ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่มสีดำกับเรื่องราวอาถรรพ์ (Rewrite)

    ลำดับตอนที่ #7 : สาวน้อยในคฤหาสน์

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ย. 57


    ร่มสีดำ : ตอนที่ 7 สาวน้อยในคฤหาสน์

    พวกผมนั่งรถประจำทางสองแถวมาตามทางจนสุดสาย ในเวลานี้ก็ประมาณ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ดูจะตกไปครึ่งนึงแล้ว ทั้งพวกผมและคนอื่นๆต่างเดินตามหัวหน้าครินทร์ไปยังซอยเล็กๆที่ดูเหมือนกับถูกทิ้งร้างไว้นานมากๆ เพราะสองข้างทางมีแต่บ้านร้างที่มีแต่หญ้าขึ้นรกบังทางเข้าบ้าง มีรั้วกั้นไว้บ้าง ตอไม้ขนาดใหญ่ขวางไว้บ้าง ในขณะระหว่างที่เดินไปอยู่นั้นร่มของก็เกิดอาการสั่นเป็นอย่างมาก คล้ายยังกับจะเปิดออกมา ผมกำร่มไว้แน่นจนเหงื่อเปียกชุ่มเต็มมือเลย..ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงที่ที่เป็นจุดหมาย โดยอยู่ท้ายซอย.....ดูจากสภาพแล้วเป็นเหมือนดังในภาพเลยไม่ผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อย....แต่ในใจผมคิดว่าทำไมในบัตรเชิญเขาถึงไม่ใช้คำว่าคฤหาสน์ไปเลยล่ะ? ทำไมต้องใช้คำว่าอาคารด้วย?น่าสงสัยจริงๆ....

    ด้านหน้าทางเข้า มีรถตู้สีดำจอดอยู่....ดูเหมือนจะเป็นรถตู้ของเจ้าของงานนี้ เพราะมีสติกเกอร์ติดอยู่ข้างๆรถตู้เขียนเอาไว้ว่า’Dark Mystery Machine’ ชื่อจะเท่หรือเห่ยดีเนี่ย??(เหมือนผมเคยเห็นในการ์ตูนสักเรื่อง) พวกเรามาหยุดอยู่ที่ประตูรั้วหน้าทางเข้าแล้วดูเหมือนหัวหน้าครินทร์จะชี้แจงอะไรบางอย่าง....

    “เอาล่ะครับ....เรามาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วนะครับ...สาวกของผมจะเล่าเกี่ยวกับประวัติของสถานที่นี้นะครับ ขอเชิญคุณริวครับ”

    จู่ๆประตูรถตู้ก็เปิดขึ้นมาทำเอาทุกคนสะดุ้งตกใจกันเป็นแถวรวมถึงผมด้วย.....มีสาวกคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูที่เปิดนั่นล้วเดินมาหาหัวหน้าจรินทร์ซึ่งป้ายชื่อที่ติดตรงผ้าคลุมคือ ริว แหม่...ชื่อยังกะคนดังในทีวีแน่ะครับ=A=

    “สวัสดีครับทุกคนผมชื่อริว จีบจับจกนะครับ”

    เอ่อ....นั่นฉายาใช่ไหม?

    “ผมจะเล่าประวัติเคร่าๆนะครับเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาของงานนี้นะครับ”

    “วันที่ XY เดือน U ปี 25DF ที่อาคารหลังนี้ อดีตเคยเป็นคฤหาสน์ของตระกูลผู้ดีผู้รักความสงบตระกูลหนึ่ง แต่ด้วยภาวะของพิษเศรษฐกิจจึงทำให้เหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้น......ผู้นำตระกูลได้เรียกคนใช้คนสนิทมาในค่ำคืนหนึ่งและสั่งให้ทุกๆคนเป็นคนดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของเขา ก่อนที่ภายในคืนนั้นจะยิงตัวเองตายไปด้วยการไร้ความรับผิดชอบ....ปัญหาของเรื่องไม่ใช่มีแค่นั้น.....หนึ่งในคนใช้สนิทซึ่งเป็นพวกโรคจิตนั้นได้ลักพาตัวเด็กคนนั้นแล้วนำไปซ่อนไว้ที่ไหนซักแห่งของคฤหาสน์หลังนี้....แล้วได้ขู่เข็นให้คนใช้คนอื่นออกไปจากบ้านถ้าหากไม่ออกไปจากที่นี่ก็จึงจะจัดการฆ่าลูกสาวของผู้นำตระกูลไป.....ทุกค่ำคืนก็ได้ยินเสียงร้องอันเกิดจากการถูกทรมาน....จนเวลาผ่านไปไม่นานพวกคนใช้ของบ้านหลังนี้เกิดทนไม่ได้กับสิ่งที่คนใช้คนนั้นทำ...จึงบุกเข้าไปและจัดการรุมกระทืบคนใช้คนนั้นจนสิ้นใจตายคาที่และเริ่มออกตัวค้นหาตัวของเด็กหญิงคนนั้น...แต่ก็ไม่พบตั้งแต่นั้นมา.....”

