ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนผึกทักษะผู้ใช้เทพอลเวง

    ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ 16 เส้นทาง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 281
      0
      24 ก.ค. 58


    ‘’ เร่เข้ามาจร้า เร่เข้ามา สินค้าดีๆมีจำกัดส่งตรงจากดินแดนตะวันออก ‘’ เสียงรุ้งร้องตะโกนเรียกลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะสินค้าเสื้อผ้าของลิขิตถูกประดิษฐ์ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีอีก 1000 ปีข้างหน้าทำให้มีเนื้อผ้าค่อนค่างละเอียด ตามขอบเสื้อมีลวยลายต่างๆดูแปลกตา ทำให้ดึงดูดความสนใจจากชาวเมืองไม่น้อย

    ‘’ พี่สาวขอตัวนี้กับตัวนู้นนะ ‘’ หญิงสาวผู้เป็นลูกค้าชี้ไปที่ชุดประโปรงสีเขียวอ่อนแขนยาว ซึ่งมีโบว์สีขาวฝืนใหญ่พันรอบเอวด้วยสลับกับชี้ไปที่กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน

    ‘’ 20 โกลล์กับอีก 50 ซีลเวอร์ค่ะ ‘’ มิกิพูดพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าลงไปในถุงกระดาษ ส่วนลิขิตก็มองตามตาละฮ้อยด้วยความเสียดาย แต่ปากท้องต้องมาก่อนเสื้อผ้าแค่นี้ถึงตายก็หาใหม่ได้ แต่แล้วความคิดเธอต้องหยุดชะงักลงเพราะมีเสียงของชายคนหนึ่งตะโกนเข้ามา

    ‘’ นี่พวกเธอหลีกทางให้องค์ราชินีกับองค์หญิงเสด็จหน่อย ‘’ สิ้นสุดคำพูดเหล่าบรรดาหญิงสาวที่ล้อมหน้าล้อมหลังบริเวณแผงลอยที่พวกลิขิตวางขายเสื้อผ้าอยู่รีบเปิดทางพร้อมกับก้มหัวเป็นเชิงทำความเคารพ ทำให้มิกิ ลิขิตและรุ้งเห็นลูกค้าคนสำคัญทันที คนแรกมาในชุดเดรสสีดำแขนกุดดูสง่า ใบหน้าเคร่งขรึมดูมีอายุแต่คงความงามชวนหลงใหล ทรงผมของเธอถูกรวบขึ้นมามัดอย่างเรียบร้อย ส่วนอีกคนเป็นสาวน้อยในชุดเดรสสีขาวสว่างมีผ้าขนนกสีเดียวกับชุดคลุมใหล่ลงมาถึงเอวมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก

    ‘’ ข้าได้ข่าวมาจากสาวใช้ว่าที่นี่มีเสื้อผ้าเนื้อดีที่หายากจากดินแดนตะวันออก ใยเจ้าถึงไม่มาเสนอข้าในวังเล่า ข้าสามารถให้ราคาสูงกว่าพวกสามัญชนที่อยู่แห่งนี้มากกว่าเป็นสิบเท่า ‘’ องค์ราชินีพูดด้วยความไม่พอใจ

    ‘’ ท่านแม่! ‘’ องค์หญิงดุเบาๆ ส่วนรุ้งก็รีบก้มหัวเชิงทำความเคารพก่อนจะตอบ ‘’ เผอิญพวกเรามีเหตุจำเป็นบางจึงไม่สามารถติดต่อพวกท่านได้ ‘’

    องค์ราชินีเม้มริมฝีปากเรียบ ‘’ มีเหตุจำเป็นกว่าการเข้าพบหน้าข้ารึ ‘’ องค์หญิงที่อยู่ข้างๆก็สะกิดแม่ของเธออีกครั้ง ‘’ ท่านแม่ พวกเรามาซื้อเสื้อผ้าไปใส่ในงานเลี้ยงเต้นรำนะ เราไม่ได้มาหาเรื่องเหล่าแม่ค้าพวกนี้ ‘’

