ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love has no end date. {Kyuhyun x Seohyun} [SJ&SNSD]

    ลำดับตอนที่ #8 : stage-07

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 53


    ยาลึกลับที่ฉีดให้กับคนทั้งสี่...?


    “ประธานมาแล้ว...” เสียงใสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นประธานในการประชุมสภานักเรียนมาถึงที่ประชุม

    “ขอโทษที่มาช้านะ” ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบและเดินตรงไปยังเก้าอี้ของประธานทันที
    “ผมขอเปิดประชุมเลยล่ะกัน”

    การประชุมดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและไม่อึดอัดเหมือนตอนที่ผอ.มาเป็นประธานให้ หัวข้อการประชุมส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับข้อเสียของโรงเรียนในด้านต่างๆและเสนอวิธีแก้ไขที่สามารถทำได้ แต่หัวข้อในการประชุมนั้นมีเรื่องสำคัญกว่านั้น

    “ดิฉันคิดว่าขยะของโรงเรียนน่าจะสามารถสร้างมูลค่าได้มากมายมหาศาลเลยนะคะ” อิมยุนอาเสนอขึ้นเสียงใสในหัวข้อการกำจัดขยะที่ไม่สามารถนำไปรีไซเคิลได้

    “แล้วคุณมีวิธีทำอย่างไรครับ ?” ประธานนักเรียนแห่งเอริออสกล่าวขึ้นพร้อมกับความสงสัยในใจ

    “ขยะพวกพลาสติกกันน้ำได้ใช่มั้ยล่ะคะ เราก็นำมันมาทำเป็นวัสดุกันน้ำได้นี่คะ อย่างเช่น นำมาเชื่อมทำเป็นกล่องใหญ่ๆเอาไว้ใส่ของที่ไม่ถูกกับน้ำไงคะ” ยุนอาเสนอสิ่งที่เธอมั่นใจว่าทุกคนจะต้องยอมรับ

    “มันใช้งบประมาณเยอะนี่ครับ” ชเวชีวอนคำนวณคร่าวๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

    “แต่ดิฉันคิดว่าไม่เยอะนะคะ” ยุนอาพยายามแย้ง เพราะว่าที่เธอไปคิดคำนวณมามันใช้งบประมาณไม่ถึงพันวอนเลยด้วยซ้ำ

    “ที่คุณพูดมันไร้สาระ เรามาเข้าประเด็นต่อไปเลยดีกว่า” ชีวอนพูดตัดบทแล้วหันไปหยิบเอกสารมาแจกคณะกรรมการนักเรียน ยุนอาหน้าบึ้งพลางเอากระดาษปิดหน้า

    ‘พี่ชีวอนใจร้าย...’

    “เอาล่ะครับ ลองอ่านเอกสารดูสิครับ” ชีวอนแนะนำแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ฮันกยองอ่านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    “นี่มัน....” ฮันกยองเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
    “ทำไมงานของปีหนึ่งมันแย่ลงๆล่ะ ?” ฮันกยองเอ่ยพลางมองไปที่ฝั่งเก้าอี้ปีหนึ่ง จากที่มีสี่คนเหลือเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ ฮันกยองนึกได้ทันที

    “คนคนเดียวทำงานได้ไม่ดีนักหรอก...โดยเฉพาะซันนี่ที่เป็นผู้หญิง งานหนักๆย่อมรับไม่ไหวแน่ๆ” ชีวอนเอ่ย ทำให้ฮันกยองหายสงสัยขึ้นทันที

    “ดิฉันว่าน่าจะมีคนไปซันนี่นะคะ” ควอนยูริเสนอขึ้น

    “ผมเห็นด้วยกับยูรินะครับ” ฮันกยองเสนอบ้าง

    “งั้นให้เป็นปีสองหนึ่งคนกับปีสามหนึ่งคนนะ จะได้ผลัดกันช่วย… ลงตัวพอดีเลย” ชีวอนแนะนำและคำนาณคร่าวๆ
    “แล้วใครจะช่วยล่ะครับ...” ชีวอนเอ่ยเสียงเรียบพลางเลิกคิ้ว

