ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]::May be you:: |KyuMin|

    ลำดับตอนที่ #6 : Part 06

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 54


    May be you

     










    Part 06  










     

     

     

    สัมผัสแผ่วเบาบริเวณริมฝีปากทำให้คนที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่รู้สึกตัว คยูฮยอนพยายามเขม้นมองภาพตรงหน้าเมื่อเปิดเปลือกตาที่แสนจะหนักอึ้งได้ และภาพที่เห็นก็ยังเป็นคนๆเดิม อีซองมินกำลังนั่งมองเขาอยู่ คนตัวเล็กนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนโซฟาตัวเดียวกันกับที่เขานอน คยูฮยอนเลื่อนสายตาไปที่มือเล็กแล้วก็พบต้นเหตุที่ทำให้เขาตื่น ในมือของอีซองมินมีผ้าขนหนูผืนเล็กที่คยูฮยอนคิดว่าเจ้าตัวคงจะใช้เช็ดหน้าให้เขาเมื่อครู่


    "พี่ไม่ต้องเช็ดหรอก เดี๋ยวผมไปอาบน้ำเองก็ได้" ร่างเล็กส่ายหน้าไปมา


    "ฉันเช็ดแผลให้แล้ว ถ้าลุกไหวก็ไปอาบน้ำ เสื้อผ้าฉันวางไว้ให้ที่เตียงแล้ว เสร็จแล้วก็ออกมาทายาแล้วก็กินยาแก้อักเสบ" ว่าจบก็ถดตัวแล้วลุกขึ้นยืนเห็นดังนั้นคยูฮยอนจึงยื่นแขนสองข้างไปให้ ซองมินจับมือของเด็กขี้อ้อนไว้ก่อนจะออกแรงรั้งเอาคนตัวโตกว่าขึ้นมานั่ง


    "หิวมั้ย เดี๋ยวฉันทำโจ๊กให้แล้วจะได้กินยา" คนที่ไม่รู้สึกหิวส่ายหน้ารัวๆปฏิเสธโจ๊กมื้อดึก


    "โอเค งั้นฉันต้มของฉันซองเดียว แล้วนายดื่มนมรองท้องเอาแล้วกัน" ว่าจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินไปที่ครัวแต่กลับมีมือเด็กบางคนรั้งแขนไว้


    "จะกินโจ๊กด้วย.."


    "จะกินด้วยก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว" เพียงเท่านั้นคนตัวสูงก็ลุกขึ้น กำมือขึ้นสูงบิดเอาตัวขี้เกียจออกจากร่างแล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำไป

     


     

    กระจกบานใหญ่บนอ่างล้างหน้าสะท้อนภาพรอยช้ำบนริมฝีปากของคยูฮยอนอย่างชัดเจน ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาให้กับความซวยในค่ำคืนนี้ ปากแตก มุมปากช้ำแถมยังปวดปร่าไปทุกครั้งที่ขยับแต่เมื่อเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดที่จะมาคร่ำครวญคยูฮยอนจึงเดินเข้าไปอาบน้ำให้เสร็จๆไป..


    ผ้าเช็ดตัวผืนสีน้ำตาลเข้มที่พาดอยู่บนราวทำให้มือที่กำลังจะคว้าเอามันมาใช้ชะงักไปหนึ่งจังหวะ ทำไมเขาไม่เคยสังเกตว่าของๆเขาที่อยู่ในห้องนี้มันไม่ได้อยู่แบบคนอื่น ข้าวของของโจคยูฮยอนวางระเกะระกะคล้ายกับว่าห้องนี้คือห้องของเขา ห้องที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าเขาใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ

     

    ผ้าขนหนูของเขาไม่เคยถูกพับเก็บไว้ในตู้แต่กลับพาดอยู่บนราวตลอดเวลา แปรงสีฟันที่ไม่ต้องเรียกหาหรือขออันใหม่ในยามที่ต้องการใช้เพราะทุกครั้งมันจะเสียบอยู่ในแก้วเดียวกันกับแปรงสีชมพูของผู้เป็นเจ้าของห้อง หรือแม้กระทั่งสบู่ แชมพู ยาสีฟัน เราก็ใช้ยี่ห้อเดียวกันได้โดยไม่เกี่ยงงอน


    โจคยูฮยอนเข้านอกออกในที่แห่งนี้ได้ในขณะที่คนอื่นไม่ได้รับสิทธิ์นั้น

     

    ทั้งที่เมื่อคืนก่อนยังเป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้เขาสนใจความรู้สึกตัวเองบ้าง แต่วินาทีนี้คยูฮยอนกลับรู้สึกเต็มตื้นไปทั้งอกเมื่อคิดได้ว่าตนเองถูกอีกฝ่ายเอาใจใส่มากเพียงใด ยิ่งก้าวเข้าไปในห้องนอนแล้วพบว่าชุดนอน'ตัวเก่ง'วางอย่างเรียบร้อยที่ปลายเตียงก็ยิ่งสะท้อนในอก คำพูดของอีซองมินกลับมาวิ่งวนในห้วงความคิดตอกย้ำว่าสิ่งที่เจ้าตัวพูดมาคือ'ความจริง'ไม่ใช่เพียงคำที่ใช้ง้องอนขอคืนดี..


    'นายเป็นคนสำคัญในโลกของฉัน' ซองมินไม่เคยพูดแต่บอกทุกอย่างด้วยการกระทำ ถึงตอนนี้คยูฮยอนจึงทำได้แค่เพียงย้อนถามตัวเองซ้ำๆว่า .. แล้วเขาเคยสนใจความรู้สึกของอีซองมินบ้างไหม..

     

     

    กลิ่นโจ๊กหอมกรุ่นลอยอยู่เต็มบรรยากาศยามที่คยูฮยอนเปิดประตูออกมาจากห้องนอนคนตัวเล็ก เสื้อยืดคอย้วยสีขาวกับกางเกงบาสเนื้อนิ่มใส่สบายทำให้เจ้าตัวดูผ่อนคลายกว่าเดิม ร่างสูงก้าวเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับคนตัวเล็ก โจ๊กหมูในชามหอมจนเรียกน้ำย่อยรอบดึกให้ทำงาน คยูฮยอนค่อยๆตักโจ๊กเข้าปากด้วยความระมัดระวัง


    "เจ็บแผลใช่มั้ย" คยูฮยอนมองคนถามด้วยรอยยิ้มแล้วจึงพยักหน้าเบาๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายที่ถูกใส่ใจแต่ก่อนหน้านี้คยูฮยอนกลับมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น ไม่เคยรับรู้ว่ามันพิเศษสำหรับเขาจนวันนี้


    "ค่อยๆทานนะ เดี๋ยวฉันไปหยิบยามาให้" ซองมินทานเสร็จแล้ว คนตัวเล็กไม่ได้รอทานพร้อมคยูฮยอนแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นและมองเขาด้วยความเอาใจใส่ ผ่านไปสักครู่ซองมินก็กลับมาพร้อมกับยาแก้อักเสบและน้ำเปล่าอีกหนึ่งแก้ว


    "เดี๋ยวทานเสร็จแล้วก็ทานยานะ แล้วก็อย่าลืมทายาแก้ฟกช้ำด้วย หลอดสีฟ้าในกล่องที่วางอยู่ข้างทีวีอ่ะ" หลังจากวางยาแก้อักเสบไว้บนโต๊ะให้เสร็จแล้วซองมินจึงหันไปจัดเรียงขวดน้ำเปล่าใส่ตู้เย็นแทนขวดที่เอาออกไปดื่ม

     

    คุ้ยตู้เย็นไปสักพักก็พบว่าในช่องแช่แข็งมีช๊อกโกแลตอยู่หนึ่งกล่อง ใจจริงอยากจะเอาออกมาทานซะตอนนั้นแต่พอนึกถึงสภาพปากของไอ้เด็กที่มันเป็นคนเอามาแช่ก็ตัดใจวางไว้ที่เดิมเพราะถ้าหยิบออกมาหมอนั่นก็จะต้องอยากกินด้วยแต่ช๊อกโกแลตแข็งขนาดนี้คยูฮยอนคงกินไม่ไหวแน่ๆ เมื่อหันกลับมาอีกครั้งซองมินก็พบว่าโจ๊กในถ้วยของคนเจ็บพร่องไปเกือบหมดแล้ว


    "ทานยาแล้วไปบ้วนปากก่อนนะ ยังไม่ต้องแปรงฟันเดี๋ยวมันจะโดนแผล" มือบางเอื้อมไปหยิบเอาถ้วยโจ๊กเปล่าที่เพิ่งหมดลงไปมาถือไว้ขณะรออีกฝ่ายทานยา วันนี้คยูฮยอนเป็นคนเจ็บจึงได้รับการอนุโลมให้ไม่ต้องล้างจาน เมื่อซองมินเก็บแก้วและถ้วยโจ๊กทั้งหมดไปล้างแล้วคยูฮยอนจึงลุกไปบ้วนปากอย่างที่อีกฝ่ายสั่งไว้ เพียงครู่เดียวก็กลับออกมา ชายหนุ่มเดินไปหยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำแล้วเดินไปหาคนตัวเล็กที่ซิ้งค์ล้างจาน


    ไหล่เล็กขยับขึ้นลงในขณะที่ล้างเอาฟองสีขาวออกจากจาน ใบหน้าหวานก้มต่ำมองสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยความตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเสมอในยามที่เจ้าของของมันลงมือทำอะไรก็ตาม ทั้งที่มองเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอดแต่เขาไม่เคยเก็บมันมาใส่ใจ การกระทำที่แสนเล็กน้อยหากเมื่อย้อนกลับไปคิดถึงมีแต่จะทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ


    ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้จากซองมิน และถ้าให้พูดกันตามตรงคยูฮยอนออกจะมั่นใจว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้สัมผัสความพิเศษที่อีซองมินมอบให้ หลายครั้งที่บ่นตัดพ้อต่อว่าถึงการกระทำร้ายกาจแต่เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หรือที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้


    ‘หรือเค้าจะรอมึงอยู่..’


    คำพูดของชเวซึงฮยอนย้อนกลับมาให้ได้ยินชัดเจนในความรู้สึกราวกับว่าคนพูดยืนอยู่ข้างๆ


    การได้นอนจับมือกับซองมินเมื่อตอนเช้าเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเพิ่งตระหนักในเวลานี้ ..


    พระเจ้าครับ ถ้าผมจะขอเข้าข้างตัวเอง..


    ถ้าผมจะขอให้เหตุผลกับทุกการกระทำของคนๆนี้ว่า’ความรัก..’


    โจคยูฮยอนยืนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ ฤทธิ์จากแอลกอฮอล์ที่ตกค้างในกระแสเลือดเมื่อทำปฏิกริยากับความตื้นตันใจที่กำลังปะทุในอกมันทำให้ความยับยั้งชั่งใจหลุดหายไปราวกับอากาศที่ปลิดปลิว ร่างกายของเขาไม่รับคำสั่งจากสมอง ดังนั้นสิ่งที่แสดงออกมาจึงเป็นการกระทำที่เกิดจากความต้องการของหัวใจล้วนๆ


    ร่างสูงก้าวเข้าไปยืนซ้อนหลังคนที่กำลังล้างจานอยู่ แขนแกร่งสอดรั้งเอวเล็กเข้าสู่อกกว้าง กดจมูกลงกับกลุ่มผมนิ่มก่อนเลื่อนใบหน้าไปกระซิบชิดริมหูคนในอ้อมกอด


    "ขอบคุณครับ.." คำเดียวที่สามารถพูดได้ในเวลานี้..


    สัมผัสอ่อนโยนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ซองมินตกใจจนเกือบจะปล่อยจานในมือให้หล่นลงไปเป็นเศษกระเบื้อง คนตัวเล็กรีบล้างฟองออกจากจานใบสุดท้ายแล้วล้างมือให้สะอาด ยังไม่ทันได้เช็ดมือให้เรียบร้อยก็รู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ไหล่เล็ก..


    ไหล่ที่ใครอีกคนกำลังใช้มันซับน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า คยูฮยอนซุกหน้าเข้าหาลาดไหล่ของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมกอดวางมือเย็นๆลงบนมือหนา แรงกระชับแผ่วเบาพอให้รู้สึกถึงความใส่ใจทำให้น้ำตายิ่งพรั่งพรู  ไม่มีคำพูดใดจากคนตัวเล็กแต่ถึงอย่างนั้นคยูฮยอนก็รู้ว่าซองมินเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังบอก..

    ไม่มีคำถามว่าทำไมให้ลำบากใจที่จะตอบ เมื่อคยูฮยอนยังคงรักษาความเงียบไว้ ซองมินก็พอใจจะอยู่เงียบๆเป็นเพื่อน ความรู้สึกที่เขาค้นพบในตอนนี้ยิ่งตอกย้ำความไม่เอาใจใส่ ไม่มองเห็น ไม่รับรู้ของตนเองให้ยิ่งรวดร้าว อีซองมินไม่เคยปกปิดความรู้สึกหากแต่แสดงออกด้วยความสม่ำเสมอ แต่เขากลับมองว่านั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยและธรรมดาเพราะเป็นฝ่ายที่ได้รับจนเคยชิน..


    ในตอนนี้ แม้กระทั่งคำว่าขอโทษ..คยูฮยอนก็ยังไม่กล้าจะพูดมันออกไป  

     


    .

     


    .

     


    เสียงโทรศัพท์ที่ตั้งปลุกไว้ตอนหกโมงเช้าร้องดังสนั่นไปทั่วห้องนอน มือเล็กควานหาต้นเสียงเมื่อเจอแล้วก็ยัดมันใส่มือคนเป็นเจ้าของก่อนจะลุกขึ้นมานั่งหัวฟู..


    กำหนดการในวันนี้คือออกเดินทางเจ็ดโมงเช้า กระเป๋าเดินทางที่เตรียมเรียบร้อยแล้วสำหรับทริปคืนเดียววางอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า คนตัวเล็กไถตัวลงจากเตียงแล้วก้าวเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัว สักพักซองมินก็ออกมาในชุดที่พร้อมจะเดินทาง กางเกงห้าส่วนสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อยืดสีขาวเพ้นท์ลายกีต้าร์สีชมพูที่คิมรยออุกให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อต้นปีทำให้เจ้าตัวดูเหมือนเด็กมัธยมจนน่าตกใจ


    ทั้งที่นัดกับชาวบ้านไว้เจ็ดโมงแต่ตอนนี้ไอ้คนที่มันใช้โทรศัพท์แทนนาฬิกาปลุกก็ยังไม่ยอมโงหัวจากที่นอน ร่างเล็กเดินไปยังเตียงฝั่งที่โจคยูฮยอนนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มก่อนจะออกแรงเขย่าไหล่หนาให้รู้สึกตัว


    “คยู.. ตื่นได้แล้วนะ” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากไอ้คนที่ท่านเรียก..


    “คยู..” ก็ยังไม่ยอมตื่น..


    “โจคยูฮยอน!” น้ำเสียงห้วนห้าวที่ดังชิดริมหูทำให้คนขี้เซาค่อยๆปรือตาขึ้นมอง ทั้งที่เพิ่งได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่เขากลับถูกปลุกขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ ใบหน้างอง้ำแสดงให้เห็นถึงความหงุดหงิดที่ถูกรบกวนการนอนฉายชัดบนใบหน้าคมเห็นดังนั้นคนตัวเล็กจึงถามเสียงเรียบ


    “ไม่ไปแล้วใช่มั้ย ถ้าไม่ไปจะนอนต่อก็ได้ ส่วนของในกระเป๋าฉันจะเก็บออกให้ ฝากเฝ้าบ้านด้วยละกัน” ดวงตาคมมองตามคนจริงที่ตอนนี้กำลังเดินเปิดกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมเพื่อจะเก็บเอาเสื้อผ้าของคยูฮยอนออกแล้วก็ต้องรีบสลัดผ้าห่มออกจากตัวกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปรั้งมือเล็กไว้


    “โธ่ ไม่ได้บอกว่าไม่ไป ผมขอเวลาอาบน้ำแป็บเดียว รับรองไม่เกินสิบนาที” ว่าจบก็ถลาไปที่ราวพาดผ้าเข็ดตัวคว้าเอาผืนที่เป็นของตัวเองมาได้ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความรวดเร็ว


    ซองมินมองไอ้เด็กไม่รู้จักโตแล้วก็ถอนใจเบาๆ ผ้าห่มที่กองระเกะระกะถูกรวบมาพับให้เรียบร้อยโดยเจ้าของห้อง

     

    ตั้งแต่คืนนั้นหลังจากที่ซองมินปล่อยให้คยูฮยอนเสียน้ำตาทำซึ้งจนพอใจเขาก็จูงมืออีกฝ่ายเข้าไปนอน ซึ่งพอถึงเตียงเด็กตัวโตก็ยื่นหลอดยามาตรงหน้าแล้วทรุดนั่งลงบนขอบที่นอนเชิดหน้ารอให้ซองมินเป็นฝ่ายทายาให้ ซองมินบรรจงป้ายยาลงบนมุมปากหนาด้วยความแผ่วเบา นวดช้าๆเพื่อให้ตัวยาซึมและออกฤทธิ์ได้อย่างทั่วถึง แต่เมื่อทาเสร็จไอ้ตัวดีก็บ่นว่าเหม็นยา ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อแผลมันอยู่ใต้จมูกแบบนั้นถ้าอยากหายก็คงต้องทนเหม็นไปอีกหลายวัน จากนั้นซองมินจึงเข้าไปล้างมือในห้องน้ำกลับออกมาก็พบว่าโจคยูฮยอนนอนซุกตัวหลับตาพริ้มอยู่ในผ้าห่มของเขาเรียบร้อยแล้ว

     

    และตั้งแต่คืนนั้นจนกระทั่งตอนนี้หมอนั่นก็ยังไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเองแม้แต่คืนเดียว หนักเข้าก็ไปเก็บเอาสัมภาระข้าวของเครื่องใช้หนังสือหนังหามาวางกองไว้ในห้องของซองมินอย่างกับว่าห้องนี้มันจ่ายเงินซื้อด้วยตัวเอง..

    ถ้ามันเกิดเป็นผู้หญิงพ่อแม่คงหนักใจไม่น้อยที่ลูกตัวเองเก็บข้าวเก็บของมาอยู่กับผู้ชายสองต่อสองแบบนี้..

     

     

     

    ซองมินมองคนที่อยู่ในชุดกางเกงขาสั้นระดับเข่ากับเสื้อยืดสีขาวลายไมค์โครโฟน(ที่เป็นของขวัญจากรยออุกเหมือนกัน)แล้วจึงเบ้ปากใส่ อย่างนี้มันแต่งตัวเลียนแบบกันนี่หว่า!


    เมื่อพร้อมออกจากบ้านซองมินจึงเดินสำรวจก๊อกน้ำและปลั๊กไฟภายในห้องให้เรียบร้อยอีกครั้งจากนั้นจึงออกมาสมทบกับไอ้คนที่มันยืนแบกเป้รออยู่หน้าประตู ซองมินกระชับกระเป๋ากล้องบนไหล่แล้วจึงปิดล็อคประตูหน้าห้อง คนตัวเล็กเดินนำเข้าไปในลิฟท์แล้วก็กดหมายเลขชั้นที่อยู่สูงขึ้นไปให้อีกฝ่ายทำตาโตเป็นคำถาม..


    “ไปดูห้องนายก่อนสิ เผื่อลืมเสียบปลั๊กอะไรทิ้งไว้”


    “ไม่ลืมแล้ว เมื่อคืนก่อนผมก็ขึ้นมาดูแล้วรอบนึงอ่ะ” อีซองมินส่ายหน้าไม่ไว้ใจ เมื่อคืนมันบอกว่าลืมเอาสายชาร์จโทรศัพท์มาด้วย แล้วบอกว่าระหว่างที่ไปทะเลจะใช้ของเขาแทนเพราะเสียบกันได้พอดีทำให้เขาสังหรณ์ใจว่ามันต้องเสียบสายชาร์จทิ้งไว้โดยไม่ได้ดึงออกจากปลั๊กแน่ๆ เพราะทุกครั้งที่ไปหาคยูฮยอนที่ห้องซองมินจะเจอสายชาร์จถูกเสียบคาไว้กับปลั๊กอยู่เสมอ


    เมื่อเปิดประตูเข้ามาซองมินก็พบว่าห้องของโจคยูฮยอนดูเรียบร้อยกว่าตอนที่เจ้าตัวอยู่เป็นประจำ เพราะคุณแม่ของไอ้เด็กนี่ส่งแม่บ้านมาทำความสะอาดให้วันเว้นวัน แล้วยิ่งพอไม่มีคนทำรกห้องก็เลยดูดี (แต่ตอนนี้ห้องของเขากำลังรกมาก และคงไม่ต้องบอกว่าเป็นเพราะใคร..)