    องค์ราชินีโบกมือ ‘’ ก็ได้ ทหารมาขนเสื้อบนแผงนี้ให้หมด ข้าต้องการทุกตัวที่อยู่ในนี้ 1000โกลล์เป็นอย่างไร ‘’ เธอพูดพร้อมกับโยนถุงทองให้รุ้งก่อนที่เธอจะรีบเข้ามาประคบประคองราวกับว่ามันจะแตกสลายถ้าทำตกพื้น

    ‘’ ห๋าาา ‘’ เหล่าสาวๆชาวเมืองคนอื่นๆอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันทำให้องค์ราชินีต้องปรายตาหันมามอง ‘’ พวกเจ้ามีปัญหากับการตัดสินใจของข้ารึ ‘’

    องค์หญิงส่ายหัวกับนิสัยมารดาของตน ‘’ ท่านแม่ เสร็จธุระแล้วพวกเรากลับกันเถอะ ‘’ พูดจบทั้งสองก็จะหันหลังกลับแต่ถูกรุ้งตะโกนเรียกจากข้างหลัง ‘’ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะดูโดดเด่นงดงามในงานเต้นรำ ดิฉันเกรงว่าแค่เสื้อผ้าพวกนี้คงไม่พอหรอก ‘’

    คำพูดของรุ้งทำให้องค์ราชินีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ‘’ แล้วเจ้ามีความคิดอะไร ‘’ รุ้งยิ้มก่อนตอบ ‘’ พวกท่านต้องเนรมิตใบหน้าให้โดดเด่นเสียก่อน พวกเรามีช่างเนรมิตมากฝีมือคนหนึ่ง ‘’ พูดจบเธอที่ชี้นิ้วไปหาลิขิต

    ‘’ นี่ยัยรุ้ง ‘’ ลิขิตอ้างปากจะด่าเพื่อนสาวแต่แล้วเธอต้องหยุดเพราะองค์ราชินีพูดขัดขึ้นมาก่อน ‘’ งั้นก็ประเสริฐยิ่งนัก ‘’ เธอพูดด้วยความยินดี ก่อนจะเดินมาจับมือลิขิตไว้แน่น ‘’ ตั้งแต่วันนี้ข้ามองหน้าที่ให้เจ้าดูแลเรื่องการแต่งตัวขององค์หญิง ส่วนพวกเจ้าที่เหลือข้าอนุญาตให้ติดตามเพื่อนของเจ้ามาได้เป็นกรณีพิเศษ ‘’

    รุ้งค้อมศีรษะ ‘’ ด้วยความยินดีค่ะ ‘’ ส่วนองค์หญิงไม่พูดอะไรเธอมองมาหาลิขิตพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

    ‘’ เอาล่ะกลับวังได้แล้ว เราต้องเตรียมตัวกันอีกมาก ‘’ องค์ราชินีพูดพร้อมกับเดินนำกลับปราสาทโดยมีทหารองครักษ์ติดตามอยู่ไม่ห่างนัก ‘’ ฉันไม่ยินดีเลยสักนิด ‘’ ลิขิตพูดเบาๆก่อนจะติดตามองค์ราชินีและองค์หญิงกลับวังไปพร้อมกับมิกิและรุ้งทันที เนื่องจากสัมภาระแต่ละคนมีไม่มากจึงสามารถติดตามขบวนเสด็จโดยไม่ต้องรอเวลาเตรียมตัว

    ภายในรถม้าขนาดไม่เล็กมากแต่เพียงพอสำหรับที่นั่งทั้งสี่คน องค์หญิงนั่งมองพวกลิขิตด้วยดวงตาสดใส ใบหน้าหวานๆของเธอทำให้ชายหนุ่มหลายๆคนตกอยู่ในผวัง