    ทุกคนมองหน้ากันและพร้อมใจกันเงียบ
    -เงียบ-

    “เอ่อ... ให้ดิฉันทำคนเดียวก็ได้ค่ะ ไม่เป็นไร” ซันนี่แย้งขึ้นมา แต่ชีวอนไม่สนใจนัก

    “งั้นผมจะเลือกให้ละกันนะ” ชีวอนนึกโมโหที่ไม่มีใครอาสา
    “ฮันกยองกับควอนยูริละกัน”

    “หา ?! / เฮ้ย ?!” เสียงทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน

    “ทำไมต้องดิฉันล่ะคะ” ยูริถามเสียงเครียด เพราะเธอก็มีงานยุ่งอยู่แล้ว

    “ทำไมต้องฉันล่ะ ชีวอน ?” ฮันกยองที่ค่อนข้างเกียจคร้านจึงแย้งขึ้นมาเพราะไม่อยากรับงานเพิ่ม

    “ก็เธอ...เป็นคนเสนอให้มีคนช่วยซันนี่ไม่ใช่เหรอ ?” ชีวอนชี้มาทางยูริ
    “ส่วนนาย...ก็เห็นด้วยกับยูรินี่นา” คราวนี้หันมาทางฮันกยองบ้าง
    “แล้วเงื่อนไขที่ฉันบอกว่า...ให้เป็นปีสองหนึ่งคนกับปีสามหนึ่งคน มันก็ลงตัวพอดีเลยนี่นา” ชีวอนหันมาที่โต๊ะประชุม ทุกคนในที่ประชุมจึงมีสีหน้าดีขึ้น แต่คนที่ได้รับมอบหมายกลับหน้าบึ้งและไม่พอใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะในตอนนี้ชีวอนมีอำนาจเด็ดขาดคนเดียว
    “ผมว่าเรามาประชุมเรื่องอื่นต่อดีกว่า”

    ...

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    ...

    ตกเย็น...

    “ให้ตายเถอะ ทำไมฉันต้องมาทำเรื่องแบบนี้ด้วยนะ” เสียงพูดเกาหลีแปลกๆดังขึ้นขณะที่ร่างสูงกำลังเดินขึ้นบันไดพร้อมกับถือหนังสือกองโตที่เกือบจะบังหน้าของเขา

    “ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากรุ่นพี่หรอก” เสียงหวานข้างๆเอ่ยขึ้น สภาพของเธอก็ไม่ต่างอะไรจากรุ่นพี่ที่เธอถูกสั่งให้มาช่วย
    “โอ๊ะ !” ยูริสะดุดขั้นบันได ทำให้หนังสือโตนั้นล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมๆกับเธอ
    “เจ็บจัง” ยูริค่อยๆลุกขึ้นแล้วเก็บหนังสือ

    “ยัยซุ่มซ่ามเอ๊ย !” ร่างสูงหันมาว่าใส่และรีบเดินหนีอย่างรวดเร็ว

    “อ้าว...นี่ เดี๋ยวสิรุ่นพี่ฮันกยอง รอด้วย !” ยูริรีบเก็บหนังสือและรีบเดิมตามร่างสูงไป ถ้าเธอรู้ทางไปห้องลับใต้บันไดเธอก็คงไม่ต้องเดินตามร่างสูงไปหรอก
    “รุ่นพี่ฮันกยอง!!!” เสียงหวานยังคงเรียกต่อไป ถ้าเธอทำงานไม่เสร็จประธานนักเรียนสุดเฮี้ยบจะสั่งลงโทษเธอ

    “รีบๆเดินตามมาสิ !” ฮันกยองพูดเสียงดังแล้วก้าวเท้าที่สวมรองเท้าหนังเดินหนีขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ

    “รุ่นพี่ ! เดี๋ยวสิ !!!” ยูริร้องเรียก แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากร่างสูงที่เดินนำไปก่อนแล้ว
    “ถ้าฉันรู้ว่าห้องลับใต้บันไดอยู่ที่ไหน ฉันคงไม่ง้อรุ่นพี่หรอก !!” ยูริบ่นและเดินตามรุ่นพี่ชาวจีนไป