    ผมยืนฟังสิ่งที่คุณริวเล่ามา...ถึงแม้ว่ามันจะเกินความเป็นจริงบ้างแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความจริงเลย มันเลยทำให้ผมอยากเข้าไปเร็วเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?

    “หลังจากเหตุการณ์วันนั้น....คนใช้ที่อาศัยอยู่โดยรอบก็ได้ยินเสียงร้องไห้ โหยหวนของเด็กผู้หญิงดังมาจากคฤหาสน์หลังนั้นทำให้คนใช่หลายๆคนต้องย้ายออกไปด้วยความหวาดกลัว...”

    “เอาล่ะครับทุกๆคนได้ฟังเรื่องเล่าแล้ว....เป็นยังไงบ้างครับ?....ทุกๆคนต้องดีใจมากๆเลยสินะครับเพราะว่าพวกเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาสำรวจที่นี่นะครับ”

    ผมมองไปรอบๆหลังจากที่หัวหน้าครินทร์พูดโอ้อวด.....รอบๆมันมืดหมดแล้ว เหลือแต่เพียงแสงของสปอร์ตไลท์บางดวงที่ฉายไปยังกำแพงและตามจุดต่างๆ......ส่วนบางคนบ้างก็มีอาการหวาดกลัวโดยเฉพาะพวกผู้หญิงสามคนนั้น..และติ๋ม..เอ่อ...และก็ไอ้แจ๊คด้วยนะครับ =_= ดูจากท่าทางที่มันจับแขนขวาผมซะแน่นจนดูเหมือนจะช้ำแล้ว?และยัยติ๋มที่จิกเสื้อที่ไหล่ผมจนดูเหมือนมันจะยับและยู่ยี่ขนาดหนัก ส่วนผมน่ะหรอครับ?อย่าถามเลยครับ ตอนนี้แค่บรรยากาศโดยรอบขาผมก็สั่นซะแล้ว ;w;

    “เฮ้ย!

    ผมตะโกนขึ้นแต่ไม่ดังมาก ทำให้ไอ้แจ๊คกับยัยติ๋มสะดุ้งได้เลย...

    “จะกลัวอะไรนักหนาวะพวกเอ็ง....คิดว่าฉันไม่กลัวรึยังไง....เสื้อที่พวกเอ็งจิกนี่แมร่งจะขาดละเนี่ย..กะแขนกะไหล่ตูอีกเนี่ยแขนตูคงช้ำในหมดแล้วมั้ง?”

    “เอาหน่ะ....ให้เอ็งเป็นที่พึ่งของพวกข้าหน่อยนะ”

    “ชะ...ใช่ๆ”

    ไอ้แจ๊คพูดขึ้นพร้อมยัยติ๋มพูดเสริมขึ้นมา.....บ๊ะ!ข้าไม่ใช่พระเครื่องนะเว้ย!

    “เอาล่ะครับ...เราจะแบ่งกันเป็นกลุ่มๆนะครับ...โดยมี 5 กลุ่มนะครับเพราะมีอยู่ 5 ทางเลือก....แล้วให้บันทึกภาพเป็นวิดิโอตลอดเวลานะครับโดยจากโทรศัพท์ของทุกคนนะครับ...อย่าลืมนะครับหากมีภาพติดวิญญาณที่ชัดเจนพอ..ก็รับรางวัลไปเลยนะครับ!

    “แบ่งกลุ่มกันแล้วใช่ไหมครับ?...เชิญตัวแทนกลุ่มมาจับฉลากเลือกเส้นทางนะครับ”

    บางคนก็ส่งตัวแทนของแต่ละกลุ่มไปจับฉลากที่หัวหน้าครินทร์ซึ่งแน่นอนครับ...ผมได้ไปจับเป็นแน่แท้....

    ตัวแทนจับฉลากมี 5 คนรวมถึงตัวผมด้วย...

    ในมือของหัวหน้าครินทร์มีกระดาษสีอยู่ 5 สีพอดีเลย...

    “ใครจะจับก่อนครับ”

    หัวหน้าครินทร์ยื่นไปหาทุกๆคน

    “.....”

    “งั้นคุณละกันครับ....จับก่อนได้เลือกก่อนนะ”

    ความซวยบังเกิดครับ...ผมได้จับเป็นคนแรก!  ผมกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งก่อนที่จะยื่นมือไปจับ ในจผมเล็งสีแดงไว้นะครับ

    “สีฟ้าสีคะ...”