    ‘’ เธอไม่ต้องเกร็งขนาดก็ได้ เพื่อนคนอื่นๆของเธอยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ‘’ ริมฝีปากสีชมอวบอิ่มขยับเอ่ยคำพูดออกมาจนทำให้ลิขิตสะดุ้ง ‘’ เอ่อค่ะ ดิฉันไม่คุ้นกับการคุยกับพวกเชื้อพระวงค์ ‘’ องค์หญิงหัวเราะ ‘’ เธอใช้คำพูดปกติก็ได้ ฉันไม่ถือเรื่องคำราชาศัพท์เท่าไหร่หรอก ‘’

    กุกกักๆ เสียงรถม้ายังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆตามเส้นทางเข้าไปตามป่า เนื่องจากอดีตเมื่อพันปีก่อนปีมีสัตว์สวยๆที่ยังไม่สูญพันธุ์อยู่มากทำให้มิกิมองออกนอกหน้าต่างด้วยความสนใจ รถม้ายังคงวิ่งเลาะตามเส้นทางไปเรื่อยๆจนมาหยุดชะงักลงเพราะม้าที่ลากรถเลื่อนเกิดความแตกตื่น

    ‘’ องค์หญิงอย่าลงจากรถนะครับ ‘’ เสียงองครักษ์คนหนึ่งตะโกนเข้ามา

    โฮ้กกก ! เสียงเสือดังออกมาไม่ไกลจากบริเวณที่รถม้าอยู่ เรียกความสนใจให้รุ้งชะเง้อคอออกหน้าต่างไปมอง ภาพที่เห็นคือทหารไพร่สามคนกำลังต่อสู้กับเสือโคร่งตัวใหญ่ ในมือทหารแต่ละคนจะถือโล่เอาไว้ข้างแขนซ้าย ส่วนมือขวาถือหอกปลายแหลมยาวสองเมตร

    ทั้งสามพยายามจ้วงแทงที่ขาหลังของเจ้าเสือโคร่งตัวนี้เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวแต่มีหรือที่เจ้าเสือตัวนั้นจะยอม มันกระโจนเข้าใส่ทหารคนแรกอย่างรวดเร็วแต่ไร้ผลเพราะถูกโล่บล็อคไว้ เมื่อไม่ได้ผลมันจึงกางเล็บแหลมคมตวัดใส่สีข้างฝั่งขวาของทหารคนนั้นแทน

    วูบบบ ! ไร้ผลเมื่อทหารคนนั้นขยับเท้าถอยหลบด้วยความรวดเร็วทำให้เจ้าสัตว์ตระกูลแมวเคลื่อนไหวโหมโจมตีอย่างกราดเกรี้ยวแต่ไร้ผล เมื่อสบโอกาสทหารคนนั้นจึงเกร็งท่อนแขนพุ่งชนเจ้าเสือนั่นจนหน้าหงายก่อนที่ทหารคนอื่นจะมาลุมซ้ำจนมันบาดเจ็บสาหัสวิ่งเข้าป่าไป

    ‘’ ทหารคนนั้นเก่งเนอะ ‘’ รุ้งที่ดูเหตุการณ์แต่แรกพูด องค์หญิงพยักหน้า ‘’ ทหารคนนั้นเป็นลูกของหัวหน้าองครักษ์ชื่อเมอลิน ‘’ พูดจบทหารคนนั้นก็โบกมือมาทางองค์หญิงพอดีแต่ถูกหัวหน้าองครักษ์ผู้เป็นพ่อตบหัวทิ่ม องค์หญิงหัวเราะเบาๆก่อนจะโบกมือกลับท่ามกลางสายตาของรุ้งและลิขิต

    ‘’ เธอคิดเหมือนฉันมั้ย B1 ‘’ รุ้งกระซิบ

    ‘’ แน่นอน B2 ‘’ ลิขิตตอบกลับ

    ‘’ อะไร B1 B2 พวกเธอพวกถึงวิตามินหรอ ‘’ มิกิเงยหน้าจากหนังสือนิยายขึ้นมาถาม รุ้งส่ายหน้า ‘’ ก็เธอเอาแต่อ่านการนิยาย หัดสนใจโลกบ้างว่าโลกไปถึงไหนกันแล้ว ‘’