    ห้องลับใต้บันไดเป็นห้องที่อยู่ในอาคารสภานักเรียน อยู่ระหว่างชั้นที่สี่และชั้นที่ห้า เป็นห้องที่มีตู้เซฟมากมายเพราะเป็นห้องเก็บเอกสารลับต่างๆของโรงเรียนรวมไปถึงข้อสอบต่างๆที่ห้ามนักเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องรู้ที่เก็บ โดยประธานนักเรียนจะเป็นคนถือกุญแจห้องไว้ โดยปกติแล้วประธานนักเรียนจะต้องเป็นคนมาเอาและเก็บเอกสารในห้องด้วยตัวเอง ยกเว้นแต่ประธานนักเรียนมาเองไม่ได้ ซึ่งห้องลับใต้บันไดนี้จะรู้กันในสภานักเรียนเท่านั้น ประธานนักเรียนจึงต้องใช้คนที่อยู่ในสภานักเรียนมาทำแทนเท่านั้น คราวนี้ก็เหมือนกัน ชีวอนต้องไปงานประชุมนักเรียนนานาชาติที่โรงเรียนอีกแห่ง


    “ถึงแล้ว !” ร่างสูงส่งเสียงเพื่อบอกคนที่เดินตามมา ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยหนังสือกองโตขายาวหยุดยืนที่หน้าห้องลับใต้บันได

    “หา ?! โอ๊ย..!!” ยูริรีบเดินมาโดยไม่ทันระวังก็ชนหลังของฮันกยองเข้าจนล้ม

    “อ้าว... อีกแล้วเหรอ ยัยซุ่มซ่าม” ฮันกยองหันมามองร่างบางที่นั่งลงกับพื้นโดยมีหนังสือหลายเล่มทับอยู่ ชายหนุ่มเห็นก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นจึงเอาหนังสือที่ตัวเองถือมาวางไว้ที่พื้นแล้วยื่นมือมาตรงหน้ายูริ

    “อ่า...” ร่างบางยื่นมือเข้าไปจับกับมือหนาที่ยื่นมา แขนแกร่งดึงเธอให้ลุกขึ้นยืนได้ง่ายๆ
    “ขอบคุณค่ะ” ยูริเอ่ยขอบคุณพลางรู้สึกถึงเลือดที่กำลังสูบฉีดบนใบหน้า

    “อืม...ไม่เป็นไรหรอก” ร่างสูงส่งยิ้มให้พร้อมทั้งไขกุญแจห้องลับใต้บันได ยูริก้มลงจัดหนังสือเพื่อให้สะดวกในการถือเข้าไปเก็บ

    เมื่อประตูเปิดออกแล้วนักเรียนชาวจีนก็เดินเข้าไปเปิดไฟในห้อง ทันทีที่ไฟเปิดสว่างขึ้นร่างสูงมองเห็นอะไรบางอย่างที่เข้าไปหลบอยู่ในตู้ไม้เก็บหนังสือขนาดใหญ่ ขณะที่ร่างสูงกำลังจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ร่างบางที่มาด้วยก็เรียกไว้ซะก่อน

    “พี่ฮันกยอง ~ จะให้ฉันเอาหนังสือไว้ที่ไหนคะ ?” ยูริเรียกพลางถือหนังสือกองโตไว้ในมือ

    “อ่อ... เอาไว้ที่โต๊ะที่เขียนไว้ว่า ‘เอกสารม.ปลายปีหนึ่ง’ ” ฮันกยองหันมาบอกพร้อมทั้งค่อยๆเดินไปที่ตู้ไม้ตู้นั้น

    “ค่ะๆ” ยูริรับคำโดยไม่ได้สังเกตท่าทีของรุ่นพี่ชายที่มากับเธอ ร่างบางยังขะมักเขม้นขนหนังสือเอกสารมาวางไว้ที่โต๊ะ