     

    ซองมินเดินสำรวจจนทั่วแล้วก็พบว่าสายชาร์จโทรศัพท์ไม่ได้คาปลั๊กอยู่แต่ม้วนไว้อย่างเรียบร้อยจนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวมันเป็นคนเก็บเอง คนตัวสูงยักคิ้วใส่ซองมินสองจึ๊กซึ่งแปลได้ความว่า ผมบอกแล้วใช่มั้ย หน้าตามันทะเล้นจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่กอดเขาร้องไห้ในคืนนั้น

     

    มือเล็กเงื้อขึ้นหมายจะดีดหน้าผากไอ้คนที่มันกำลังทำหน้าเยาะเย้ยตนเองแต่กลับถูกฝ่ายนั้นคว้าข้อมือไว้ คยูฮยอนบิดยิ้มยักคิ้วใส่ตาคนตัวเล็กกว่าที่กำลังฮึดฮัดไร้ทางสู้

     

    เปล่าไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ เพียงแต่ของที่ซองมินสะพายอยู่นั้นออกจะเป็นของรักของหวงของเจ้าตัวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกล้องถ่ายรูปหรือกีตาร์ตัวเก่ง ลองว่าทำอะไรรุนแรงลงไปถ้าพลาดข้าวของเสียหายดูท่าว่าจะไม่คุ้ม..


    และด้วยเหตุผลเหล่านี้มันเลยทำให้คนที่มองเหตุการณ์ตรงหน้าทะลุปรุโปร่งยิ่งได้ใจ อีซองมินจะรู้ตัวไหมว่าตั้งแต่คืนที่เผลอทำตัวใจดีให้ใครอีกคนยืมไหล่ซับน้ำตาในความตื้นตันคนๆนั้นก็ตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าจะเริ่มปฏิบัติการ’ค้นใจ’เพื่อหา’ความหมาย’ในทุกการกระทำของอีซองมิน..


    จริงอยู่ว่าคยูฮยอนอาจจะไม่เคยจีบใครก่อน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่เป็นเสียหน่อย ของแบบนี้มันต้องมีครั้งแรก ความรู้สึกลิงโลดประทุขึ้นในอกทุกครั้งที่คิดว่าอีซองมินอาจจะมีใจให้เขาบ้างและมันก็เป็นแรงผลักดันให้เขากล้าลองทำในสิ่งที่เคยคิดมาตลอดว่าทำไปก็ไร้ค่า


    จากการที่ใช้ชีวิตด้วยกันมานาน เห็นความผิดพลาดของคนอื่นมาหลายครั้ง โดยเฉพาะที่พี่จองโมทำลงไป โจคยูฮยอนจึงเรียนรู้ที่จะไม่เดินดุ่มเข้าหา วิธีการพุ่งเข้าชนไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ความเสี่ยวในสายเลือดมันบอกเขาว่า..กับคนๆนี้ ต้องใช้วิธีหลิ่วตาตาม


    คยูฮยอนส่ายหน้าไปมาคล้ายกับจะบอกอีกฝ่ายว่าต่อให้ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างสูงเลื่อนฝ่ามือไปกุมกระชับกับมือเล็กแล้วออกแรงจูงให้เดินไปที่หน้าห้องจัดการล็อกประตูจนเรียบร้อยโดยไม่ยอมปล่อยมือซองมินให้เป็นอิสระ จนกระทั่งลงมาถึงชั้นล่างสุด ลามไปจนตอนที่รถตู้ของชเวซีวอนมาจอดรับคยูฮยอนก็ยังดึงมือซองมินให้ขึ้นมานั่งข้างกัน


    เพราะออกเดินทางกันแต่เช้า ดังนั้นเมื่อผ่านไปสักพักทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถที่จับจองเบาะหลังสุดเพื่อนั่งซุกกันกับอีฮยอกแจแค่สองคน เบาะกลางที่มีคิมจองอุนนั่งยิ้มกับถนนหนทางให้รยออุกลงไปนอนขดตัวหนุนตัก หรือเบาะหน้าสุดที่เป็นของซองมิน คนตัวเล็กนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงปล่อยให้ไอ้เด็กบางคนเอนศีรษะมาพิงไหล่ ส่วนคิมคิบอมที่วันนี้มาเดี่ยวก็อาสาไปนั่งข้างหน้าคู่กับพี่คนขับ


    หลังจากผ่านการนั่งรถกินขนมชมวิวบ้างหลับบ้างราวสามชั่วโมงคณะนักเดินทางผู้มีเสียงดนตรีอยู่เต็มหัวใจก็มาถึงท่าเรือสำหรับข้ามไปยังเกาะเล็กๆที่เป็นเป้าหมายของทริปนี้..


    เมื่อขนสัมภาระลงจากรถตู้ลงเรือเร็วที่จองไว้แล้วคุณชายจากตระกูลชเวก็สั่งความให้คนขับรถกลับมารับอีกทีพรุ่งนี้ตอนเย็น ใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีทั้งหมดก็มาถึงรีสอร์ทท้ายเกาะ น้ำทะเลใสแจ๋วอย่างที่วาดหวัง แถมยังมีกิจกรรมทางน้ำอีกหลายรายการให้เลือกเล่นได้เต็มที่ งานนี้คงได้เปลี่ยนสีผิวกลับบ้านกันแน่ๆ


    บ้านพักแต่ละหลังที่จองไว้มีบริเวณเป็นของตัวเอง พวกเขาจองบ้านพักสองหลังติดกันเพราะหนึ่งหลังมีห้องนอนสองห้อง โชคดีที่คิมรยออุกจัดการทุกอย่างไว้ก่อนแล้วบ้านพักที่พวกเขาได้จึงเป็นหลังที่หันหน้าออกสู่ทะเล หลังจากเอาข้าวของสัมภาระไปเก็บเรียบร้อยก็ได้เวลาลงน้ำ ไม่มีใครรีรอเนื่องจากมีเวลาแค่สองวันหนึ่งคืน ดังนั้นเมื่อซองมินออกมาจากห้องพักก็พบว่าไม่มีใครแล้ว


    ซองมินสะพายกระเป๋ากล้องเดินออกมาที่ลานหน้าบ้านพัก สายลมหอบเอากลิ่นทะเลมาปะทะกับใบหน้าให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ คนตัวเล็กเดินเข้าไปหาคิมจองอุนที่กำลังทำท่าเก้ๆกังๆกับกล้องตัวใหม่ที่ซองมินไม่กล้าจะแตะเท่าไหร่เพราะราคามันมากกว่าค่าเทอมของเขาไปเกือบสามเท่า ชายหนุ่มหันมาหาซองมินพร้อมกับทำหน้าเมื่อย


    “ถ่ายแล้วสีสวยดีนะ แต่ฉันยังไม่ชินเท่าไหร่ ถนัดกับไอ้ยักษ์มากกว่าเสียดายที่น้องชายเอาไปพังจนซ่อมไม่ได้เลย” ซองมินฟังแล้วก็คิดไปถึงกล้องตัวเก่าของคิมจองอุน คนตัวเล็กกว่ายกกล้องในมือขึ้นโชว์เพื่อบอกว่าของเขายังอยู่ดี กล้องตัวนั้นเขากับจองอุนไปซื้อพร้อมกันตอนที่ขึ้นปีสองด้วยเหตุผลที่ว่าจะลงเรียนถ่ายรูป ซื้อพร้อมกันยี่ห้อเดียวกันแล้วสุดท้ายก็เอามาถ่ายด้วยกันเกือบจะทุกงาน เขารู้จักกับจองอุนเพราะเคยไปเล่นกีต้าร์ให้เพลงที่ใช้ในการแสดงละครเวทีที่คิมจองอุนได้รับบทเป็นตัวเอกตั้งแต่ตอนที่อยู่ปีหนึ่ง


    “เดี๋ยวก็ชินน่า นายถ่ายรูปสวยอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว” ว่าแล้วก็บุ้ยใบ้ให้ลองเก็บภาพ เอ่อ อะไรวะนั่น! ซองมินมองไอ้แก๊งค์นักดนตรีแล้วก็ขำพรวดออกมา คิมคิบอม โจคยูฮยอน ชเวซีวอน ในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทตัดกับผิวขาวจัดอวดกล้ามเนื้อแก่สายตาประชาชีที่มันเดินผ่าน ท่อนล่าง.. ซองมินเดาเอาว่ามันต้องนัดกันซื้อมาใส่แน่ไอ้กางเกงลายดอกสีชมพูแป๊ด เขียวอี๋ เหลืองอ๋อย สามสีสามคนนั่น แล้วไม่ทราบว่าสน๊อกเกิลกับตีนกบตีนเป็ดตีนไก่ที่มันสรรหามาใส่ประดับร่างมันก็นัดกันซื้อหรืออย่างไรทำไมมันถึงได้สีเดียวกับกางเกงกันทั้งสามคน


    “จองอุนลองถ่ายสามคนนั่นดิ๊ อยากรู้ว่าสีจะสวยมั้ย” คิมจองอุนยกกล้องขึ้นเก็บภาพเสร็จก็พอดีกับที่นายแบบทั้งสามคนเดินเข้ามาถึงใต้ร่มไม้ที่ซองมินนั่งอยู่กับคิมจองอุน


    “พี่สองคนไม่เล่นน้ำหรือครับ” เสียงทุ้มต่ำมีสัมมาคารวะถูกส่งมาจากเจ้าชายกางเกงเหลือง


    “ยังไม่เล่นตอนนี้อ่ะ ร้อน เดี๋ยวถ่ายรูปพวกนายกันก่อนแล้วตอนเย็นๆค่อยลง” ร่างสูงเดินมาหมายจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับซองมินแต่ก็ช้ากว่าก้นใหญ่ๆของใครอีกคน โจคยูฮยอนตีหน้าซื่อขณะที่เบียดเข้ามาแทรกตัวลงที่ว่างข้างคนตัวเล็กพร้อมกับปรายตามองให้คุณชายชเวไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่ไรแดดลอดผ่านเงาไม้มาถึง ซีวอนอาจจะไม่ได้คิดอะไรเพราะเข้าใจว่าเพื่อนไม่อยากโดนไอความร้อนจากแสงแดด แต่ไอ้แขนที่มันยกขึ้นมาพาดพนักเก้าอี้แสดงความเป็นเจ้าของคนข้างๆนี่แหละที่ไม่พ้นสายตาคิมคิบอม

     

    มือเบสทายาทอสูรหลุดทำเสียงขลุกขลักในลำคอ ภาพเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่าไหร่เพราะโจคยูฮยอนมันก็ทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพี่ซองมินอย่างนี้ประจำแต่ที่ติดใจคือ’บรรยากาศ’ที่เปลี่ยนไปต่างหาก เมื่อก่อนคยูฮยอนอาจจะทำสิ่งเหล่านี้ไปโดยไม่รู้ตัวคล้ายๆอาการของเด็กหวงเพื่อน แต่สามสี่วันนี้เขารู้ว่ามันตั้งใจ.. ตั้งใจแสดงให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าพี่ซองมินเป็นของมัน