    ‘’ เรื่องของฉัน ‘’ พูดจบมิกิก็ก้มหน้าอ่านนิยายต่อ

    ‘’ย่ะ ‘’ ทั้งสองสาวตอบประสานเสียง

    เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงรถม้าก็ถึงพระราชวังโดยสวัสดิภาพ ทั้งสามลงจากรถม้าก่อนจะมองปราสาทขนาดใหญ่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ปราสาทถูกโอบล้อมไปด้วยกำแพงขนาดมหึมาเป็นทรงหกเหลี่ยมแต่ละมุมจะมีป้อมไว้สังเกตการณ์จากระยะไกลๆมีทหารเดินตรวจตราอย่างเข้มงวด ภายนอกมีแม่น้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบทำให้การเข้าปราสาทมีเพียงสะพานทางเข้าหลักเท่านั้น ภายในถูกตกแต่งไปด้วยรูปปั่นต่างๆมีสวนและน้ำพุไว้เป็นที่พักผ่อนส่วนตัว

    เหล่าบรรดาสาวใช้ต่างออกมาต้อนรับกันพร้อมหน้าก่อนจะช่วยกันจัดแจงสัมภาระต่างๆไปเก็บเข้าที่ ส่วนพวกลิขิตเข้ามาในปราสาทในฐานะแขกคนพิเศษทำให้ได้รับการต้อนรับอย่างดีรวมไปถึงกษัตริย์วัยกลางคนก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

    ‘’ เอ่อ ท่านไม่จำเป็นต้องต้อนรับขนาดนี้เลย พวกเรามาในฐานะคนดูแลองค์หญิงค่ะ ไม่ใช่คนของเมื่องอื่นแต่อย่างไร ‘’ ลิขิตพูด กษัตริย์ส่ายหน้าก่อนจะลูบหัวเธออย่างเอ็นดู ‘’ อย่าไปเชื่อที่เอลิซ่าพูดเลย คนดูแลองค์หญิงน่ะมีเยอะแล้วเธอแค่อยากหาเพื่อนให้องค์หญิงตัวน้อยของเราเฉยๆ และก็ขออภัยแทนเอลิซ่าด้วยที่จู่ๆก็ลากพวกเธอเข้ามาโดยไม่สมัครใจ ‘’

    รุ้งรีบส่ายหัว ‘’ เราเป็นคนเสนอตัวเข้ามาเองค่ะ ไม่ทราบว่างานเลี้ยงเต้นรำจะมีวันไหนคะ ‘’ กษัตริย์หัวเราะ ‘’ อีก 1 อาทิตย์ ‘’ พูดจบราชินีก็เดินเข้ามาพอดี

    ‘’ งาน 1 อาทิตย์จะมีงานเลี้ยง งานของพวกเธอคือช่วงแต่งหน้าจีสมินในคืนก่อนงานเต้นรำ ‘’ เธออธิบาย

    ‘’ แล้วระหว่างนั้นล่ะคะ ‘’ ลิขิตตาโต

    ‘’ ช่วยเป็นเพื่อนกับจัสมินไปก่อนละกัน ระหว่างนั้นถ้าพวกเธอต้องการอะไรก็บอกนางสนมได้ตลอดนะ ‘’

    ‘’ เอ๋ ‘’ ลิขิตเผลออุทาน ทำให้ราชินีต้องมองค้อน ‘’ ไม่พอใจที่เป็นเพื่อนกับจัสมินหรอ ‘’ คำพูดของเธอทำให้ลิขิตต้องส่ายหัว ‘’ มิได้ค่ะๆ ‘’ ราชินียิ้มอย่างพอใจก่อนจะหันหลังกลับ

    ‘’ ทำไมถึงให้คนแปลกหน้าอย่างพวกเราเป็นเพื่อนกับองค์หญิง ท่านไม่กลัวเราจะทำร้ายเธอหรอ ‘’ มิกิถาม ราชินีตอบสั้นๆ ‘’ เพราะพวกเธอมาจากตะวันออก ‘’ พูดจบเธอก็เดินเข้าห้องโถนไป ทิ้งไห้สามสาวสงสัยในคำพูดที่ทิ้งเอาไว้

