ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ]::May be you:: |KyuMin|

    ลำดับตอนที่ #1 : Part 01

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 54





    May be you    01






    คงจะมีรักจริงรออยู่ที่ดินแดนใดสักแห่ง ~ ~

     

     

     

     


    "มันเป็นไรอ่ะ" ท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านของเพื่อนร่วมแก๊งค์ทำเอาคนที่นั่งคำนวณผลแล็ปอยู่ชักเซ็งจนต้องเปิดปากถามให้รู้เรื่องกันไปข้าง คิมคิบอมเพ่งตามองอาการที่แลดูว่าจะคุ้นๆของเพื่อนรักด้วยความสงสัย

     

    "อกหัก" คราวนี้เพื่อนอีกสองคนถึงกับเงยหน้าขึ้นมาสบตากันเมื่อมีผู้รู้อาสาบอกถึงสาเหตุอาการหมาบ้าเข้าสิงพระเอกของแก๊งค์ สายตาทุกคู่ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจเมื่อทราบถึงสาเหตุแต่กลับแสดงความอ่อนใจเมื่อนึกได้ว่าเพื่อนของตัวเองถูกบอกเลิกมาอีกแล้ว

     

    ทั้งที่หน้าตาก็ดี เรียนก็อยู่ในระดับท้อป ฐานะทางบ้านก็ใช่ว่าจะด้อยไปกว่าใคร แต่กลับไม่มีแม่สาวคนไหนทนคุณชาย'โจคยูฮยอน'ได้นานกว่าหกเดือนสักคน

     

    "ดูดิ๊ นั่งงุ่นง่านยังกะหมาบ้า ใครเข้าหน้าไม่ติดสักคน" เสียงกระซิบกระซาบที่ตั้งใจให้คนเจ้าอารมณ์ได้ยินของคิมรยออุกทำให้อีฮยอกแจต้องรีบตะปบปากคนตัวเล็กไว้ก่อนที่โจคยูฮยอนจะถลามาปาดคอญาติผู้พี่แต่อายุเท่ากัน

     

    ดวงตาเรียวมองมือหนาที่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนตามอารมณ์ก็ทำหน้าแหยง โอ้ย!เห็นแล้วฮยอกแจกลัวเถอะ เกิดคยูฮยอนมันบ้าเอามีดมาไล่กระซวกพวกเขาตอนนี้ห้องซ้อมนี่มิกลายเป็นห้องซ้อมผีสิงเรอะ หมอนี่ไว้ใจไม่ได้หรอกยิ่งมีคิมรยออุกคอยเติมเชื้อไฟอย่างนี้ เขาไม่รู้ว่าที่บ้านของไอ้สองคนนี้เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานมาแบบไหนถึงได้ร่ำๆจะมีเรื่องกันได้ตลอดเวลาที่โอกาสมาถึง

     

    อีฮยอกแจส่งสายตาไปหาคิมคิบอมที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะตัวเล็กขณะที่นิ้วเรียวก็กระหน่ำลงไปบนแป้นพิมพ์ของเครื่องแบล๊คเบอร์รี่สีขาว ใบหน้าหล่อจัดบิดเบี้ยวขัดใจกับผลแล็ปที่คำนวณได้ คิบอมปาปากกาลงบนโต๊ะ ไม่ทำแล้วโว้ย! คืนนี้ค่อยว่ากันใหม่เถอะ

     

    ผ่านไปแค่อึดใจเดียวมือเบสทายาทอสูรก็ล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารชนิดเดียวกันกับของเพื่อนหน้าไก่ขึ้นมามองแล้วจึงส่งข้อความตอบกลับไปบ้าง 'อยากรู้ก็ถามสิ' และไม่ต้องรอนานไปมากกว่านั้นอีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาอีกครั้ง 'มึงถามดิ๊ กูไม่สนิทกับมัน' คิบอมจิ๊ปากพร้อมกับถลึงตาใส่เจ้าของข้อความ ไม่สนิทแต่ทุกวันนี้ก็แทบจะกินนอนบ้านมันได้เนี่ยนะ คิบอมทำท่าฮึดฮัดขัดใจพองามสุดท้ายจึงยอมพยักหน้าแบบเสียไม่ได้ ต่อให้ดึงดันยังไงลองมาอีหรอบนี้ก็ไม่พ้นเขาอยู่ดีละวะ ใบหน้าคมเข้มหันไปหาตัวต้นเหตุความอึมครึมของห้องซ้อมในวันนี้ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์พระเอกละครเรื่องใหม่ล่าสุด .. 'ทำเป็นรักแทบตายสุดท้ายมาบอกเลิกกู' เป็นไง ชื่อเรื่องบาดใจดีมั้ยล่ะ!

