ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]::May be you:: |KyuMin|

    ลำดับตอนที่ #4 : Part 04

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 54


    May be you

     














    Part 04










    เสียงโหวกเหวกจากนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เพิ่งทยอยออกจากห้องเรียนบนชั้นสองดังลอดมาถึงลานม้าหินอ่อนที่ชั้นหนึ่ง หลายคนเงยหน้ามองขึ้นไปว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้ไอ้พวกลิงทั้งหลายทำเสียงดังไม่เกรงใจรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะแล้วก็ได้คำตอบเมื่อมีเสียงพูดคุยมาให้ได้ยินจากหลายคนที่เพิ่งเดินลงมาถึงชั้นล่างสุด คลาสขับร้องของอาจารย์ฮันซูดูจะเป็นที่กล่าวขวัญถึงทุกครั้งเมื่อเกือบถึงปลายเทอม นักศึกษามากหน้าหลายตาที่เดินพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันออกมาจากห้องเรียนเกี่ยวกับเพลงและการแสดงของเพื่อนแต่ละคนดูจะได้อารมณ์มากกว่าช่วงเวลาที่อาจารย์เปิดให้วิพากษ์วิจารณ์ในห้องเรียนเสียอีก 



    รุ่นน้องที่เพิ่งเดินผ่านโต๊ะไปที่กำลังคุยถึงความเสี่ยวของโจคยูฮยอนเพื่อนร่วมชั้นทำให้คนที่เพิ่งปลดหูฟังออกหลุดยิ้ม เท่าที่จับใจความได้ซองมินคิดว่าไอ้เสี่ยวคงได้'เอ'ในวิชานี้อย่างที่เจ้าตัวหวังไว้ ด้วยเสียงร้องบวกกับหน้าตาและความสามารถทางการแสดงอีกนิดหน่อยไม่น่าจะทำให้คยูฮยอนพลาดได้คะแนนในระดับสูงไปได้ เด็กคนนั้นเก่งและซองมินเชื่อว่าคยูฮยอนจะต้องไปได้ไกลบนเส้นทางสายนี้.. 




    ดวงตาคู่หวานกวาดไปบนกระดาษโน๊ตอีกครั้งหลังจากที่ถูกทำให้ให้สมาธิหลุด เพลงที่จะเล่นวันนี้เป็นเพลงใหม่ที่ซองมินเพิ่งแกะเสร็จสดๆร้อนๆ แต่ยังไม่ทันได้ทวนอีกรอบสมาธิที่หาได้ยากยิ่งก็ต้องหลุดลอยอีกคราและคราวนี้ก็เป็นฝีมือมนุษย์ที่กำลังถูกเพื่อนฝูงกล่าวขวัญถึงมากที่สุดนั่นแหละ โจคยูฮยอนวางกระเป๋ากีต้าร์ที่ใช้หากินในวันนี้ลงบนม้านั่งแล้วจึงหย่อนตัวเองลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆซองมิน 



    "โอ้ยยย เหนื่อย เหนื่อยมากกก" ไม่บ่นเปล่ายังลากเสียงยาวให้รู้อีกด้วยว่าเหนื่อยจริง! ซองมินเงยหน้ามองคนที่มาถึงก็โวยวายด้วยความอ่อนใจ มือเล็กควานลงไปในเป้แล้วหยิบขวดน้ำออกมาก่อนยื่นไปตรงหน้าคนเหนื่อย



    "แต๊งกิ้วครับ" ว่าจบก็เปิดฝาขวดยกซดไม่สนใจหลอดแต่อย่างใด ซองมินมองท่าทางรีบเร่งแล้วก็ได้แต่กลัวว่ามันจะสำลักน้ำเข้าซักนาทีแต่สุดท้ายน้ำก็หมดขวดโดยที่โจคยูฮยอนยังอยู่ดีเหมือนเดิม มือหนาปิดฝาขวดน้ำเปล่าๆแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง.. 



    เมื่อก่อนคยูฮยอนกินเสร็จก็ทิ้ง ดื่มเสร็จก็ขว้างไม่ได้สนใจอะไร แต่พออยู่กับซองมินนานเข้าก็ซึมซับนิสัยประหลาดๆมา อีซองมินมักจะเก็บขวดน้ำทั้งหมดที่ดื่มไปแล้วไว้ท้ายรถ ทั้งน้ำเปล่า น้ำหวาน ขวดเหล้า ขวดเบียร์ เก็บทุกขวด(ถ้าเก็บได้) ที่ท้ายรถคันเล็กของเจ้าตัวจะมีถุงไว้ใส่ขวดโดยเฉพาะ ส่วนเหตุผลที่เก็บก็เพราะว่าจะเอาไปให้หลานของคุณป้าแม่บ้านขาย ถ้าอาทิตย์ไหนได้กลับบ้านอีซองมินก็จะขนขวดทั้งหมดที่สะสมไว้กลับไปให้เจ้าหนูวูยอง



    ตอนแรกคยูฮยอนก็ไม่เข้าใจว่าอีซองมินจะทำไปเพื่ออะไร แต่พอได้ตามไปที่บ้านคุณชายอีครั้งหนึ่ง แล้วได้เห็นสีหน้าดีใจของเด็กน้อยในยามที่รู้ว่ามีคนช่วยหารายได้พิเศษให้คยูฮยอนถึงรู้ว่าบางครั้งเรื่องเล็กๆของบางคนอาจจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของอีกคนก็ได้ หลังๆมาพอดื่มน้ำเสร็จคยูฮยอนก็จะเก็บไว้ไปใส่หลังรถเสี่ยเพื่อฝากไปให้เด็กน้อยผู้ขยันหาเงิน



    คยูฮยอนไม่เคยต้องลำบากหาเงินด้วยตัวเองและอีซองมินก็เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดเวลาที่จะจ่ายเงินซื้ออะไร แต่พอมาอยู่กับซองมินคยูฮยอนกลับกลายเป็นคนที่คิดแทบทุกอย่าง อีซองมินเคยบอกไว้ว่าถ้าจะกินแบบหรูต้องไม่ให้เหลือ จากนั้นมาคยูฮยอนก็ไม่เคยกินทิ้งกินขว้าง จากนิสัยใช้เงินเป็นเบี้ยเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จะจ่ายแต่ละบาทยังต้องคิดแล้วคิดอีก จนตอนนี้เพื่อนบางคนยังหาว่าเขางก.. แต่ก็นั่นแหละ พอได้งกแล้วเขากลับรู้สึกดี บางครั้งยังแอบภูมิใจที่เงินในบัญชีที่พ่อกับแม่โอนใส่ไว้ให้เหลือไปถึงอีกเดือน 






    "วันนี้มีเพลงใหม่นะ" แล้วก็เป็นเสียงของคนข้างๆที่ฉุดคยูอยอนกลับมาจากความคิด คนตัวสูงยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางกับโต๊ะพลางพยักหน้าเอื่อยๆส่วนอีกมือก็แบไปขอหูฟังมาหนึ่งข้างเมื่อได้มาแล้วก็จับยัดหูทันที ปล่อยให้เสียงเพลงไหลผ่านประสาทการรับฟังไปสักครู่นักร้องนำของวงดนตรีมหาภัยก็ยักไหล่



    "ถ้าเป็นเพลงนี้ก็สบาย ไม่มีปัญหา เสียงผมดีกว่านักร้องนำอีก... พี่ว่าป่ะ" คนตัวเล็กกว่าเบ้ปากกับคำพูดเยินยอตัวเอง ความภาคภูมิใจเด่นชัดในน้ำเสียงจนคนฟังแอบหมั่นไส้ แต่ทั้งอย่างนั้นซองมินก็ไม่ได้เถียงออกไป.. เพราะสิ่งที่คยูฮยอนพูดคือสิ่งที่ซองมินกำลังคิด  



    "พี่ วันนี้เลิกชมรมแล้วเราไปกินหมูจุ่มกันนะไม่ได้กินนานแล้ว ไปกันสองคน เดี๋ยวผมเลี้ยงเองนะ นะ นะ" อีซองมินมุ่นคิ้วประหลาดใจเมื่อได้ยินคำว่าไปกันสองคน ไอ้หมอนี่มันกินอะไรผิด ทุกทีจะต้องลากคนโน้นคนนี้ไปจนร้านเค้าจะแตกเพื่อหาคนช่วยหารค่าข้าว แต่วันนี้มาแปลก บอกให้ไปกันสองคนแถมจะเลี้ยงอีกด้วย..