    เสียงปริศนาแว่วขึ้นมาในหู พร้อมกับร่มที่สั่นขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้ผมตกใจสะดุ้งขึ้นมาพร้อมหลับตาคว้ากระดาษสีมาแผ่นหนึ่งมาโดยไม่ได้ดู.....เสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 5-6ขวบเห็นจะได้...ผมจึงเปิดตาดูกระดาษสีในมือ.....ปรากฎว่าเป็นสีฟ้า!เอาแล้วครับ!น่ากลัวจริงๆ เล่นเอาผมเหงื่อตกเลย

    “แหม่ๆ....คุณเลือกสีฟ้าไปนี่น่าจะคิดหนักหน่อยนะครับ...”

    ผมทำหน้างง?? จึงถามกลับไป

    “มันเป็นยังไงหรอครับ?”

    จู่ๆสาวกสีดำคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามากลางวงและหันหน้าเข้ามาคุยกับผม

    “ก็....ตลอดทางสีฟ้าน่ะค่ะ...ประตูมีแค่สองบา...”

     “เดี๋ยวก่อนสิคุณปรายฟ้า...ให้พวกเขาไปเจอเองน่าจะดีกว่านะครับ”

    “ค่ะๆ..ขอโทษค่ะคุณหัวหน้า”

    สาวกที่ชื่อปรายฟ้าทำท่าคอตกเดินออกไปจากวงสนทนาและจากนั้นก็ทำการจับฉลากกันต่อ โดยแต่ละคนก็ได้สีต่างๆดังนี้

    กลุ่มสามสาว-สีชมพู=ห้องฝั่งซ้าย

    กลุ่มสามหนุ่ม-สีแดง(เสียดายจังไม่ได้เลือกอันนี้)=ชั้นสอง

    คู่รักหนุ่มสาว-สีเขียว=ห้องฝั่งขวา

    คุณมานะกับอีกคน-สีเหลือง=ห้องใต้บันไดฝั่งขวา

    กลุ่มของผม-สีฟ้า=ห้องใต้บันไดฝั่งซ้าย

    ต่อมาก็ตัวแทนจึงแยกย้ายกลับเข้ากลุ่มและสาวกคนหนึ่งได้นำไฟฉายมาแจกกลุ่มละกระบอก หลังจากนั้นจึงพากันเดินตามสาวกคนที่แจกไฟฉายไปโดยที่หัวหน้าครินทร์ได้อยู่ที่หน้าประตู...

    ระหว่างทางที่เดินตามสาวกอยู่นั้น ร่มของผมได้สั่นขึ้นมาอย่างแรงโดยอะไรดลใจไม่รู้....ผมจึงมองขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้าน.....โอ้วพระสงฆ์! ผมเห็น.....ผมเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น!เธออยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ทางฝั่งซ้ายของบ้าน ผมชักไม่แน่ใจจึงขยี้ตาแล้วมองกลับไป......แต่ก็พบกับความมืดที่มีแสงจากไฟสปอร์ตไลท์เล็ดลอดออกมานิดหน่อย.....พอมาถึงหน้าประตูสาวกคนนั้นก็เปิดประตูให้กับพวกเรา....

    “ขอให้โชคดีนะครับ....”

    สิ้นเสียงของสาวกนั้น ทุกๆคนก็ต่างแยกย้ายออกไปตามที่ที่ตนจับได้....ทิ้งไว้เหลือแต่พวกผมสามคนที่อยู่กลางห้องโถง

    “...”

    “...”

    “...”

    “เอาไงต่อดี?”

    ผมทักแจ๊คกับติ๋มไป...โดยทั้งสองก็ยังหลบอยู่หลังผม...

    “นำไปเลย.....เอาให้จบๆจะได้กลับตูกลัว”

    “โห่....นี่เหรอ...เก่งแต่ปาก จริงๆก็กลัวใช่ไหมล่ะ”

    “แล้วเธอไม่กลัวรึ? น่จริงก็นำไปสิ!

    “ทำไมชั้นต้องนำด้วยยะ!

    “เออ!เดี๋ยวตูนำเองไม่ต้องเถียงกัน!