    อีซองมินยังคงยกกล้องขึ้นส่องทัศนียภาพไปเรื่อยๆสลับกับการตรวจเช็ครูปโดยไม่ได้สนใจความเป็นไปของคนข้างๆว่าตอนนี้ขยับเข้ามาใกล้เพียงใดแล้ว โจคยูฮยอนยื่นหน้าเข้าไปมองรูปที่ซองมินกำลังดูอยู่ ยื่นปลายนิ้วไปชี้โน่นนี่นั่นบนหน้าจอแอลซีดีพร้อมออกความคิดเห็นราวกับเป็นปรมาจารย์ด้านการถ่ายภาพโดยที่แขนอีกข้างก็ยังวางพาดพนักเก้าอี้ ฟังมันออกความเห็นเรื่องแสงตกกระทบมุมโน้นมุมนี้เพราะงั้นผมว่าพี่โฟกัสตรงนั้นตรงนี้จะเหมาะกว่าแล้วคิบอมก็ชักจะหมั่นไส้หนัก


    “แหมะ กูเพิ่งรู้ว่ามึงไปเรียนถ่ายภาพมากับพี่ซองมินด้วยรู้ดีจังเลยนะไอ้เรื่องแสงเรื่องเงาเนี่ย”


    “ไม่ได้ขัดคอกูนี่มึงจะกินข้าวไม่ลงใช่มั้ยครับ” สวนทันทีโดยไม่ต้องรักษาภาพ รู้เช่นเห็นชาติกันมาตั้งสามปีคยูฮยอนรู้ดีว่าอย่าได้เพลี่ยงพล้ำให้มันเด็ดๆ


    “ป่าวววว ก็กูเห็นมึงเล่าเรื่องแสงเรื่องสีให้พี่ซองมินฟังได้เป็นฉากๆ ตกลงมึงเรียนมาหรือเป็นกูเกิ้ลถึงได้รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง” คยูฮยอนหันไปมองเพื่อนสนิทแล้วจึงเบ้หน้าใส่ ตัดสินใจใช้ความสงบสยบคำพูดอีกฝ่ายโดยการหันไปให้ความสนใจกับคนข้างๆต่อ คุยกับคิบอมไม่เจริญหูเจริญตาสู้หน้าหวานๆตาโตๆที่นั่งเบียดกันนี่ไม่ได้..

     

    คยูฮยอนนึกยิ้มย่องในใจเมื่อค้นพบว่าความจริงแล้วอีซองมินไม่ได้เพียงแค่หล่อมากอย่างเดียว แต่พอมองให้หวาน คนตัวเล็กก็หวานได้อย่างไม่น่าเชื่อ หนำซ้ำยามที่ยิ้มจนตาปิดแก้มป่องยิ่งดูน่ารักจนเขาแทบจะคลานเข่าเข้าไปถวายตัว.. เอ่อ ไม่ใช่ละ! แก้มป่องๆนั่นเจ้าตัวจะรู้ไหมว่ามันน่าฟัดขนาดไหน ถึงตอนนี้เขาจึงไม่นึกแปลกใจเลยว่าทำไมที่ผ่านมาคนที่เข้ามาขายขนมจีบให้อีซองมินถึงได้มีซะทุกเพศทุกวัย..


    “พี่หิวมั้ย” เสียงทุ้มที่คลอเคลียอยู่ริมหูเอ่ยถามในสิ่งที่ซองมินคิดว่าไอ้คนถามนั่นแหละที่เป็นฝ่ายหิว ตั้งแต่แวะทานข้าวเช้าระหว่างทางจนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอาหารมื้อหนักตกถึงท้องใครสักคน แต่ด้วยความที่กินขนมกันมาตลอดทางเลยทำให้ไม่หิวมากเท่าที่ควร


    “หิวนิดหน่อย ทำไมนายหิวแล้วเหรอ” คนหิวพยักหน้ารัวๆอย่างที่ซองมินคิดไว้ไม่มีผิด คนตัวเล็กกว่าเลยหันไปหาน้องอีกสองคนที่กำลังคุยกันเรื่องผลบอลเมื่อคืนก่อนโน้น


    “คิบอม ซีวอนหิวกันหรือยัง” ยังไม่ได้ทันได้ตอบคิมจองอุนที่วุ่นวายกับกล้องตัวใหม่อยู่ก็แทรกขึ้นมาก่อน


    “รอแป็บนึงนะ รยออุกกับฮยอกแจไปสั่งอาหารโน่นแล้ว เดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ” ว่ายังไม่ทันขาดคำสองคนที่ไปสั่งอาหารก็ปรากฏต่อสายตา ทั้งสองคนเดินนำหน้าพนักงานของรีสอร์ตเข้ามาที่โต๊ะ อาหารง่ายๆสำหรับมื้อกลางวันถูกยกมาเสิร์ฟให้แต่ละคนประทังความหิวก่อนที่จะไปจัดเต็มกับมื้อค่ำที่พวกเขาสั่งชุดปิ้งย่างอาหารทะเลแบบฟูลเซ็ตไว้


    หลังจากที่จัดการมื้อกลางวันที่ค่อนไปทางบ่ายอ่อนๆกันเสร็จกิจกรรมทางน้ำที่รอคอยก็มาถึง แสงแดดจัดจ้าไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่เหล่านักดนตรีผู้มีความสนุกอยู่เต็มหัวใจ


    “พี่ครับผมฝากโทรศัพท์ด้วยนะ เดี๋ยวมันเปียก” ทันทีที่คิบอมเดินมายื่นโทรศัพท์ไว้ให้ดูแลชั่วคราว มืออีกสามข้างก็ยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้า รุ่นพี่ตัวเล็กค่อยๆรวบเอาเครื่องมือสื่อสารราคาแพงของแต่ละคนไว้ ดูเหมือนจะมีแค่รยออุกเท่านั้นที่เอาไปซุกไว้ในกระเป๋ากล้องของจองอุน เมื่อทุกอย่างพร้อมชาวคณะจึงมุ่งหน้าไปยังจุดที่มีเรือพายที่เตรียมไว้ให้เช่าจอดอยู่


    ซองมินสังเกตว่าเวลาที่ไอ้แกงค์สามช่ามันเดินผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนก็เป็นอันให้มีสาวๆมองตามกันจนเหลียวหลังไปตลอดทาง ปกติแค่หน้าตาก็กินขาดคนทั่วไปอยู่แล้วแต่วันนี้มันยังพร้อมใจกันแต่งตัวเป็นแฝดสามสีงานนี้ไม่ถูกมองจนสึกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว


    คนตัวเล็กยกกล้องเก็บภาพนายแบบทั้งหลายไปเรื่อยๆขณะที่แต่ละคนตกลงกันว่าจะเล่นอะไรก่อนหลัง ไอ้ที่คุยๆกันไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผลใดๆทั้งสิ้นเมื่อเจอของเล่นจริงๆ แต่ละคนงอแงจะเล่นอันที่ตัวเองหมายตาไว้ก่อนจะไปเล่นอย่างอื่น รยออุก ฮยอกแจ คยูฮยอนจะเล่นบานาน่าโบ๊ท ในขณะที่คิบอมกับซีวอนจะพายเรือคายัค แต่ซีวอนจะพายกับฮยอกแจ และคยูฮยอนจะนั่งบานาน่าโบ๊ทแข่งกับคิบอมเพื่อดูว่าใครจะเป็นฝ่ายตกก่อนกัน.. เอากับพวกมันสิ!


    ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ตกลงใจกันได้ว่าจะไปพายเรือกันก่อน งานนี้คิมจองอุนเลยต้องฝากกล้องไว้ที่ซองมินเพื่อไปพายเรือให้รยออุกนั่งเล่น คู่อื่นดูท่าว่าจะไปกันได้สวย แต่ไอ้ลำที่มือเบสนั่งกับนักร้องนำนี่ซองมินชักจะเป็นห่วง พอขึ้นไปนั่งได้มันก็พายกันคนละทิศเรือยังไม่ทันจะได้ออกตัวไปไหนก็เห็นแววว่าจะล่มอยู่แถวนั้น

     

    ซองมินยังคงไล่ถ่ายภาพแต่ละคนด้วยความสนุก เห็นซีวอนกับฮยอกแจหยอกล้อกันบนเรือลำเล็กแล้วก็ได้แต่ยิ้มตามไม่ต่างจากท่าทางอบอุ่นของจองอุนยามที่พายไปแล้วชี้ชวนให้รยออุกดูโน่นดูนี่ไปด้วย

     

    แต่คู่ที่น่ารักที่สุดเห็นจะเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันที่คนหนึ่งก็นั่งหน้าบูดพยายามจะงัดพายไปทางขวาอีกคนก็ทำหน้าทะเล้นไม่ยอมน้อยหน้าโดยการออกแรงตวัดไม้พายเพื่อให้เรือไปทางซ้ายและสุดท้ายมันก็วนไปวนมาอยู่ที่เดิม

     

    ถ้าไม่ได้อยู่กับทั้งสองคนมานานซองมินก็คงไม่เชื่อว่าด้วยนิสัยไม่ยอมกันแบบนี้มันจะร่วมวงดนตรีกันมาได้ถึงสามปีแล้ว

     


     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

    ด้วยความที่รีสอร์ทที่พักถึงแม้จะไม่เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตจนทำให้ปริมาณคนที่มาเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์พลุกพล่านแต่อย่างใด นักท่องเที่ยวหลายกลุ่มกระจัดกระจายทำกิจกรรมต่างกันออกไปทั้งนอนอ่าหนังสือ นั่งฟังเพลง ถ่ายรูป นั่งสังสรรค์ร้องเพลงกันเป็นกลุ่มๆซองมินมองภาพเหล่านั้นขณะที่เดินเรื่อยตามชายหาดที่ทอดตัวยาวออกไป


     

    เรือพายทั้งสามลอยลำออกไปกลางทะเลทำให้ยากแก่การเก็บภาพจึงทำให้คนที่วันนี้เปลี่ยนจากมือกีต้าร์มาเป็นตากล้องสมัครใจที่จะเดินถ่ายภาพท้องทะเลในมุมต่างๆเท่าที่ใจอยากมากกว่าที่จะกลับเข้าไปนั่งรอใต้ร่มไม้


     

    เดินมาสักพักก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหันไปมองก็พบว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ดูแล้วน่าจะมาจากประเทศทางฝั่งตะวันตก เมื่อเห็นว่าคนที่เดินอยู่ด้านหน้ารู้ตัวชายคนนั้นจึงส่งยิ้มทักทายซองมินก่อนพาตัวเองเข้ามาใกล้อีกนิด มือหนาชูกล้องให้ดูราวกับจะบอกว่าที่เดินมาทางนี้ก็ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน


     