     

    "คยู มึงเลิกกับน้องเจอินตั้งแต่เมื่อไหร่วะ" คงด้วยความไม่เสถียรของอารมณ์บวกกับคำถามแทงใจทำเอาสามชีวิตที่นั่งจ้องรอคำตอบหัวใจกระตุกวาบกับสายตาเย็นเยียบที่คนอกหักส่งมา ริมฝีปากสีเลือดเหยียดออก สะบัดรอยยิ้มเย็นชาใส่เพื่อนผู้โชคร้าย

     

     

     

    "เมื่อวาน ไม่ต้องถามต่อ กูไม่อยากพูดถึง" ให้คำตอบเสร็จก็ตัดบทอย่างไร้เยื่อใย แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสัมภาษณ์ช่วงแรก รายละเอียดปลีกย่อยเป็นเรื่องของอนาคตซึ่งไม่ยากถ้าอยากจะรู้ ก็ไอ้น้ำยาคายความลับของของพวกมักเกิ้ลอย่างเขามันไม่ได้ปรุงยากเหมือนสัจจะเซรุ่มของพวกพ่อมดหมอผีในวรรณกรรมเยาวชนบันลือโลกอย่างแฮรี่ พอร์ตเตอร์นี่นา จะด้อยกว่าก็ตรงที่ต้องใช้ปริมาณมากกว่าก็เท่านั้น

     

    โจคยูฮยอนทิ้งสายตาขุ่นมัวใส่เพื่อนทั้งสามชีวิตอีกครั้งแล้วจึงปล่อยตัวเองเข้าสู่โลกส่วนตัวต่อไป ร่างสูงเอนกายลงพิงกับโซฟาตัวเล็กดังเดิมแล้วจึงปิดเปลือกตาไม่รับรู้อะไรอีก มือหนายกขึ้นเค้นคลึงขมับทั้งสองข้างด้วยเรื่องที่คิดไม่ตก

     

    ทำไม.. คำถามสั้นๆที่วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า 'ขอให้เลิกกัน'

     

    เธอบอกว่าเขาไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยอยู่ด้วยในเวลาที่ต้องการ ไม่โรแมนติกอย่างแฟนคนอื่น สุดท้ายยังตราหน้าให้เขาเจ็บร้าวกับคำกล่าวหาที่แสนรุนแรงว่าบทรักของเขามันไม่ได้เรื่อง!  เออเว้ย! แล้วไอ้ที่ร้องครวญครางจะเป็นจะตายตลอดเวลาที่ผ่านมานั่นมันเรื่องลวงโลกของเจ้าหล่อนหรือไง

     

    สุดท้ายลมหายใจที่ติดขัดก็ถูกพ่นออกจากจมูก ชายหนุ่มลืมตาแล้วสบถกับตัวเองเบาๆ เผลอพูดดังไปสิจะได้เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของชมรมดนตรีผู้รักเสียงนินทา(มากกว่า)ไปได้

     

    เมื่อมองไปรอบๆแล้วพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจอาการฟาดงวงฟาดงาของตนเองแล้วเพราะเพื่อนแต่ละคนดูจะมีโลกส่วนตัวกับเครื่องมือสื่อสารของตัวเองโจคยูฮยอนจึงปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง

     

     

     

    ทางด้านสามทหารเสือที่ยังคงนั่งปักหลักอยู่กลางห้อง อาศัยเทคโนโลยีนินทาเพื่อนด้วยความเมามัน และประเด็นล่าสุดที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารของคิมรยออุกก็คือ .. คืนนี้จะจับพระเอกละครไปกรอกน้ำยาคายความลับที่ไหน

     

     
     
    ความเงียบแปลกประหลาดของห้องชมรมทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ขมวดคิ้วแปลกใจ มือน้อยปลดกระเป๋าสะพายข้างออกจากไหล่แล้วเดินไปวางบนโต๊ะตัวเล็ก ทั้งที่ไอ้สามทหารเสือมันก็อยู่ครบประธานชมรมคนใหม่ก็ด้วยแล้วทำไมวันนี้มันถึงไม่มีเสียงตีรันฟันแทงเหมือนทุกที

     