    ผมตะคอกใส่ทั้งสองที่เถียงกันไปทำไมไม่รู้ ยิ่งสถานการณ์อย่างนี้กลับทำให้ผมกังวลและกลัวมากขึ้นเมื่อพบกับเด็กผู้หญิงเมื่อกี้...ผมบอกได้เลยว่า..ตอนนี้ร่มของผมกำลังสั่นอย่างถี่ๆเลยล่ะครับ

    ผมเดินไปเปิดประตูแล้วเปิดไฟฉายส่องไป...มันเป็นทางเดินบันไดลึกลงไป โดยกำแพงรอบๆนั้นเต็มไปด้วยคราบของราดำและรอบเลือดที่ดูเหมือนว่าจะแห้งไปหลายปีแล้ว ผมส่องไฟและค่อยๆก้าวลงไป ประมาณ12ขั้นก็ถึงพื้นแล้ว ซึ่งผมได้กลิ่นเหม็นอับมากๆ

    “เฮ้ย!ข..ข้างหน้านั่นอะไรอ่ะ”

    ไอ้แจ็คทำเสียงดังพลางชี้ไปด้านหน้าผมรีบฉายไปขึ้นไป พบแต่ความว่างเปล่าของทางเดินที่คับแคบ

    “เอ็งคิดไปเองรึเปล่า?”

    “ช..ใช่ๆ เรารีบๆเดินไปเถอะ ในนี้มันอึดอัดมากๆเลย”

    ติ๋มพูดเสริมขึ้น ผมจึงค่อยๆเดินไปสักพักก็พบกับทางแยกสองทาง..จึงหันไปถามแจ็คกับติ๋ม...

    “ไปทางไหนดีวะ?”

    “ไม่รู้ฟร่ะ...”

    “แล้วแต่....”

    “......(โว้ย!ให้ตูนำไม่พอยังให้มาเลือกทางอีก ถ้าเจออะไรก็อย่าโทษกันนะเว้ย!!)”

    แน่คือสิ่งที่ผมอยากจะพูดมาก แต่ก็พูดไม่ได้เพราะผมต้องคุมสติและความใจเย็นของผมไว้...จู่ๆเหมือนมีอะไรมาแตะมือที่ผมถือร่มไว้และดึงผมไปยังทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ผมตกใจมากจนแทบจะร้องกรี๊ดอยู่แล้ว..

    “รีบไปไหนวะไอ้ชาย!

     

    รอบข้างมืดไปหมดทั้งๆที่มีแสงจากไฟฉายแล้วก็ยังไม่ช่วงอะไร จนกระทั่งอะไรไม่รู้ดึงผมมาหยุดตรงหน้าประตูบานหนึ่งซึ่งเป็นสุดทางเดิน....

    “แฮ่ก.....แฮ่ก”

    ผมก้มลงหอบเหนื่อยจากการวิ่งมา และสิ่งที่วิ่งตามมาติดๆคือแจ๊คและติ๋ม....ผมจึงฉายไฟไปที่หน้าของเขาทั้งคู่ ผมถึงกับสะดุ้งเลย เมื่อพบกับใบหน้าที่หอบเหนื่อยและชุ่มไปด้วยเหงื่อสะท้อนกับแสงไฟ

    ว๊าก!!!!

    “ใจเย็นไอ้ชาย..นี่พวกตูเอง...แล้วเอ็งจะ...วิ่งทำไมวะ....นึกว่าเอ็งทิ้งพวกเรา...ไว้แล้วซะอีก”

    สีหน้าที่เหนื่อยและตื่นกลัวของไอ้แจ๊คทำผมตั้งสติขึ้นมาได้บ้าง...

    “แล้วนายมาทำไมที่นี่อ่ะ”

    ติ๋มถามผม

    “ก็....ชั่งมันเถอะนะ เราไปกันต่อเถอะ”

    ผมยื่นไฟฉายให้ไอ้แจ๊คถือแล้วหันกลับไปหาประตูบานนั้น รูปลักษณ์ของประตูนั้นช่างแตกต่างกับสิ่งที่เคยเจอมาอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าสภาพของประตูนั้นสะอาดมาก และมีลายแกะสลักที่คล้ายลายฉลุผสมปนเปจนดูไม่เหมือนงานศิลปะดูแล้วขนลุกยังไงไม่รู้ ผมยื่นมือไปเพื่อจะเปิดประตู จู่ๆลูกบิดมันก็หมุดเอง!

    “แกร๊ก!เอี๊ยดดด......”

    ประตูแง้มออกมาเล็กน้อย เหมือนกับเชื้อเชิญให้พวกผมเข้าไป..

    เฮ้ย!!

    ผมตกใจสะดุ้งโหยง!พร้อมกับร่มสีดำที่กางออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหุบลงอีกเลย...

    “อ....ไอ้ชาย เอ็งกางร่มทำไมวะ?”

    “ม....ไม่มีอะไรหรอกนะ  ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ”

    “เอ็งทำให้พวกเรากลัวกันนะเว้ย!

    “เอาน่ะ....เชื่อใจตูหน่อย...”

    ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับประตูบานนี้และค่อยๆจับลูกบิดและเปิดมันอย่างรวดเร็ว! ภายหลังประตูบานนี้เป็นห้องที่มีแสงจันทร์เล็ดลอดออกมาจากหน้าต่างด้านบนผนังมีประตูอยู่อีกหนึ่งบานที่ผนังตรงข้าม และมีเตียงเก่าๆตั้งอยู่กลางห้อง รอบๆกระจัดกระจายเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เปรอะเปื้อนฝุ่น อยู่หลายตัว และกองผ้าเก่าๆ ดูจากสภาพแล้วเหมือนจะเป็นห้องนอน....พวกผมค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องและค่อยๆเดินสำรวจ.....(ตอนนี้ร่มของผมยังถืออยู่ในมือทั้งๆที่กางไว้นะครับ)

    “แอ๊ดดด......ปัง!

    “กรี๊ดดดด!!

    ติ๋มกรี๊ดขึ้นด้วยความกลัวทำเอาผมตกใจสะดุ้ง!พร้อมหันหลังกลับไป.....พบกับประตูที่ถูกปิดเอาไว้ แล้วใครกันที่ปิดประตู?

    “จ...แจ๊คเมื่อกี้เอ็งปิดประตูหรอวะ?”

    “บ...บ้ารึเปล่าวะไอชาย ข้าอยู่หลังเอ็งเหมือนติ๋มตั้งแต่เข้ามาในห้องแล้วนะ”

    “ล...แล้วใครปิดล่ะ?”

    ผมถามทั้งสองคนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ..แล้วร่มของผมมันก็บังคับมือของผมให้กางขึ้นเหนือหัวโดยที่ผมยังไม่ได้บังคับอะไรเลยแม้แต่น้อย!ภาพที่เห็นตรงหน้าปรากฏเป็น เด็กผู้หญิงผมยาวสีดำปิดใบหน้าอยู่..เท่านั้นแหละครับ.....

    “ว้ากกกกก!!!!

    ผมตื่นตกใจเพียงแค่เห็นแล้ว ทำเอาแจ๊คกับติ๋มตกใจตามๆกัน

    “อะไรไอ้ชาย เอ็งเห็นอะไรวะ?บอกพวกข้ามาสิเว้ย!

    ไอ้แจ๊คเขย่าตัวผมเพื่อให้ตัวผมเรียกสติกลับคืนมา ในตอนนี้ในหัวของผมมันจางไปหมดแล้ว....

    “ฮิๆ พี่ชายทำหน้าตลกจัง”

    เสียงของเด็กผู้หญิงคนนี้ทำให้ผมเรียกสติคืนมาได้ เด็กผู้หญิงคนนี้เอามือเสยผมที่ปิดบังใบหน้าไปไว้ข้างหลัง จากนั้นเธแก็หันมาอุ้มตุ๊กตาที่อยู่ตรงพื้นและตรงเข้ามาหาผม...

    “พี่ชายเห็นหนูด้วย!ดีใจจังเลยค่ะ”

    “น...น้องเป็นใครกันครับ?”

    “เอ่อ....ไอ้ชาย....เอ็ง...คุยกับใครอยู่วะ?”

    “คือ...เงียบก่อนน่า....เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

    หนูมาลีค่ะ...นั่นคือชื่อของหนู”

    “หนู..มาลี?”

    “อยู่ที่นี่มานานมันเหงามากเลยนะคะ....แต่วันนี้พวกพี่ๆมากันเต็มเลยต้องจัดต้อนรับซักหน่อยแล้วสิ”

    หนูมาลีวิ่งมาหาผมแล้วจับมือผมวิ่งไปที่ประตูอีกบาน แล้วเปิดประตูออกเป็นทางบันไดเกลียวทอดยาวสูงขึ้นไป เธอพาผมวิ่งขึ้นไปพร้อมกับความงงงวยของแจ๊คกับติ๋มที่วิ่งตามหลังผมมา มือของหนูมาลีนั้นเย็นมากๆแต่ก็สัมผัสถึงเนื้อหนังของมนุษย์ได้เหมือนเธอคนนี้ยังไม่ตายเลย...

    “ไอ้ชายยย!!เอ็งวิ่งไปไหน!รอกันก่อนสิวะ!

    “คือ...วิ่งตามมาก่อนเถอะน่า เดี๋ยวบอก ”

    ผมวิ่งมาได้พักหนึ่งจนเห็นประตูบานหนึ่งที่ปลายทาง จู่ๆ หนูมาลีก็หยุดอยู่เฉยๆ แล้วหันมาหาผม...โอ้ว!พระสงฆ์!ตอนนี้ใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาแดงกร่ำ ผมชุ่มไปด้วยเลือดที่ออกมาจากหัว

    ว๊ากกกก!!!