    "ทำไมไม่ชวนคนอื่นไปด้วย รยออุก คิบอม ฮยอกแจ ซ.." มือหนายกขึ้นมาในท่าปางห้าม(ชวน)ญาติสกัดรายชื่อแต่ละมนุษย์ที่ซองมินเพิ่งไล่เรียงมา



    "ผมเบื่อ อยู่กับพวกนั้นมันเอาแต่แซวผมเรื่องแฟนทิ้ง ขนาดไม่เจอกันเสาร์อาทิตย์ยังส่งข้อความมาเยาะเย้ย ไอ้พวกชอบมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น คราวหน้าใครเลิกกับแฟนผมจะไปเช่าป้ายคัทเอาท์ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้ไปทั้งประเทศเลยคอยดู!" จบประโยคพร้อมกับพรูลมหายใจยาวเหยียด อีซองมินอยากจะขำแต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะงอแงไปมากกว่านี้ โถ~เด็กน้อย.. ที่แท้ก็งอนเพื่อน














    สองร่างที่เดินเคียงกันเข้ามาถึงห้องซ้อมเรียกความสนใจจากอีกสองสามคนที่กำลังจัดแจงเครื่องดนตรีกันอยู่ได้เป็นอย่างดี รยออุกเปิดยิ้มกว้างขวางต้อนรับพี่ชายสุดที่รักไม่ต่างจากฮยอกแจ ในขณะที่คยูฮยอนค้อมตัวทักทายประธานชมรมที่กำลังปรับเสียงกีต้าร์ตัวเก่งอยู่ก่อนปรายตามองไปยังคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกันและก็ทันได้เห็นว่าอีซองมินก็กำลังทำแบบเดียวกันกับตนเอง



    คยูฮยอนนึกรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมีเรื่องสนุกให้ดูในชมรม ความลับในคืนวันนั้นเขายังไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครฟังแม้กระทั่งรยออุกที่สนิทกันที่สุดและในตอนนี้เขาก็คิดว่าความลับนั้นไม่สมควรจะแพร่งพรายให้ใครรู้อีกต่อไป คยูฮยอนไม่รู้ว่าทำไม.. แต่วินาทีนี้เขารู้เพียงว่าความลับนั้นทำให้เขาเข้าถึงอีซองมินมากกว่าใครๆ โลกของอีซองมินอาจจะไม่ได้เปิดกว้างต้อนรับเขาแต่ตอนนี้ประตูบานนั้นก็ไม่ได้ปิดตายเช่นกัน เส้นกั้นความเป็นส่วนตัวที่เขาอนุมานเอาเองว่าสามารถแหย่เท้าเข้าไปได้แล้วหนึ่งข้างมันทำให้เขารู้สึก'เหนือ'กว่าใครๆ



    ..แม้กระทั่งคิมจองโม..


    .


    .


    .



    การซ้อมแบบเต็มวงวันนี้ผ่านไปด้วยดี..


    อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยของประธานและรองประธานชมรมดนตรีแห่งนี้ คยูฮยอนยืนม้วนเก็บสายไมค์ด้วยท่าทีเงียบเฉยไม่สนใจใครแต่สายตากลับสอดส่องไปยังมุมห้องที่ตอนนี้อีซองมินกำลังยกกล่องแอมป์ไปเก็บโดยมีประธานชมรมอาสาเข้าไปช่วย หลายครั้งที่เขาเห็นว่าพี่จองโมพยายามจะส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายไปยังอีซองมินแต่กระนั้นมนุษย์ประหลาดก็สามารถหลบเลี่ยงได้ตลอดสองชั่วโมง



    ก็เรื่องพวกนี้มันของถนัดเสี่ยเค้านี่ ไม่ว่าจะเป็นหลบเลี่ยง ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ละทิ้ง วางเฉย อีซองมินทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองว่าคนที่ถูกกระทำจะรู้สึกแบบไหน และตอนนี้คุณชายท่านก็กำลังทำอยู่โดยการก้มหน้าก้มตาเก็บโน๊ตเพลงใส่ซองแล้วยัดใส่เป้ สายตาซองมินจับนิ่งที่กระเป๋า ล้วงๆควักๆอยู่อย่างนั้นทั้งที่พี่จองโมกำลังชวนไปทานข้าว.. ห่ะ ไปทานข้าว!



    "ต้องขอโทษพี่จริงๆ แต่วันนี้ผมไม่ว่างครับ มีนัดแล้ว" และนั่นก็คือคำตอบจากปากคนถูกชวน ดีมาก อย่างน้อยเสี่ยก็ไม่ลืมว่านัดกับเด็กไว้แล้ว.. คยูฮยอนแอบเห็นว่าพี่จองโมทำหน้าไม่ถูกไปนิดหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใจดีเช่นทุกครั้ง



    ไม่รู้ทำไมแต่ตอนนี้คยูฮยอนกำลังรู้สึกดี ดีมากๆด้วย ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าใครอีกคนกำลังรู้สึกแย่อย่างที่สุดก็ตาม เขาไม่เคยคิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคิมจองโม เขาให้ความเคารพรุ่นพี่ผู้เป็นประธานชมรมมาโดยตลอด แต่สิ่งที่อีซองมินกำลังแสดงออกมาทำให้เขาตระหนักถึงความมีตัวตนในสายตาของอีกฝ่าย เขารู้ว่าซองมินต้องการเลี่ยงที่จะต้องออกไปทานข้าวกับพี่จองโมจึงบอกออกไปว่ามีนัดแล้ว และก็ไม่บังเอิญว่าวันนี้อีซองมินมีนัดอยู่จริงแล้วก็เป็นนัดกับเขาด้วย.. 



    "ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมกลับก่อนนะครับ" ว่าจบเสี่ยท่านก็โค้งตัวบอกลาตัดฉับเยื่อใยทุกอย่างทางสายตาที่รุ่นพี่ร่างสูงพยายามส่งผ่านมาให้เห็นใจ คนตัวเล็กก้าวผ่านกองข้าวของของน้องชายร่วมวงทั้งหลายแล้วโบกมือลาทุกคนเร็วๆ และมันก็เร็วเสียจนคนที่นึกกระหยิ่มยิ้มย่องคนเดียวในใจต้องรีบกวาดข้าวของส่วนตัวลงเป้แล้วคว้าโน๊ตเพลงสามสี่แผ่นมาหนีบไว้ขณะที่โบกมือลาทุกคน



    โจคยูฮยอนกระเตงข้าวของที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยดีกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามอีซองมินออกไปที่ลานจอดรถข้างๆห้องชมรมก่อนที่จะพลาดกลายเป็นเด็กตกรถ วุ้ย! ตกลงว่าเสี่ยมันจำได้หรือเปล่าว่านัดเด็กไว้ หมูจ่งหมูจุ่มอะไรนั่นตกลงจะได้กินมั้ยวะโจคยูฮยอนวิ่งหอบมาถึงรถก็พบว่าอีซองมินยังยืนรออยู่ ก็ยังดีที่นึกได้ว่ายังมีน้องชายอีกคนขอติดรถไปด้วย นี่ถ้าเสี่ยทำมึนขับรถออกไปคนเดียวเขาจะกลับเข้าไปปาดคอพี่จองโมทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอด 




    "ขับรถให้หน่อย" คนตัวเล็กโยนกุญแจรถมาให้ทันทีที่คยูฮยอนก้าวมาหยุดอยู่ข้างกัน จากนั้นจึงเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งในรถรอคนขับที่ยังพยายามจะจับต้นชนปลายอยู่ ถามว่าเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้มั้ยตอบได้เลยว่าเข้าใจ แต่ในความเข้าใจคยูฮยอนก็ยังงงๆ แต่เมื่อนึกไม่ออกว่าจะคิดหาเหตุผลในการกระทำ(ประหลาดๆ)ของอีซองมินไปทำไมคนที่เพิ่งได้กุญแจรถมาก็เดินอ้อมไปยังประตูฝั่งคนขับเพื่อทำหน้าที่ที่เพิ่งถูก'ยัดเยียด'มา..


