คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : นางฟ้าผู้มีปีกสีดำทมิฬ 1880 จบ.
นางฟ้าผู้มีปีกสีดำทมิฬ 1880
“เทพผู้มีปีกสีขาวบริสุทธิ์ มีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ แต่ถ้ามีเทพองค์หนึ่งเกิดหลงรักกับมนุษย์ที่ถูกสาป มันจะเป็นเช่นไรต่อไป ถ้าโชคชะตาไม่ได้ลิขิตให้พวกเขารักกัน”
กาลครั้งหนึ่ง มีเทพเจ้าองค์หนึ่งถูกซาตานทำร้ายจนตกลงมาสู่โลกมนุษย์ เพราะปีกได้รับบาดเจ็บจึงไม่สามารถบินหนีได้ ทำได้เพียงนอนรอซาตานมาเด็ดปีกออกเท่านั้น
“ท่าน......มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ...” ในยามที่ข้ากำลังหมดหวังก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อข้าลืมตาขึ้นก็พบชายร่างสูงที่ใส่ชุดสูทสีดำทั้งตัว ยื่นมือมาที่ข้า ทั้งสีผมและสีตาก็เป็นสีดำไปหมดผิดกับผิวที่กลับขาว ชวนน่าหลงใหลยิ่ง
ข้าได้รับความช่วยเหลือจากชายชุดดำ เขาอุ้ม(?)ข้ามาที่บ้านของเขา และช่วยรักษาแผลตามร่างกายและปีกของข้าอย่างทะนุถนอม และยังให้ข้านอนพักที่ห้องของเขาอีกต่างหาก
“ทำไม ถึงช่วยข้า....”
“ผมคงรัตกหลุมรักกท่านซะแล้วสิครับ” ชายผู้นั้นพูดออกมาพลางลูบใบหน้าของข้าเบาๆ มันทำให้ใบหน้าของข้าขึ้นสีเล็กน้อย
“ท่านนอนพักเถอะ เดี๋ยวผมจะไปทำอาหารให้ท่านทานนะ” ชายคนนั้นจับตัวข้าให้เอนหลังนอนกับเตียงแล้วก็ออกไปนอกห้องทันที
ข้าก็ไม่อยากจะคิดแบบนี้กับมนุษย์หรอก การหลงรักพวกมนุษย์ถือเป็นบาปหนักของเหล่าเทพเจ้า ข้าเองก็จำเป็นต้องเป็นเทพเจ้าต่อไปเพื่อคอยดูแลเหล่ามนุษย์ทั้งโลก แต่ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าเองนั้นก็หลงรักชายผู้นั้นสุดหัวใจเช่นกัน
“เทพเจ้าผู้มีปีกสีขาวบริสุทธิ์ ได้ทำผิดกฎของเหล่าเทพเจ้าโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว”
“เคียวยะ.....วันนี้ไปเดินเที่ยวในตลาดกับฉันไหม” มีเสียงของใครก็ไม่รู้ดังขึ้นอยู่ด้านล่าง ทำให้เทพเจ้าที่นอนอยู่ตื่นขึ้น
“ไม่ ต้องให้ผมบอกคุณกี่ครั้งว่าผมไม่ไป ออกไปซะ” และก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นตอบโต้
“โธ่...ขอร้องละ เคียวยะ ไปกับฉันหน่อยเถอะน่า นะ” เสียงของใครก็ไม่รู้ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ
“เคียวยะรึ.... ใครกัน ลงไปดูดีกว่า” ข้าได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังเลยลงมาดูให้แน่ใจ เมื่อผมลงมาถึงบันไดก็นั่งยองๆเพื่อแอบดูการสนทนาของคนสองคนที่ยืนเถียงกันอยู่หน้าประตู ข้า...เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผมทอง และแววตาสีน้ำตาเข้มเป็นประกาย กำลังยืนถือดอกไม้และกำลังนั่งอ้อนวอนกับชายผมดำอย่างเอาเป็นเอาตาย...