    ร่างสูงเดินเข้าไปจนอยู่ตรงหน้าตู้ไม้แล้วถอนหายใจก่อนที่จะเปิดตู้นั้นออก
    ทันใดนั้น...ก็มีแขนที่สวมถุงมือยาวสีดำเข้ามาปิดปากฮันกยองและล็อกตัวเขาไว้แน่น จากรูปร่างที่ฮันกยองรู้สึกได้ทำให้เขาคิดว่าคนคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิง

    “รุ่นพี่คะ~ ฉันขนหนังสือมาไว้ที่โต๊ะหมดแล้วนะคะ ฉันกลับได้หรือยังคะ ?” ยูริที่ขนหนังสือมาไว้ที่โต๊ะจนครบหมดทุกเล่มเอ่ยถามเสียงใสกับรุ่นพี่ชายที่มาด้วยกัน แต่คำตอบที่ได้รับคือความเงียบ..
    “รุ่นพี่คะ...” ยูริรู้สึกแปลกๆ ดวงตาสวยเหลือบไปเห็นเท้าที่สวมรองเท้าหนังยื่นออกมาจากตู้
    “รุ่นพี่...” ยูริเดินไปหาที่ตู้ไม้ตู้นั้นอย่างเร่งรีบ

    ด้านฝ่ายฮันกยองที่ได้ยินเสียงของยูริเรียกจึงพยายามส่งเสียงร้องให้เธอหนีไป แต่ด้วยสภาพที่ถูกปิดปากและถูกล็อกไว้จึงไม่สามารถทำได้ เขาจึงพยายามดิ้น ฮันกยองคิดว่าแรงผู้หญิงก็คงสู้แรงผู้ชายไม่ได้ เขาจึงดิ้นสุดแรงจนทำให้หลุดออกจากพันธนาการนั้น

    “ยูริ!!!! หนีไป!!!!!!!!!!!!” ฮันกยองส่งเสียงให้ยูริหนี แต่ผู้หญิงที่ที่สวมชุดดำคล้ายๆนินจากลับโผล่ออกมาแทนที่จะเป็นรุ่นพี่ชายที่มากับเธอ ทำให้เธอตกใจจนก้าวขาไม่ออกและเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วจนหลังติดผนังแล้วยืนนิ่ง หญิงชุดดำคว้าตัวของฮันกยองมาล็อกคอไว้พร้อมเอาดาบดาบขนาดยาวสีขาวสว่างมาจ่อที่คอของฮันกยอง

    “ถ้าเธอหนี...หมอนี่หัวหลุดแน่ !!” คุโนอิจิตวาดเสียงดัง นั่นยิ่งทำให้ยูริไม่กล้าขยับไปไหน แต่เสียงของยูริทำให้เธอรู้สึกคุ้นหูมากๆ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่เมื่อตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ทำให้เธอเลิกคิด

    “เธอต้องการอะไร...?” ร่างสูงเอ่ยถามขณะที่มองดาบขนาดยาวที่จ่ออยู่ที่คอ

    “ชีวิตของพวกแกสองคน...” คุโนอิจิเอ่ยเสียงเย็นแล้วขว้างคุไนไปทางยูริที่ได้สติและกำลังจะหนีออกจากห้องเพื่อไปหาคนมาช่วย

    “กรี๊ดดดดดดดดดด” ยูริกรีดร้องเมื่อคุไนปักเข้าที่ไหล่ของเธอเต็มๆ

    “ยูริ !!!” ฮันกยองร้องเมื่อเห็นรุ่นน้องหญิงโดนทำร้าย
    “แก...” ร่างสูงหันมามองหน้าของคุโนอิจิที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาผลักดาบยาวนั่นออกแล้วเอามาจ่อคอของคุโนอิจิแทน

    “หึหึ... มาซามุเนะของฉัน... ไม่มีวันทำร้ายเจ้านาย...” นินจาสาวเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่มีท่าทางเกรงกลัวเลย จากนั้นเธอก็หยิบดาบอีกเล่มหนึ่งมาจ่อที่สีข้างของฮันกยอง
    “นายเป็นคนแรกที่สามารถหันด้านคมของมาซามุเนะมาใส่ฉันได้ แต่น่าเสียดายนะ... ที่นายจะตายเพราะมารามุสะ...”