    เอาเถอะ หากินข้าวก่อนดีกว่าแล้วหลังจากนี้โลกจะแตกก็ช่างมัน..



    .


    .



    .




    ร้านหมูจุ่มที่คยูฮยอนพาซองมินมาทานเป็นเพียงร้านข้างทางเล็กๆที่ความอร่อยไม่ได้เล็กตามขนาดของร้าน ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาที่นั่งด้วยความคุ้นเคยที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งก่อนจัดแจงสั่งสารพัดหมูชุดใหญ่โดยไม่ถามความเห็นของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแม้แต่คำเดียว



    เอาน่า เสี่ยเป็นคนกินง่ายไม่ได้เรื่องมากอย่างผู้หญิงที่เขาเคยพามา มันสบายใจตรงที่คยูฮยอนอยากกินอะไรก็สั่งแบบนั้นไม่ต้องทำท่าเอาอกเอาใจใครให้เสียเวลาโซ้ยของอร่อย นี่แหละข้อดีของการไปไหนมาไหนกับเพื่อน(รุ่นพี่)ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน..



    "ผมเลี้ยงน้ำเปล่านะ จะกินน้ำอย่างอื่นพี่ต้องจ่ายเพิ่ม เพราะมันไม่ได้อยู่ในโควต้า" ผ่านไปสักครู่อยู่ดีๆคนที่เคาะมือเล่นกับโต๊ะระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟก็หันมาบอก


    ซองมินแค่นยิ้มใส่ไอ้ขี้งกแล้วจึงยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟบ้าง"เอาโซจูขวดนึงครับ"



    คนที่นั่งโต๊ะเดียวกันผิวปากวิ้วทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยสั่งอะไรเพิ่ม อีซองมินยิ้มให้น้องชายคนสนิทแล้วเอ่ยเสียงชื่น"ถ้าอยากดื่มก็สั่งเองนะ พอดีมันไม่ได้อยู่ในโควต้าของนายเหมือนกัน.." 



    "โหยยยย ผมอุตส่าห์พามาเลี้ยงอ่ะคนเรา" อีซองมินได้ยินคำค่อนแคะเต็มสองหูแต่ก็ยังคงนั่งยิ้มไม่พูดอะไรปล่อยให้คนขี้บ่นบ่นไปเรื่อยตามประสา



    เถียงไปก็เท่านั้น เดี๋ยวมันก็หาเรื่องอื่นมาบ่นเขาได้อีก สู้นั่งเงียบๆเก็บแรงไว้จ้วงหม้อแข่งกับมันดีกว่า งานนี้ใครเร็วคนนั้นอิ่ม!








    ตะเกียบสองคู่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ไม่ขาดตกบกพร่องแม้ว่าปริมาณหมูบนโต๊ะจะเหลือเพียงเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กที่ไหลย้อยลงมาตามแนวคางได้รูปบอกได้ว่าสมรภูมิอาหารในวันนี้ดุเดือดเพียงใด คยูฮยอนยังคงไม่ยอมแพ้แม้จะจิ้มได้แต่เนื้อหมู แล้วตับ ไต ไส้(หวาน) กระเพาะ เซี่ยงจี้ มันหายไปไหนหมดวะ! 



    ดวงตาคู่คมตวัดมองคนที่นั่งคว้านตะเกียบในหม้อด้วยท่าทางสบายๆ ใบหน้าหวานมีเหงื่อซึมอยู่ตามขมับแต่ก็ไม่ได้มากมายอย่างเขา รุ่นพี่ตัวเล็กดูจะเพลิดเพลินกับอวัยวะ(ของหมู)ทุกส่วนที่เขาประกาศหาไปเมื่อครู่ แถมยังกระดกโซจูโชว์เป็นครั้งคราว มีความสุขเกินไปแล้วอีซองมิน..




    ทั้งที่ตอนที่ออกมาจากห้องชมรมยังดูหงุดหงิดอยู่แท้ๆ พอเขาเอาอาหารมาล่อเข้าหน่อยอารมณ์ดีมาเชียว เหอะ น่าหมั่นไส้!



    "แล้วพี่จะเอาไงต่อไป" เสียงห้าวเจือความอยากรู้อยากเห็นที่ส่งมาจากอีกฟากของโต๊ะทำเอาคนที่กำลังเพลินกับการจ้วงหม้อหยุดมือทันที อีซองมินเลิกคิ้วเป็นคำถามย้อนกลับไปราวกับไม่เข้าใจประโยคเมื่อครู่



    "ผมหมายถึงพี่จะเลี่ยงพี่จองโมแบบนี้ไปตลอดน่ะเหรอ" คราวนี้คนถูกถามถอนใจยาวพลางวางตะเกียบลงบนจาน ดวงตาคู่สวยจับนิ่งที่ใบหน้าคนถามโดยไม่ได้พูดอะไรทำเอาคยูฮยอนชักหวั่นใจ แต่ก็นั่นแหละ เขาอิ่มแล้วเลยลองถามดูถ้าเสี่ยจะพังโต๊ะตอนนี้ก็ช่างปะไร



    และด้วยความอาจหาญจากพลังหมูจุ่ม คราวนี้คยูฮยอนไม่ได้หลบสายตาที่จ้องมา ร่างสูงยืดตัวตรงต่อตากับอีกฝ่ายอย่างกระหายในคำตอบ



    "มันมีทางไหนที่ดีกว่านี้บ้างล่ะ" ใช่ มันมีทางไหนที่ดีกว่าสิ่งที่ซองมินกำลังทำอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาคงไม่รักษาน้ำใจเอาไว้แน่ๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือรุ่นพี่ที่เคารพถึงแม้จะไม่ชอบใจถึงเพียงไหนแต่เขาคิดว่าแค่คำปฏิเสธแบบตรงไปตรงมาก็คงมากพอแล้ว เขาคิดว่าพี่จองโมคงต้องการเวลาทำใจและระยะเวลาที่เหลือนับจากนี้จนถึงปลายเทอมคงช่วยเยียวยาความรู้สึกผิดหวังนั้นได้



    เขารู้ว่าพี่จองโมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดและสิ่งที่รุ่นพี่ทำในวันนี้ก็เพียงแค่ต้องการทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ยังกลัว เขารู้ดีว่าถ้ายังกลับไปให้ความสนิทสนมในแบบที่ผ่านมาคิมจองโมจะตัดใจได้ยากยิ่งกว่า 


    เพราะซองมินรู้ว่าสิ่งที่อันตรายต่อหัวใจมากที่สุดคือความใกล้ชิด.. 



    "นั่นสินะ จะให้ไล่ตะเพิดไปก็ใช่ที่ คนเราเจอกันทุกวันแถมยังรู้สึกดีๆต่อกันมานาน แถมพี่จองโมก็ใช่ว่าจะเลวร้ายซะที่ไหน เฮ้อออ นี่ละน้า มารักคนที่ไม่สมควรจะรักมันก็เจ็บแบบนี้แหละ" อีซองมินนั่งหมุนตะเกียบมองคนที่กำลังออกความเห็นอย่างเมามันและมันก็ยังไม่รู้ตัว คุณนักร้องนำยังคงวิจารณ์เรื่องของเขาอย่างออกรส



    "ทั้งที่ก็เห็นตัวอย่างมาไม่น้อยก็ยังไม่ยอมตัดใจ ทำเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟไปได้.. " กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนจากหมุนตะเกียบมาเป็นเท้าคางมอง