“ผมไม่เคยชอบคุณเลยสักนิด คุณก็รู้นี้น่า ผมเป็นผู้ชายนะ ก็ต้องชอบผู้หญิงมากกว่าสิ!” ข้าที่แอบฟังอยู่ ถึงกับหายใจไม่ออกไปช่วงหนึ่งทันที.... จริงสิ มนุษย์นะ ชายก็ต้องคู่กับหญิงสินะ ทำไมข้าถึงโง่แบบนี้ .....ทำไมข้าถึงเจ็บปวดแบบนี้
“เลิกตามตื้อผมเสียที ผมจะนอนแล้ว คุณกลับไปซะ” ชายผมดำรีบปิดประตูโดยไม่ฟังเสียงของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ข้าจึงรีบกลับเข้าไปในห้องและทำเหมือนยังไม่เคยลุกขึ้นจากเตียง สักพักชายผมดำก็เข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหาร
“ท่านลุกขึ้นมาทานอาหารก่อนนะครับ เดี๋ยวผมป้อน” ชายผมดำคนนั้นนั่งลงข้างๆข้าและค่อยๆประคองข้าให้ลุกขึ้นมานั่ง
“ข้าเป็นเทพเจ้านะ ไม่ต้องกินของพวกมนุษย์หรอก” น้ำเสียงของเทพเจ้าเริ่มเปลี่ยนไปจนชายผมดำทำหน้างงๆเล็กน้อย ในเมื่อเห็นว่าเทพเจ้าไม่ยอมทานอาหารชายผมดำก็จับแก้มแล้วบีบเพื่อให้ปากอ้าออกแล้วก็เอาข้าวใส่ปากเทพเจ้าและรีบเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้คายออกมา(นั้นเทพเจ้านะเว้ย!!)
“แต่ท่านก็ยังบาดเจ็บได้เลยนี้น่า ถึงจะเป็นเทพเจ้ายังไงก็ต้องกินครับ” ชายผมดำพูดเสร็จก็เตรียมจะป้อนคำต่อไป
“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้ เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่” คำถามจากเทพเจ้าทำให้ชายผมดำเอียงคอเล็กน้อยเหมือนจะนึกอะไรบางอย่าง แล้วก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ผมเคยบอกแล้วไง เพราะผมรักท่านยังไงละครับ” ชายผมดำดึงตัวเทพเจ้ารางบางเข้ามากอดแน่น
“......... .........เจ้าชื่ออะไร” ในเวลานี้ข้าสับสนมากถึงมากที่สุด ข้าอยากจะผลักออกจากชายคนนี้ แต่ทำไมข้าถึงทำไม่ได้กัน หรือว่าข้ารักชายคนนี้แล้วจริงๆ
“ผมชื่อฮิบาริ เคียวยะ ครับ” ชายร่างสูงผมดำตอบคำถามกับข้าแต่ก็ยังคงกอดข้าอยู่ไม่ยอมปล่อย “แล้วท่านละ”
“ข้าชื่อ......ทาเคชิ” ทำไมข้าถึงต้องบอกชื่อให้ชายคนนี้รู้ด้วยนะ ข้าจะทำเช่นไรดี ป่านี้บนสวรรค์คงโวยวายที่ข้าหายตัวเป็นแน่ แต่ข้าก็ไม่อยากห่างจากชายคนนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ชายก็ต้องคู่กับหญิงนี้น่า ถึงข้าจะอยู่กับเจ้าก็คงอยู่ได้ไม่นานหรอก...