    อีซองมินหรี่ตามองเป็นคำถามถึงความเงียบที่ไม่ชอบมาพากลแล้วจึงขยับเท้าเข้าไปหาคนที่เป็นเหมือนน้องชายคนสนิท ร่างเล็กเบียดตัวลงนั่งกับคิมรยออุกพลางรับโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเต็มไปด้วยข้อความของอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน(นั่นแหละ) หลังจากนั่งอ่านจนได้ความกระจ่างแล้วซองมินก็ลุกขึ้นยืน

     
     
    คนตัวเล็ก(แต่ใจใหญ่)เดินอาดๆเข้าไปที่มุมห้องโดยไม่สนใจอารมณ์ดำทะมึนของฝ่ายที่นั่งอยู่ ทันทีที่เข้าถึงตัวมือเล็กก็ตบลงบนหัวไหล่ห่อเหี่ยวของโจคยูฮยอนด้วยความแรงระดับที่มากกว่าเจ็ดริกเตอร์


    ปั่ก!


    โจคยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมองคนที่ประทุษร้ายตัวเองทันที ใบหน้าหล่อจัดไร้รอยยิ้มเมื่อปรายตามองเจ้าของมือที่วางอยู่บนไหล่ คิ้วเข้มมุ่นเข้าแฝงรอยรำคาญใจให้อีกฝ่ายได้เห็นอย่างชัดเจน

     

    "เป็นอะไรไปไอ้หนู มานั่งอึมครึมกดดันชาวบ้านเค้าแบบนี้กลัวไม่มีใครเหม็นขี้หน้าหรือไง" คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย(?)จากคนช่างเจรจาไม่ได้รับการสนใจจากอีกฝ่ายที่ยังคงสร้างความอึมครึมปิดกั้นตัวเองด้วยความเงียบ

     

     

    และเมื่อเห็นว่าน้องชายร่วมวงยังเงียบคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนกับอะไรนานๆจึงหมุนตัวกลับหลังเพื่อไปทำหน้าที่รองประธานชมรมดนตรีสากลให้คุ้มกับที่ได้รับตำแหน่งมา คนตัวเล็กเสียบสายกีต้าร์ตัวเก่งเข้ากับลำโพงขนาดเล็กที่ใช้ซ้อมเป็นประจำ จัดแจงทดสอบเสียงอยู่ชั่วครู่แล้วจึงกระตุกยิ้มให้สามชีวิตที่ยังคงนั่งปักหลักนินทาเพื่อนอยู่กลางห้อง

     

     

    เสียงกระแอมไอดังคล้ายเป็นสัณญาณให้ทุกสรรพสิ่งนิ่งเงียบเพื่อรับฟังความไพเราะจากนักดนตรีร่างเล็ก มือบางกรีดลงไปบนสายกีต้าร์ก่อนเริ่มเข้าสู่ตัวโน๊ตแรกและทำนองเพลงที่คุ้นหูก็ลอยขึ้นมา..


    "อย่ามาให้เจออีกเลย เฉยเฉยไปเลยดีกว่า 
    เจ็บเกินไปที่จะคบหา ไม่อยากจะมองเห็นหน้าใครใคร 
    ไปไกลไกลให้ห่างกัน เห็นแล้วฉันยิ่งเจ็บใจ 
    ไม่อยากจะได้ยินอะไร จากเธอฉันไม่อยากฟัง "

     

    ทันทีที่เข้าสู่ท่อนฮุกนักร้องเบอร์หนึ่งของชมรมก็ลากเอาไมค์ตัวเก่งพุ่งไปเสียบกับลำโพงตัวที่หันหน้าเข้าหามุมห้องดำทะมึน คิมรยออุกกรอกเสียงลงไปด้วยอารมณ์สนุกจนล้นปรี่ผิดกับเนื้อหาของเพลงที่เศร้าลึกบาดใจใครบางคนที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ในมุมมืด

     

    "อยากจะมองฟ้าที่ว่างเปล่า เหงาเหงาคนเดียวลำพัง
    ให้รอยร้าวมันเจือจาง ให้ใจมันดีกว่านี้บ้าง" 

     

    และเมื่อเข้าสู่เนื้อเพลงท่อนที่ต้องการมอบเป็นพิเศษให้กับนักร้องเบอร์หนึ่ง(อีกหนึ่งคน)ของวง อีฮยอกแจและคิมคิบอมก็เดินเข้าไปร่วมสมทบกับมือกีต้าร์หน้าหวานแล้วแหกปากตอกย้ำช่วงสุดท้ายของท่อนฮุกให้เข้าไปถึงใจเพื่อนร่วมวงอย่างพร้อมเพรียง