    "เอ่อออ แต่ก็นั่นละนะ พี่ออกจะหน้าตาดี จะมองให้หล่อก็หล่อจะน่ารักก็ใช่ย่อย หัวก็ดี เล่นดนตรีก็เก่ง แถมบ้านรวยใครเห็นใครรู้จักก็ต้องรักเป็นธรรมดา แหะๆๆ อีซองมิน พี่อย่ามองผมแบบนั้นสิ พี่ก็รู้ผมมันพวกผีเจาะปากมาพูด ลืมตัวไปนิดหน่อยเลยออกทะเลซะไกล" สายตาวาววับที่จับจ้องอยู่ทำให้คนพูดเริ่มรู้ตัวว่าวันนี้เกินเลยไปมากโข โจคยูฮยอนยกมือขึ้นโบกไปมาด้วยท่าทางเก้ๆกังๆก่อนทำเป็นสำรวจอาหารบนโต๊ะ



    "เราคิดเงินกันดีกว่า เดี๋ยวโซจูขวดนี้ผมเลี้ยงพี่เลยก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว แค่นี้เอง" ว่าจบก็หันซ้ายหันขวายกมือเรียกหาพนักงานเพื่อให้คิดค่าเสียหายในวันนี้


    ร่างสูงพยายามมองไปรอบกายตรงไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ใบหน้าเรียบนิ่งของอีซองมิน แหมะ อุตส่าห์บิวท์ให้อารมณ์ดีมาตลอดมื้อ ดั๊นนนมาตกม้าตายตอนจบ แต่เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ซองมินก็ยังคุยกับเขาเรื่องหัวใจบ้าง ไม่ใช่ปิดปากเงียบเหมือนทุกทีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะอยากรู้อะไรมากมาย เพียงแต่ว่าตั้งแต่เล่นดนตรีร่วมวงกันมาก็มีแค่รุ่นพี่ตัวเล็กนี่แหละ ที่เขาไม่เคยได้สอดรู้สอดเห็น(เออ ยอมรับก็ได้วะ)เกี่ยวกับเรื่องของหัวใจเหมือนใครคนอื่น 



    คยูฮยอนลอบมองคนที่กำลังยืนถูมือรอเขาเอาเงินทอนอยู่หน้าร้านด้วยความเหนื่อยใจ อีซองมินนิ่งไปอีกแล้ว เฮ้อออ ไม่ใช่ว่าไม่ชิน เพียงแต่บางทีเขาก็อยากให้ซองมินระบายออกมาบ้าง เขายอมรับว่าแม้จะดูสนิทกันที่สุดแต่หลายครั้งซองมินก็ปฏิบัติราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ควรจะได้รับความไว้วางใจให้รู้ในเรื่องส่วนตัว ก็จริงที่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เรื่องส่วนตัวบางเรื่องก็ไม่เห็นจะต้องเก็บเป็นความลับคอขาดบาดตายขนาดนี้.. ใช่ คยูฮยอนเป็นคนคิดอะไรง่ายๆแบบนี้แหละ ไม่เหมือนอีซองมินที่เต็มไปด้วยความลึกลับซับซ้อน  



    คยูฮยอนไม่อยากเป็นคนอื่นสำหรับซองมิน ไม่อยากเป็นแค่รุ่นน้องที่สนิทกันแค่บางเวลา เขาแค่อยากแบ่งปันความทุกข์ของอีซองมินบ้างไม่ใช่เพียงแค่เล่นดนตรี ทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เล่นสนุกด้วยกันไปวันๆ 



    เขาอยากเป็นเพื่อนแท้.. ไม่ใช่คนที่ผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตหนึ่งแล้วก็ผ่านไป.. 






    ระยะทางจากร้านหมูจุ่มไปที่รถจอดอยู่ไม่ได้ไกลกันมากนักแต่วันนี้คยูฮยอนกลับรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ใช้เดินมันยาวนานมากเกินไป ความเงียบที่มาพร้อมกับความอึดอัดอึมครึมที่อีกฝ่ายจงใจสร้างขึ้นมันทำให้คยูฮยอนหนาวๆร้อนๆจนทำตัวไม่ถูก อีซองมินไม่พอใจอะไรอีก เรื่องที่เขาพูดมาก เรื่องที่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว หรือทุกเรื่อง..



    "พี่โกรธผมเหรอ" และในที่สุดคยูฮยอนก็หมดความอดทน ชายหนุ่มคว้าแขนคนที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นขณะเดินไปที่รถไว้ มือหนากระชับแน่นกับท่อนแขนขาวพร้อมทอดสายตามองหาคำตอบจากใบหน้าราบเรียบปราศจากอารมณ์..



    "เปล่า.." ร่างสูงถอนหายใจกับคำตอบสั้นๆนั้น ประหยัดคำพูดกันเข้าไป..



    "แล้วพี่เงียบทำไม พี่รู้มั้ยว่าบางครั้งผมก็ทำตัวไม่ถูก เดี๋ยวพี่ก็ใจดีคุยเล่นไม่มีอะไรแต่ถ้าพี่พอใจจะเงียบพี่ก็เลิกคุยแล้วกลับเข้าโลกส่วนตัวปล่อยให้ผมเคว้งทำอะไรไม่ถูกอยู่แบบนี้ บางทีผมก็เหนื่อยเวลาที่ต้องรับมือกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของพี่"



    คยูฮยอนชะงักไปอึดใจแล้วสูดลมเข้าปอดลึกๆเมื่อนึกรู้ว่าระดับเสียงดูจะเพิ่มขึ้นตามระดับอารมณ์ ถึงบริเวณนี้จะไม่มีคนอื่นแต่เขาก็ไม่ควรจะทำเสียงดังใส่คนตรงหน้าแม้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดตอนนี้มันก็มาจากเจ้าตัวทั้งนั้น คยูฮยอนพยายามสบตากับคนที่กำลังเบือนหน้าหนี สายตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ เหนื่อยล้า และสุดท้ายมันก็ส่งผลไปถึงกระแสเสียงที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา.. แผ่วเบาและอ่อนแรง



    "อีซองมิน.. สนใจความรู้สึกของผมบ้างสิ ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่พี่.. พี่..." เท่านั้น คยูฮยอนพูดได้เท่านั้น ชายหนุ่มปล่อยแขนของคนตรงหน้าก่อนจะล้วงกุญแจรถออกมาแล้ววางมันลงบนฝ่ามือเจ้าของตัวจริง ..






    ร่างสูงก้าวผ่านซองมินไปช้าๆ ใบหน้าคมคายมองตรงไปเบื้องหน้าตามทิศทางการก้าวเดินโดยไม่ได้หันกลับมามองใครอีกคนที่ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง อีซองมินกำกุญแจรถแน่นจนรู้สึกเจ็บไปทั้งฝ่ามือ ใบหน้าหวานก้มต่ำในขณะที่เฝ้าวนเวียนคิดถึงคำพูดของคนที่เพิ่งเดินจากไป 


    ..สนใจความรู้สึกของผมบ้างสิ.. 


    ..บางทีผมก็เหนื่อย.. 



    อยู่ด้วยกันมานานโจคยูฮยอนไม่เคยรู้เลยหรือว่าเขาคนเป็นยังไง ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ตัวเลยหรือว่า’ได้’อะไรจากเขาไปบ้างอะไรที่คยูฮยอนได้แต่คนอื่นไม่เคยได้ พื้นที่เล็กๆในโลกส่วนตัวของเขา


    ทุกด้านที่ไม่เคยเปิดเผยให้คนอื่นได้รู้ ด้านมืดที่เขามักจะใช้รอยยิ้มปิดบังไว้มีเพียงคยูฮยอนเท่านั้นที่ได้เห็น สิ่งเหล่านี้ที่เขาหวงแหนมากที่สุด ทุกอย่างที่รวมเป็นอีซองมินทุกสิ่งที่เขาทำลงไปมันทำให้คนที่ได้รับอึดอัดและลำบากใจ เขาไม่เคยพูดออกไปแต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็คิดว่าคยูฮยอนอาจจะรับรู้


    แต่ไม่เลย คยูฮยอนไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ได้รับจากเขาคือความพิเศษ ผู้ชายคนนั้นมองว่ามันคือสิ่งเลวร้ายที่ต้องทนรับมาตลอด หากอีซองมินด้านชาไร้ความสนใจและไม่เคยมองเห็นความรู้สึกของใครอย่างที่โจคยูฮยอนกล่าวหาแล้วที่ผ่านมา อีกหลายอย่างที่เขาทำลงไป สิ่งเหล่านั้นเรียกว่าอะไร



    ..ซองมินอาจจะผิดเองที่ไม่เคยพูด ทั้งยังชอบแสดงท่าทางเอาแต่ใจ แต่เพราะเขาคิดมาตลอดว่าคยูฮยอนจะเข้าใจความเป็นอีซองมินมากกว่าใคร แต่สุดท้ายคืนนี้เขาก็ได้คำตอบ..