1 อาทิตย์ต่อมา เวลา 23:50
ข้ากำลังเดินอยู่ในวิหารเทพเจ้าที่พวกมนุษย์สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาในตัวของพวกเรา ทำไมข้าถึงมาที่นี้คนเดียวนะหรือ เพราะข้าไม่ได้บอกกับฮิบาริ เคียวยะ นะสิ ข้าเดินมาหยุดอยู่ตรงรูปปั้นเทพเจ้าองค์ใหญ่ ที่กำลังปล่อยปีกขนาดใหญ่ออกมาอย่างสง่างาม ยืนมือมาข้างหน้าเหมือนจะคอยรับบาปที่พวกมนุษย์ทำทั้งหมดเอาไว้คนเดียว ใบหน้าที่แสนดูสงบนิ่งและเมตตาราวกับจะอภัยให้กับบาปที่มนุษย์ได้ทำทั้งหมด
ในยามที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ใกล้ตรงกลางวิหารปีกของเทพเจ้าได้กระพือออกอย่างสง่างาม มิได้เพื่อบินแต่อย่างใด แต่เพื่อแสดงตนว่า ตนเป็นเทพเจ้าเช่นกัน
“ท่านพ่อ..... บาปที่ข้าได้กระทำต่อเหล่าเทพเจ้านั้น ท่านจะยกโทษให้ข้าได้รึไม่” ข้านั่งคุกเข่าลงต่อหน้ารูปปั้นของพ่อข้า
“ทาเคชิ นั้นท่านจะทำอะไรนะ!” เสียงของฮิบาริ เคียวยะ ดังขึ้นอยู่ข้างหลังข้า
“อย่าเข้ามาใกล้ข้าให้มากกว่านี้เลย......” ข้าพูดออกไปโดยไม่หันหลังกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังเด็ดขาด
“แต่ว่า ทำไมละ” ทำไมท่านถึงต้องไปจากผมด้วย ผมทำอะไรผิดงั้นเหรอ การที่ผมหลงรักเทพเจ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยรึ ฮิบาริคิดในใจ
“เพื่อให้เจ้ายังคงรักข้าอยู่ การที่ข้ายังเป็นเทพเจ้า ข้ากับเจ้าก็คงอยู่ร่วมกันได้ไม่นานหรอก ดังนั้นข้าจำเป็นต้องไปจากเจ้า” เสียงที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆทำให้ฮิบาริกังวลยิ่งขึ้น และนั้นก็ทำให้ฮิบาริรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเทพเจ้าที่ตนรักทันที เพื่อหวังจะกอดเอาไว้ไม่ให้เขาบินหนีหายไป แต่เมื่อวิ่งไปถึงแล้ว ระยะห่างแค่ปลายเล็บ
เกร็ง เกร็ง!
“เสียงระฆังในยามเที่ยงคืนดังไปทั่วเมือง บ่งบอกถึงเวลาแห่งการร่ำลาจากคนรัก”
“ลาก่อน เราคงจะเจอกันอีก....ในไม่ช้า” สิ้นเสียงของเทพเจ้า ปีกก็กระพือออกอีกครั้ง ร่างของเทพเจ้าได้หายไปในพริบตา นั้นคือช่วงเวลาเดียวกับฮิบาริกอดร่างไว้ แต่สุดท้าย.....ก็ได้เพียงกอดขนนกที่หลุดจากปีกเท่านั้น
“ไม่ ......!!?” ชายร่างสูงผมดำแค้นใจตัวเองที่ไม่สามารถรั้งคนที่ตนรักไว้ได้ มีเพียงขนนกสีขาวบริสุทธิ์จำนวนมากลอยไปมาตามลม ทำได้เพียงกอดตัวเองอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลอาบแก้มก็ไม่ทำให้ชายผมดำบรรเทาความเจ็บปวดลงได้เลยแม้แต่น้อย
2 วันต่อมา
ผมออกมาเดินเล่นนอกบ้านหลังจากสองวันที่ผ่านมาผมเอาแต่นอนร้องไห้ไม่ทำอะไรทั้งนั้น วันนี้ผมคิดจะมาซื้อของที่ตลาดเพื่อทำอาหารค่ำ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมเดินเลี้ยวไปที่ป่าที่ผมกับคนรัก(??)เจอกันครั้งแรก ในใจผมยังคิดถึงและโหยหาท่านผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา
“อยากเจอท่านอีกจังเลย....” ผมนั่งลงตรงจุดที่ผมเจอคนรักครั้งแรก แล้วก็หยิบขนมปังขึ้นมา2ก้อน ผมกินไปหนึ่งชิ้น ส่วนอีกชิ้นก็วางไว้ข้างๆ