    รอยยิ้มกระจ่างตาถูกส่งมอบไปให้คนตรงหน้า ถึงแม้จะต่างชาติต่างภาษาแต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองคนเข้าใจตรงกันว่ามันคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ คำทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่นที่มาจากชายคนนั้นทำให้ซองมินแปลกใจนิดหน่อย ภาษาญี่ปุ่นที่เคยร่ำเรียนมาบ้างถูกขุดมาใช้เมื่อฝ่ายนั้นเริ่มชวนคุย แต่กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าหวั่นใจนักเมื่ออีกฝ่ายก็พอจะรู้ว่าควรจะสื่อสารอย่างไรให้คนที่เป็นเจ้าถิ่นเข้าใจตนเอง


     

    ซองมินคุยกับผู้ชายคนนั้นด้วยภาษาญี่ปุ่นบ้างอังกฤษบ้างแล้วแต่จะคิดทัน เท่าที่จับใจความได้ชายคนนี้ชื่อชิโรตะ ยู และที่หน้าตาไม่ได้เข้าข่ายเป็นคนญี่ปุ่นเท่าไรแต่กลับใช้ภาษาญี่ปุ่นได้ไม่เพี้ยนเลยเพราะเป็นลูกครึ่งสเปน

     

     

    R R R R R R R R


     

    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องเลนส์ทำให้ซองมินต้องควานหาต้นกำเนิดเสียง มือเล็กหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารราคาแพงขึ้นมาดูก็พบว่าพี่สาวของเจ้าของเครื่องโทรมา ขณะที่กำลังชั่งใจว่าจะรับดีหรือไม่เสียงเรียกเข้าก็ตัดไปและเพียงครู่เดียวก็มีข้อความส่งเข้ามาแทน ซองมินตัดสินใจเปิดข้อความขึ้นมาอ่านแล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นสั่งให้โทรกลับ’ด่วนที่สุด’ เห็นดังนั้นซองมินจึงโทรกลับไปหาโจอาราทันที


     

    หลังจากที่คุยกันเสร็จก็ได้ความว่าฝ่ายนั้นแค่จะโทรมาบอกคยูฮยอนว่าคุณพ่อคุณแม่จะไปเยี่ยมคุณป้าที่อยู่ออสเตรเลียและเธอกำลังจะจองตั๋วเครื่องบินจึงโทรมาถามว่าคยูฮยอนจะไปด้วยหรือเปล่า ซองมินรับปากเป็นธุระว่าจะถามให้แล้วจึงวางสายไปแต่เนื่องจากว่าโทรศัพท์ราคาแพงตอบรับสัมผัสปลายนิ้วดีไปนิดจากที่กำลังจะกดออกจากโปรแกรมจึงกลายเป็นว่าหลงเข้าไปในส่วนที่เจ้าของเครื่องใช้เก็บภาพภ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ


    ขณะที่นิ้วเรียวกำลังจะเลื่อนออกจากคลังเก็บภาพสายตาของซองมินก็กวาดไปพบกับโฟลเดอร์รูปที่ชื่อดูน่าสนใจไม่น้อย คนตัวเล็กถือวิสาสะกดเข้าไปดูภาพในนั้น

     

    เพียงแค่ภาพเดียวที่ปรากฏซองมินก็ได้คำตอบว่า ’Mine’ของโจคยูฮยอนหมายถึงอะไร..

     

    ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ขณะที่สองตายังจ้องภาพในจอ ความร้อนแล่นริ้วขึ้นมาจนพวงแก้มกลายเป็นสีเชอรี่สุกปลั่ง มือเล็กกดปิดภาพ ออกจากโปรแกรมทั้งหมดแล้วเก็บโทรศัพท์ไว้อย่างเดิมก่อนจะเงยหน้ามาพบว่าคนที่เดินมาด้วยกันกำลังมองมาที่ตนเอง ชิโรตะคลี่ยิ้มขณะที่ลดกล้องในมือลง เห็นดังนั้นซองมินจึงพยักหน้าชวนให้อีกฝ่ายเดินต่อ

     

    เดินไปคุยไปถ่ายรูปไปไม่นานนักก็วนกลับมาเจอจุดเริ่มต้น โต๊ะที่ใช้นั่งเมื่อตอนที่ทานอาหารกลางวันถูกจับจองโดยคนกลุ่มเดิม เมื่อเห็นว่าแต่ละคนมานั่งรอกันพร้อมหน้าซองมินจึงชวนเพื่อนใหม่ไปร่วมโต๊ะ


     “พี่รู้จักเค้าหรือครับ” รยออุกเปิดปากถามทันทีที่ทั้งสองคนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ก็นะ..สงสัยอะไรก็ต้องถามไม่งั้นจะเสียชื่อชมรมดนตรีมหาภัย เอ้ย มหา’ลัย


    “เพิ่งรู้จักเมื่อกี้เอง เค้ามาเที่ยวแล้วพอดีเห็นพี่ถ่ายรูปอยู่คนเดียวก็เลยมาคุยด้วย แต่เห็นว่าเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะเค้าจองที่พักไว้บนฝั่งโน้น” ซองมินตอบออกไปขณะที่มือก็สาละวนค้นเอาโทรศัพท์ของแต่ละคนขึ้นมาจากช่องใส่ของในกระเป๋ากล้องแล้วแจกคืนเจ้าของ


     “เค้ามาจากที่ไหนน่ะซองมิน” เนื่องจากกล้องถ่ายรูปของชิโรตะเป็นรุ่นที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกมือสมัครเล่นธรรมดาทั่วไปจึงทำให้จองอุนและซีวอนยิ่งสนใจหนัก และซองมินที่เป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นได้จึงต้องกลายมาเป็นล่ามจำเป็น


     

    “มาจากญี่ปุ่น เห็นว่าชอบถ่ายรูป เค้าบอกว่าเค้ามีแกลอรี่ด้วยนะ” ซองมินหันไปตอบคิมจองอุนที่ตอนนี้พยายามจะใช้ภาษาอังกฤษคุยเรื่องกล้องกับชิโรตะบ้างอย่างที่ซีวอนกำลังทำ ซีวอนชอบถ่ายรูปเพียงแต่ทริปนี้เขาไม่อยากเป็นตากล้องเพราะอยากใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกับคนรักมากกว่าแต่พอมาเจอมืออาชีพเช่นนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องที่สนใจ


    “พี่ไปเจอเค้าที่ไหน” เสียงทุ้มจากคนที่ไม่ได้เปิดปากคุยกับเพื่อนใหม่เลยเอ่ยขึ้นมาเมื่อทั้งจองอุน ซีวอนและคิบอมเรียกความสนใจจากคุณช่างภาพสัญชาติญี่ปุ่นไปแล้ว


    “เจอตรงทางเดินริมหาดตรงโน้น” มือเล็กชี้ไปยังจุดเกิดเหตุที่คยูฮยอนถามหา


    “อ้อ พี่อาราโทรมา เห็นบอกว่าพ่อกับแม่นายจะไปเยี่ยมคุณป้าที่ออสเตรเลียเค้าจะจองตั๋วเครื่องบินกันแล้วให้นายโทรกลับไปหาด้วย” ได้ยินดังนั้นคยูฮยอนจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วลุกจากเก้าอี้ไป

     

    ร่างสูงเดินไปหยุดยืนคุยโทรศัพท์ห่างออกไปจากโต๊ะเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็หันกลับมาเรียกหาซองมิน คนตัวเล็กยิ้มให้ชิโรตะเป็นเชิงขอตัวหลังจากที่แปลคำถามของคิมจองอุนเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ฝ่ายนั้นฟังเสร็จ ร่างเล็กที่เดินไปหยุดด้านข้างทำให้คยูฮยอนยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วหันมาหาคนที่ยืนมองตนเองอยู่


    “พี่จำได้มั้ยงานบายเนียร์เดือนหน้า วงเราเล่นวันที่เท่าไหร่”


    “สิบเจ็ด” เท่านั้นร่างสูงก็หันกลับไปตอบคนปลายสายว่าไม่สามารถไปออสเตรเลียได้


     

    เมื่อเห็นว่าหมดธุระแล้วซองมินจึงหมุนตัวหมายจะเดินกลับมาที่โต๊ะแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่รั้งแขนไว้ไม่ให้เดินต่อ คนตัวเล็กเลิกคิ้วถามคนที่จับแขนตนเองไว้ว่ามีอะไรแต่คยูฮยอนก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ


    เขาได้ยินคยูฮยอนบอกกับพี่อาราไปว่าอาทิตย์หน้าจะกลับบ้านแล้วจึงวางสาย คิ้วคมขมวดมุ่นเหมือนมีเรื่องไม่สบอารมณ์จนซองมินต้องยกมือข้างที่ว่างอยู่ไปนวดให้คลายออกจากกัน


     

    “อยากไปออสเตรเลียเหรอ ความจริงนายไปเที่ยวกับที่บ้านก็ได้นะ รยออุกก็อยู่อีกทั้งคน วงไม่ล่มหรอกน่า” โจคยูฮยอนมองคนพูดด้วยรอยยิ้มบาง อยากบอกว่าไม่ใช่เหตุผลนี้แต่ก็ยังไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ


    ความรู้สึกผ่อนคลายยามที่สัมผัสจากปลายนิ้วเล็กนวดเคล้นระหว่างคิ้วเมื่อครู่ยังตรึงอยู่ในอกซ้าย ซองมินทำแบบนี้มานานจนเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่พอวันนี้เขาใส่ใจที่จะมองการกระทำเล็กๆน้อยๆที่อีกฝ่ายมอบให้ คยูฮยอนจึงได้รู้ว่าที่แล้วมาตนเองได้รับสิ่งเหล่านี้มากมายเพียงใด


    “บายเนียร์ของพี่เชียวนะ อยากให้ผมไปจริงเหรอ”


    “ก็อยากให้อยู่ แต่ว่าถ้าได้ไปเที่ยวกับครอบครัวมันก็ดีใช่มั้ยล่ะ” คยูฮยอนไล้นิ้วโป้งไปบนฝ่ามือเล็กขณะที่มองคนตรงหน้าออกความเห็น


    ทำไมคยูฮยอนจะไม่เห็นว่าตากล้องชาวญี่ปุ่นนั่นมันมองตามซองมินไปทุกที่ เขาไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มอง ในเมื่ออยากเห็นก็จะให้เห็น อยากมองก็จะให้มอง เดี๋ยวได้เจอความเสี่ยวระดับเทพแล้วจะหาทางกลับญี่ปุ่นไม่ทัน คอยดู!


    "ออสเตรเลียเมื่อไหร่ก็ไปได้ ส่วนพ่อกับแม่ทริปหน้าก็ยังไปได้ แต่บายเนียร์ของพี่มีวันเดียวนะถ้าคืนนั้นพี่เมาใครจะแบกพี่กลับ ให้ผมอยู่ด้วยนี่แหละดีที่สุด..”


