    “ห้าครับ มันเหลือในตู้เย็นแค่ห้าก้อน ผมเลยใส่แค่นี้ ไม่รู้จะอร่อยหรือเปล่า ความจริงอยากลงไปซื้อเพิ่มแต่กลัวพี่จะหิวไปมากกว่านี้” ฟังจากที่พูด โจคยูฮยอนคงจะเข้าใจว่าถ้าใส่ซุปก้อนเยอะมันก็จะยิ่งอร่อยใช่ไหม? ไอ้เสี่ยวเอ้ย!!!



    “คยู ซุปก้อนปกติเค้าใส่กันแค่ก้อนเดียว หลังจากนั้นเราค่อยปรุงอย่างอื่นเพิ่ม..” คิ้วคมขมวดมุ่นทันทีที่ได้ยิน ชายหนุ่มตักซุปขึ้นมาแล้วหันไปมองซองมิน




    “งั้นก็หมายความว่าที่ผมทำมันทานไม่ได้น่ะสิ” ซองมินส่ายหน้าเมื่อเห็นแววตาผิดหวังของคนตัวสูง“ก็ทานได้ เพียงแต่เราอาจจะต้องใส่น้ำเพิ่มเข้าไป อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มานี่มาเดี๋ยวฉันทำต่อเอง” คยูฮยอนยื่นทัพพีมาให้ซองมินก่อนจะถอยออกมาเป็นคนดู




    “ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้พี่แท้ๆแต่ผมก็ทำให้พี่ลำบากอีกแล้ว” น้ำเสียงที่ฟังแบบไหนก็เต็มไปด้วยความน้อยใจทำให้ซองมินต้องหันไปหาอีกฝ่าย




    “แค่ที่นายทำตอนนี้ฉันก็ดีใจแล้ว อันไหนไม่ถนัดก็ไม่ต้องทำ ไว้ช่วยทำอันที่ถนัดก็ได้ ล้างจาน ขัดห้องน้ำ ล้างรถ เยอะแยะแหนะ” ว่าจบก็ตบฝ่ามือลงบนแผ่นอกคนที่ยืนข้างกันเบาๆ




    “ขอบคุณนะ..” 



    ใบหน้าหวานยิ่งเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ คนตัวเล็กสลัดความคิดที่รบกวนจิตใจออกก่อนจะก้มลงจดจ่อกับหนังสือตรงหน้าสลับกับการทวนเนื้อหาสำคัญในช็อตโน้ต




    ซองมินเหลือสอบอีกแค่เพียงหนึ่งวิชาในวันมะรืนแล้วหลังจากนั้นก็จะเรียนจบอย่างเป็นทางการ เห็นรยออุกโทรมาบอกว่าถ้าสอบเสร็จแล้วให้นัดวันกันให้พร้อม เพราะพี่จองซูจะเลี้ยงฉลองเรียนจบให้ คืนนั้นพี่จองซูจะยกเวทีให้เปิดคอนเสิร์ตกันเต็มที่ ทั้งฉลองเรียนจบ เลี้ยงส่งพี่จองโมและจองอุนที่จะไปเรียนต่อ ดูท่าคืนนั้นซองมินคงจะได้เมาไม่รู้เรื่องอีกแน่ๆ แต่จะห่วงอะไรในเมื่อต่อให้เมายังไงซองมินก็ยังคงมีคนดูแล



    และพอคิดไปถึงโทรศัพท์ก็เป็นเหตุให้รอยยิ้มของซองมินยิ่งกว้างขึ้นอีกเท่าตัว..



    วันที่รยออุกโทรมาเขารับไม่ทันเพราะอาบน้ำอยู่ พอออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าคยูฮยอนคุยโทรศัพท์อยู่ที่โซฟาพอเขาเดินเข้าไปหา ฝ่ายนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มาให้บอกว่ารยออุกจะคุยด้วย หลังจากคุยธุระกับรยออุกเสร็จซองมินก็ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ



    แต่จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็สุดรู้เหตุการณ์เหมือนตอนที่อยู่บนเกาะก็กลับมาอีกครั้งเมื่อปลายนิ้วของซองมินดันเลื่อนไปบนหน้าจอแล้วโฟลเดอร์ ‘Mine’ ในโทรศัพท์ของโจคยูฮยอนก็ปรากฏขึ้นมา



    คยูฮยอนที่ยื่นหน้ามาเจอพอดีก็รีบหยิบโทรศัพท์ไปจากมือซองมิน ทั้งที่ยังไม่ได้เปิดเข้าไปในโฟลเดอร์แต่ซองมินกลับหัวเราะคิกคักปิดบังความขัดเขิน เห็นอย่างนั้นคยูฮยอนจึงมองมาด้วยความสงสัย..