    โจคยูฮยอนไม่เคยเข้าใจเขาเลย..


    ร่างเล็กกดเปิดล๊อคประตูรถแล้วก้าวเข้าไปนั่งยังตำแหน่งคนขับ กระเป๋าเป้และกระเป๋ากีต้าร์ของคยูฮยอนยังคงวางอยู่ที่เบาะหลัง คนตัวเล็กปรับเบาะขยับไปข้างหน้าอีกนิดเนื่องจากช่วงขาที่ยาวต่างกันกับคนที่ขับรถมาตอนแรกจากนั้นจึงปรับความสูงของกระจกมองหลังเป็นลำดับต่อไป



    กว่าจะเริ่มออกรถได้ซองมินต้องเสียเวลาอยู่นานจนใจดวงน้อยนึกกระหวัดไปถึงสารถีคนสำคัญที่เวลานี้ไม่รู้ว่าเดินไปถึงไหนแล้ว บางทีหมอนั่นก็คงจะเหนื่อยจริงๆอย่างที่พูดออกมาเมื่อกี้และบางทีอีซองมินก็อาจจะต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาคยูฮยอนดูบ้าง..




    .


    .


    .




    ความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศคือสิ่งที่ซองมินสัมผัสได้ในครั้งแรกที่โผล่หน้าเข้าไปในห้องนอนสีทึม ม่านหน้าต่างถูกรูดให้ปิดสนิทเหมือนทุกครั้งในเวลาที่เจ้าของห้องต้องการพักผ่อน หลังจากยืนนิ่งให้ดวงตาปรับความคุ้นเคยกับความมืดจนเริ่มมองเห็นอะไรลางๆร่างเล็กจึงก้าวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลงอย่างใจเย็น



    ซองมินจงใจลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายโดยการไม่เอ่ยปากขออนุญาตหรือแม้แต่ทักทายให้รู้ จนกระทั่งปลายเท้าเล็กไปหยุดที่เตียงนอนหลังใหญ่..



    ภาพผู้ชายตัวโตนอนซุกหน้ากับหมอนใบเขื่องโดยมีผ้าห่มผืนหนาคลุมไปจนมิดคอคือสิ่งแรกในห้องนอนนี้ที่ซองมินพยายามเพ่งมองอย่างจริงจัง ใบหน้าคมคายติดจะยุ่งเหยิงแม้กระทั่งตอนที่เปลือกตายังปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะราบเรียบสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงยังวิ่งวนอยู่ในความฝัน


    คนตัวเล็กตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งห้อยขาบนเตียงกว้างหันหลังให้กับคนนอน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินเสียงขยับตัวไปมา.. แต่กระนั้นทุกอย่างในห้องก็ยังคงไว้ซึ่งความเงียบ ซองมินไม่ได้หันไปมองว่าอีกฝ่ายตื่นแล้วหรือเพียงแค่ขยับตัวในขณะที่ยังหลับอยู่ ผู้บุกรุกจงใจปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องนอนแห่งนี้ต่อไปโดยการนั่งรออย่างใจเย็น..





    โจคยูฮยอนนอนนิ่งมองแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคย เขารู้สึกตัวตั้งแต่ที่ซองมินทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง นอนรอไปเรื่อยๆว่าเมื่อไหร่คนที่เข้ามาในห้องนอนของเขาโดยพละการจะเอ่ยปากเรียกแต่ผ่านไปนานซองมินก็ยังเงียบแต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อึดอัด ถ้าซองมินไม่พูดเขาก็จะนอนไปเรื่อยๆ วันนี้เขามีเรียนตอนบ่ายสองแต่.. เฮ้ย! แต่วันนี้วันอังคารนี่หว่า พวกปีสี่ไม่มีเรียน คิดได้ดังนั้นคนที่นอนซุกผ้าห่มอยู่จึงเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์แล้วยกขึ้นมาดูเวลา.. หกโมงเช้าเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน อีซองมินมาทำอะไรแต่เช้า..



    ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านหลังทำให้ซองมินรู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว คนตัวเล็กเอี้ยวตัวไปมองเจ้าของห้อง คยูฮยอนยังนอนอยู่ที่เดิมแต่ดวงตาคู่คมที่มองมาทำให้ซองมินรู้ว่าถึงเวลาแล้ว..



    ร่างเล็กขยับตัวถดเข้าไปข้างในเตียงอีกนิดแล้วจึงเอนหลังลงวางศีรษะพาดขวางไปบนหน้าท้องแบนราบที่อยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำตาลไหม้ผืนนุ่มแล้วนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น..ไม่มีคำพูดใดระหว่างคนนอนและหมอนจำเป็น คนตัวเล็กกว่าปล่อยเวลาให้เดินไปเรื่อยๆ มือบางถือวิสาสะควานเข้าไปแถวๆใต้หมอนหนุนแล้วดึงเอาเครื่องเล่นเพลงของคยูฮยอนออกมา มือบางสอดหูฟังใส่หูตัวเองแล้วจึงกดเปิดเพลงด้วยท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ..



    เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งซองมินรู้สึกถึงจังหวะลมหายใจที่เปลี่ยนไปจึงหันไปสบตากับคนที่นอนเป็นหมอนใบใหญ่ให้ตนเอง



    "หนักเหรอ.." คำถามสั้นๆจากคนที่ใช้คยูฮยอนต่างหมอนอยู่นานดังมาให้ได้ยิน ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไรอีกฝ่ายก็ส่งคำถามต่อไปตามมาติดๆ "เหนื่อยหรือเปล่า.."



    ว่าจบก็ยันตัวเองขึ้นมานั่งเหมือนเดิมแล้วกดปิดเครื่องเล่นเพลงก่อนจะเอาวางสอดไว้ใต้หมอน อีซองมินขยับตัวหันหน้าเข้าหาคนนอน ดวงตาคู่สวยสบเข้ากับนัยย์ตาคมหวานของคยูฮยอนโดยไม่ได้หลบเลี่ยงอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ


    "ขอโทษที่ทำให้เหนื่อยมาตลอด ขอโทษที่ไม่ได้สนใจว่านายจะรู้สึกยังไงเวลาที่ฉันเอาแต่ใจตัวเอง" มือบางเอื้อมไปคว้ามือหนามาไว้ก่อนแบมันออกแล้ววางปลายนิ้วชี้ลงไปบนนั้น คนตัวเล็กวาดวงกลมลงไปบนฝ่ามือของคยูฮยอน รอยยิ้มอ่อนจางประดับอยู่บนใบหน้าหวานทำเอาคนมองแทบสะดุดลมหายใจ



    "โลกของฉันใบแค่นี้เอง มันแคบใช่มั้ยล่ะ เพราะมันแคบมันเลยใส่คนไว้ได้แค่ไม่กี่คน แล้วอีกอย่างโลกของฉันมันไม่ได้กลมหรอกนะคยูฮยอน เพราะงั้นถ้าจะมีใครตกขอบโลกไปบ้างก็คงไม่แปลก.." 