    “แล้วอย่ามาบ่นทีหลังว่าไม่ได้เที่ยวล่ะ” คราวนี้คนตัวสูงจับฝ่ามือเล็กให้หงายขึ้นมาแล้วจึงวาดวงกลมลงไปบนนั้น


    “โลกของผมไม่ได้แคบเหมือนโลกของพี่หรอกนะ ออกจะกว้างใหญ่ด้วยซ้ำไป แถมยังอยู่กันเยอะแยะหลายคน แต่..ก็ใช่ว่าจะได้รับความสำคัญไปทุกคน..” อีซองมินพยักหน้าเบาๆเป็นการบอกว่าเข้าใจที่คยูฮยอนพูด


    ดวงตาคู่สวยมีแววเก้อกระดากเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กรุ่นน้องยืมเอาวิธีง้องอนในเช้าวันนั้นมาใช้กับตนเอง คนตัวเล็กกัดฟันลงกับริมฝีปากล่างพยายามจะกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ


    “ตกลงว่าไม่ไป” ซองมินถามย้ำอีกครั้งเพราะเวลานี้เขานึกคำพูดอื่นไม่ออกแล้ว ดูเหมือนว่าคยูฮยอนกำลังต้อนเขาให้จนมุม เป็นครั้งแรกที่ซองมินรู้สึกว่าเขากำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับความเสี่ยว


    “ผมอยากอยู่กับพี่..”


    ริ้วความเขินอายแล่นผ่านทุกตารางนิ้วบนร่างกายจนซองมินต้องหลบสายตาคนพูดแล้วเสมองไปทางอื่น จะให้เดินหนีกลับไปที่โต๊ะก็เกรงว่าจะมีใครสังเกตเห็น แบบนั้นก็จะยิ่งถูกสงสัย ส่วนไอ้คนที่เพิ่งส่งประโยคปลิดลมหายใจซองมินก็กำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง..


     

    เขาบอกแล้วว่าถ้าเดินหน้าพุ่งชนให้ตายยังไงก็แพ้ความนิ่งของคนๆนี้ แต่ถ้าใช้วิธีหวานตามน้ำไปเรื่อยๆผลมันก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ อ่อนยวบไม่เป็นท่า..


    หลังจากปล่อยให้ซองมินจัดการกับความเขินอายได้แล้วคยูฮยอนก็จูงมือเล็กกลับมาที่โต๊ะ มือหนาจับไหล่บางดันให้นั่งลงไปก่อนแล้วจึงเบียดตัวตามลงไปจับจองพื้นที่ข้างกายคนตัวเล็ก วางแขนพาดพนักเก้าอี้อย่างที่ทำเมื่อตอนกลางวัน รอยยิ้มร้ายปรากฏบนมุมปาก เย้ยหยันใครอีกคนที่กำลังมองมาให้มันรู้กันไปเลยว่าของใครเป็นของใคร..


    .


    .


    เตาสำหรับย่างอาหารทะเลถูกยกมาวางไว้ตรงระหว่างบ้านพักทั้งสองหลัง ปลาหมึก กุ้ง ปู กำลังถูกความร้อนทำให้เปลี่ยนสีอยู่บนตระแกรงโดยมีซีวอนกับรยออุกคอยพลิกไปมาให้น่าทาน โต๊ะไม้เตี้ยๆสองตัวถูกนำมาวางต่อกันบนเสื่อให้พอกับจำนวนคน


     

    จองอุนยังคงเก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อยๆในขณะที่ซองมินเปลี่ยนหน้าที่มาเกากีต้าร์ขับกล่อมระหว่างที่รออาหารทะเลสุกโดยมีคยูฮยอนและฮยอกแจแย่งกันเป็นนักร้อง ที่ต่างจากพวกคงเป็นคิมคิบอมที่กำลังกดโทรศัพท์ยิกๆพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเขิน เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวยิ้ม สักพักก็หัวเราะกับตัวเอง ดูท่าว่าจะคุยกับแฟน..


    “มาแล้วววววว” เสียงใสแจ๋วของคิมรยออุกมาพร้อมกับถาดกุ้งเผาตัวโต จากที่ต่างคนต่างมีกิจกรรมก็ถึงเวลารวมใจโดยไม่ต้องเรียกให้เปลืองน้ำลาย เพียงแค่รยอุกวางถาดกุ้งหอมกรุ่นควันฉุยลงบนโต๊ะมือแต่ละคนก็พุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที


    “อ่ะ” กุ้งที่แกะเปลือกเรียบร้อยถูกยื่นมาตรงปากเล็ก รยออุกยิ้มขอบคุณคนรักที่แสนใจดีก่อนจะอ้าปากรับแล้วเคี้ยวอย่างมีความสุข เห็นแบบนั้นชเวซีวอนก็สะกิดคนที่นั่งข้างกาย


    “ฮยอกแจ ฉันอยากได้แบบนั้นบ้างอ่ะ ป้อนหน่อยๆๆๆๆ” อีฮยอกแจมองกุ้งที่แกะเสร็จแล้วในมือด้วยความเสียดายแต่ก็ยอมส่งมันเข้าปากอีกฝ่ายไป แต่ก็อย่างว่าคนรักแฟนอย่างคุณชายชเวไม่มีทางปล่อยให้คนน่ารักเสียเปรียบ เพราะไม่ถึงครึ่งนาทีก็มีกุ้งตัวโต(กว่า)ยื่นมาตรงหน้าฮยอกแจ..


    หวานกันซะให้พอ! คิมคิบอมมองภาพเหล่านั้นด้วยความอิจฉา ถ้าทงเฮไม่ติดไปธุระกับที่บ้านเขาก็คงมีคนมาป้อนกุ้งให้ทานบ้าง มือเบสทายาทอสูรแกะกุ้งเข้าปากไปก็มองคู่รักอีกสองคู่ไป ส่วนอีกคู่ขอละไว้ในฐานที่ยังไม่เข้าใจ(ไปก่อนแล้วกัน) ทั้งที่ไม่ได้แกะกุ้งป้อนกันแต่เขากลับรู้สึกว่าระหว่างสองคนนั้นมีอะไรแปลกๆ เฮ้อออ ทะเลแถวนี้อาจจะหวานไปแล้วเพราะน้ำตาลที่มันหกเรี่ยราดตั้งแต่ตอนกลางวันยันกลางคืน..


    นึกไปถึงเมื่อตอนบ่ายที่ไอ้เสี่ยวมันเรียกพี่ซองมินออกไปจากโต๊ะเพื่อคุยอะไรสักอย่างด้วยแล้วฝ่ายมือกีต้าร์ก็กลับมาพร้อมอาการเงอะงะทำตัวไม่ถูก แล้วหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าคยูฮยอนมันพยายามจะ’โชว์เหนือ’กับคุณชิโรตะทุกวิถีทาง


     

    ทั้งวางท่าว่าสนิท(ซึ่งมันก็สนิทจริงๆ) ตอนที่คุยก็ยื่นหน้าเข้าไปซะอย่างกับว่าหูพี่ซองมินเป็นสตรอเบอรี่(ถ้ามันงับได้คงทำไปแล้ว)แค่นั้นไม่พอตอนที่เดินไปส่งคุณชิโรตะที่ท่าเรือมันก็เดินเอาแขนพาดไหล่แสดงความเป็นเจ้าของพี่ซองมินไปตลอดทาง

     

    แล้วตอนนี้มันก็ยังจองที่นั่งข้างๆมือกีต้าร์หน้าหวานโดยไม่ยอมให้ใครแทรก โจ..มึงแน่มาก!!


    หลังจากกุ้งถาดแรก ทั้งปลาหมึก ปู หอย ก็ทยอยมาให้ทานจนครบ เสียงคุยกันดังมาให้ได้ยินสลับกับการชนแก้วเป็นระยะ อีซองมินที่ไปล้างมือแล้วกลับมานั่งเกากีต้าร์คลอไปด้วยตอนนี้ก็มีเด็กป้อนกับแกล้มไม่ขาดปาก คนนึงแกะปู คนนึงแกะหอย คนนึงแกะกุ้งแล้วสลับกันป้อนจนไอ้คนที่ไม่ได้ป้อนแต่แรกมองแล้วมองอีกด้วยความขัดใจ คยูฮยอนจิ๊ปากใส่รยออุก ฮยอกแจแล้วก็คิบอมที่กำลังทำคะแนนเอาอกเอาใจอีซองมินสลับกับการป้อนแฟนตัวเอง สองคนแรกอาจจะทำเพราะอยากเอาใจพี่แต่ไอ้คนสุดท้ายนี่แน่นอนว่าทำไปเพราะอยากขัดใจเพื่อน


    “จองอุนจบแล้วจะไปเรียนต่อเลยใช่มั้ย” คิมจองอุนมองคนถามแล้วจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ


    “ดีจัง ตกลงว่าไปบอสตัน..”


    “อืม.. ก็คงบอสตัน เพราะป้าก็อยู่ที่นั่นแล้วซองมินล่ะ เอาไงต่อ” อีซองมินเคาะกีต้าร์เป็นจังหวะไม่จริงจังนัก


    “ก็คงทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ฉันมองหาทำเลของร้านไว้บ้างแล้วล่ะ พ่อก็บอกว่าจะจัดการให้อยู่” รอยฉงนในดวงตาหลายคู่ที่มองมาทำให้ซองมินรู้ว่าเดี๋ยวต้องเกิดการสัมภาษณ์ขึ้นแน่ เพราะเรื่องนี้ซองมินไม่เคยคุยกับใครจริงจังยกเว้นรยออุกกับจองอุน


    “พี่จะทำอะไร” น้ำเสียงอยากรู้เต็มกำลังส่งมาจากคนที่นั่งใกล้ตัวที่สุด ซองมินหันไปหาคนถาม


    “กำลังคิดว่าจะเปิดร้านขายเครื่องดนตรี แล้วก็อาจจะเปิดสอนด้วย แต่คงต้องดูก่อนว่ามีกำลังจะทำได้แค่ไหน” คยูฮยอนมองสบตาคนพูดก่อนจะถอนหายใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่คิบอมก็แทรกขึ้นมาก่อน


    “ถ้าเป็นพี่ซองมินก็สบายมาก ผมว่าพี่ทำได้อยู่แล้ว แต่ว่าถ้าอยากได้อาจารย์สอนเบสนอกเวลาสักคนอย่าลืมพิจารณาผมนะครับ แต่ถึงไม่ต้องการคนสอนแต่ถ้าพี่ต้องการผู้ช่วยหรือเด็กเฝ้าร้านผมก็พร้อมเหมือนกัน” อีซองมินหัวเราะพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ร้านขายเครื่องดนตรีของเขาคงมีแต่สาวๆแวะเวียนมาเป็นแน่ถ้ามีผู้ช่วยหน้าตาแบบนี้


    “ผมคิดว่าพี่จะเรียนต่อซะอีก” เสียงทุ้มที่แทรกมาทำให้คนที่กำลังขำไปกับมุขของคิบอมชะงัก ซองมินส่ายหน้าไปมาปฏิเสธการคาดเดาของอีกฝ่าย มือเล็กกรีดลงบนสายกีต้าร์ให้เกิดทำนองน่าประหลาดใจขณะที่ตอบข้อข้องใจของรุ่นน้องร่วมคณะ..


