ความเลวร้ายที่เพิ่งค้นพบ - ความเลวร้ายที่เพิ่งค้นพบ นิยาย ความเลวร้ายที่เพิ่งค้นพบ : Dek-D.com - Writer

    ความเลวร้ายที่เพิ่งค้นพบ

    คุณเคยถามตัวเองไหมว่าเวลาที่คุณร้ายนะร้ายแค่ไหนแล้วสิ่งที่คุยทำนะจะส่งผลอย่าไร

    ผู้เข้าชมรวม

    273

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    273

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 พ.ค. 50 / 21:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                        ฉันคอยถามตัวเองอยู่ทุกวันตั้งแต่ได้อ่านความคิดและเรียนได้เรียนรู้นิสัยของตัวเองว่าเวลาดีนั้นตัวดีนั้น  ดีจนหน้าใจหายแต่เวลาร้ายนั้นจะน่ากลัว   แต่ไม่รู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหนแต่รู้อะไรมั๊ยสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดในโลกคือ    ฉันกลัวใจฉันเอง ทำไมนะหรอ  ก็รองคิดูแล้วกันนะว่า ตั้งแต่ฉันจำความได้  ตัวฉันก็ได้ค่อยๆเรียนรู้สิ่งต่างที่เด็กๆส่วนใหญ่อาจจะไม่เรียนรู้กัน  นั้นคงเป็นเพราะเราชอบไปนั่งเก็บข้อมูลไม่ใช่สินั่งฟังบททนาของผู้ใหญ่ในบ้างครั้งอาจเต็มใจที่จะนั่งฟังแต่บางครั้งเป็นเหตุจำใจและก็เก็บจดจำสิ่งที่เขาพูดกันเอามาคบคิดบ้างว่ามันคืออะไร 
                  ตอนเด็กๆตัวฉัแวดล้อมไปด้วยผู้ชาย เนื่องจากเมื่อก่อนนั้นที่บ้านเป็นโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์แล้วก็มี่แต่บันดาลุงๆที่เป็นญาติกันทำงานอยู่   เราอยู่แต่กับผู้ชายเล่นแต่กับเด็กผู้ชาย   เพราะส่วใหญ่ลูกพี่ลูกน้องญาติเราก้เป็นผู้ชายแทบทั้งหมดแล้วเรายังมีพี่ชายอีก เวลาเล่นส่วนใหญ่เราก็เล่นแต่กับผู้ชาย และนี้เป็นสาเหตุแรกที่ทำไมเราต้องคิดว่าเราร้าย  เราได้รับรู้และเรียนรู้นิสัยส่วนใหญ่ของผู้ชายในหลายรูปแบบและก็ได้เก็บข้อมูลลักษณะนิสัยของแต่ละคนโดยที่ไม่รู้ตัว   
               มันเหมือนเป็นพรสวรรค์ หรือสวรรค์สาปก็ไม่รู้ที่ทำให้เราได้รู้เกี่ยวกับประสบการณ์ทั้งที่ดีและร้ายจากการพูดคุยของบันดาลุงๆทั้งหลายทั้งเรื่องผู้หญิงและเรื่องอื่นๆ 
               ทุกๆอย่างมันก็ค่อยซึมซับลงไปในหัวเราโดยที่ทั้นไม่รู้ตัวเลย  เราตอนเด็กนิสัยร่าเริง ขี้อ้อน ประจบเก่งทำให้ทุกๆคนในบ้านรักเอ็นดูและคอยเอาอกเอาใจเรา เพราะฉนั้นเราจึงเป็นเด็กเอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราอยากได้แล้วไม่ นี้เป็นจุดเริ่มต้นของนิสัยอันร้ายกาจนิสัยแรก เมื่อเราอยากได้ของเล่นแล้วไม่ได้เราจะอ้อนก่อน แต่ยังไม่สำเร็จก็จะงอแงเหมือนเด็กทั่วไป แต่ถ้ายังไม่ได้อีกก็จะเงียบขังตัวเองอยู่แต่ในห้องไม่พูดกับใคร หรือในกรณีที่ไปเที่ยวก็จะเดินหนีหายไปเลย แล้วก็ไม่พูดกับใครจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ  แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นมาเรื่อยๆ จนเมื่อเราโตขึ้นพอที่จะรับรู้สิ่งต่างๆและเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆด้วยตัวเองอย่างแท้จริงแม่ก็พยายามค่อยๆปรับเปลี่ยนนิสัยเอาแต่ใจของเราให้ดีขึ้นและเมื่เราได้ย้ายโรงเรียนที่เคยเพน้าพนอเราไปเรียนที่ที่ใกล้ออกไปจากที่บ้านคือเข้าไปเรียนในโรงเรียนปฐมมีชื่อแห่งหนึ่ง  