     

    "อยากให้เธอนั้นลืมทุกสิ่ง และทิ้งฉันไว้ลำพัง 
    ฉันต้องการทบทวนบางอย่าง อยากอยู่เงียบเงียบคนเดียว... โว้วววว"


    "กับเธอฉันคงไม่มี ไม่เหลืออะไรสักอย่าง 
    เมื่อเราเดินอยู่คนละทาง ก็อย่าตอกย้ำให้ช้ำเกินไป 
    เธอจะเดินไปจากฉัน ฉันก็เสียทุกอย่างไป
    โปรดอย่าบอกว่าเพราะอะไร อย่าเลยฉันไม่อยากฟัง


    ใครจะดีจะร้ายยังไง ฉันไม่ต้องการฟัง 
    อยากจะปลดปล่อยทุกทุกอย่าง 
    อยากอยู่ลำพัง อยากอยู่คนเดียว .. 
    โว้วววว โวววววววว โหว้วววว โหวววววววววววว" แถมท้ายสุดยังใจดีอิมโพรไวซ์นอกรอบให้อีกคนละทีจนคนที่เพิ่งอกหักมาหมาดๆอยากจะกระทืบขอบคุณเรียงคน!!

     


    คยูฮยอนพ่นลมออกจมูกแรงๆหวังระบายความเจ็บช้ำที่ถูกซ้ำเติม

     

    แต่ก็นั่นแหละ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนไอ้วงดนตรีมหาภัยนี่ทำร้าย อยู่ชมรมนี้หน้าตาดีอย่างเดียวไม่ได้หรอกจิตต้องแข็งด้วยไม่งั้นมีหวังได้ฆ่าตัวตายวันละหลายสิบรอบ ก็ไอ้ชมรมดนตรีสากลนี่มันมีสโลแกนอยู่ว่า 'ใครช้ำต้องซ้ำให้ตาย!' น่ะสิ

     

    ร่างสูงกระแทกหลังกับโซฟาเมื่อเสียงปรบมือเปาะแปะราวกับผู้ชมมีนับล้านดังประสานกันขึ้นมาเมื่อจบเพลง

     

    มือกีต้าร์คนเก่งกลั้นยิ้มจนแก้มพองเมื่อแอบเห็นว่าไอ้หนุ่มมุมห้องทำได้เพียงส่งเสียงจิ๊จ๊ะบอกว่าขัดใจ แต่ไม่มีกำลังจะทำอะไรมากกว่านั้น ก็ลองอาละวาดสิ นอกจากจะอกหักเพราะถูกสาวทิ้งแล้วยังจะคอหักเพราะโดนกีต้าร์ฟาดอีกรายการ

     

    หลังจากจบการแสดงสดที่จัดเป็นพิเศษเพื่อคนอกหักแล้วกลุ่มนักร้องประสานเสียงโดยมิได้นัดหมายจึงเก็บข้าวของระเกะระกะให้เข้าที่เข้าทางดังเดิมเพื่อขยายพื้นที่เตรียมซ้อมแบบเต็มวงสำหรับงานกู้ดบายซีเนียร์ที่จะมาถึงในอีกหนึ่งเดือน

     

    ความจริงแล้วในชมรมของพวกเขามีคนที่กำลังจะเรียนจบในปีนี้อยู่สี่คน แต่ถ้านับเฉพาะคนที่อยู่ในวงดนตรีมหาภัยนี่ก็มีแค่สอง ซึ่งสองคนนั้นก็คือประธานและรองประธานชมรม

     

     

    หลังจากลากเอาเครื่องดนตรีออกมาตั้งวงกันกลางห้องแล้วแต่ละคนก็เข้าประจำที่ โดยที่มือกลองของวงกระหืดกระหอบเข้ามาถึงห้องซ้อมทันตามเวลาที่นัดไว้แบบไม่มีขาดไม่มีเกิน ชเว ซีวอน พร่ำพูดขอโทษพร้อมกับบอกเหตุผลที่มาถึงช้าเพราะต้องเอางานไปส่ง ดวงตาคมเข้มสบประสานกับคนที่ยืนอยู่หลังอิเล็กโทนแล้วก็พยักหน้าให้แบบที่รู้กันสองคนว่าเป็นการรายงานตัวจากนั้นจึงเดินเข้าไปประจำที่

     