    “เรียนแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” คยูฮยอนพยักหน้าว่าเข้าใจแล้วก็เลยแย่งกุ้งที่แกะเปลือกเรียบร้อยแล้วมาจากมือคิบอม ชายหนุ่มส่งมันลงไปอาบน้ำจิ้มรสเด็ดก่อนจะยื่นมาตรงหน้าซองมิน


    “ขอบใจ..” เบาจนแทบไม่ได้ยิน คยูฮยอนมองแก้มกลมเคี้ยวตุ้ยๆหลังจากรับกุ้งเข้าปากไปแล้วด้วยแววตาลึกซึ้ง อีซองมินช่างเป็นคนที่หาเรื่องมาให้เขาประหลาดใจได้ตลอดจริงๆ


    หมดช่วงสัมภาษณ์เรื่องอนาคตแต่ละคนก็เริ่มแยกย้ายหาพื้นที่ของตัวเองเพื่อกางพุงที่อัดแน่นไปด้วยอาหารทะเล วันนี้พวกเขาไม่ได้กะจะดื่มเหล้าเอาจริงเอาจัง เพียงแต่ตั้งวงให้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพนักงานทยอยเก็บของออกไปคิมคิบอมจึงขอตัวไปนั่งคุยโทรศัพท์เพียงลำพัง ไม่ต่างจากซีวอนและฮยอกแจที่ชวนกันไปเดินเล่นริมทะเลยามค่ำคืนปล่อยให้จองอุน รยออุกและคยูฮยอนนั่งทำหน้าเคลิ้มฟังเพลงซองมินเล่นกีต้าร์กล่อม


    “ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนก่อนได้นะ กุญแจห้องอยู่ในกระเป๋ากล้องซิปนอกอ่ะ” ซองมินหันมาบอกเด็กตัวโตที่ปิดปากหาวอยู่ข้างๆ แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่แล้วเอนกายลงนอนราบไปกับเสื่อคยูฮยอนยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาหนุนต่างหมอน รยออุกเห็นแบบนั้นจึงถือโอกาสแขวะญาติผู้น้อง


    “กลัวผีอ่ะดิแบบนี้ หมอนี่มันอยู่ในที่มืดคนเดียวนอกสถานที่ไม่ได้หรอกครับพี่”


    “พูดมากว่ะ เดี๋ยวสั่งพี่จองอุนปิดปากเลย” เสียงขู่จากคนนอนตอบโต้มาให้รยออุกแก้มแดงได้นิดหน่อยแต่ถึงยังไงก็ยังมีคนอยากรู้ว่าทำไมคยูฮยอนถึงกลัวผีขึ้นสมอง


    “ทำไมถึงได้กลัวขนาดนี้ล่ะ” จบคำถามของซองมินรยออุกก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ นักร้องเบอร์หนึ่งของวงสูดลมหายใจเรียกเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดหลังจากที่ใช้ไปเกือบหมดก่อนจะเริ่มแฉน้องรัก ก็ความจริงที่คยูฮยอนกลัวผีมากขนาดนี้มันเป็นเพราะเขาล้วนๆ


    คนตัวเล็กนึกย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่เขากับคยูฮยอนยังเป็นเด็กน้อยวิ่งเล่นด้วยกันไปทั่วบ้าน มีวันหนึ่งที่รยออุกชวนน้องชายที่อายุไล่เลี่ยกันเข้าไปที่ห้องเก็บของของคุณตาและเด็กอยากรู้อยากเห็นอย่างคยูฮยอนก็ไม่ปฏิเสธ สองพี่น้องเดินหาของเล่นจนทั่วห้องโดยไม่ได้สนใจเวลา

     

    ห้องเก็บของของคุณตาเต็มไปด้วยของเล่นน่าตื่นตาตื่นใจไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินบังคับที่คุณตาประดิษฐ์เอง วิทยุสื่อสารที่ใช้คุยกันได้จริงๆ โมเดลบ้านที่คุณตาท่านต่อเองด้วยไม้ไอติมและติดไฟประดับ


     

    จำได้ว่าพวกเขาเล่นอยู่ในห้องนั้นจนกระทั่งพลบค่ำ แล้วอยู่ดีๆฝนก็ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ห้องเก็บของเก่าที่แยกออกมาจากตัวบ้านหลังใหญ่อยู่ถัดเข้ามาในส่วนหลังของบริเวณบ้าน เมื่อฝนที่เกิดจากลมพายุลงหนัก แสงสีส้มจากหลอดตะเกียบที่ให้ความสว่างเพียงดวงเดียวที่พวกเขาเปิดไว้อยู่ดีๆก็ดับวูบไปและห้องก็มืดสนิทในทันที วินาทีนั้นเขาได้ยินคยูฮยอนแหกปากร้องไห้ขึ้นมาดังมาก รยออุกที่กลัวความผิดเนื่องจากตนเองเป็นฝ่ายชวนน้องมาเล่นด้วยจึงรีบตะปบมือปิดปากเด็กขี้แยพร้อมกับบอกไปว่า..


    “ถ้าร้องไห้เสียงดังวิญญาณของคุณตาจะได้ยิน ถ้าไม่อยากให้คุณตาเห็นเราต้องกลั้นหายใจไว้..” เท่านั้นคยูฮยอนก็หยุดร้องไห้แต่รยออุกไม่ได้คิดว่ามันจะหยุดหายใจไปด้วย ไอ้เด็กโง่มันกลั้นหายใจเพราะกลัวว่าวิญญาณคุณตาจะมาหา โชคดีที่ผ่านไปเพียงครู่เดียวไฟในห้องก็ติดและภาพแรกที่รยออุกเห็นคือใบหน้าสีม่วงของน้องชายที่กำลังขาดอากาศหายใจ..


    จากที่เป็นฝ่ายปลอบคิมรยออุกก็แหกปากร้องไห้ทันที เขาพยายามบอกให้คยูฮยอนหายใจเอาอากาศเข้าปอดก่อนที่มันจะตามไปอยู่กับคุณตาในปรโลก เสียงร้องไห้ของเขาตอนที่ฝนเริ่มซาทำให้คุณแม่บ้านได้ยินและวิ่งออกมาตามหา


    ทันทีที่พบตัวเขาสองคนคุณแม่บ้านก็รีบอุ้มคยูฮยอนวิ่งนำออกไปจากห้องเก็บของ คุณพ่อของเขาเอารถออกเพื่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและหลังจากส่งตัวให้คุณหมอแล้วเพียงครู่เดียวรยออุกก็ได้ไปยืนมองน้องชายนอนใส่ท่อช่วยหายใจในห้องพักฟื้น คยูฮยอนปลอดภัยแต่ก็ยังต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการที่อาจจะตามมา และตั้งแต่นั้นมาโจคยูฮยอนก็ไม่ยอมอยู่คนเดียวในห้องมืดๆอีกเลย


    เล่าจบคนที่เกือบเป็นต้นเหตุให้น้องชายจากไปก่อนวันอันควรก็ยื่นมือไปขยี้ผมคนที่นอนอยู่ข้างๆซองมิน


    “ฉันน่ะ นึกภาพไม่ออกจริงๆว่าถ้าวันนั้นนายหมดลมหายใจไปฉันจะอยู่ยังไง แต่ก็ไม่แน่แม่ฉันอาจจะตีฉันจนตายแล้วเราก็อาจจะได้ไปซนกันต่อบนสวรรค์” ซองมินมองน้องชายตัวเล็กเอนกายไปซบไหล่หนาของคนที่นั่งข้างๆกันแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ถ้าเขาเป็นต้นเหตุให้ใครสักคนจากโลกนี้ไปด้วยเหตุผลแบบนี้ซองมินก็คงจะรู้สึกผิดไปจนวันตายเหมือนกัน


    “อย่างนายหมดสิทธิ์จะขึ้นสวรรค์แน่ๆ อย่าหวังเลย” เสียงทุ้มที่ย้อนกลับมาทำให้รยออุกหลุดหัวเราะอีกครั้ง


    “ขอบคุณที่คุณตาไม่เอานายไปอยู่เป็นเพื่อน แถมยังปล่อยให้มาต่อปากต่อคำกับฉันได้จนวันนี้ เฮ้อออ พูดเรื่องนี้แล้วง่วงทุกทีฉันไปนอนดีกว่า ผมไปนอนก่อนนะครับพี่ซองมิน ยังไงก็ฝากคยูมันด้วย เพราะถ้าพี่ไม่นอนมันก็คงนอนเฝ้าพี่อยู่อย่างนี้แหละ รับรองว่ามันไม่หนีไปนอนก่อนแน่ๆ ฝันดีนะครับ” ว่าจบก็ยันตัวเองลุกขึ้นตามคนรักที่ยืนรออยู่แล้วตั้งแต่ที่ได้ยินเจ้าตัวเล็กบอกว่าจะไปนอน


     

    คู่รักนามสกุลคิมจูงมือกันเดินเข้าบ้านหลังแรกไปและอีกห้องที่เป็นของคิบอมก็ดูเหมือนว่าจะปิดไฟนอนไปก่อนแล้ว ส่วนบ้านอีกหลังที่เป็นของซองมินกับคยูฮยอนและซีวอนกับฮยอกแจยังคงไม่มีใครกลับเข้าห้อง


    “ขอโทษ..” เสียงขอโทษแผ่วเบาลอดออกมาจากริมฝีปากเล็กพอให้ได้ยินกันสองคน


    “ขอโทษทำไม”


    “ขอโทษที่ฉันขังนายไว้ในห้องดนตรีวันนั้น ถ้ารู้ว่านายผ่านเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นมาฉันจะไม่ทำ” คนตัวเล็กกอดกีต้าร์แนบอก ดวงตาคู่สวยมองฝ่าความมืดออกไปยังเวิ้งน้ำด้านหน้า เกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่งยังซักเข้าซัดออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ


    “พี่อยากไถ่โทษมั้ยล่ะ” อีซองมินก้มมองคนถาม ไถ่โทษงั้นหรือ.. คยูฮยอนเปิดเปลือกตามองสบลูกแก้วกลมใสที่เต็มไปด้วยคำถาม