    ส่วนกษัตริย์ก็พอจะเข้าใจในคำตอบ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดกับมิกิ ‘’ พวกตะวันออกสำหรับพวกเราเขาคือผู้มีพระคุณ ‘’ พูดจบองค์หญิงก็เดินเข้ามาพอดี ‘’ คุยอะไรกันหรอคะท่านพ่อ ‘’

    ‘’ ไม่มีอะไรหรอก จัสมินลูกพาแขกของเราไปเยี่ยมชมปราสาทหน่อยสิ ‘’ จัสมินยิ้มรับอย่างว่าง่าย ‘’ ค่ะ ท่านพ่อ ‘’ หลังจากแยกกับกษัตริย์ที่หน้าปราสาทจัสมินก็พารุ้ง มิกิและลิขิตเดินชมปราสาททั้งสี่พูดคุยกันเรื่องต่างๆไปเรื่อย มิกิเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวสูงมากทำให้จัสมินติดแจเธอเป็นพิเศษ

    ‘’ นั่นหัวหน้าบาทหลวงนี่ ‘’ จัสมินพูดพร้อมกับชี้ไปทางบบาทหลวงที่กำลังคุยกำหญิงสาวคนหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ ‘’ พวกนั้นทะเลาะกันอีกแล้ว ‘’

    ‘’ อีกคนนี่ใครหรอ ‘’ รุ้งถาม

    ‘’ นักเวทประจำปราสาทเราน่ะ เธอมีความสามารถสูงส่งมาก ‘’ จัสมินอธิบาย

     ‘’ พวกนอกรีต ‘’ มิกิพูดด้วยความไม่ชอบใจ ‘’ แต่ระวังบาทหลวงคนนั้นดีกว่า ฉันได้กลิ่นแย่ๆมาจากตัวเขา ‘’

    หลังจากเดินชมปราสาทจนทั่วแล้วเวลาก็ผ่านไปจนเกือบเย็นพอดีทั้งสี่จึงแยกย้ายกลับไปยังห้องของตนที่จัดเตรียมไว้ ส่วนมิกิเมื่อจัดของเสร็จก็เดินออกมาหาจัสมินเพื่อให้เธอพาไปห้องสมุด ลิขิตคอยจัดเตรียมชุดล่วงหน้าให้จัสมินใส่ไปงานเต้นรำ ซึ่งเธอได้เรียกคนรับที่มีฝีมือเชี่ยวชาญมาช่วยตัดเย็บตกแต่งด้วย รุ้งเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆจึงเลือกที่จะไปป่วนทหารที่เดินตรวจตราบนกำแพงปราสาท

    ‘’ นี่เมอลินจ๋า ‘’  รุ้งตะโกนเรียกเสียงหวาน เมอลินที่กำลังนั่งกินกาแฟอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะตอบกลับห้วนๆตามประสาทหาร ‘’ มีอะไร เธอรู้มั้ยว่าบนนี้มันอันตราย มันไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเธอจะมาเดินเล่นนะ ‘’ พูดจบรุ้งก็เดินมาถึงป้อมที่เขานั่งอยู่พอดี

    ‘’ นายชอบจัสมินใช่มั้ย ‘’ รุ้งพูดเสียงดังขนาดที่พอได้ยินกันสองคน

    ฟร้วดดด !! แค่กๆ  ‘’ นี่เธอรู้ไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน ‘’ เมอลินพูดพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าลายดอกกุหลาบมาเช็ดคราบกาแฟที่ปาก ‘’ ส่วนผ้าเช็ดหน้านี่จัสมินให้มาใช่มั้ย ‘’ รุ้งถามต่อด้วยแววตาซุกซน เมอลินรีบโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งทันที ‘’ ฮ่าๆเธอจำผิดแล้ว ผ้าเช็ดหน้าฝืนนี้แม่ข้าเป็นคนให้มา ‘’