    ดวงตากลมใสของคนที่เป็นหัวหน้าวงในวันนี้กวาดมองสมาชิกแต่ละคนที่กำลังปรับเสียงเครื่องดนตรีของตัวเองอยู่ อีซองมินทำหน้าเมื่อยเมื่อหันไปเจอนักร้องนำ(อีกคน)ของวง ใบหน้าของคยูฮยอนห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ท่ายืนพักขาทิ้งสะโพกบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังเบื่อหน่ายเพียงใด ท่าทางไร้อารมณ์ร่วมกับเพื่อนพ้องในวงจุดความไม่ชอบใจให้เกิดขึ้นในความรู้สึกของคนที่รักเสียงดนตรียิ่งกว่าสิ่งใด อีซองมินยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็ชักจะทนระอาใจกับอาการอกหักรักคุดที่ส่งผลกระทบกับคนอื่นๆของโจคยูฮยอนไม่ไหวสุดท้ายจึงตัดสินใจเรียกชื่อตัวการแล้วพูดขึ้นมาเรียบๆ

     

    "คยู ถ้าวันนี้ไม่ไหวจะกลับไปก่อนก็ได้นะ นายไม่พร้อมเดี๋ยวจะทำวงล่มเปล่าๆ ที่เหลือพวกเราซ้อมกันเองได้" ถ้อยความที่ชี้ชัดออกมาว่ากำลังตำหนิเจ้าของชื่อในประโยคทำเอาสายตาทุกคู่ย้ายไปรวมกันที่ใบหน้าหวานจัดของคนพูด แต่สายตาของอีซองมินกลับจับนิ่งอยู่เพียงใบหน้ามึนงงของโจคยูฮยอน ริมฝีปากได้รูปเตรียมจะขยับเป็นคำพูดบางอย่างแต่คนตัวเล็กกว่ากลับหันหน้าไปหาน้องชายร่วมวงคนอื่นแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าพร้อมโดยไม่สนใจท่าทางเก้ๆกังๆของโจคยูฮยอน เก่งนักนะอีซองมิน ไอ้เรื่องกดดันคนอื่นเนี่ย!

     

    ฝ่ายที่โดนตำหนิซึ่งๆหน้าเมื่อเห็นว่าพี่ชายตัวเล็กไม่สนใจจึงหันซ้ายหันขวาหาเพื่อนร่วมวงคนอื่น คิมคิบอมที่กำลังวุ่นกับการตบเบสส่ายหน้าเบาๆแล้วขยับปากบอกโดยไม่มีเสียงว่าให้ร้องต่อไปไม่ต้องสนใจอีซองมิน และคิมรยออุกก็ยื่นหน้ามาบอกให้ทำแบบเดียวกัน เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงขยับไมค์ในมือให้มั่นกว่าเดิม ร่างสูงถอนใจเล็กน้อยกับโหมดเอาจริงของอีซองมิน ถ้าไม่ติดว่าความรับผิดชอบมันค้ำคออยู่ตัวเป้งพ่อจะสะบัดตูดเดินออกไปจากชมรมให้รู้กันไปข้างเลยว่าครั้งนี้โจคยูฮยอนงอนจริง!

     

    .

     

    .

     

    โจคยูฮยอนพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเสียงตัวโน๊ตสุดท้ายหยุดลง มือหนาสอดไมค์ไว้กับขาตั้งดังเดิม ทุกคนแลดูกระตือรือร้นที่จะเก็บของมากกว่าอ้อยอิ่งเช่นทุกครั้ง ทำงานกันเร็วแบบนี้แสดงว่ามีที่จะไปกันต่อแน่ๆ คนเพิ่งถูกทิ้งดุนลิ้นกับแก้มในขณะที่ชั่งใจว่าจะไปสรวลเสเฮฮากับเพื่อนๆหรือหลบไปบำบัดสภาพจิตเพียงลำพัง เสียงแลกเปลี่ยนความคิดเสนอชื่อร้านดังมาให้ได้ยินโดยไม่มีใครเอ่ยปากชวนไอ้บื้อที่กำลังม้วนเก็บสายไมค์เงียบๆ(คนเดียว) นี่ถ้ามีปอร์ตไลค์ส่องกลางหัวโจคยูฮยอนเป็นพระเอกเอ็มวีได้เลยนะเว้ย!