    อีซองมินค่อยๆกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายจนเป็นกำปั้น 



    "แต่สำหรับนาย นายเป็นคนสำคัญในโลกของฉัน โลกของฉันพื้นที่แคบๆนั่นฉันแบ่งให้นายไปแล้ว แต่ถ้านายเหนื่อยหรือไม่อยากทนกับฉันแล้วนายจะเดินออกไปฉันก็คงห้ามไม่ได้ แต่.. ถ้านายไม่อยู่แล้วฉันจะเอาแต่ใจกับใครล่ะ" 



    คยูฮยอนนอนนิ่งประสานสายตากับคนที่นั่งอมยิ้มแก้มพอง เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างตัวเองกับคนตรงหน้า คยูฮยอนคิดว่าผ่านมาสามปีเขาเจออีซองมินมาแล้วทุกเวอร์ชั่น แต่..ทำไมเขาพลาดเวอร์ชั่นนี้ไป

    ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่ใช่เสี่ยมินใจป้ำกับเด็กๆในชมรม

    ไม่ใช่รุ่นพี่ซองมินที่เท่บาดใจใครๆ

    ไม่ใช่ซองมินคนน่ารักที่หลายคนหวั่นไหวกับรอยยิ้ม

    แต่เป็นอีซองมินที่มีคนเดียวในโลกและเป็นโลกแคบๆที่เวลานี้มีเพียงโจคยูฮยอนอยู่ในนั้น..




    "พี่ง้อผมเหรอ.." ในที่สุดคนที่นิ่งอึ้งไปนานก็หาเสียงตัวเองเจอ



    "นายกำลังงอนฉันอยู่หรือเปล่าล่ะ" นั่นไง! เมื่อกี้น่ะความฝันแน่ๆ แต่นี่แหละของจริง



    คยูฮยอนจิ๊ปากใส่รุ่นพี่จอมกวนแล้วออกแรงรั้งข้อมือเล็กเข้าหาตัวโดยไม่ออมแรงเป็นผลให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่อยู่ห่างไปหนึ่งช่วงแขนถลาเข้ามาอยู่เพียงแค่ปลายลมหายใจ



    "ผมงอน งอนมากด้วย แล้วก็จะงอนไปอีกนาน เพราะงั้นพี่ต้องง้อผมเยอะๆ เยอะมากกว่านี้.." คนถูกงอนวางปลายคางลงกับแผ่นอกกว้างกรอกตาไปมาทำท่าครุ่นคิด



    "เอาไงดีล่ะ ฉันง้อใครไม่เป็นซะด้วย" 



    "ก็ที่พี่ทำไปเมื่อกี้ เค้าก็เรียกว่าง้อไม่ใช่หรือไง" 



    "อ้าว เมื่อกี้นี่คือง้อเหรอ ฉันว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะนอกจากขอโทษ แต่..นายโชคดีนะที่ได้เรียนวิชาภูมิศาสตร์ของอีซองมินเป็นคนแรก ฉันไม่เคยต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องโลกของฉันให้ใครฟัง"



    "แล้วที่ทำไปเมื่อกี้พี่คิดว่าเสียเวลาไปแบบเปล่าประโยชน์มั้ยล่ะ" คนตัวเล็กส่ายหน้าจนผมกระจาย



    "ถ้ามันทำให้ได้คนขับรถของฉันคืนมาอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้นแหละ เมื่อคืนฉันถูกคนขับรถใจร้ายทิ้งให้กลับบ้านเอง ยืนร้องไห้รออยู่นานเค้าก็ไม่กลับมาหา..



    "
    คราวนี้ร่างสูงยกตัวขึ้นมองใบหน้าหวานให้ชัดขึ้น"เมื่อคืน พี่ร้องไห้ด้วยเหรอ"



    อีซองมินยิ้มเผล่ทำเสียงขลุกขลักในลำคอ



    "เปล่า แค่ลองพูดให้มันดูเว่อร์ขึ้นมาอีกนิดเท่านั้นเอง" เท่านั้นเอง.. คนที่ถูกล้อเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จัดการพลิกตัวคนที่นอนทับอกอยู่ลงไปด้านล่างพร้อมวางแขนสองข้างล้อมรอบร่างกลมกลึงที่ตกอยู่ใต้อาณัติ 



    "พี่รู้มั้ยว่าคนขับรถนอกจากขับรถแล้วยังทำอะไรได้บ้าง.." อีซองมินสั่นศีรษะจนแทบหลุดเมื่อมองเห็นแววเจ้าเล่ห์วาววับในตาคนพูด มือบางยันแผ่นอกกว้างไว้ สบถสาบานในใจอย่างหนักว่าถ้าหลุดไปได้จะปลดไอ้ตัวร้ายจากตำแหน่งสารถีประจำตัว 



    "ปล่อยก่อนคยูฮยอน ฉันหายใจไม่ออก" สาวๆคนอื่นเวลาที่ถูกเขาคร่อมไว้แบบนี้ไม่เห็นจะมีใครผลักออกสักคน คยูฮยอนอยากจะบอกไปแบบนี้แต่กลัวคนที่ไม่สาวจะเปลี่ยนจากใช้มือเป็นอย่างอื่นที่มีนิ้วเหมือนกันยันกลับมาแทน 



    เจ้าของเตียงตัดสินใจพลิกกายลงนอนเคียงร่างเล็กที่หอบหายใจแรง ผ่านไปนานจนลมหายใจของคนที่นอนข้างกายกลับมาเป็นปกติคยูฮยอนจึงยกศีรษะขึ้นเท้าแขนข้างหนึ่ง ชายหนุ่มหันหน้าเข้าหาคนตัวเล็กแล้วจึงเอ่ยเสียงนุ่ม..



    "ขอโทษที่เมื่อคืนผมพูดไม่ดีกับพี่ แถมยังทิ้งพี่ไว้คนเดียวอีก" ซองมินพยักหน้าหงึกหงักรับคำขอโทษนั้นพร้อมรอยยิ้ม 



    “คยูฮยอน เวลาที่ฉันเงียบไปไม่ยอมคุยหรือตอบคำถาม นายอึดอัดมากหรือเปล่า..” โจคยูฮยอนจ้องตาคนถามพลางส่งมือข้างที่ว่างอยู่ไปคว้าเอามือบางมือจับไว้



    “อีซองมิน อะไรที่ผมพูดไปเมื่อคืนก่อน พี่อย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ตอนนั้นผมแค่หงุดหงิดที่พี่ไม่ยอมคุยด้วย ซึ่งความจริงมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” อีซองมินเอียงคอช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม และท่าทางแบบนั้นมันก็น่ารักจนคนมองอดใจไม่ไหว คยูฮยอนละมือไปยีผมอีกฝ่ายเล่นแล้วจึงทิ้งตัวลงนอนแผ่หราอีกครั้ง 





    คยูฮยอนแน่ใจแล้วว่าวันนี้เขาได้เจออีซองมินในเวอร์ชั่นที่แปลกไปจริงๆ ท่าทางน่ารักออดอ้อนเพื่อง้องอนขอคืนดีของเจ้าตัวทำให้เขาไปไม่เป็น และคงจะด้วยความเคยชินกับเวอร์ชั่นอึมครึมมันทำให้เขาคิดว่าถ้าอีซองมินทำหน้าเรียบไร้อารมณ์เขาคงจะรับมือได้ง่ายกว่านี้



    แต่ก็นั่นแหละ อีซองมินเปลี่ยนไปถึงแม้จะน่าตกใจแต่เขาคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เขารู้สึกว่าคนตัวเล็กกำลังแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ และมันก็น่าดีใจเพราะอย่างน้อยสิ่งที่ซองมินทำอยู่ตอนนี้มันก็สามารถทำให้ความหดหู่ที่เป็นมาตลอดทั้งคืนของเขากลายเป็นความรื่นรมย์ 



    มือหนาควานเข้าไปหยิบเอาเครื่องเล่นเพลงออกมาจากใต้หมอน ส่งหูฟังข้างหนึ่งให้คนที่นอนเคียงกันแล้วก็ยัดอีกข้างหนึ่งใส่หูตัวเอง กดเล่นเพลงเสร็จก็วางไว้



    ท่วงทำนองหวานซึ้งของบทเพลงดังขึ้นมา เขาจำได้ว่าเพลงนี้เขาเคยร้องไปเมื่อตอนงานมหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อนโน้น ต้นฉบับของเพลงมีหลายเวอร์ชั่นแต่เวอร์ชั่นนี้คือเวอร์ชั่นที่เขาชอบมากที่สุด เพลงในเวอร์ชั่นอะคูสติกที่มีเสียงแซ็กโซโฟนเพิ่มความอุ่นอวล