“อยากเจอใครงั้นเหรอคะ?” มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้นข้างหลังผม เมื่อผมหันไปผมก็เจอกับ........หญิงงามในชุดสีดำทั้งตัว ผมยาวสีน้ำตาลออกเลือง และดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูคุ้นเคยนั้น กำลังยืนยิ้มอย่างเป็นมิตรและอ่อนโยนให้กับผม อะไรกัน ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ และทำไมหัวใจถึงเต้นผิดปกติแบบนี้นะ
“คุณ....เป็นใคร” ผมถามออกไปพร้อมกับใจที่เต้นรัว
“มิสะ.....ยามาโมโตะ มิสะ คะ” หญิงงามคนนั้นตอบผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ช่างดูงดงามจริงๆ
“ผมชื่อ ฮิบาริ เคียวยะ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” สุดท้ายแล้วเราทั้งสองคนก็นั่งคุยกันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน นานมากเสียจนดวงอาทิตย์หายลับไปจากขอบฟ้า
“ชายผมดำได้ตกหลุมรักหญิงงานผมดำยาวตั้งแต่แรกที่สบตากัน เกิดรู้สึกถึงสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากหัวใจในทันใด”
“มิสะ ตอนนี้ก็ค่ำมากแล้ว จะให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านไหม” ผมอาสาเป็นคนดี1วันเลยนะเนี้ย อย่าตกใจที่ผมเปลี่ยนสรรพนามนะ
“เออคือ... ฉันเพิ่งย้ายมาที่เมืองนี้วันนี้นะคะ ยังไม่มีที่พักหรอก ตั้งใจว่าจะหาโรงแรมแถวนี้ไปก่อนนะคะ” มิสะพูดไปก็เกาแก้มแก้เขิน
“งั้นไปพักที่บ้านฉันก่อนไหมละ ที่บ้านออกจะใหญ่ เลยมีห้องว่างเยอะนะ” ทำไมผมแอบดีใจนะที่ได้ยินแบบนั้น(อ้าวเห้ย!)
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่อยากรบกวนคุณถึงขนาดนั้น” ระหว่างที่เรายืนคุยอยู่นั้นเองจู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ผมจึงไม่รอช้ารีบดึงมือของมิสะแล้ววิ่งตรงไปที่บ้านของผมทันที (ช่วยด้วย มีผู้หญิงถูกฉุด!! // โดนตรีนปริศนา)
ต่อไปไรเตอร์จะเป็นผู้อ่านบทเองเนอะ-w- หึหึหึหึหึ
“หว่า....เสื้อเปียกหมดเลย” มิสะบ่นพึมพำออกมาเบาๆพลางบิดเสื้อที่เปียกน้ำ
“เดี๋ยวเธอรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อซะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารค่ำเตรียมเอาไว้ให้” ฮิบาริโยนผ้าเช็ดตัวให้มิสะ แล้วก็ชี้ไปที่ประตูห้องน้ำ มิสะก็พยักหน้าแล้วก็เดินไปอาบน้ำตามคำสั่ง
มิสะเดินออกมาพร้อมกับใส่เสื้อ(ที่หลวมจนไม่รู้จะหลวมยังไงแล้ว) แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องอาหาร เห็นฮิบาริ เคียวยะจัดโต๊ะอาหารอย่างรีบร้อน มิสะเห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นมาบางๆ ทั้งสองกินอาหารค่ำเสร็จฮิบาริก็เดินนำมิสะมาที่ห้องว่าง
“เธอนอนที่ห้องนี้นะ ฉันนอนห้องข้างๆ” ฮิบาริเปิดประตูให้มิสะเข้าไปในห้อง
“ขะ ขอบคุณนะ ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี” มิสะพูดด้วยแววตาเศร้าๆเหมือนรู้สึกผิด แต่แววตาและใบหน้าแบบนี้มันทำให้ฮิบาริใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ความรู้สึกแบบนี้มันคือแบบเดียวกับที่เจอทาเคชิเลยจริงๆ....
“งั้น........” ฮิบาริดึงตัวมิสะมากอดและจูบอย่างนุ่มนวล ฮิบาริผลักมิสะให้ล้มบนเตียงแล้วก็ล็อกประตู(หนังไทยที่สุด!!).............