    “พี่ชาย.....ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ...ตอนตายหนูก็มีหน้าตาเป็นแบบนี้แล้ว...พี่ชายเดินเข้าไปในประตูนนั้นนะคะเดี๋ยวหนูจะไปรอในนั้นนะคะ”

    “อ๊ะ!เดี๋ยวก่อนสิ”

    มือคู่หนึ่งพุ่งมาจากทางด้านหลังของผมพร้อมกับตบที่หัวผมอย่างแรง ทำให้ผมต้องหันกลับไปอย่างรวดเร็ว

    “แฮ่กๆ....อธิบายมาซะไอ้ชาย!ก่อนที่ข้ากับยัยติ๋มจะกระทืบเอ็งให้ตกบันได...แฮ่กๆ”

    “ก.....ก็ได้ๆคือ...จะเริ่มจากไหนดี? ”

    “เอาเรื่องแรกเลยนะ....ทำไมนายต้องกางร่มนั่นตลอดเวลาด้วย? เรื่องสอง...นายเห็นอะไรที่ประตูข้างล่างนั่น เรื่องสาม...นายวิ่งขึ้นมาบนนี้ทำไม? รู้ไหมมันน่ากลัวนะ!

    ผมเหลียวไปข้างหลังก็พบว่าหนูมาลีไม่อยู่แล้ว จึงหันกลับมาตอบคำถามที่ยัยติ๋มถามผม.....

    “เรื่องแรกนะ...คือว่าถ้าเรากางร่มนี้แล้วจะเห็นวิญญาณได้ เรื่องสอง...เราเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อหนูมาลี แต่เธอตายไปแล้ว พวกเธอเลยไม่เห็น..”

    “ตาย? เธอตายได้ยังไง?อย่าบอกนะว่าที่นี่มีผีจริงๆน่ะ ก...กรี๊..”

    “ชู่ว!อย่าเพิ่งกรี๊ดสิ”

    แจ๊ครีบเอามือปิดปากติ๋มไว้

    “แล้วทำไมเอ็งต้องวิ่งขึ้นมาที่นี่ด้วยฟะ?”

    “คือ....ไว้จบเรื่องทั้งหมดจะเล่าทั้งหมดให้ฟังละกัน”

    สิ้นเสียงผมหันกลับไปและวิ่งเข้าไปเปิดประตูบานนั้น

    “เฮ้ย!เดี๋ยวสิไอ้ชาย!!

    สัมผัสแรกที่ผมจับกลอนประตูบานนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมชาและเจ็บปวดไปทั้งตัวพร้อมกับอาการเกร็งที่ข้อมือข้างซ้ายที่ผมถือร่มอยู่....ผมหลับตาลงไป.....สู่ความมืดมิด......

    ........

    .......

    แสง?มีแสงจากปลายทางที่มืดนี้?ผมรีบวิ่งเข้าไปหาแสงสว่างนั้น จู่ๆทุกๆอย่างรอบๆก็สว่างขึ้นมาปรากฏเป็นภาพของห้องนอนที่ดูสะอาด หรูหรา และเต็มไปด้วยตุ๊กตา แต่เพียงผมกระพริบตาเท่านั้นทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมทุกๆสิ่งเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยฝุ่นและกลิ่นอายของความเก่าเหมือนถูกทำลายทิ้งไปพร้อมความมืดของตอนกลางคืน....ผมกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก็พบกับหนูมาลีนั่งอยู่ริมหน้าต่าง......ผมเดินเข้าไปหาด้วยความกลัว...กลัวว่าจะเจอหน้าของเธอที่ชุ่มไปด้วยเลือดอีก ผมเดินไปถึงโดยทิ้งระยะห่างไว้สักเล็กน้อยโดยทำใจก่อนทักไป

    “เอ่อ.....หนูมาลี..”

    หนูมาลีหันมาพร้อมกับหน้าอันเศร้าหมองของเธอ แล้วกระโดดเข้ามากอดที่เอวของผม ครั้งแรกผมถึงกับผงะตกใจ!

    “คุณพ่อ คุณแม่....ทุกคน.....ทำไมต้องทิ้งหนูไปแบบนี้ด้วย?”

    “อ...อะไรหรอ?ล..ลองเล่ามาให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม?”

    หนูมาลีถอยออกมาจากตัวผมแล้วเอาตุ๊กตาที่เธอถือมาด้วยเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มของเธอ

    “แม่หนูตาย...พ่อหนูก็ฆ่าตัวตายตาม....เหลือแต่คุณลุงใจร้ายที่ขังหนูไว้ที่นี่”

    “ลุงใจร้าย?”

