ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่มสีดำกับเรื่องราวอาถรรพ์ (Rewrite)

    ลำดับตอนที่ #5 : สายสัมพันธ์ของพ่อลูก

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ย. 57


    ร่มสีดำ : ตอนที่ 5 สายสัมพันธ์ของพ่อลูก

                    พักเที่ยงหลังจากเรียนเคมี2คาบกับเรื่องกรด-เบส คณิตศาสตร์2คาบกับเรื่องฟังก์ชั่นตรีโกณอันแสนน่าเบื่อแล้ว มันทำให้ผมหลับได้ง่ายดายยิ่งกว่ายานอนหลับเสียอีก พอผมนั่งกินข้าวกับไอ้แจ๊คและหมู่เพื่อนๆชายเสร็จก็รีบปลีกตัวออกมาทันทีโดยผมพกร่มสีดำกับกระดาษที่ผมได้มาจากห้องน้ำนั่นมาตลอดๆ  ผมรีบเดินผ่านสนามฟุตบอล อาคารโรงยิมและก็เข้าใกล้สถานที่ที่ไม่ควรเข้าใกล้อย่างยิ่ง......ซึ่งนั่นก็คือตึกของรุ่นพี่ชั้นม.6นั่นเอง.....

     

    “นี่เราต้องเข้าไปจริงๆหรอเนี่ย??”

     

    ผมบ่นพึมพำกับตัวเองพร้อมเดินเข้าไปในตัวอาคาร  ทุกสายตาของรุ่นพี่ทุกๆคนโดยเฉพาะรุ่นพี่ผู้ชายมองด้วยสายตา เคียดแค้น อาฆาต เหยียดหยาม ประหลาดใจ  ฯลฯจนทำให้ผมเย็นหลังวาบ! เอ่อ....พี่ครับ..ผมไม่ได้ไปเผาบ้านพี่ซักหน่อยครับพี่  จะมาสนใจตัวผมทำไมคร๊าบ...;w;

    ผมเดินขึ้นไปยังชั้น 2 ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นที่อยู่ของห้องม.6.1 และเดินไปพลางเงยหน้าดูป้ายหน้าห้องเรียนและแล้วผมก็เห็นป้ายห้องม.6.1อยู่ไม่ไกล....เท่าที่ผมสังเกตได้นั้น ระเบียงหน้าห้องมีรุนพี่ผู้ชาย 2 คนนั่งมองออกไปยังนอกระเบียงดูเหมือนว่าพี่แกกำลังมองหานักเรียนหญิงสวยๆอยู่.....ผมรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปสะกิดพี่คนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างผอมสูงดวงตาเล็กไว้ทรงผมรองทรงสูง

     

    “เอ่อ....พี่ครับขอถามอะไรหน่อยครับพี่.......”

    พี่ชายคนนั้นก็หันมาพร้อมทำหน้าตาประหลาดใจ

     

    “โอ้ววว...นานๆทีจะมีแขกมาเยี่ยมห้องนะเนี่ย.....ว่าแต่มีอะไรรึน้อง”

    ผมนึกในใจ..แหม่รุ่นพี่บางคนก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมดซินะ

     

    “คือผมอยากคุยกับรุ่นพี่ที่ชื่อนารินทร์หน่อยอ่ะครับพี่....”

     

    “นารินทร์........อ่อๆได้สิเดี๋ยวพี่ไปตามมาให้นะ”

    ว่าความเสร็จแล้วรุ่นพี่คนนี้ก็เดินเข้าไปในห้อง

     

    “ขอบคุณครับพี่”

    ผมโค้งศรีษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงคำขอบคุณ.....ผมรออยู่ตรงนั้นสักพักนึงพลางจ้องมองออกไปยังสนามฟุตบอลที่เตะกันอยู่อย่างเมามัน มันทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาที่เสียไปตรงนี้มันคุ้มค่ารึเปล่านะ??

     

    “สวัสดีค่ะน้อง”

     

    “สวัสดีครับพี่นา.......รินทร์”

     

    ผมหันไปทางต้นเสียงที่ทักมาทำเอาหัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นเพราะรูปร่างของรุ่นพี่คนนี้ย่างกับนางแบบใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโตริมฝีปากเล็กเกล้าผมด้วยปิ่นสีแดงแล้วก็ใส่แว่นตาสีแดงเข้มด้วยนะครับ......ผมยืนจ้องพี่คนนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนกระทั่งพี่เขามาสะกิดที่แขนของผมทำเอาสะดุ้งเล็กน้อย

     

    “มีอะไรแปลกๆรึเปล่าคะน้อง?”