     

    "ร้านพี่จองซูมั้ย วันนี้วันศุกร์ ผมมีบัตรลดสีฟ้า" เป็นคิบอมที่ตะโกนขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่ามีบัตรลดประจำวันอยู่ ร้านของพี่จองซูประธานชมรมคนก่อนโน้นที่เรียนจบวิศวะแต่ดันไปเปิดร้านเหล้าแถมยังไปได้สวยมากกว่าใครๆในย่านเดียวกัน โจคยูฮยอนแอบเห็นว่ามีหลายคนพยักหน้าสนับสนุนเพราะเห็นว่าทางกลับบ้านตนเองต้องผ่านร้าน '83Line' อยู่แล้ว เห็นดังนั้นก็เป็นอันตกลง ข้อสรุปอยู่ร้านพี่จองซู ว่าแต่ จะออกไปกันแล้วก็ยังไม่มีใครชวนคยูฮยอนเลยนะเว้ย!

     

    ใบหน้าคมเข้มที่ราบเรียบแถมหดหู่ผิดปกติไม่ได้ทำให้คนที่มองอยู่นึกเห็นใจ โจคยูฮยอนกำลังได้รับผลกรรมจากการฟาดงวงฟาดงาไม่ดูตาม้าตาเรือ ซองมินยกสายกระเป๋าสะพายข้างขึ้นพาดไหล่แล้วคว้าเอากระเป๋ากีต้าร์มาถือไว้ หันซ้ายหันขวาตรวจตราความเรียบร้อยแทนประธานชมรมที่วันนี้มาร่วมซ้อมไม่ได้แล้วจึงพบว่ายังเหลือสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องชมรม โจคยูฮยอนอ้อยอิ่งในการเก็บสัมภาระของตัวเองทั้งที่มีกระเป๋าให้ดูแลเพียงแค่ใบเดียว มือหนาคุ้ยนั่นจับนี่เก็บของไม่(ยอม)เสร็จซักทีจนคนรอปิดห้องเริ่มจะมีอารมณ์(อีกแล้ว) ดวงตากลมหรี่ลงด้วยนึกมุ่งร้ายกับอาการไม่สนใจโลกของน้องชายร่วมวง ปลายเท้าเล็กขยับตบกับพื้นเป็นจังหวะเดียวกันกับการนับเลขหนึ่งถึงสิบในใจ

     

    เล่นแง่ .. โจคยูฮยอนกำลังเล่นแง่กับอีซองมิน

     

    ทั้งที่คนอื่นออกไปรอที่ลานจอดรถข้างตึกชมรมหมดแล้ว แต่ไอ้หมอนี่มันยังเอ้อระเหย ถ้าไม่ติดว่าเขามีหน้าที่ปิดห้องชมรมตลอดเดือนนี้อย่าหวังว่าอีซองมินจะยืนรอไอ้เด็กกวนประสาทนี่แบบนี้เลย

     

    "นายจะเก็บของอีกนานมั้ย" น้ำเสียงที่ฟังแบบไหนก็รู้ว่าคนพูดไม่พอใจลอยมาเข้าหู อ่า เขาจะปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาดีมั้ยน้า~~

     

    ใบหน้าคมยังคงเรียบเฉย แต่อาการปรายตามองมาแวบหนึ่งทำให้ซองมินรู้ว่าคยูฮยอนฟังอยู่  ก็ได้  ในเมื่อต้องการแบบนี้ซองมินก็ไม่ว่า คนตัวเล็กหมุนตัวกลับเดินดุ่มไปที่ประตู ก้าวเท้าด้วยอัตราเร็วที่ไอ้คนขี้งอนไม่ทันได้ตั้งตัว ซองมินประชากประตูเปิดด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับที่มืออีกข้างหนึ่งตะปบลงบนสวิตช์ไฟข้างประตู เพียงเท่านั้นห้องชมรมก็มืดลงทันตา ร่างเล็กก้าวพ้นบานประตูพร้อมกับหันไปเสียบกุญแจแล้วปิดล๊อกจากด้านนอกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายจากคนที่อยู่ด้านใน อีซองมินยิ้มหวานให้กับบานประตูที่ถูกทุบโครมๆแล้วจึงเดินจากไป

     

    เสียงโวยวายที่ดังลอดออกมาทำให้หลายคนสนใจ โดยเฉพาะคนที่ยืนรออยู่ที่ลานจอดรถ รยออุกมองซองมินที่เดินมาคนเดียวด้วยความสงสัย ห้องชมรมปิดไฟหมดแล้วนี่หว่า น้องชายตัวเล็กปรี่เข้ามาหาซองมินเพื่อถามหาคนที่ควรจะเดินมาด้วยกัน แต่อีซองมินกลับโยนลูกกุญแจให้แล้วบุ้ยใบ้ว่าต้นตอของเสียงร้องโวยวายนั่นคืออะไร เห็นดังนั้นรยออุกก็จ้ำพรวดโดยไม่ต้องคิดจนคนที่ยืนอยู่ด้วยกันงงแตก