    “ลุงเขารับปากว่าจะดูแลหนู...แต่ก็ปล่อยให้หนูตายที่นี่”

    สิ้นเสียงของเธอ...เธอกอดตุ๊กตาไว้แน่นแล้วเลือดก็เริ่มซึมออกมาจากหัว....แย่แล้วๆ

    “วันนั้น.....ถ้าหนูทำตัวดีๆล่ะก็....ลุงก็คงไม่ทำโทษหนูแล้ว....”

    “ล...ลุงเขาทำอะไรหนูหรอ?”

    หนูมาลีเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ปรากฏเป็นหน้าที่ชุ่มด้วยเลือดอย่างที่เคยเห็น..แต่คราวนี้เธอกลับทำหน้าตาโกรธและดูสยองมากขึ้น!

    “หนูมาลี!!!

    ผมตกใจมากๆจึงรีบพูดชื่อเธอ...

    “หนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วยหนูทำอะไรผิด ทำไมต้องฆ่าหนูด้วย”

    หนูมาลีพูดวนไปมาในประโยคเดิม ทำให้ผมกลัวแทบเป็นบ้า! อารมณ์ของผมตอนนี้เหมือนอยู่ในหนังสยองขวัญ แต่แตกต่างคือ ตรงหน้าของผมคือของจริง!

    “หนู......ควรจะทำอย่างไรดีคะพี่ชาย?”

    “น..หนูมาลี...”

    “ไอชาย! เรารีบกลับกันเถอะ!ข้าไม่ไหวแล้ว....ที่นี่มันน่ากลัวมากๆเลย”

    ผมรีบหันไปด้วยความตกใจไอ้แจ๊คกับยัยติ๋มยืนเอยู่ที่หน้าประตู ไอ้แจ๊คเอ้ย!จะรีบพูดทำไมตอนนี้!

    “ทำไม ทำไม ทำไม.....พวกพี่ชายหนูอยู่ที่นี่มาเกือบสิบปี ตาพี่เพิ่งมาที่นี่ก็จะกลับกันแล้ว? ทำไม่ไม่มาอยู่กับหนูล่ะคะ?”

    สิ้นเสียงเธอก็พุ่งไปหาไอ้แจ๊คแล้วทำท่าจะผลักไอ้แจ๊คให้ตกบันได

    “อย่านะหนูมาลี! พ่อกับแม่หนูล่ะจะคิดยังไง?”

    หนูมาลีหลังจากได้ยินถึงกับชะงัก ทำให้ไอ้แจ๊คและยัยติ๋มตกใจกลัวในสิ่งที่ผมพูดและรีบวิ่งมาหาผม

    “พ่อ...แม่?”

    “พี่เข้าใจนะว่าหนูมาลีแค้นใจที่ตัวเองตาย...แต่ทำไมหนูไม่คิดว่าถ้าหนูฆ่าใครไปพ่อกับแม่ของหนูจะไม่เสียใจหรือไง?”

    “พ่อ....แม่”

    “หนูมาลี.....อยากไปหาพ่อกับแม่ไหม?”

    “หนู...หนู....หนูไปหาพ่อกับแม่หนูได้หรอคะ?”

    “ได้สิหนูมาลี....”

    หนูมาลีทำท่าดีใจแล้วรีบวิ่งมาหาผม

    “หนู...หนูต้องทำยังไงคะ?”

    “คือ...พี่ก็ไม่รู้นะ...”

    “อ่ะ....”

    หนูมาลีทำหน้าตาโกรธยิ่งกว่าเก่า ซะอีกซวยแล้วตู!

    “หนูมาลีคะ....น..นี่พี่ติ๋มนะคะ ถ้าน...น้องอยู่แถวนี้ฟังพี่ไว้นะคะ”

    “ติ๋ม...จะทำอะไรอ่ะ”

    “เอาน่าชาย....เราฟังที่นายพูดมาบ้างแล้วนะเดี๋ยวเราจะช่วย....”

    “พี่สาวจะช่วยหนูใช่ไหมคะ? หนูต..ต้องทำยัไงคะ?”

    “ชาย...เป็นล่ามให้เราหน่อยสิ”

    “เอ่อ....ด..ได้ๆ คือน้องเขาถามว่าต้องทำยังไง?”

    “อ่อๆ คือ....น้องฟังพี่นะคะ...น้องต้องอโหสิกรรมให้คุณลุงที่ฆ่าหนูไปก่อนนะ”

    “ท...ทำไมล่ะคะ...ก็ลุงเขาฆ่าหนูนี่คะ..”

    “น้องเขาถามว่าทำไม?”