“ทั้งสองได้ทำพันธสัญญาของหัวใจไปในที่สุด โดยที่ไม่คิดถึงอดีตและอนาคตว่าจะเกิดอะไรต่อไป”
4 ปีต่อมา (ไวเหมือนโกหก 5555+)
“แม่ฮ่ะ ผมหิวข้าวแล้วอ่า” เด็กชายผมสีดำน้ำตาล และมีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกำลังดึงกระโปรงของมิสะเบาๆ
“จร้าๆ รออีกแป๋บนึงนะ หนูไปเล่นกับพี่ก่อนนะจ้ะ” มิสะก้มหน้าลงไปพูดกับ ลูกชายที่น่ารักของตนอย่างอ่อนโยน ตอนนี้ฮิบาริกับมิสะมีลูกตัวน้อยๆด้วยกัน2คน แต่น่าแปลกที่ลูกทั้งสองคนเป็นเด็กผู้ชาย มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทั้งหมด หรือก็คือ ทุกคนหน้าเหมือนผู้เป็นแม่หมด ถ้าคนอื่นเห็นก็คงงงแต่สำหรับฮิบารินั้นกลับไม่เห็นความเหมือนจนเกินไปนี้เลยสักนิด
“นี้ มิสะ ฉันอยากมีลูกเป็นเด็กผู้หญิงบ้างอ่ะ” ฮิบาริเดินเข้ามาโอบกอดมิสะจากข้างหลังแล้วก็วางคางตรงไหล่ของมิสะ
“นี้คุณ...ฉันทำอาหารอยู่นะ คุณกลับไปเล่นกับลูกๆก่อนดีกว่า” มิสะสะดุ้งเล็กน้อยแล้วก็หันมาพูดกับฮิบาริ
“แต่ฉันอยากมีลูกผู้หญิงบ้างนี้น่า” ฮิบาริยังคงอ้อนมิสะไม่เลิก ทำให้มิสะอยากจะยกซุปที่กำลังต้มมาสาดดีไหมเนี้ย
“ถ้าอยากมีถึงขนาดนั้นละก็ คุณก็ไปขอพระเจ้...เจ้า สะ สิ.....” อยู่ๆมิสะก็เริ่มเงียบขึ้นมาเฉยๆจนฮิบาริเอ๊ะใจเล็กน้อย
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมถึงพูดติดๆขัดๆละ”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ตอนนี้ซุปเสร็จพอดีเลย คุณไปเรียกลูกมากินอาหารหน่อยสิ” มิสะหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มแต่ในใจนั้นกลับเต้นเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อืม ได้สิ” ฮิบาริพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไปจากครัว เมื่อฮิบาริออกไป มิสะก็ล้มลงแล้วเอามือกุมหน้าอกแน่น ใบหน้ามีแต่ความวิตกกังวลอย่าหนัก ‘แย่แล้ว เผลอเรียกออกไปแล้ว ถ้าเกิดคนคนนั้นได้ยินขึ้นมาละก็.....’
...............หลังรับประทานอาหารเสร็จ...................
“มิสะ เราไปวิหารเทพเจ้ากันหน่อยไหม” จู่ๆฮิบาริก็เกิดนิมิตอะไรก็ไม่รู้พูดขึ้นตอนมิสะกำลังเก็บจานข้าว
“เอ๋ ไปที่นั้นทำไมเหรอ....” มิสะสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็พยายามหันไปพูดกับฮิบาริให้ปกติที่สุด
“ก็ที่นั้นคือที่ที่ฉันกับเธอเจอกันครั้งนี้น่า นี้ก็4ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้ไปที่นั้นนะ ฉันอยากให้เธอไปด้วย” ฮิบาริพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
“อะ อืม ถ้านั้นเป็นความปรารถนาของนายละก็ แต่ฉันขออยู่ข้างนอกวิหารนะ” มิสะทำหน้าเจือนที่จะต้องเข้าวิหารนั้น
“ทำไมละ หรือว่าเธอกลัวเทพเจ้ารึไง...” ฮิบาริพูดเหมือนจะหยอกคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เหมือนคนตรงหน้าจะไม่เล่นด้วยสักเท่าไหร่