    ‘’ แต่เมื่อวานฉันเห็นนะว่าจัสมินเป็นคนส่งให้นาย ‘’ รุ้งแย้ง เมอลินจึงตอบกลับด้วยความมั่นใจ ‘’ ฮ่าๆเธออย่ามามั่ว ผ้าเช็ดหน้าฝืนนี้จัสมินให้ฉันเมือสามวันที่แล้วต่างหาก ‘’ รุ้งทุบกำปั้นใส่ฝ่ามือตัวเอง ‘’ ได้มาจากจัสมินจริงด้วย ฉันไปฟ้องหัวหน้าองครักษ์ดีกว่า ‘’

    เบอลินรีบกุลีกุจรมากอดขารุ้งเอาไว้ ‘’ อย่าบอกพ่อข้าเลย จะให้ทำอะไรก็ยอม ‘’ รุ้งพูดคิดสนุก ‘’ ทุกอย่างจริงนะ  ‘’

    ‘’ ด้วยเกียรติของอัศวิน ‘’ เมอลินยืดอก

    ‘’ งั้นนายจงไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำในอาทิตย์หน้า รู้สึกว่าตำแหน่งระดับนายสามารถเข้าร่วมงานได้อยู่แล้ว ‘’ รุ้งพูด

    ‘’ หะ เธอจะให้ฉันเข้าร่วมงานอย่างไร เสื้อผ้าหน้าผมฉันออกจะแย่ขนาดนี้ ‘’ เมอลินชี้ไปที่ตัวเอง

    ‘’ แสดงว่านายไม่ปฏิเสธงานนี้สินะ ส่วนเรื่องการแต่วตัวไม่ต้องห่วงถ้าลิขิตมาเนรมิตเจ้าหญิงให้ดูดีในงานเต้นรำล่ะก็ ฉันก็คือคนที่จะเนรมิตนายให้ดูดีเอง ‘’ รุ้งยืนกอดอกพูดออกมาอย่างมั่นใจ

    ................................................................................................................................................................................

    ฝั่งด้านของคิลในหมู่บ้านที่ห่างจากเมืองหลวงประมาณ 10 กิโลเมตร เวลา 17.00 น.

    เวลาผ่านไปได้ไม่กี่วันเขาก็เริ่มหายจากอาการบาดเจ็บถึงจะไม่หายอย่างสมบูรณ์ก็เถอะ เขาไม่ชอบที่จะนอนขนอยู่ในห้องอย่างเดียวจึงออกมาช่วยเทริเข้าป่าออกหาอาหาร ส่วนเขารับหน้าที่เก็บฟืนเพราะไม่สามารถฝืนวิ่งได้จากนั้นกลับมาถึงที่พักเขาก็อาสารับหน้าที่ฝ่าฟืนต่อถือเป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง

    หมู่บ้านที่คิลพักอยู่เป็นหมู่บ้านเล็กๆประมาณ 20 ครัวเรือนเวลาใครหาของกินดีๆมาได้ก็จะนำมาแบ่งปันกัน มีการติดต่อสื่อสารกันตลอดทำให้ทุกคนพอจะทราบอยู่แล้วว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาและหลังๆมานี้คิลก็มีโอกาสได้สนทากับชาวบ้านก็เริ่มมีความสนิทสนม ระหว่างที่เขากำลังฝ่าฟืนอยู่เพลินๆนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ

    กรี๊ดดด !! ‘’ มีเสือในป่าทางปลายน้ำ ‘’ หญิงสาวอายุน้อยกว่าเขา 2-3 ปีวิ่งออกจากป่ามาหาเขา คิลรีบลุกขึ้นพร้อมกับกระชับด้ามขวานในมือ ‘’ มีใครอยู่ที่นั่นบ้าง ‘’ คิลถามอย่างรีบร้อน