     

    คิมรยออุกวิ่งไม่คิดชีวิตไปที่ห้องชมรม ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลแต่ตอนนี้หัวใจของรยออุกเต้นเร็วมาก มือเล็กสั่นในขณะที่เสียบลูกกุญแจเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกเขาก็พบว่าโจคยูฮยอนยืนแนบแผ่นหลังกับบานประตูกอดกระเป๋าแน่นหลับตาปี๋ โว้ย! แล้วมันก็โง่ไม่เปิดไฟเนาะ ไอ้เด็กกลัวผีเอ้ย!

     

    สภาพดูไม่ได้ .. คำนี้คงเหมาะสมที่สุดหลังจากที่รยออุกเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับใครบางคน ทุกคนรู้ว่าคยูฮยอนกลัวผีจนขึ้นสมอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าหมอนี่เกลียดการอยู่คนเดียวในห้องมืดๆจับจิต เพราะจินตนาการเรื่องผีของมันสุดโต่งเข้าขั้นเทพ อะไรนิดอะไรหน่อยมันก็สามารถประติดประต่อให้เกิดเป็นตำนานผีได้อย่างง่ายดาย เพราะแบบนี้รยออุกเลยต้องรีบไปช่วยมันออกมาจากห้องชมรม ไม่งั้นพี่ซองมินอาจจะถูกจับข้อหาฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้

     

    ใบหน้าหล่อจัดไม่มีรอยยิ้ม แต่กระนั้นเมื่ออีซองมินเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ โจคยูฮยอนก็กระโดดผลุงตามเข้าไปนั่งข้างๆโดยไม่ต้องให้เรียก ชายหนุ่มสะบัดหน้าออกไปมองนอกตัวรถโดยไม่สนใจคนขับที่กำลังกลั้นยิ้มจนสุดความสามารถ เมื่อเห็นว่ารถอีกคันที่คิบอมกับรยออุกนั่งอยู่ขับผ่านหน้าไปแล้วคุณคนขับหน้าหวานก็แตะคันเร่งเบาๆเคลื่อนรถตามออกไปโดยมีเมอเซเดสของชเวซีวอนตามมาติดๆ เป้าหมายคือร้านของพี่จองซู

     

     

     

    ถ้าถามว่าทำไมคยูฮยอนถึงต้องตามมานั่งรถคันเดียวกันกับอีซองมินทั้งที่พี่ซองมินเพิ่งแกล้งเขาให้เกือบหัวใจวายตายคำตอบก็มีเพียงอย่างเดียวคือ รถคันอื่นไม่มีที่ว่างสำหรับคยูฮยอน เพราะเดี๋ยวคิบอมจะต้องไปแวะรับพี่จองอุนกับอีทงเฮที่หอประชุมของมหาวิทยาลัย สองคนนั้นอยู่ชมรมการแสดงเหมือนกัน และสองคนนั้นก็เป็นคนรักของคิบอมแล้วก็รยออุกด้วยเหมือนกัน ส่วนอีกคันที่ซีวอนขับอยู่ไม่บอกก็รู้ว่าตุ๊กตาหน้ารถชื่ออีฮยอกแจ เพราะงั้น..คยูฮยอนก็เลยต้องมานั่งทำหน้าเลิศๆเป็นตุ๊กตาหน้ารถของอีซองมินไงล่ะ

     

    แล้วอีกอย่างเขาจะขับรถมาเรียนเองทำไมให้ยุ่งยากในเมื่อติดรถพี่ซองมินมาได้อยู่แล้วทุกวัน เผอิญว่าจับพลัดจับผลูได้มาอยู่คอนโดเดียวกัน แล้วก็นะถ้าไม่รู้จะบอกให้ว่าที่บ้านพี่ซองมินน่ะรวยจะตายจะเลี้ยงเด็กไว้ซักคนก็ไม่เสียหายหรอก คุณป๋าของพี่ซองมินเป็นประธานบริษัทผลิตเครื่องนอนยักษ์ใหญ่ของประเทศนี้เชียวนะ(ไม่อยากจะคุย) ในขณะที่พ่อกับแม่ของคยูฮยอนเป็นแค่เจ้าของโรงแรมเล็กๆที่มีสาขาอยู่ทั่วทั้งเอเชีย ดังนั้นโจคยูฮยอนจึงปวารณาตัวเป็นเด็กเสี่ยของอีซองมินเสมอมา