     

    “คือว่า.....พี่นารินทร์ครับ...พ่อของพี่เขา...”

    ทันทีที่พี่นารินทร์ได้ยินคำว่าพ่อ ดวงตาเธอดูโตขึ้นมาและประกายขึ้นมาทันที

     

    “พ่อของพี่.......มีอะไรรึเปล่า?”

     

    “ขอโทษนะครับพี่คือพ่อของพี่เขาไปสบายแล้วใช่ไหมครับ....แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไปไม่ได้นั่นก็คือตัวพี่เองครับ”

     

    “ตัวพี่หรอ?.......อะไรล่ะ??”

    สิ้นเสียงของพี่นารินทร์ร่มเจ้ากรรมของผมก็สั่นขึ้นมาทันที....มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ายังมีสิ่งที่ไม่ได้ให้พี่นารินทร์ไปนั่นก็คือกระดาษแผ่นนั้นนั่นเอง....ผมจึงควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้พี่เขาไป....ซึ่งพี่เขาก็รับไว้แล้วค่อยๆคลี่กระดาษที่ผมพับไว้ออกมาดวงตาของพี่นารินทร์นั้นสวยกลมโตมากแต่แฝงไปด้วยความทุกข์บางอย่างที่ผมรู้สึกได้ถึงแม้จะมองแค่แวบเดียวก็เถอะ.....

     

    ถึงลูกรักของพ่อ....ถ้าหากอ่านข้อความนี้แล้วให้รู้ไว้ว่าตอนนี้พ่อได้จากลูกไปแล้ว พ่อผิดเอง พ่อขอโทษด้วยที่ยังทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อได้ไม่เต็มที่.....ในตอนนี้พ่อไม่ได้อยู่ดูแลแต่ก็ขอให้ลูกเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยตัวของลูกเอง แล้วพ่อจะยืนดูความสำเร็จของลูกจากที่ไหนซักแห่งนะ.....รักลูกมากกว่าใคร 

                                                                                                                                                จาก...พ่อ

     

    พี่นารินทร์อ่านข้อความในกระดาษนั้นได้สักพักน้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มที่ขาวใส ถึงใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอออกมาแต่ก็ยังมีรอยยิ้มที่ตื้นตันแสดงออกมาเล็กน้อย......พักหนึ่งพี่นารินทร์ก็เก็บกระดาษและหันหน้ามามองผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง

     

    “น้องไปได้กระดาษนี้มาจากไหนหรอคะ?”

    “คือ.....พ่อของพี่บอกให้ผมเอามาให้น่ะครับ”

     

    ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากผมเธอก็ถึงกับทรุดนั่งร้องไห้ออกมาเลย  ทำให้รุ่นพี่ในห้องถึงกับชะเง้อหน้าออกมามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งคือร่มสีดำมันขยับอีกแล้วแต่คราวนี้ผมรู้สึกได้ว่ามันต้องการให้ผมกางมันออกมา....ผมจึงกางมันออกมาและภาพที่เห็นคือลุงแก่คนนั้นได้โอบกอดลูกสาวของลุงไว้ด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง

     

    “พ่อขอโทษนะลูกที่พ่อดูแลลูกไม่ดีเอง....แต่ต่อไปนี้ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีๆนะ....พ่อหนุ่มฝากบอกด้วย”

    ผมพูดบอกพี่นารินทร์ไปว่า

     

    “พี่ครับตอนนี้พ่อของพี่อยู่ใกล้ๆพี่แล้วครับ...ลุงเขาฝากมาบอกว่าพี่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ...พ่อขอโทษที่ดูแลลูกไม่ดีเอง”

    พี่นารินทร์ยังคงนั่งร้องไห้อยู่แล้วพูดออกมา

     

    “หนูรักพ่อนะคะ....หากชาติหน้ามีจริงขอให้หนูได้เกิดเป็นลูกพ่ออีกนะคะ”

     