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ กล้าท้าเหรอยะ งั้นฉันจะเข้าไปด้วยก็ได้....” ในที่สุดมิสะก็เผลอพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับใจไปจนได้ แต่ที่เธอกล้าพูดก็เพราะคิดในแง่ดีว่า มันคงไม่เป็นไรหรอก
“เพราะคำพูดของชายซึ่งเป็นที่รัก หญิงงามจึงยอมตกลงที่จะไปวิหารแห่งเทพเจ้า ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์”
เช้าวันถัดมาฮิบาริกับมิสะเดินออกจากโดยฝากลูกๆไว้กับพี่เลี้ยง ทั้งสองไปที่วิหารตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหารที่ขาวสะอาดแม้กระทั้งตอนมืดๆก็ยังเห็นประกายของผนังชัดเจน ขนนกสีขาวเมื่อตอนนั้นยังคงอยู่และถูกประดับตามมุมต่างๆของวิหาร
“เดี๋ยวฉันมานะ รู้สึกจะของหายตอนระหว่างเดินนะ” มิสะเพิ่งมาสำรวจตัวเองตอนเดินเข้ามาในวิหาร ก็พบว่ากระเป๋าเงินหายไป จึงเดินออกไปดูข้างนอกวิหาร
ฮิบาริจึงนั่งรอมิสะตรงที่นั่งข้างหน้ารูปปั้น ในมือถือตะกร้าปิกนิก(มิสะฝาก)อย่างทะนุถนอม ระหว่างที่กำรังรออยู่นั้นเองจู่ๆก็มีลมพัดเข้ามาในวิหารอย่างแรงจนขนนกสีขาว 1 อัน หลุดออกมาจากที่ประดับแล้วไปตกตรงกลางของวิหาร ฮิบาริจึงวิ่งไปเก็บขนนกไปไว้ที่เดิม แต่ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสปลายขนนกที่ขาวสะอาดและนุ่มนวล.....
ตึก ตึก ตึก ตึก......เสียงรองเท้ากระทบการพื้นวิหารเสียงก้องดังไปทั่ว
ขนนกจำนวนมหาศาลถูกพัดมาจากด้านหลังของฮิบาริ ขนนกเหล่านั้นบดบังขนนกที่ฮิบาริตั้งใจจะเก็บ
“เจ้าไม่มีสิทธิ์จะแตะต้องขนนกอันนั้น.....ฮิบาริ เคียวยะ” เสียงๆหนึ่งด้านขึ้นข้างหนัง เมื่อฮิบาริจะหันไปมองก็ได้ยินเสียงเหมือนเหล็กกระทบกันดังไกลๆ แต่ฮิบาริรู้ได้ทันทีว่าเสียงนั้นคือ ปืน และทันทีที่ฮิบาริหันไปมองคนข้าง
ปัง!?
“กระสุนปืนของเทพเจ้าได้ทะลวงร่างลงทัณฑ์กับชายผมดำที่มีแต่บาปมากมาย”
วินาทีที่รู้ว่าตนโดนยิง ฮิบาริได้เห็นแววตาของเทพเจ้าที่ยิงเค้า ดวงตาสีเขียวมรกตที่โกรธเกรี้ยวและเขียดแค้นนั้นเหมือนมันจะส่งความทรงจำอะไรบางอย่างเข้ามาในหัวของฮิบาริ
ภาพของเทพเจ้าผมสีดำน้ำตาลที่ฮิบาริรู้จักดี กับ เทพเจ้าผมสีเงินตาสีเขียวมรกต ยืนคุยกันอย่างสนุกสนาน นี้มัน....เพื่อนของทาเคชิงั้นเหรอ..... แต่ว่า ทาเคชิน่าจะกลับสู่ที่ของเค้าแล้วนี้นา ห้วงความคิดสุดท้ายของฮิบาริ ก่อนที่ฮิบาริจะหลับไป........เวาลผ่านไปไม่นานต่อมา
“........ฮะ ฮิ บาริ...” น้ำเสียงที่สั่นเคลือของหญิงสาวที่เพิ่งเข้ามาในวิหาร ก็พบกับคนรักของตนนอนจมกองเลือดโดยมีขนนกสีขาวเปื้อนเลือดอยู่ทั่ววิหาร
“การลงทัณฑ์ของเทพเจ้า....หรือว่า โกคุเดระ ฮายาโตะ งั้นสินะ......ฮิบาริ เรื่องทั้งหมด มันเป็น เพราะฉันแท้” มิสะยกร่างของฮิบาริขึ้นมากอดแน่น มิสะเอาแต่กอดฮิบาริแน่นแล้วก็เงียบไปเหมือนจะคิดอะไรสักอย่าง