    ฮันกยองยืนนิ่ง เขาไม่รู้ว่าคุโนอิจิคนนี้จะฟันร่างของเขาเมื่อไหร่ ฮันกยองต้องคิดหนัก ถ้าเขาปล่อยคุโนอิจิไปก็ต้องถูกฆ่าทั้งสองคน แต่ถ้าเขาฆ่าคุโนอิจิก็ต้องฆ่าคนตายซึ่งเขาไม่อยากทำ
     
    “ยูริ...เธอหนีไปก่อน...” ฮันกยองบอกยูริที่นั่งเอามือกุมไหล่ด้วยความเจ็บปวด

    “ละ..แล้วพี่ล่ะ...”

    “ช่างฉันเถอะน่า...” ฮันกยองบอกให้ยูริรีบหนีไป

    แต่ไม่ทันที่ยูริจะลุกขึ้นหนีก็มีเสียงคนเดินมาทางนี้ คุโนอิจิสะดุ้งตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาที่นี่ เธอจึงผลักร่างสูงจนกระเด็นแล้วหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุยามาเต็มหลอดฉีดเข้าที่ต้นแขนของฮันกยอง ทำให้ฮันกยองสลบไป จากนั้นจึงไปฉีดยาให้กับยูริ ยูริก็สลบไปเช่นกัน คุโนอิจิจึงหนีไปทางประตูที่เปิดทิ้งไว้อยู่
    เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้าๆมาเรื่อยๆและเดินเข้ามาในห้อง เงาของร่างสูงที่ยืนดูอยู่ทอดผ่านโต๊ะตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือ สายตามองไปรอบๆห้องราวกับจะหาสิ่งผิดปกติ แล้วเขาก็เห็นยูริที่นั่งพิงผนังอยู่ใกล้ๆประตู ที่ไหล่ของเธอมีคุไนอันเล็กๆปักไว้อยู่ เลือดสีแดงไหลออกมาอย่างน่ากลัว

    “ยูริ...” ร่างสูงเดินเข้าไปก้มลงประคองเธอ ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นมาและเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้า

    “พ..พี่ชีวอน....”

    “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย แล้วเกิงอยู่ไหน ?” ร่างสูงเอ่ยถามนักเรียนรุ่นน้อง ยูริยกแขนข้างที่ไม่บาดเจ็บชี้ไปทางที่เธอจำได้ว่าฮันกยองสลบอยู่ เมื่อชีวอนเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปดูอาการของฮันกยองทันที แววตาของผู้ที่เข้ามาใหม่มองอย่างโกรธแค้น
    “นึกว่าฉันโดนคนเดียวซะอีก....” เขาพูดเบาๆแล้วปลุกฮันกยองให้ตื่นจากสลบ ร่างสูงเดินไปอุ้มยูริที่บาดเจ็บหนักและบอกให้ฮันกยองล็อกห้องไว้ตามเดิม แล้วทั้งสามคนก็ไปโรงพยาบาลทันที

    บนหลังคาของอาคารสภานักเรียนมีหญิงสาวสวมชุดนินจา ในมือถือดาบสีดำข้างซ้ายและถือดาบสีขวาข้างขวา ดาบทั้งสองมีความยาวเท่ากับส่วนสูงของผู้ถือ มือข้างหนึ่งเปิดผ้าที่ปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ให้เปิดออกเผยเห็นใบหน้าที่ดูเยาว์วัย ดวงตาสีนิลมองไปทางบุคคลสามคนที่กำลังขึ้นรถยนต์คันหรู หนึ่งในนั้นมีผู้บาดเจ็บที่ไหล่ด้วย เป็นหญิงสาวคนเดียวในสามคนนั้น