    ร่วมวงกันมาเกือบปีเขาไม่เคยรู้ว่าอีซองมินเล่นเครื่องดนตรีชนิดอื่นได้นอกจากกีต้าร์และเปียโน จนกระทั่งวันงานรุ่นพี่ที่วงของเขาขอความช่วยเหลือให้มาเล่นโซโล่แซ็กโซโฟนในเพลงนี้ติดธุระกะทันหันและหาใครแทนไม่ได้ ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่เสียดายแต่สุดท้ายเมื่อได้เวลาแสดงพี่จองโมหัวหน้าวงก็บอกให้ขึ้นเวทีโดยละทิ้งปัญหาเรื่องนั้นไว้โดยไม่ได้พูดอะไร




    พอเริ่มแสดงคยูฮยอนก็ร้องเพลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงท่อนโซโล่ พอเขาหันไปมองพี่จองโมว่าควรจะเอายังไงต่อไปรุ่นพี่คนเก่งก็บุ้ยใบ้ให้มองไปยังตำแหน่งที่มือกีต้าร์อีกคนยืนอยู่ และเขาก็ทันได้เห็นคนที่เป็นมือกีต้าร์เบอร์สองของวงคว้าเอาเครื่องเป่าสุดคลาสสิคขึ้นมาแล้วจัดการบรรเลงเองโดยไม่เสียเวลาง้อใคร อีซองมินใช้เสียงแซ็กโซโฟนสะกดทุกคนในบริเวณนั้นจนอยู่หมัด




    คยูฮยอนยืนนิ่งมองซองมินและเครื่องเป่าที่ได้ชื่อว่าเล่นยากไม่แพ้เครื่องดนตรีชนิดไหนด้วยความเคลิบเคลิ้ม เปลือกตาบางพริ้มหลับดั่งต้องมนต์และคยูฮยอนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาถูกท่วงทำนองที่ซองมินสรรค์สร้างในเวลานั้นสะกดจนจบท่อนโซโล่.. ถ้าหลังจากนั้นอีซองมินไม่เงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่ เขาก็คงลืมหน้าที่ของตัวเองไปอีกนานวันนั้นอีซองมินทำได้ดีจนเขาคิดว่าท่อนโซโล่แซ็กโซโฟนท่อนนั้นคือโชว์ที่ได้รับเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆมากที่สุดในงาน




    และจนกระทั่งจบเพลงอีซองมินก็ได้โชว์ความสามารถอีกด้านหนึ่งให้เขา(และทุกคนในที่นั้น)ประจักษ์และยอมรับโดยไม่มีข้อแม้ว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นศิลปินโดยแท้ ..



    "ผมอยากฟังพี่เป่าแซ็กโซโฟนเพลงนี้อีก" คยูฮยอนวางมือลงบนแขนขาวก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปสัมผัสกับฝ่ามือเล็กจนกระทั่งนิ้วเรียวเลื่อนไปสอดประสานกันไว้โดยไม่เหลือช่องว่าง คยูฮยอนไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาทำแบบนี้กับรุ่นพี่คนสนิท



    ความใกล้ชิดของเราสองคนในวันนี้มันมากกว่าทุกๆครั้ง ความใกล้ชิดที่เกิดมันขึ้นไม่ใช่เพียงแค่การที่มือของเราจับกันไว้แต่ยังรวมไปถึง’ความรู้สึก’ของเราสองคน คยูฮยอนไม่รู้ว่าซองมินจะรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่สำหรับเขาแล้วเวลานี้เขากำลังรู้สึกถึงอีซองมินในหัวใจของเขาเอง เขาพอใจที่ได้นอนจับมือกับอีซองมินไว้แบบนี้และอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ขัดขืน



    คยูฮยอนปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสนั้น สัมผัสที่เขาเพิ่งค้นพบในไม่นานมานี้ว่าสามารถบำบัดความวุ่นวายทั้งหลายได้



    มือของซองมินก็คงเหมือนกับโลกแคบๆของเจ้าตัว โลกแคบๆที่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ในนั้นได้ เมื่อใดก็ตามที่เขาได้จับมือของซองมินไว้มันคล้ายกับว่าเขาได้รับสิทธิ์ให้ก้าวเข้าไปในโลกใบนั้นและโลกแคบๆนั่นก็ทำให้เขารู้สึกสงบจนอยากละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วหยุดเวลาไว้ตรงนี้




    ตรงที่ๆมีเพียงโจคยูฮยอนกับอีซองมิน.. 



    ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ไม่มีใครถามว่าทำไม ไม่มีเหตุผลด้วยว่าเพราะอะไร ก็เหมือนในบางครั้งที่เรารู้ว่าสิ่งทำอยู่แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่มันก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังอยากทำ แม้จะรู้ว่าในการกระทำนั้นมีเหตุผลเพียงแค่หนึ่งเดียวคือทำแล้ว'เรา'รู้สึกดี..



    คยูฮยอนค่อนข้างแน่ใจว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรัก ถึงแม้เขาจะรู้สึกถึงมันในหัวใจ แต่กระนั้นเขาก็รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจในอกซ้ายที่ยังคงช้าและหนัก มันไม่ได้ถี่รัวหรือหวามไหว หากแต่มันคือความอุ่นอวล อุ่นใจ อะไรบางอย่างบอกเขาว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากความผูกพัน



    และคยูฮยอนเชื่อว่าระหว่างเขากับอีซองมิน ความรู้สึกนี้จะมั่นคงและยาวนาน.. 


    .



    .



    .



    เจ้าของร่างสูงที่เดินฮัมเพลงเข้ามาใต้ตึกคณะดุริยางคศิลป์ดูจะเรียกความสนใจจากหลายคนที่นั่งทำงานในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี ดวงตาคู่คมกวาดไล่มองหาเพื่อนร่วมคลาสที่มักจะนั่งเล่นกีต้าร์แซวสาวกันอยู่แถวนี้ก่อนจะพบว่าพรรคพวกทั้งหลายได้ย้ายสถานที่จากม้าหินอ่อนใต้ตึกไปเป็นโต๊ะไม้ยาวที่อยู่ข้างตึกแทน ที่รู้ไม่ใช่ว่ามองเห็นแต่คยูฮยอนได้ยินเสียงพวกมันแซวเด็กปีสองลอดมาให้ได้ยิน ไอ้พวกนี้ชอบกระทำการอุกอาจไม่ค่อยจะเกรงใจใครในที่สาธารณะ(แต่เพราะว่ามันสร้างเสียงหัวเราะได้ทุกคนเลยพร้อมใจกันปล่อยให้ลอยนวลมาจนถึงทุกวันนี้) 



    ใบหน้าหล่อจัดที่หลายคนอิจฉาในวาสนาผู้เป็นเจ้าของระบายรอยยิ้มอ่อนโยนตอบแทนกลับไปในยามที่เด็กปีหนึ่งสองสามคนโค้งตัวทักทาย'รุ่นพี่คยูฮยอนนักร้องนำวงดนตรีของมหาวิทยาลัย'ผู้โด่งดัง 



    หลายๆคนที่ผ่านมาพบเจอมักจะหลงไปกับรูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นพี่คยูฮยอน ใบหน้าคมคายติดแววร้ายกาจรวมไปถึงน้ำเสียงทุ้มนุ่มยามที่เอื้อนเอ่ยคำหวานเป็นที่ต้องใจของหญิงสาวค่อนมหาวิทยาลัย แต่หากได้รู้จักถึงแก่นแท้ของพี่คยูฮยอนแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าหน้าตาเหล่าเหลาเข้าขั้นเทพนั้นมันช่างขัดกับนิสัย'เสี่ยวรับประทาน'ของเจ้าตัวเป็นที่สุด



    แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสาวๆจำนวนไม่น้อยแวะเวียนมาให้โจคยูฮยอนแสดงความเสี่ยวใส่ด้วยความเต็มใจ ก็ในเมื่อคุณสมบัติของรุ่นพี่คยูฮยอนนั้นออกจะครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นรูปหล่อ พ่อรวย เรียนดี มีอนาคต แถมยังร้องเพลงเพราะ เพราะงั้นกะอีแค่ความเสี่ยวมันไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคอยู่แล้ว.. (เหรออออออออ)