    “นายจะจับฉันขังห้องมืดบ้างหรือไง” คนตัวโตกว่าหลุดหัวเราะพรืดกับสิ่งที่ซองมินเพิ่งพูดออกมา


    “ขังทำไมห้องมืด ถ้าจะขัง..ขังไว้ในหัวใจผมดีกว่า..” ทันทีที่คยูฮยอนพูดจบซองมินก็เป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง คนตัวเล็กปิดปากกลั้นเสียงที่น่ากลัวว่าจะรบกวนไปอีกสามบ้านแปดบ้านไว้ ก่อนจะสูดหายใจลึกๆเรียกเอาสติกลับคืน


    “มุขนี้เดี๋ยวกลับเข้าไปในบ้านแล้วจดไว้ให้ฉันด้วยนะจะเอาไปเล่นบ้าง เสี่ยวโคตรๆ” คยูฮยอนตวัดตามองคนที่ยังทำเสียงขลุกขลักในลำคอไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มดันตัวเองขึ้นมานั่งเคียงกันกับร่างเล็ก


    “พี่เล่นกีต้าร์ให้ผมฟังหน่อยสิ” ซองมินชะงักมองคนที่เปลี่ยนอารมณ์ด้วยความรวดเร็ว “พี่เล่นไปนะ เดี๋ยวผมร้องเอง” พอได้เริ่มสั่งก็สั่งไม่หยุด ซองมินขยับกีต้าร์ให้จับถนัดมืออีกนิด.. เห็นดังนั้นคยูฮยอนจึงเริ่มร้องเพลงแล้วปล่อยให้อัจฉริยะอย่างซองมินจับจังหวะหาท่อนที่จะเริ่มเล่นกีต้าร์เอาเอง


    “ถึงฉันไม่เคยบอกให้รู้ แต่รู้มั้ยฉันรู้สึก” แค่ท่อนแรกที่อีกฝ่ายร้องขึ้นมาซองมินก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม เพลงผู้หญิงแถมยังเก่า..มาก! มือกีต้าร์มองหน้านักร้องที่ทำอะไรไม่ปรึกษาไปเงียบๆ เต็มที่ครับน้อง ร้องได้ร้องไป พี่เริ่มได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น..


    “หลายครั้งในใจส่วนลึกลึก อยากให้รู้ว่าตื้นตัน

    เธอเคยว่ามันเล็กน้อย เพียงความห่วงใยให้กัน แค่เท่านั้นที่เธอมี

    ถึงแม้แค่เพียงสิ่งเล็กน้อย แต่โปรดรู้ไว้ฉันชื่นใจ

    ทุกครั้งที่เธอมีน้ำใจ อยากให้รู้ว่าตื้นตัน

    ความดีที่เธอมีมา เป็นแรงส่งมาให้กัน ให้ฉันก้าวเดินไป”


     

    คนตัวเล็กยังคงมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น สายตาของคยูฮยอนเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำสนิท ท่าทางมีความสุขกับการร้องเพลงที่ซองมินเล่นกีต้าร์ตามไม่ได้..


    “สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยใจของเธอ นั่นแหละสำคัญ” กระทั่งท่อนฮุกซองมินจึงเริ่มกรีดนิ้วลงบนสายกีต้าร์ปล่อยทำนองเพลงให้คลอไปกับเสียงทุ้มนุ่ม


    “สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยความเข้าใจ นั่นคือสิ่งสำคัญ

    เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ”


    ใบหน้าหล่อจัดหันมาหาคนที่นั่งจับคอร์ดด้วยความทุลักทุเล เพลงเก่าที่นานๆจะขุดมาเล่นสักทีทำให้ซองมินดูไม่พลิ้วเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อเพลงนี้มัน’ตอบโจทย์’เขาจึงอยากร้อง เสียแต่ว่าคนที่อยากให้ฟังกลับเอาแต่สนใจคอร์ดที่ตนเองไม่ถนัดนัก


     

    ซองมินยังคงไม่รับรู้ว่าทำไมเขาถึงอยากร้องเพลงนี้ มือหนาทาบลงบนสายกีต้าร์หยุดเสียงเพลงก่อนเลื่อนไปจับมือขาวจัดไว้ เรียกความสนใจจากคนที่กำลังตีกันกับคอร์ดเพลงนี้..


    “สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยใจของเธอ นั่นแหละสำคัญ

    สิ่งเล็กน้อยที่เธอให้มาด้วยความเข้าใจ นั่นคือสิ่งสำคัญ

    เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ”


    แววลึกซึ้งจากนัยย์ตาคู่คมที่มองมาทำเอาหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะหนักหน่วงเปลี่ยนไป ความมืดโดยรอบไม่ได้ทำให้แววตาของคยูฮยอนเลือนลางเลยในเมื่อเจ้าตัวกำลังเลื่อนใบหน้าเข้าหาซองมิน ระยะห่างที่ถูกทำลายลงโดยร่างสูงเป็นผลให้หัวใจดวงน้อยยิ่งเต้นแรง


     

    คยูฮยอนจับกีต้าร์ด้วยมือข้างที่ยังว่างอยู่แล้วยกมันออกจากตักคนตัวเล็ก ใบหน้าหล่อจัดเคลื่อนเข้าใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนจางจากผิวเนียนละเอียดกระทั่งริมฝีปากร้อนแนบสนิทกับหูบาง


     

    “เพราะฉันรับรู้ว่าเธอใส่ใจ..”


     

    เสียงทุ้มไร้ทำนองแต่กลับหวานละมุนเสียจนใจคนฟังแทบหลุดลอย สัมผัสบางเบาไม่ต่างจากสายลมยามค่ำคืนระเรื่อยจากใบหูไล่มาตามพวงแก้มเนียน ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดขณะที่สันจมูกโด่งไต่ไปตามแนวคางเล็กทำให้ซองมินร้อนวาบไปทั้งกาย วงแขนแข็งแรงรั้งเอาร่างเล็กหมุนตัวเข้าหาก่อนจะพาลุกขึ้นยืนพร้อมกัน


     

    มือหนาคว้าเอากีต้าร์และกระเป๋ากล้องมาสะพายไว้ “เราไปนอนกันเถอะ..”


     

    ซองมินในตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงและหมดใจจะต้านทานกับความหวามไหวที่อีกฝ่ายเพิ่งจุดขึ้น ร่างเล็กทำได้เพียงแค่ก้าวเท้าตามที่ร่างสูงโอบประคองไปบนทางเดินที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง

     

     

     

     

     

     

    หน้าต่างระเบียงของห้องพักถูกเปิดให้รับลมจากภายนอก ซองมินเพิ่งรู้ว่าอากาศเย็นลงมากก็เมื่อสติกลับคืนมาแล้วอย่างสมบูรณ์ หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ออกมายืนรับลมอยู่ที่ระเบียงห้อง คนตัวเล็กยืนมองกลุ่มดาวบนท้องฟ้าพลางลำดับชื่อไปด้วยเพื่อทดสอบความจำเหมือนทุกครั้งที่ออกไปตั้งแคมป์ดูดาวกับเพื่อนอีกกลุ่มแถบชานเมือง


     

    ใบหน้าหวานติดรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่เกิดจากความอุ่นอวลที่ยังคงลอยวนอยู่ในความรู้สึก มือเล็กเคาะกับราวระเบียงเป็นจังหวะเพลงหวานที่ยังติดอยู่ในหูราวกับว่าคนร้องเพียรกระซิบอยู่ไม่ห่าง


    สายลมที่พัดมาอีกวูบหอบเอาความเย็นจากผิวดินเพื่อลอยลงสู่ทะเล ทั้งที่ผิวกายของซองมินควรจะต้องกระทบกับความเย็นแต่กระไอความอบอุ่นจากแขนแกร่งที่สอดรั้งเอวเล็กมาจากด้านหลังกลับเข้าแทนที่เสียก่อน กลิ่นสบู่ของซองมินลอยวนแตะแต้มในบรรยากาศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครที่กำลังกอดเขาอยู่


    “ออกมาตากลมทำไมครับ” เสียงทุ้มที่ได้ยินอยู่เป็นประจำยังคงดังคลอเคลียอยู่ริมหู คนในอ้อมกอดชี้มือขึ้นไปบนฟ้ากว้างเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ร่างสูงที่ยืนซ้อนด้านหลังเงยหน้ามองตามปลายนิ้วเรียว

    คยูฮยอนรู้ว่าซองมินชอบดูดาวแต่ไม่เคยร่วมกิจกรรมชนิดนี้กับเจ้าตัวเลย หลายครั้งที่เขาเห็นว่าซองมินขนอุปกรณ์ใส่ท้ายรถแล้วหายไปทั้งคืนกับเพื่อนผู้นิยมการดูดาวเป็นงานอดิเรก คยูฮยอนกัดริมฝีปากคล้ายกำลังชั่งใจ ร่างสูงโยกตัวไปมาพลางถามถึงดาวในดวงใจคนตัวเล็ก


    “แล้วพี่ชอบดวงไหน”


    “ฉันชอบทุกดวง..” คำตอบจากซองมินทำให้คนฟังหลุดยิ้มอีกครั้ง กลิ่นแชมพูหอมกรุ่นติดอยู่ปลายจมูกยากจะห้ามใจให้กดใบหน้าลงไปสูดดมก่อนที่จะเป็นฝ่ายบอกถึงดาวดวงที่ตนเองชอบให้ซองมินรู้บ้าง


    “แต่ผมชอบ..ดวงนี้..” คนพูดไม่ได้ระบุตำแหน่งของดาวดวงใดบนฟากฟ้า หากแต่วงแขนที่กระชับร่างในอ้อมกอดให้แนบสนิทไปกับอกกว้างต่างหากที่เป็นดั่งเครื่องมือบอกพิกัดว่า’ดาว’ดวงใดที่คยูฮยอนต้องใจ


     

    ซองมินไม่ได้ขัดขืนหากแต่รู้สึกขัดเขิน.. ที่ผ่านมา ครั้งใดที่คยูฮยอนกอด ซองมินก็จะรู้สึกเพียงแค่ถูกกอด แต่ครั้งนี้ที่คยูฮยอนกอด ซองมินกลับรู้สึกถึงอะไรที่มากกว่าวงแขนนั้น..


    กอดที่ไม่เพียงทำให้รู้สึกถึงความอุ่นทว่ามันยังอบอวลไปด้วยตัวตนของโจคยูฮยอน ..


    กอดที่ทำให้ซองมินรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าคนกอดกำลังกอด’อีซองมิน’ ไม่ใช่เพียงแค่กอด’ตัวเอง’ เหมือนที่ผ่านมา..


    กอดที่ทำให้รู้ว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไป..ระหว่างเรา

     

     



























    may be continue..



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×