    หญิงสาวหอบหายใจก่อนจะตอบ ‘’ ลูน่าอยู่ที่นั้น เธอกลัวจนขยับขาไม่ออกแล้วก็.. ‘’ คิลไม่รอให้หญิงสาวพูดจบก็วิ่งลัดเลาะไปตามป่าตรงไปทางปลายน้ำทันที  เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมายเขาก็ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอก

    ‘’ โธ่ เสือเจ็บนี่เอง มันทำอะไรเธอไม่ได้หรอกลูน่า ‘’ คิลพูดพร้อมกับเดินตรงไปหาเสือโคร่งตัวใหญ่ก่อนจะค่อยๆยื่นมือไปหามัน ‘’ แต่มันก็อันตรายนะคะคุณคิล ‘’ ลูน่าที่นั่งทรงอย่างหมดแรงตะโกนห้ามปรามเขา

    โฮ้กกก!! เจ้าเสือที่นอนหายใจลวยลินในสภาพบาดแผลเต็มตัวพยามขู่ไล่คิล แต่เขาหาได้เกรงกลัวเสือเจ็บตัวนั้นไม่ เขาลูบหัวเสือตัวนั้นเบาๆก่อนจะหยิบผ้ามาพันแผลให้มันก่อนจะพูดกับเสือตัวนั้น

    ‘’ แกรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา ‘’ คิลพูดจบก็พาลูน่ากลับหมู่บ้านทันที เมื่อเดินมาถึงพวกชาววบ้านต่างก็กรูกันเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง ‘’ เจ้าเสือโง่นั่นมันตายหรือยัง ‘’ เทริถาม คิลส่ายหน้า

    ‘’ เดี๋ยวฉันไปฆ่ามันเอง มันอยู่ปลายน้ำใช่มั้ย ‘’ พูดจบเทริก็เดินเข้าป่าไปด้วยความเอาเรื่อง แต่กลับถูกคิลห้ามปรามไว้ ‘’ อย่าไปทำอะไรมันเลย มันก็แค่เสือเจ็บมันไม่ทำอันตรายใครหรอก ปัญหานี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง ‘’

    เทริถอนหายใจก่อนจะลดคันธนูลง ‘’ งั้นฉันจะเชื่อนายก็ได้ นายจะทำอะไรกับมันก็ตามใจนายเถอะ ‘’ คิลตบใหล่เทริเบาๆก่อนจะรีบเดินเข้าป่าไปทันที เขาใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงก่อนจะพบว่าเสือตัวนั้นหายไปแล้ว

    ‘’ เฮ้อบอกแล้วว่าให้รอ แต่เอาเถอะดูจากอาการบาดเจ็บมันคงขยาดที่จะทำร้ายใครละ ‘’ คิลส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินกลับหมู่บ้าน แต่เมื่อมาถึงเขาก็ต้องแปลกใจเพราะได้ยินเสียงผิดสังเกต คิลจึงค่อยๆย่องไปดูเหตุการณ์ข้างหน้าภาพที่เห็นคือกลุ่มโจรนิรนามกำลังไล่ต้อนพวกชาวบ้านมารวมตัวกันรวมถึงลูน่าด้วย แต่ในกลุ่มนั้นไม่มีพวกผู้ชายบางคนรวมถึงเทริในนั้น

    ‘’ ต้อนกันมาหมดหรือยัง ‘’ คนที่ท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดเสียงแหบ สายตามองไปที่สาวๆตาไม่กระพริบ ‘’ ถ้านำนางพวกนี้ไปขายคงได้ราคาดีไม่น้อย ‘’ หัวหน้ากลุ่มมองลูกน้องมันก่อนพยักหน้าเป็นเชิงให้สัญญาณ

    ‘’ เผาให้เหี้ยน ‘’

    ‘’ ฝันไปเถอะ ‘’ เสียงเทริที่ยืนอยู่บนหลังคาบ้านสองชั้นแหล่งหนึ่งกระโกนเรียกความสนใจก่อนพวกโจรก่อนจะง้างธนูยิงไปที่ลูกน้องมันที่กำลังถือคบเพลิงทันที