    “น่าเสียดายนะ ที่ฉันเอาชีวิตของเธอทั้งสามคนไม่ได้... มาซามุเนะกับมุรามาสะก็เลยไม่ได้กินมื้อเย็น...” หญิงสาวเก็บดาบเข้าฝักและหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขและโทรออก
    “พี่เหรอคะ... เอาชีวิตไม่สำเร็จค่ะ... แต่ฉีด S-cell ให้แล้วค่ะ... ทั้งสี่คนเลยค่ะ... ค่ะ... จะทำให้สำเร็จค่ะ... ขอบคุณค่ะพี่...” เมื่อคุยธุระเสร็จแล้วก็เอาผ้าปิดหน้ามาปิดไว้เหมือนเดิม
    “ซักวัน... มันจะแสดงผล...” คุโนอิจิกล่าวทิ้งท้ายและกระโดดลงจากหลังคาหนีไปก่อนที่จะมีใครมาเห็น

    ...

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    ...

    ร่างสูงก้มลงฟุบกับข้างๆเตียงที่มีหญิงสาวนอนอยู่ ประตูสีขาวเปิดออกพร้อมกับผู้เข้ามาใหม่อีกสองคน ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ถอดเสื้อนอกออกแล้ววางไว้ที่โซฟา ส่วนหญิงสาวก็เอาตะกร้าผลไม้ที่นำมาเยี่ยมคนป่วยวางไว้ที่โต๊ะข้างๆเตียงผู้ป่วย

    “ท่าทางเกิงจะรู้สึกผิดมากเลย...” ชีวอนเอ่ยทำลายความเงียบ ทำให้ผู้ที่มาด้วยสะดุ้ง

    “เอ่อ... นั่นสิคะ” ยุนอาเอ่ยตอบรับพลางมองไปที่เพื่อนสาวที่นอนรับน้ำเกลืออยู่บนเตียง
    “พี่ฮันกยองคงจะยังไม่หายดี...” ร่างบางมองที่ร่างสูงที่กำลังนอนฟุบอยู่ข้างๆเตียง

    “ฮันกยองโดนฉีดยาบางอย่างที่เหมือนกันฉัน...” ชีวอนเอ่ยพลางหยิบสมุดโน้ตของเขาที่จดบันทึกเรื่องแปลกไว้ ยุนอาหันมามองอย่างสนใจ ชีวอนเดินมานั่งที่โซฟา
    “พอผ่านไปสองชั่วโมงก็จะหายจากอาการอ่อนเพลีย แต่เมื่อผ่านไปสิบสองชั่วโมงมันจะทิ้งรอยดำนี่ไว้” ชีวอนถลกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นจนถึงไหล่ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการเสริมสร้างมาอย่างดี และรอยสีดำคล้ายๆรอยเปื้อนโคลนแต่ล้างไม่ออก
    “ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร” ชีวอนดึงเสื้อกลับ ยุนอาเดินมาใกล้ๆแล้วปลดกระดุมชุดกระโปรงสีฟ้าที่เธอใส่มา
    “เธอจะทำอะไร... ?” ชีวอนหน้าแดงเมื่อเห็นสิ่งที่ยุนอากำลังกระทำ ยุนอาถลกคอเสื้อที่ปลดกระดุมแล้วให้เห็นคอและไหล่ด้านซ้าย

    “ฉันมีรอยแบบนั้นเหมือนของพี่ชีวอน” ยุนอาเอ่ยเสียงเรียบ ชีวอนที่กำลังมองไปทางอื่นกลับหันกลับมามองที่คอของยุนอาทันที

    “เธอก็โดนฉีดยาเหมือนกันเหรอ...”

    “ค่ะ... ตอนที่กำลังเอาจดหมายของคยูฮยอนที่เขียนมาให้ผอ.เอาไปไว้ที่โต๊ะของผอ.ค่ะ” ยุนอาติดกระดุมเสื้อและจัดชุดให้เข้าที่

    “จดหมายส่งมาที่โรงเรียนเหรอ ?” ชีวอนถาม ในใจก็คิดแปลกๆ

    “ค่ะ”

    “ส่งให้ผอ.เหรอ ?”