    “พี่..หัวเราะอะไร” อีซองมินกัดปากแต่ก็ยังไม่ยอมบอก ทำให้อีกฝ่ายต้องขยับเข้ามานั่งจนชิดจากนั้นจึงวาดแขนมาโอบเอวคนตัวเล็กกว่าไว้



    “ซองมิน.. พี่เห็นอะไรในนั้นใช่มั้ย” คยูฮยอนไม่ได้โง่ แค่เห็นใบหน้าสีระเรื่อของคนที่นั่งข้างกันเขาก็รู้แล้วว่าความลับของเขาถูกพบเข้าแล้ว



    “อือ..ก็เห็น”



    “ตั้งแต่เมื่อไหร่” 



    “ก็..ตั้งแต่ที่ไปทะเล ตอนที่พี่อาราโทรมา ฉันรับโทรศัพท์นายพอจะเก็บมือมันก็ไปโดนแบบนี้แหละ” คราวนี้คนที่หน้าขึ้นสีไม่ได้มีเพียงแค่ซองมิน คยูฮยอนกลั้นยิ้มไม่ไหวสุดท้ายก็หัวเราะออกมา



    รูปที่ครั้งแรกตั้งใจเพียงจะถ่ายไว้แกล้งใครบางคน แต่สุดท้ายกลับเป็นรูปที่เขาหวงแหนมากที่สุด.. 



    ถึงตอนนี้อีซองมินคงรู้แล้วว่ารูปที่เขาแอบถ่ายในเช้าวันนั้นมันไม่ได้มีอยู่แค่เพียงในเครื่องเล่นอย่างที่เจ้าตัวเห็น รูปเซตนั้นเขาตั้งใจจะถ่ายให้คนนอนดูหน้าตาตลกมากที่สุด..


    ก็อีซองมินขนาดตอนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องหน้าตายังน่ารักจนน่าหมั่นไส้ ถ่ายๆไปเห็นแก้มกลมๆก็เลยอยากรู้ว่าหอมขนาดไหน ด้วยความหมั่นไส้(เหรอ)เขาก็เลยเปลี่ยนจากการเก็บรูปด้วยเครื่องเล่นเพลงเป็นมาโทรศัพท์เพราะยังไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขาแอบทำอะไรลงไป



    กะว่าจะเอารูปนั้นกลับมาแกล้งให้อายแต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงแถมยังเป็นตัวเองที่อายแล้วต้องเก็บไว้จนมิด..



    รูปที่เขาแอบหอมแก้มซองมิน..



    “นายนี่ขี้ขโมยชะมัดเลย..”โจคยูฮยอนมองคนที่ยังนั่งอมยิ้มแล้วจึงกดจมูกลงกับแก้มเนียนแก้เขิน ซึ่งความจริงแล้วมันก็คงไม่ได้ทำให้ทั้งเขาและซองมินหยุดเขินได้แต่ในเมื่อซองมินเป็นฝ่ายเริ่มก็ต้องรับผิดชอบ..


    “พี่ทำให้ผมเขินจนทำอะไรไม่ถูก..” ฟังที่คยูฮยอนพูดแล้วซองมินก็ขมวดคิ้ว แล้วมันใช่เหตุผลที่ต้องมาหอมแก้มเขามั้ยล่ะ



    กำลังจะเถียงกลับไปอีกฝ่ายก็รีบพูดแทรกขึ้นมาก่อนและคราวนี้ซองมินก็ทำได้เพียงแค่นั่งเงียบจริงๆ




    “เมื่อกี้ผมเขินนิดเดียวนะ แต่ถ้าพี่พูดอีกผมจะเขินหนัก แล้ว ผมก็จะยิ่งทำอะไรไม่ถูก..หนักขึ้น..”