    สีหน้าของลุงที่ดูคลายความเศร้าหมองมาได้บ้าง....แล้วร่างกายของลุงจากที่ดูเหมือนสัมภเวสีกลับกลายเป็นคนปกติขึ้นมาแล้วจากนั้นลุงเขาก็ลุกขึ้นยืน

     

    “ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม....เท่านี้ลุงก็หมดห่วงแล้วล่ะนะ...ขอบใจจริงๆ”

     

    ลุงพูดจบก็พลันสลายตัวหายไป ผมจึงเข้าไปปลอบพี่นารินทร์และร่มสีดำก็หุบลง.......ด้วยสายตารอบๆข้างที่จับจ้องเข้ามาที่ผมกับพี่นารินทร์ที่กำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่นั้นผมจึงตัดสินใจพาตัวพี่นารินทร์ลงมาจากห้องและพาไปนั่งที่บริเวณสวนหย่อมใกล้ๆกับตึกของชั้นม.6

    พี่นารินทร์นั่งร้องไห้ได้สักพักใหญ่ผมจึงลองถามไปด้วยความสงสัยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย.....

     

    “พี่ครับ....พี่ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น”

    พอพี่เขาได้ฟังนั้นก็ทำให้หยุดอาการร้องไห้ได้เล็กน้อย

     

    “เมื่อ3ปีก่อนที่อาคารหลังใหม่จะสร้างเสร็จนั้นพ่อของพี่ได้เป็นผู้รับเหมาในการสร้างตึกม.5 แล้วก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา”

     

    “เหตุการณ์?”

     

    “ใช่แล้วล่ะ....เย็นวันนั้นพี่กลับบ้านก่อนเพราะพ่อพี่บอกว่าจะอยู่ดูไซต์งานที่นื่เพื่อเช็คดูความเรียบร้อยก่อน....และคำสุดท้ายที่พ่อพูดกับพี่คือ พ่อรักลูกนะ”

     

    สิ้นเสียงแล้วพี่นารินทร์ก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม  ผมจะรีบหาทางอื่นๆที่ทำให้พี่เขาใจเย็นลงได้

     

    “คือ....พี่ครับอย่าเศร้าไปเลยครับพี่ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้นะครับและก็ต้องก้าวต่อไปให้ได้นะครับเพื่อตัวพี่เองเพื่อพ่อพี่ด้วยนะครับ”

     

    ผมพูดมันออกไปโดยไม่ได้ทันคิดอะไรแต่ดูเหมือนว่าพี่นารินทร์จะหยุดร้องไห้ได้แล้ว

     

    “พี่จะต้องสอบติดสถาปัตให้ได้เพื่อตัวพี่และพ่อพี่ด้วย”พี่นารินทร์พูดพลางเช็ดน้ำตาบนแก้ม

     

    “ต้องอย่างนี้สิครับพี่”

     

    “พี่ต้องขอบคุณน้องด้วยนะคะ  ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาพี่ได้เสมอเลยนะเดี๋ยวว่างๆจะหาอะไรตอบแทนให้นะ”

     

    “ครับพี่...ไม่ต้องก็ครับ  เอ่อ.......ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ?”

     

    “ตอนนี้หรอ??”

     

    พี่นารินทร์ควักโทรศัพท์ออกมาดู

     

    “ตายแล้วน้อง......ตอนนี้บ่ายโมงสิบห้าแล้วเนี่ย”

     

    “ห๊า!!!!......งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่สวัสดีครับ”

     

    ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วก็วิ่งออกไปให้ทันคาบเรียนจะได้ไม่โดนเช็คขาดด้วย...เหวยซวยจริงๆ

     

    “เดี๋ยวก่อนสิน้อง...พี่ยังไม่ได้ถามชื่อน้องเลย.....”

     

    สุดท้ายแล้วตอนบ่ายผมก็โดนเช็คขาดคาบภาษาไทยของครูสมรจอมโหดอีกตามเคย  ผมใช้เวลาเรียนอีกสามคาบที่เหลือด้วยความตั้งใจเพื่อไม่ให้เสียการเรียนด้วย และมีบางครั้งที่ผมหันไปมองร่มสีดำที่แขวนอยู่หลังเก้าอี้ผม...ถึงเวลา 4 โมงกว่าๆเป็นเวลาเรียนคาบสุดท้ายจบพอดีผมก็เก็บหนังสือใส่ใต้โต๊ะและเตรียมตัวกลับบ้าน

     

    “ช้าก่อน!ชาติชาย..”