“.......................ที่รัก.... ใบหน้าที่เปื้อนด้วยเลือดสีแดงฉาน ใบหน้าที่ซีดเซียวมันไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น สิ่งที่ข้ายอมทิ้งทุกอย่างมันก็เพื่อเจ้าแท้ๆ” น้ำเสียงของมิสะเริ่มเปลี่ยนไป สรรพนามก็เปลี่ยนไปอีกแบบอย่างน่าตกใจ ลมหายใจที่เริ่มแผ่วเบาจนเหมือนจะหายไปของฮิบาริทำให้คนที่เห็น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
นี้เธอพูดเรื่องอะไรกัน มิสะ สติที่เลือนรางของฮิบาริยังพอจับคำพูดของหญิงสาวได้
“การที่ข้ายอมแลกปีกแห่งเทพเจ้าให้กับซาตานนั้น มันเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ แต่ข้าก็ละทิ้งมันเพื่อให้ได้อยู่กับเจ้าตลอดไป และถ้าการสละปีกของข้าอีก ในครั้งนี้ มันช่วยเจ้าได้ละก็....ข้าก็จะทำ” น้ำเสียงในตอนนี้กลายเป็นเสียงของผู้ชายโดยสมบูรณ์ แต่ฮิบาริไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้
อะไร ปีกแห่งเทพเจ้างั้นเหรอ หมายความว่าอะไรกันแน่?
มีแสงสีส้มอ่อนๆสดใสส่องสว่างขึ้นห้อมล้อมไปทั่วของทั้งสองคน และเหมือนกับว่าแสงนั้นจะทำให้แผลของฮิบาริค่อยๆหายไป จนฮิบาริเริ่มดีขึ้นจนค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ
“ล่าก่อน ที่รักของฉัน ฮิบาริ เคียวยะ” ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่เต็มไปด้วยน้ำตาของยามาโมโตะ ทาเคชิ และปีกสีดำที่ค่อยๆสลายไปเรื่อยๆ ฮิบาริตกใจกับสิ่งที่ตนเห็นแต่ก็ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
“ทาคะ....!!?” ฮิบาริกำลังจะเอามือไปสัมผัสร่างกายคนที่อยู่ตรงหน้า แต่แล้ว
เพล้ง!!!? ร่างกายแตกกระจายเหมือนแก้วน้ำที่ตกลงพื้น
ร่างกายของยามาโมโตะ ทาเคชิ แตกสลายจนกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองคามือของฮิบาริที่กำลังจะเอื้อมไปจับร่างนั้นไว้ สิ่งที่สัมผัสได้กลับเป็นเพียงฝุ่นละออง และอากาศที่ว่างเปล่า เหลือเพียง ขนนกสีดำทมิฬ 1 อัน ค่อยๆร่วงลงมาอยู่บนตักของฮิบาริ
“ทาเคชิ.......มิสะ......อะ อะ อ๋าาาาาาาาาาา” ฮิบาริค่อยๆประคองขนนกสีดำขึ้นมาแล้วก็ปล่อยโฮเสียงดัง น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ไหลหยุดลงบนขนนกจนเปียกชุ่มไปทั้งอัน แต่ฮิบาริก็ไม่หยุดร้องเลยแม้แต่น้อย พลางเรียกชื่อของ ทาเคชิ และ มิสะ วนไปวนมาอยู่ซ้ำๆ
.
...
.....
........
...............
.............................
................................................................................................................
จบแล้วละคะ-w- เรื่องนี้จบไม่สวยเลยแหะ
แต่ทำไงได้ เราชอบแต่งแนวดราม่านี้อ่ะ//โดนแฟนคลับรุมกระทืบ
แงๆๆๆๆ เอาเป็นว่ามาเลิฟซีนตอนอื่นก็แล้วกันน่า
ถ้าอยากให้จบดีกว่านี้ก็เม้นขอก็แล้วกันนะค่ะ เดี๋ยวจะทำตอนพิเศษให้ก็แล้วกัน
5555555555555555555555+
ความคิดเห็น