    “ค่ะ” ยุนอามานั่งข้างๆชีวอนที่กำลังเอามือเท้าคางอย่างใช้ความคิด

    “จดหมายของคยูฮยอนถึงผอ.น่าจะถูกส่งไปที่บ้านของเขาเองนี่นา ไม่น่าจะส่งผ่านโรงเรียน...”

    “เป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือค่ะ ลายมือสวยซะด้วย...” ยุนอาเอนหลังพิงโซฟา

    “จดหมายไม่เป็นทางการ ?” ชีวอนหันมาถามยุนอา

    “ใช่ค่ะ ฉันเองก็แปลกใจที่คนส่งจดหมายเอาจดหมายมาให้ แทนที่จะเอามาให้ตอนกลางวัน กลับเอามาให้ตอนเย็นๆที่ทุกคนจะต้องกลับบ้าน” ยุนอาเอ่ยพลางรวบผมยาวที่ปล่อยไว้

    “จดหมายแบบนี้น่าจะถูกส่งไปที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงเรียน มันเป็นจดหมายจากลูกถึงพ่อ ไม่ใช่จากนักเรียนถึงอาจารย์ใหญ่” ชีวอนพูดอย่างหัวเสีย ...ต้องมีใครกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องไม่ดี...

    “ตอนนี้มีแค่เราสี่คนที่โดนฉีดยานั่นนะคะ แสดงว่าคนร้ายต้องหมายตาพวกเราทั้งสี่คนไว้แน่ๆ” ยุนอาเสนอความคิดเห็น

    “เรามีอะไรที่เหมือนกัน ?” ชีวอนถาม ...ถ้าหมายตาเอาไว้แต่พวกเรา แสดงว่าพวกเราจะต้องมีอะไรที่เหมือนกัน

    “เราทั้งสี่คนต่างก็อยู่ในสภานักเรียนนี่คะ”

    “อืม... นั่นมันก็ใช่นะ... แต่ว่าคนอื่นๆไม่โดนนี่นา... ชเวซูยอง จางรี่อิ่น อีทงแฮ อีฮยอกแจ อีซอนกยู ก็ไม่โดนเหมือนพวกเรานี่” ชีวอนลุกขึ้นยืน

    “พี่ชีวอนคิดว่าพวกเค้าเป็นคนทำเหรอคะ” ยุนอาเอ่ยเสียงเครียด

    “ไม่หรอก... แต่พี่ว่ามันแปลกๆ...”

    “อือ...” เสียงของใครบางคนบนเตียงทำให้ทั้งสองหยุดพูดคุยแล้วหันมามอง

    “ยูริ !!! / ควอนยูริ...” เสียงของยุนอาและชีวอนดังขึ้นพร้อมกัน

    “ยูริ...” ฮันกยองที่ฟุบอยู่ข้างๆเตียงก็ตื่นขึ้น

    “อือ...” ยูริค่อยๆยันตัวขึ้นนั่งโดยมียุนอาและฮันกยองช่วยพยุง ยูริจับไหล่ข้างขวาที่มีผ้าพันแผลพันไว้อย่างหนาแน่นของตัวเอง

    “ยูริ... ฉันขอโทษ...” ฮันกยองเอ่ยขึ้นและก้มหัวให้
    “เพราะฉัน เธอเลยบาดเจ็บแบบนี้ ฉันขอโทษนะ...” ฮันกยองก้มลงเอาหน้าผากติดพื้น

    “พี่ฮันกยอง... ฉันไม่ได้โกรธหรือโทษพี่เลยนะ” ยูริเอ่ยเสียงใสแล้วบอกให้ฮันกยองลุกขึ้น
    “พี่ไม่ควรมาก้มหัวขอโทษฉันหรอก”

    “เกิง... นายลุกขึ้นมาเถอะ... สิ่งที่ทำไปแล้วมันแก้ไขไม่ได้หรอก นอกจากจะพยายามเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น” ชีวอนเอ่ยเสียงเรียบ ฮันกยองเงยหน้าขึ้นและลุกขึ้นยืน