     

     

     
    พี่ซองมินรักน้องรักนุ่ง ใครขออะไรถ้าให้ได้ก็ไม่เคยขัด ขนาดรยอุกพูดเล่นๆว่าอยากได้รถซักคันเป็นของขวัญวันเกิด เช้าวันต่อมาพี่ซองมินก็ถอยรถคันใหม่ให้ทันที แถมคันบังคับพร้อม เสียดายที่รยออุกเล่นไม่ค่อยเป็นเขาจึงขู่เอามาเก็บเป็นสมบัติของตัวเอง เห็นมั้ย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาอยากเป็นเด็กของเสี่ยมินได้ยังไง หึหึ ก็ว่าไปนั่น เด็กเสี่ยมินบ้าอะไรล่ะ อีซองมินน่ะใจดีกับคนทั้งโลกแหละ ยกเว้นอิผู้ชายที่ชื่อโจคยูฮยอน!

     

     

     

    ทุกวันนี้ที่ขออาศัยติดรถไปเรียนด้วยก็เพราะขี้เกียจขับรถไปเอง วันไหนไม่ต้องไปรับแฟน (ซึ่งก็นานๆครั้ง)คยูฮยอนก็จะขอติดรถอีซองมินไปเรียน เพราะเรียนเสร็จยังไงก็ต้องเข้าชมรมอยู่แล้ว ทางเดียวกันไปด้วยกันกลับด้วยกัน ประหยัดน้ำมันดีออก และก็เพราะแบบนี้แหละ(มั้ง) ถึงไม่มีใครทนเขาได้(นาน) คยูฮยอนเป็นคนติดเพื่อน ชอบเข้าชมรมเพราะรักเสียงดนตรีและได้นินทาคนโน้นคนนี้สนุกสนาน
     
     
     
    เรื่องผู้หญิงความจริงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่บางทีมันก็น่าปวดใจที่ไม่มีใครรักคยูฮยอนที่ตัวตนจริงๆเลยซักคน พวกเธอเรียกร้องต้องการเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ชีวิตของเขามีอะไรมากกว่าการต้องไปเดินต้อยๆตามแฟนช้อปปิ้งหรือนั่งเอาเท้าเขี่ยกันในร้านไอติมหวานแหวว แบบนั้นมันไม่เกิดประโยชน์แล้วก็ดูไร้สาระ สู้เอาเวลามาซ้อมดนตรียังจะดูมีค่าซะกว่า แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า .. ไม่มีผู้หญิงคนไหนคิดแบบนี้เลยสักคน (โอเค กลับมานินทาอีซองมินต่อกันดีกว่า)

     

     

     

    อีซองมินไม่เคยทำอะไรให้คยูฮยอนฟรีๆหรอก อาทิตย์ไหนที่เขาติดรถไปเรียนด้วยมากกว่าสามวัน อาทิตย์นั้นเขาจะต้องล้างรถให้อีซองมิน แต่ถ้าไปด้วยกันทั้งอาทิตย์ก็ต้องเพิ่มดูดฝุ่นในรถด้วย เลิศไหมล่ะเสี่ยมิน! ถ้ามื้อไหนคยูฮยอนขอมาทานข้าวด้วยมื้อนั้นเขาจะต้องล้างจานทั้งหมดที่เสี่ยแช่ไว้ ถ้าวันไหนเขาขอให้ติวให้วันนั้นต้องมีขนมไปเซ่นไหว้เสี่ยด้วย อ้อ..เขาบอกไปหรือยังว่าเขากับพี่ซองมินเรียนคณะเดียวกันแถมยังเอกเดียวกันด้วย แบบนี้ไง ถึงไปไหนไม่รอด หนีกันไม่พ้น เชอะ!

     

     


    เสียงเพลงในรถยังคงเป็นเพลงเดิมที่ฟังอยู่ทุกวัน แต่แปลกที่คยูฮยอนเองก็ไม่เคยเบื่อเช่นเดียวกันกับเจ้าของรถที่กำลังฮัมเพลงไปพร้อมกับการเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัย พอเพลงเล่นไปถึงท่อนฮุกทั้งคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงร้องแข่งกัน และมันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน..

     

     

     


    ถ้าจะมีใครซักคนที่ทนโจคยูฮยอนได้ ก็อาจจะเป็น .. อีซองมินคนนี้ละมั้ง ..

     

     

     




     

    *  เพลงในเรื่องคือเพลง เงียบๆคนเดียวนะคะ ^^


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×