    ต้นเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไอ้แจ๊คนี่เอง

     

    “มีอะไรหรอ?”                     

     

    “ตอนเที่ยงเอ็งหายไปไหนมาวะ?”

     

    “อ่อ....มีธุระนิดหน่อยน่ะ”

     

    “กำ....ก็เลยขึ้นมาช้าเนี่ยนะแถมยังไม่บอกพวกเราสักคำว่าหายไปไหน”

     

    “ขอโทษทีๆ”

     

    “เอ้อชาย....วันนี้มีเรื่องให้ช่วยหน่อยน่ะ”

     

    “อะไรอีกล่ะ??”

     

    “คือว่าตูได้รับบัตรเชิญเข้างานอะไรก็ไม่รู้ฟ่ะเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณอะไรยังงี้เลยจะชวนเอ็งไปน่ะ”

    ไอ้แจ๊คพูดขึ้นพลางควักบัตรเชิญออกมา....บัตรเชิญมีขนาดคล้ายนามบัตรเขียนไว้ขนาดย่อมว่า”ขอเชิญผู้โชคดีเข้าร่วมงาน เล่าเรื่องลี้ลับ พิสูจน์ความน่ากลัวของอาคารร้างกว่า10ปีพบกันที่ร้านค๊อฟฟี่ พี่หมีใหญ่  ปล.สามารถชวนเพื่อนๆมาได้เพื่อความสนุกของตัวคุณเอง!

     

    “งืมๆ”

    ผมอ่านจบแล้วทำท่าทางสนใจเพราะไม่มีอะไรทำแล้วด้วย ในวันนี้ก็ไม่มีเรียนพิเศษ อีกอย่างวันนี้สตางค์ก็ไปซ้อมกีฬาพอดีเลย จัดว่าเวลาลงงตัวเป๊ะ!

     

    “โอเครๆ ตกลงตูไปก็เอ็งก็ได้”

     

    “เย่!!งั้นลองชวนติ๋มไปด้วยดีกว่านะ”

     

    “อือๆตามใจเอ็ง”

    ไอ้แจ๊คพูดเสร็จก็รีบวิ่งไปหาติ๋มที่กำลังนั่งคุยกับกลุ่มสาวๆในห้องตามปกติ ผมเห็นมันเข้าไปคุยสักพักแล้วทำท่าทางอออ้อนแต่จากนั้นก็เดินคอตกกลับมา..

    .

    “เซ็งว่ะ....แค่ชวนไปดูอะไรสนุกๆเท่านั้นเองแต่ดันมามีธุระซะเนี่ย”

     

    “เอาน่าๆเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองไปกะตูสองคนไม่เป็นไรมั้ง?”

    ผมปลอบไอ้แจ๊คมันดูท่าทางมันจะเซ็งๆเอามากๆคงเป็นเพราะยัยติ๋มเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็กแถมบ้านยังอยู่ติดๆกันอีก คงจะเป็นเพื่อนสนิทที่ดีมากๆคนหนึ่งเลยล่ะ    สักพักพวกผมก็พากันเดินลงมาจากอาคารแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถรับส่งนักเรียนประจำทางของโรงเรียนเพื่อที่จะเกาะรถไปแวะระหว่างทางผ่านพอดี..พอพวกผมขึ้นรถไปเสร็จก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมร่มไว้ที่โรงเรียน

     

    “เฮ้ย!!ร่ม”

     

    “ร่มอะไรเอ็งไอ้ชาย....มันก็แขวนอยู่ข้างกระเป๋าเอ็งนี่ไง”

     

    “อ่าว....”

    ผมหันไปมองร่มที่แขวนอยู่ข้างกระเป๋าของผมมันทำให้ผมขนลุกเล็กน้อยเพราะมันไม่เคยห่างผมไปไหนเลยยังกะว่ามันมีชีวิตและเดินตามผมตลอดเวลาหรือตลอดชีวิตนะ??...


    จบตอนที่5

     

    ปล.เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นติ๊ดนึงแล้วนะครับ พระเอกของเราจะเจอกับอะไรที่น่าตื่นเต้นต่อไปติดตามนะครับ^ ^

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×