ปรระสบการณ์ที่บันดาลุงๆได้ให้ขอมูลเราโดยที่ไม่รู้ตัวก็เริ่มให้ประโยชน์กับเรา  เราจะมีความคิดที่โตเกินไวตัวเองและเรียนรู้เรื่องบางเรื่องได้รวดเร็วพูดง่ายๆก็คือเรามีความคิดที่โตเกินไวแรกๆมักแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจน แต่หลังๆมาเริ่มรู้ตัวจากการโดนสอนสั่งของน้าสาวและแม่จึงเริ่มปรับตัวเองและซ่อนความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยากออกความคิดเห็นให้แนบเนียนจนเริ่มจะเป็นนิสัยเก็บซ่อนบุคลิกและนิสัยบ้างอย่าภายใต้ความสดใสและใสซื่อจนไม่มีใครที่จะสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของเราได้ง่ายหากไม่ลืมตัว เราก็ยังทำตัวเป็นเด็กปกติเหมือนอย่างที่เป็นมาแต่ภายใต้รอยยิ้มที่สดใสแววตาที่ไร้เดียงสานั้นภายในใจเรานั้นมันก็ได้ค่อยเริ่มเปลี่ยนไปแล้วทีละน้อย   
               ภายในใจเราอาจไม่ใช่เด็กที่ใสซื่อคนเดิมอีกแล้ว สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของเราคือพ่อกับแม่และการเลี้ยงดูของท่าน พ่อกับแม่เลี้ยงเราให้มีอิสระในความคิดและมีอิสระในการตัดสินใจในเรื่องต่างที่เราตัดสินใจองได้ ที่เล่ามามันก็อาจจะดูเหมือนว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาอะนะ แต่ลองอ่านต่อไปแล้วจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา
                    พอเราเข้าประถมห้า เราก็เริ่มที่จะมีเซ้นด้านผู้ชายที่แรงขึ้นเมื่อตัวเราได้รับและเรียนรู้เรื่องราวจาก ลุงมาแล้วโดยการรับฟังและสังเกตุนิสัยใจคอ เราก็เริ่มจะมีความรู้สึกแปลกๆกับพี่ชาย ที่เป็นลูกติดของน้าผู้ชาย ที่แต่งงานกับน้าเรา เราเริ่มสังเกตุได้ว่าพอเราเริ่มจะโตขึ้น   สัดส่วนรูปร่างเราก็เริ่มเปลี่ยนแปลง พี่ชายคนนี้ก็เริ่มทำตัวแปลกไปจากเดิมต่อหน้าทุกคนอาจดูเหมือนว่าเรา  และพี่ชายคนนี้คิดว่าต่างคนต่างไม่รู้ว่าเราสองคนไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันเลย แต่แปลกที่เรารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่พี่ชายเรา(ในความหมายที่มีสายเลือดเดียวกัน)   แล้วตัวเขาเองก็รู้ตัวมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆทางฝ่ายเรา บ้างคนอาจคิดว่าเด็กสองสามขวบไม่รับรู้เรื่องจริงอะไรหรอกแต่ที่จริงไม่ใช่   น้าสาวเราแต่งงานกับหน้าเขยตอนที่พี่ชายคนนั้นอายุได้สามขวบ แล้วเขาก็รู้ตัวมาตลอด เขาเป็นคนเรียนเก่ง และก็หน้าตานั้นถือไดว่าพอใช้(นความคิดของเรานะคนส่วนใหญ่นะคิดว่ามันหล่อมันหน้าตาดีแต่เราไม่เคนเห็นความหล่อของมันเลยหน้าขำมั๊ยหละแต่ก็ต้องยอมรับว่าหน้าตามันนะพอใช้)   แล้วน้าสาของเราก็รักเขาเหมือนลูกแท้ๆทุกๆคนรักและเอ็นดูเขามากเพราะเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายขยัน(ที่จริงแล้วมันนะไม่ได้ดีอย่างที่ทุกคนคิดหรอก)