    “น้องต้องรู้จักให้อภัย พี่รู้นะว่าน้องไม่เข้าใจ...แต่การให้อภัยกันคือสิ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องบาดหมางกันนะ”

    “อือ....คือว่า....ก็ได้ค่ะ...เพื่อพ่อกับแม่”

    “น้องเขาตอบตกลง”

    “เยี่ยมมากเลยค่ะน้อง”

    แสงบางอย่างส่องประกายออกมาจากตัวของหนูมาลี แล้วเลือด รอบแผล ชุดที่หมอง กลับกลายเป็นสะอาดและร่างกายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน  ยัยติ๋มและไอ้แจ๊คอ้าปากค้าง...คงเป็นเพราะจะเห็นแล้ว

    “หนูอโหสิกรรมให้กับคุณลุงค่ะ....ขอบคุณพวกพี่ๆมากนะคะ และก็ขอโทษที่ทำให้กลัวนะคะ”

    “น่ารักจังเลยหนูมาลี”

    ยัยติ๋มเอ่ยขึ้นมา....

    “อ๊ะ!หนูลืมค่ะ”

    หนูมาลีวิ่งมาหาผมแล้วยื่นตุ๊กตามาให้ผม

    “ฝากดูแลทิบบี้ของหนูด้วยนะคะพี่....แล้วพี่ติ๋มคะ ถ้ายังไงหนูขอเป็นน้องสาวของพี่นะคะ”

    “อ่ะ....ได้ค่ะๆ”

    หนูมาลีวิ่งออกไปจากผมเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายไป......

    “เอายังไงต่อดี?”

    แจ๊คถามขึ้นมา..

    “กลับบ้านกันไหม? ข้าเป็นห่วงน้องตังค์อ่ะยิ่งอยู่คนเดียวด้วย”

    “โอเคๆ...กลับบ้านกันเถอะ”

    พวกผมเดินกลับมาทางเดิม แต่ก็ยังมีสภาพที่น่ากลัวอยู่ดี ทั้งเสียงที่ดังมาจากไหนก็ไม่รู้ และกลิ่นเหม็นอับของห้อง ทำให้พวกผมทั้งสามคนไม่อาจลืมที่นีได้เลย.....พวกผมสามคนเดินมาถึงหน้าบ้าน ก็มีหัวหน้าครินทร์ออกมาต้อนรับ

    “เป็นยังไงบ้างครับ?เจออะไรน่ากลัวๆเยอะไหมครับ...แล้ววิดีโอนี่ได้ถ่ายมาไหมครับ?”

    พวกผมสามคนมองหน้ากัน แล้วแจ๊คก็ยื่นไฟฉายให้หัวหน้าครินทร์

    “งานสนุกล้วก็หลอนมากครับ...เสียดายเราไม่ได้ถ่ายอะไรไว้เลย...รบกวนไปส่งพวกผมที่บ้านหน่อยนะครับ”

    “เอ่อ......ครับๆ”

    หัวหน้าครินทร์ทำหน้าตางงและผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่ากลุ่มของพวกผมจะออกมาเป็นกลุ่มสุดท้ายแตต่กลับไม่ได้อะไรมาเลย....

    พวกผมนัดกันไว้ว่าวันเสาร์นี้จะไปทำบุญให้กับหนูมาลีและพ่อกับแม่ของเธอ....โดยผมถึงบ้านประมาณเที่ยงคืนกว่าจากรถยนต์ที่พวกสาวกขับมาส่ง ซึ่งสตางค์ก็หลับไปแล้วเรียบร้อย.....ผมวางกระเป๋า ร่ม และก็ตุ๊กตาที่หนูมาลีให้มาไว้บนโต๊ะก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน แล้วนึกถึงไอ้แจ๊คเล่าให้พวกผมฟังขณะขับรถมาส่งกันว่า.....ระหว่างทางตอนผมวิ่งตามหนูมาลีไปนั้น ไอ้แจ๊คได้เหลือบไปเห็นเป็นลุงแก่ๆสวมหมวกไว้หนวดยาวยืนอยู่ตลอดทางซึ่งไอแจ๊คคิดว่าต้องเจอดีแล้วแน่ๆ  แต่.....ไม่ใช่ครับจากที่ไอ้แจ๊คอธิบายมานั้นมันคล้ายกับคนบางคนที่ผมนึกไม่ออกเลยเขาเป็นใครกันนะ? ผมนึกไม่ออกจริงๆ.....จากนั้นผมก็ผล็อยหลับไป.....

    จบตอนที่ 7



    ปล.กีฬาสี กีฬาสี ยังจะเริ่มไม่เริ่มก็เหนื่อยเหมือนกัน หวังว่าทุกคนคงมีโมเม้นนี้นะครับ (เรียนไปเหนื่อยก็พัก แต่คงไม่หยุดพักแต่งต่อหรอกครับ #อิอิ)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×