    สุดท้ายเวลาอ่านหนังสือของซองมินก็ยังคงถูกใครอีกคนรบกวนอยู่ดี คนตัวเล็กอ่านช็อตโน๊ตไปเรื่อยๆพร้อมกับเปิดหนังสือประกอบไปด้วย ใบหน้าหวานกลับมาแลดูคร่ำเคร่งเมื่ออ่านไปถึงบทเรียนที่อยู่ท้ายๆ



    มือเล็กที่ใช้เปิดหนังสือยกขึ้นมาทุบที่ต้นคอเบาๆเพื่อให้คลายความเมื่อยล้าจากการจดจ่อกับตัวหนังสือ นั่งยุกยิกเพราะความล้าสักพักเสียงคุ้นหูก็ดังมาให้ได้ยิน



    “นมอุ่นๆครับ” แก้วนมสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า ซองมินยิ้มรับความเอาใจใส่ของโจคยูฮยอนจนแก้มแทบปริ



    คนตัวเล็กยกนมในแก้วขึ้นจิบแล้วพบว่ารสชาติดีไม่แพ้ตอนที่อยู่ในกล่อง คยูฮยอนคงเทนมใส่แก้วแล้วเอาไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนจะเอามาให้ซองมินดื่ม 



    “ขอบใจนะ แล้วนายไม่ดื่มเหรอ หิวหรือเปล่าเดี๋ยวฉันทำอะไรให้ทานเอามั้ย” คนตัวสูงส่ายหน้าไปมาขณะที่สองมือก็นวดไหล่ให้ซองมินไปด้วย เห็นดังนั้นซองมินก็ยกแก้วนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแล้วคนที่ยกมันมาก็เอาแก้วเปล่าไปถือไว้เตรียมเอาไปล้าง



    “พี่อ่านหนังสือต่อเถอะ ผมไม่กวนแล้วครับ” ว่าจบคยูฮยอนก็โน้มตัวลงไปกดจมูกกับศีรษะของคนที่นั่งอยู่ สูดเอาความหอมจากผมนุ่มฟอดเพื่อใหญ่เติมพลังให้ตัวเองบ้างแล้วจึงเดินไปที่ครัว



    ซองมินเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก วินาทีนี้ซองมินเชื่อแล้วว่าความสุขมันจับต้องได้จริงๆ



    จากที่เคยเป็นแค่ผู้ให้ แต่วันนี้ซองมินยังเป็นฝ่ายที่ได้รับ แต่สำหรับคยูฮยอนแล้วเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าได้เป็นฝ่าย’ให้’กับซองมินมานานแค่ไหน



    รอยยิ้ม เสียงหัวเราะหรือเพียงแค่การนั่งเงียบๆด้วยกันสิ่งเหล่านั้นคือความสุขของซองมินความสุขที่คยูฮยอนเป็นฝ่ายแบ่งปันโดยไม่รู้ตัว..



    คนตัวเล็กสอดที่คั่นหนังสือไว้ตรงหน้าที่อ่านค้างแล้วลุกขึ้นยืนบิดตัวคลายความเมื่อยล้าก่อนจะเดินไปที่ซิงค์ล้างจานที่ใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้น เท้าเล็กขยับไปจนชิดคนที่ยืนล้างแก้วอยู่ก่อนจะสอดแขนเข้าไปกอดเอวหนาไว้แล้วซุกใบหน้าลงกับแผ่นหลังอบอุ่น



    “คยู..” คยูฮยอนเลื่อนสายตาจากแก้วที่ล้างอยู่มาเป็นมือเล็กที่วางบนหน้าท้อง ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดให้แก่กันและกันมันกำลังแผ่นซ่านไปทั่วทั้งใจ



    คยูฮยอนวางแก้วในมือที่เพิ่งล้างเสร็จลงแล้วจึงหมุนตัวกลับมาหาคนที่กอดเขาไว้จากด้านหลัง สองแขนเลื่อนสอดเข้าหาเอวบางแล้วกอดอีกฝ่ายกลับ ตอบรับเสียงเรียกจากคนที่นานๆจะอ้อนเขาสักที



    “ครับ..” 