                 เพราะเมื่อเราเริ่มโตเขาก็ชอบหาเวลาที่จะได้อยู่กับเราสองคนแรกๆเรายังไม่ทันได้สังเกตุเห็นความผิดปกติอะไรเพราะเราคิดว่ายังไงเขาก็คงคิดว่าเราเป็นน้อง จนวันหนึ่งเราอยู่ประมาณป.หกเราไปเล่นซ่อนแอบกันที่บ้านเขา    ก็เล่นกันทั้งเครื่อญาติที่เป็นเด็กๆด้วยกัน เขาชวนเราไปแอบด้วยกันบนเตียงนอน เราก็ไปเพราะคิดหาที่แอบไม่ได้ เขาเอาผ้าห่มคลุมเราสองคนไว้แล้วบอกให้เรานอนชิดๆกันแล้วก็กอดเราไว้    ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนมีอะไรหยุ่นทิ่มที่สะโพกด้านหลังเรา แล้วเราก็รู้ว่ามันคืออะไร  แต่เราทำเป็นไม่รู้เรื่อง(แอ๊บแบ้ว)จนมีคนหาใครคนหนึ่งเจอ  แล้วก็เล่นใหม่เขาก็มักจะชวนเราเข้าไปแอบด้วยกัน   เราจึงเริ่มเอะใจแต่ยังไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดเท่าใดนัก  จนเขาขึ้นม.ปลายแม่เราเลยให้เขามาเข้าเรียนโรงเรียนแถวบ้านของเรา(บ้านเรากับมันอยู่คนละจังหวัด)        แล้วเขาก็ย้ายสัมโนครัวเข้ามาอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเรา เรื่องร้ายๆกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เอาหละเรื่องมันก็เริ่มร้ายแรงขึ้นตั้งแต่เขามา(ต้องอ่านต้อว่าทำไมมันร้ายแรงขึ้น)
                  เขาต้องมานอนที่บ้านหลังเดียวกับเรา บ้านเราเป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนเราอยู่กับพี่สาวคนระห้อง ด้านนอกเป็นโถงกว้าง แม่ได้จัดเตรียมด้านนอกซึ่งมันอยู่หน้าห้องเรากับพี่สาวให้เป็นที่นอนของเขา  ทุกเช้าเย็นก่อนเข้านอนหรือเวลาไหนก็ตามที่เขาอยู่บ้านแล้วเราก็อยู่จะพบเห็นกันตลอด
         เรื่องมันก็ดูเหมือนจะธรรมดานะ แต่ว่าด้วนเหตุที่เราไปเรียนในเมืองสภาพแวดล้อมเปลี่ยนมันเริ่มหล่อล้อมจากเด็กที่แค่เก็บนิสัยอีกด้านไว้ก็เริ่มกลายเป็นเด็กที่โกหก(การโกหกจะไม่เกิดกับบุคคลที่เราเคารพและนับถือโดยเฉพาะพ่อกับแม่) 
                     แล้วก็ได้เรียนรู้อีกอย่างจากหลายบุคคลที่ก่อร้างสร้างตัวให้เรารู้จักใช้มารยาหญิง และมันก็ใช้ได้ดีเสียด้วยนะ
      แต่มันกลับใช้บ่อยเกินไปจนทำให้แม่เรารู้ทัน  แต่ยังดีที่มันใช้กับคนอื่นได้ผลเสมอมาตราบจนทุกวันนี้ 
             เอาหละมาเล่าต่ดีกว่านะแล้วพี่ชายที่แสนดี(เราขอแทนมันด้วยคำนี้แล้วกันนะ)ของเราก็เริ่มล่อลวงน้องสาวผู้น่ารัก ฮึ!ในกรณีนี้ขอแทนตัวเป็นนางเอกหน่อยแล้วกันเด็กผู้ใสซื่อยอมเดินไปตามเกมส์ที่พี่ชายผู้แสนดีนั้นอยากให้เป็นหรืออีกทีพี่ชายผู้แสนดีเดินตามเกมส์ที่เราให้เดินต่างหาก แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกเพราะโดนความทรงตัวว่าตัวเองโตกว่าฉลาดกว่าจนหลงลืมหลาสิ่งหลายอย่างเราไม่ควรประเมิณค่าคนอื่นต่ำกว่าเรเรควรประเมิณค่าให้เขาสูงกว่าเสมอไม่เช่นนั้น......ฮึ!
                         ด้วยแผนหลอกเด็กที่เด็กยอมเดินตามอย่างง่ายดาย(อะไรที่ง่ายและดีเกินไปมักมีผลกระทบที่ร้ายแรงเสมอ)ยิ่งทำให้ความทรนงตัวจนมองข้ามสิ่งต่างและความเปลี่ยนแปลงไปอย่าไม่ใยดี นั้นหละเป็นข้อเสียของพี่ชายผู้แสนดีเลยทำให้การดำเนินแผนการเริ่มขึ้นอย่างเรียบง่ายจนไม่ทันสังเกตุพบความผิดปกติในตัวเราเลยเขาสังเกตุเห็นเพียงรูปร่างหน้าตา และความใสซื่อเท่านั้น