    “งั้น...ฉันจะปกป้องเธอเอง...” ฮันกยองเอ่ยและจับมือของยูริ ยุนอาและยูริมองหน้ากันอย่างสงสัย

    “ต้องอย่างนี้สิเพื่อน !!!” ชีวอนเอาแขนคล้องคอเพื่อนอย่างดีใจ ฮันกยองยิ้มให้ยูริ

    หลังจากที่พูดคุยได้ไปซักพักแล้ว พยาบาลประจำตัวของฮันกยองก็พาตัวฮันกยองกลับไปพักผ่อนที่ห้องและไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม เนื่องจากจะตรวจดูอาการของผลกระทบของยาที่ถูกฉีดเข้าร่างกาย

    “ทำไมพี่ฮันกยองเค้าต้องบอกว่าจะต้องปกป้องฉันด้วย ?” ยูริเอ่ยถามเมื่อพยาบาลและฮันกยองเดินออกจากห้องไปแล้ว

    “เกิงน่ะ... เคยทำให้รุ่นน้องคนนึงบาดเจ็บเพราะเค้ามาแล้วหลายคน” ชีวอนเริ่มเล่า เมื่อเห็นน้องๆตั้งใจฟังเขาจึงเล่าต่อ
    “มีคนนึงที่บาดเจ็บร้ายแรงที่สุด... ฮันกยองกับรุ่นน้องคนหนึ่งกำลังซ้อมดาบที่จะขึ้นแสดงโชว์ในสำนักดาบ ขณะที่ซ้อมดาบอยู่ เขาก็พลาดและแทงเข้าที่กลางอกของรุ่นน้อง โดยที่รุ่นน้องนั้นหลบไม่ทัน ทำให้รุ่นน้องคนนั้นเสียเลือดมากจนสลบไปหลายวัน ส่วนฮันกยองก็ถูกปลดออกจากสำนักดาบแห่งนั้นทันที แล้วอีกครั้งหนึ่งก็คือ... เมื่อตอนวัยรุ่น ประมาณม.2 เขาได้ฝึกขับรถยนต์ในหมู่บ้าน และด้วยความที่ยังเป็นมือใหม่ทำให้เขาขับชนเด็กสองคนที่เป็นพี่น้องชาย-หญิง เด็กผู้หญิงบาดเจ็บเพียงแค่ถลอก แต่เด็กผู้ชายศีรษะกระแทกรถแล้วก็กระแทกพื้นตอนล้มอีกที ทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อม และกลายเป็นคนอีกคนไปเลย นับจากนั้นมาเขาก็แทบจะไม่อยากยุ่งกับรุ่นน้องคนไหนเลย” ชีวอนเล่าและยิ้มเมื่อนึกถึงเพื่อนรัก

    “เป็นอย่างนี้เองเหรอ... เด็กสองคนนั้นน่าสงสารจัง อยากรู้จังว่าเป็นใคร...” ยุนอาเอ่ย

    “เดี๋ยวเธอก็ได้รู้เองแหละ ทั้งสองคนต่างเป็นดาวเด่นของโรงเรียนเลยนะ” ชีวอนยิ้ม
    “แล้วก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เค้าต้องปกป้องเธอด้วยนะ” ชีวอนหันมายิ้มให้กับยูริ

    “เหตุผลอะไรเหรอคะ ?”

    “จุ๊ๆๆ เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างฉันกับเกิง บอกใครไม่ได้หรอก” ชีวอนขยิบตาให้เป็นเชิงว่าถ้าอยากรู้ก็ต้องถามฮันเกิงเอง





    -----------------------------------------------------------

    ไรเตอร์มาอัพแล้วนะคะ ^__^"

    หายไปนอนเกือบเดือนเลย

    ดองนานไปหน่อย แหะๆ ^^"

    ไม่ได้อัพนานจนลืมเนื้อเรื่อง - -"

    ขออภัยที่หายไป ช่วงนี้ตัน+ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน

    ก็เลยไม่ได้อัพอ่ะค่ะ (_ _)"



    ใครอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^~
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×