    “ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ” มือหนาลูบเบาๆบนกลุ่มผมนุ่มที่ซุกอยู่กลางอก นึกแปลกใจกับคำขอบคุณที่มาแบบไม่ได้ตั้งตัวคยูฮยอนกัดริมฝีปากชั่งใจก่อนจะถามในเรื่องที่อยากรู้มากที่สุดในตอนนี้ 


    “ทำไม พี่ถึงรักผม พี่..รักผมเพราะอะไร” คยูฮยอนละมือที่กอดซองมินออกก่อนจะค่อยๆประคองใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมามองตากัน



    “บอกผมได้มั้ยครับ” ใบหน้าที่เคยขาวนวลบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจนคนมองนึกเอ็นดู หัวใจของคยูฮยอนเต้นเป็นจังหวะถี่หนักในยามที่สบตากับซองมิน



    ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใส่ใจมองจึงไม่เห็น แต่วันนี้เขาเห็นแล้วว่าในดวงตาคู่นี้เต็มไปด้วย’รัก’ 




    “อย่าถามเลยว่าฉันรักนายเพราะอะไร เพราะความรักต่างหากที่เป็นทุกเหตุผลของฉัน ที่ผ่านมา ทุกอย่างที่ฉันทำเพื่อนาย ทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะรัก..”



    รอยยิ้มอ่อนจางที่ประดับอยู่บนดวงหน้าหวานเด่นชัดขึ้นเมื่อคนตัวเล็กยืดตัวเข้ามาก่อนแตะริมฝีปากลงบนมุมปากของคยูฮยอน แผ่วเบา อ่อนหวาน ทว่าซ่านลึกไปทั้งอก..



    “เพราะรัก ถึงได้ทำ..”



    เพียงเท่านั้นคยูฮยอนก็โน้มใบหน้าเข้าหาคนตัวเล็กอีกครั้ง ชายหนุ่มแตะริมฝีปากลงกับมุมปากหยักงอนอย่างที่ซองมินทำเมื่อครู่ แล้วเอ่ยความในใจชิดริมฝีปากเล็ก



    “รัก.. ผมรักซองมิน”



    ท้ายประโยคกลืนหายพร้อมกับที่คยูฮยอนเลื่อนริมฝีปากเข้าทาบทับกลีบปากบาง ชายหนุ่มค่อยๆบดเบียดลงไปกระทั่งรู้สึกถึงความหวานติดปลายลิ้น ปลายนิ้วแกร่งประคองท้ายทอยสวยเพื่อเก็บเกี่ยวความรักที่กำลังงอกงามระหว่างเรา



    จูบที่เกิดขึ้นท่ามกลางโลกของเราสองคน ไม่ต้องมีแสงไฟหรูหรา  ไม่ต้องตกแต่งบรรยากาศให้สวยงาม แค่มีเพียงข้าวของเครื่องใช้ของเรา มีครัวที่ซองมินใช้ทำอาหารให้คยูฮยอนทาน มีโทรทัศน์ที่คยูฮยอนนั่งดูเป็นเพื่อนซองมิน มีเตียงที่เรานอนด้วยกัน มีเพียงห้องที่เราอยู่ด้วยกันในทุกๆวัน มีเท่านั้นก็พอ..






    คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดสักแห่ง..
    บนโลกใบใหญ่ของโจคยูฮยอนอาจจะมีเส้นทางหลากหลายให้เลือกเดิน 



    คงมีใครซักคนรออยู่ ตรงนั้น..
    หลังจากหลงทางใช้ชีวิตลองผิดลองถูกอยู่นาน 



    คงมีความหมายใด ซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน ..
    วันหนึ่งคนโลกกว้างก็พบว่ามีทางลัดพิเศษที่เชื่อมต่อไปยังอีกโลกหนึ่ง 



    คงจะมีซักวันฉันคงได้เจอ..
    โลกที่เข้าไปอยู่แล้วทำให้รู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นเช่นไร โลกใบเล็กๆใบนั้น..



    ข้ามขอบฟ้าหรือขุนเขา ข้ามแผ่นน้ำทะเลกว้างใหญ่ ฉันจะไปหาเธอ..
    โลกแคบๆของอีซองมิน ..























    END~






    *  ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ

    *  ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่สละเวลาคอมเม้นท์ให้เราค่ะ

    *  รักคุณ ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×