                                       ด้วยความสงสัยที่เก็บมานานหลายปี(ลืมบอกไปตอนที่มันย้ายเข้าบ้านเราอยู่ม.2แล้วและได้เรียนรู้สิลปะการแสดงด้วยแล้วยิ่ทำให้งานพิสูตรความคิดความเชื่อและเว้นของเราเป็นไปอย่างายดาย)ฮึ!หน้าสงสารนะที่คิดว่าตัวเองนะเหนือกว่ากุมไพ่ที่ดีกว่าแต่เปล่าเลยนั้นแหละหายนะของคุณพี่ชายผู้แสนดี 
                      เราเริ่มแผนของเราโดยทำเป็นหาหนังมาดูเพื่อที่จะให้พี่ชายได้มีโอกาสใกล้ชิดเราบ้านเรามีทีวีหลายเครื่องแล้วห้องของแต่ละคนก็มีคละเครื่องของใครของมัน แต่เครื่องเล่นวีซีดีนั้นมีแค่เครื่องเดียวเราเลยให้ห้องโถงข้างนอกเป็นที่ดูหนังซีดีสำหรับทุกโอกาส แล้ววันหนึ่งเราก็ชวนทุกคนไปดูหนังที่บ้าน(ในช่วงวันหยุดบ้านเราเป็นศูนย์รวมของเด็กๆในครอบครัวเพราะมีทั้งเกมส์ของเล่นขนมเงินคือว่าแม่ใจดีนะ) วันนั้นเป็นวันเสาร์ของเทอร์แรกและเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือที่สองที่พี่ชายของเราได้เข้ามาอยู่วันนั้นหลังจากทุกคนดูหนังจบพี่สาวเราพี่ชายพากันออกไปที่ร้ายขายของของพ่อกับแม่และเดพ็กๆก้ตามอกไปด้วย เราไม่ไปอ้างว่าง่วงขอนอนก่อน ส่วนพี่ช่ายที่แสดีก็ทำเป็นบ่นว่าร้อนแล้วก็เตรียมตัวอาบน้ำพอทุกคนสลายตัวเราก็เลยทำเป็นท้าเล่นการต่อสู้แบบที่ได้ดูหนังกันมากิจกรรมการต่อสู้บนเตียงก็ได้เกิดขึ้น(อย่าคิดลึกนะก็แค่เล่นแบบพี่น้องเองหมอนฟาดกันอะไรประมานนี้นะ)เราก็เลยโดนเหวี่ยงลงไปนอนกับเตียงเขาก้เลยขึ้คร่อมตัวแล้วจับเรากดไว้ตาเราสบกันเราอ่านสายตานั้นออกความรู้สึกมันบอกว่าเขาต้องการเราแต่ตาเราที่สบกลับไปนั้นแป๋วแหววไรเดียงสาเหมื่อเด็ที่ไม่เข้าใจความหมายใดในสายตาของผู้ที่สบตาด้วยนี้เป็นแค่ชนวนเล็กๆน้อยที่เราทดสอบยังมีอีกมากมายเรื่องราวความร้ายกาจที่เราได้กระทำขึ้นถ้าท่านผู้อ่านสนใจ

      ป.ล.ติดตามได้ที่เรื่องฉันไม่อยากร้ายแต่ใจมันต้องการ



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×