    ซงจีอึนมองคนที่กำลังยืนโปรยยิ้มอยู่ท่ามกลางเด็กปีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ นับวันพี่รหัสของเธอจะยิ่งป่วงหนัก แล้ววันนี้เป็นอะไร ทานอะไรเข้าไปถึงได้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ



    ร่างบางเดินหอบแฟ้มใส่โน๊ตเพลงเข้าไปหารุ่นพี่ปีสามที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลานม้าหิน



    "โอปป้า" เสียงใสที่เรียกมาจากทางด้านหลังทำให้คยูฮยอนต้องหันไปมองก่อนจะพบว่าคนเรียกยืนตาขุ่นจ้องตนเองอยู่



    "อ้าวววว วอทซับเบบี๋" ทักทายเสร็จก็รีบกุลีกุจอเข้าไปรับแฟ้มหนาปึ้กของน้องรหัสมาช่วยถือ ร่างสูงหันรีหันขวางมองหาโต๊ะที่พอจะว่างเพื่อวางของเด็กสาวเสียงดี



    "แล้วไปไงมาไงยังอยู่แถวนี้อยู่ล่ะ วันนี้เบบี๋มีเรียนถึงเที่ยงไม่ใช่เหรอ" ซงจีอึนพยักหน้ารับก่อนหลบสายตาพี่รหัสในขณะที่ตอบคำถาม



    "เค้ารอเพื่อนอยู่ เพื่อนเลิกเรียนสามโมง" ได้ยินดังนั้นพี่รหัสของเบบี๋ก็ส่งเสียง 'อู้ววว' ดังๆโดยไม่เกรงใจใคร



    "เพื่อนที่ว่านี่ใช่พ่อแร๊พเพ่อตาคมมั้ยจ๊ะเบบี๋ เฮ้อออ ฝากบอกยองกุกมันด้วยว่าต่อให้เบบี๋ของพี่คยูฮยอนมีใจให้แต่ยังค่าสินสอดก็ยังต้องจ่ายนะจ๊ะ พี่คยูฮยอนเรียกไม่แพงหรอกแค่ข้าวมื้อใหญ่ๆมื้อเดียวก็พอ" ได้ยินดังนั้นคนเป็นน้องก็ฟาดมือลงบนท่อนแขนของพี่รหัสดังปั่ก!



    "เดี๋ยวนี้ถึงกับทำร้ายพี่เชื้อเพราะชายอื่นแล้ว เบบี๋ของพี่เปลี่ยนไปนะ เมื่อก่อนยังเห็นวิ่งมาฟ้องพี่เพราะโดนฝ่ายโน้นแกล้งแซวอยู่เลยอ่ะ" พูดไปก็ลูบแขนไปป้อยๆ เห็นแบบนี้ไอ้เด็กนี่มือมันหนักชะมัด ไม่เข้าใจว่าไอ้เด็กแร็พเปอร์นั่นมาชอบได้ไงวะ 




    "ว่าแต่คนอื่น แล้วทำไมวันนี้โอปป้าถึงมาคนเดียวได้ แฟนไปไหนซะล่ะ" ตาคมหรี่มองน้องรหัสอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อพบว่าคนถามถามจริงๆไม่ได้แกล้งแซวให้คยูฮยอนเสียเซลฟ์เหมือนคนอื่นๆก็นึกได้ว่าเขากับจีอึนไม่ได้เจอกันมาเกือบๆหนึ่งสัปดาห์ น้องคงไม่รู้ว่าพี่รหัสของตัวเองเลิกกับแฟนแล้ว..และเราจากกันด้วย’ไม่ดี’




    "เลิกกันแล้ว" คยูฮยอนมองคนที่ได้รับคำตอบค้างไปหนึ่งจังหวะ ก่อนใบหน้าหวานจะแสดงความอ่อนใจออกมาแล้วเอ่ยคำที่คยูฮยอนแทบจะไปลากคอไอ่เด็กแร๊พมาฟังให้ชัดว่าแฟนมันร้ายกาจแค่ไหน




    "โอปป้าไปเสี่ยวอะไรให้เค้าเห็นล่ะ" ยังต้องสงสัยอีกมั้ยว่าซงจีอึนมีใครเป็นพ่อ.. ปีศาจเด็กนี่มันลูกสาวของอีซองมินชัดๆ!



    "เบบี๋ทำไมร้ายกาจกับพี่แบบนี้ล่ะจ๊ะ ถึงพี่จะเสี่ยว แต่พี่ก็เสี่ยวเป็นเวลานะ" ซองจีอึนส่ายหน้าระอาใจแล้วหยิบช๊อกโกแลตในกระเป๋าออกมาวางตรงหน้าคนอกหักแต่ไม่ยักจะเศร้า



    "โอปป้า เค้าถามจริงๆ นี่เลิกกับแฟนจริงเหรอ"



    "จริงดิ เบบี๋ไม่เชื่อพี่เหรอ""ก็ดูแล้วไม่เห็นจะมีอาการเหมือนคนอกหักเท่าไหร่ หน้าตาอิ่มเอิบสบายใจ” 



    “โอปป้า.. ได้เค้าแล้วทิ้งป่าวเนี่ย" จบคำถามซงจีอึนก็รู้สึกถึงม้วนชีทวิชาอะไรซักอย่างกระแทกตรงกลางกระหม่อม แก๊! ซงจีอึน!! น้องรหัสบ้านไหนมันใส่ร้ายพี่ตัวเองแบบนี้วะ คนตัวเล็กลูบหัวป้อยๆเหมือนที่คยูฮยอนลูบแขนเมื่อกี้ไม่ผิดเพี้ยน 



    "เออ เกือบลืม เค้ามีของฝากโอปป้าไปให้พี่ซองมินด้วย" มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบเอาซองใส่ของเล็กๆออกมา



    "อ่ะ เพื่อนเค้าฝากมาให้พี่ซองมิน"



    "ใคร.." ซงจีอึนเงยหน้าจากซองของขวัญเล็กๆขึ้นมองคนถามทันที อะไร เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆโจคยูฮยอนมาเก็กเข้มทำเสียงโหดใส่เธอทำไม



    "โหย โอปป้าไม่รู้จักหรอก เพื่อนเค้าตั้งแต่ตอนมัธยมแล้ว เรียนคนละคณะกับเราด้วย"



    "ผู้ชายหรือผู้หญิง" ซงจีอึนทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก็เพื่อนของเธอสั่งไว้ว่าห้ามบอกรายละเอียดอะไรกับพี่ซองมินก่อนอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเธอบอกพี่คยูฮยอนไปก็คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ โจคยูฮยอนหมุนของขวัญในมือไปมาขณะรอคำตอบจากน้องรหัส 



    "ผู้ ...... ชาย" เท่านั้นซองของขวัญสีหวานก็มีอันปลิวไปตกในถังขยะที่อยู่ใกล้กันกับโต๊ะม้าหินอ่อนที่สองพี่น้องนั่งทันที



    "เฮ้ย! โอปป้าทำไรน่ะ โยนของคนอื่นทิ้งทำไม" ดวงตาคมฉายแววดุดันขณะที่เอ่ยปากไขข้อข้องใจให้น้องรหัสฟัง




    "
    ไปบอกเพื่อนเธอว่าอีซองมินไม่ว่างรับของพวกนี้ ถ้ามีปัญหาข้องใจบอกให้เพื่อนเธอมาคุยกับพี่ก็ได้ ..โอเคมั้ยจ๊ะเบบี๋.." ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คยูฮยอนเปลี่ยนโหมดกับเป็นพี่รหัสใจดีเท้าแขนลงกับโต๊ะข้างหนึ่งก่อนส่งมืออีกข้างไปดีดหน้าผากคนที่นั่งอึ้งอยู่




    "พี่ไปเรียนก่อนนะ แล้วว่างๆจะพาเบบี๋ไปกินไอติม.."







































    'May be Continue'








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×