    ฟี้วววว !! ฉึกก!  อ้ากก ลูกธนูปักเข้ากลางอกอย่างแม่นยำ ส่วนพวกที่เหลือเมื่อพบว่ามีคนเหลืออยู่ต่างพร้อมใจกันชักอาวุธออกมาอย่างพร้อมเพรียง เช้ง ! แต่มีหรืออาวุธสั้นจะโจมตีบุคคลที่อยู่ไกลกว่าได้เทริจริงประเคนลูกธนูยิงใส่นับไม่ถ้วน ‘’ แน่จริงก็ลงมาสิวะ พ่อจะสับให้เละ ‘’ หัวหน้าโจรพูด

    ระหว่างที่พวกมันกำลังสนใจเทริอยู่พวกผู้ชายคนอื่นๆที่ซุ่มรอจังหวะอยู่พุ่งใส่โจรที่ยืนกระจายห่างๆทีละคน กร๊อบบ! เสียงกระดูกคอของโจรคนหนึ่งดังขึ้นเบาๆจากการหันผิดองศา พร้อมกับชายในหมู่บ้านค่อยๆลากโจรเข้าพุ่มไม้ไป เมื่อหัวหน้ามันสังเกตก็พบว่าจำนวนลูกน้องมันลดไปกว่าครึ่งมันจึงต้องใช้วิธีสุดท้าย มันดึงลูน่ายืนขึ้นเอามีดประกายเงาวับในมือจี้คอ

    ‘’ พวกแกมีกันกี่คน ออกมาให้หมดวางอาวุธลงด้วย ‘’

    ‘’ กรอดด ‘’ เทริกัดฟันก่อนจะยอมลงมาอย่างว่าง่าย ‘’ อย่าทำอะไรผู้หญิงนะโว้ย ‘’ เทริวางอาวุธก่อนจะพาพวกที่เหลือออกมาประมาณ 5-6 คน

    ‘’ พี่เทริ ‘’ ลูน่าตะโกนเรียกชื่อพี่ชายของตน ‘’ มัดพวกมันให้หมด ‘’ หัวหน้าโจรสั่ง มันใช้เวลาไม่นานก็มัดพวกที่เหลือทั้งหมดเรียบร้อย

    หัวหน้าโจรมองหน้าเทริที่โดนมัดในสภาพคุกเข่าด้วยความเดือดดาล ‘’ แกทำให้งานของข้าต้องล่าช้าไปหลายชั่วโมง สงสัยต้องสั่งสอนกันหน่อย ‘’ พูดจบมันก็สั่งให้ลูกน้องกระทืบเทรีอย่างไม่ปราณี

    ผั๊วะๆๆ ! ‘’ ซ่านักนะ ฆ่าแกคนแรกก่อนดีมั้ย ‘’ หัวหน้าโจรพูด 

    ‘’ คงจะไม่ได้หรอกครับ ‘’ คิลที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ยืนอยู่ข้างหลังมันก่อนจะถีบมันกระเด็นไปข้างหน้าก่อนจะคว้าเอวของลูน่ามาประคองไว้

    ‘’ แก!! ‘’ หน้าตะโกนใส่หน้คิลอย่างเดือดดาล ‘’ ล้อมมันไว้ ฆ่ามันทั้งผู้หญิงไปด้วย ‘’

    พูดจบเหล่าประดาลูกน้องมันประมาณ 10 คนที่ยืนคุมเชิงพวกเทริอยู่ก็กรูกันเข้ามาหาคิล พวกมันกระชับดาบ หอก โอบล้อมเขาไว้ ส่วนคิลยิ้มเหี้ยมก่อนจะชักดาบคาตานะออกมาจากฝักก่อนจะพูดเบาๆ ‘’ กว่าจะแอบกลับไปหาเจ้านี่ที่ห้องนี่ก็กินเวลาไปเยอะอยู่เหมือนกันแฮะ ดีนะไม่มีใครตายไปซะก่อน ‘’

    ‘’ ตายยย ‘’ โจรคนหนึ่งตะโกนดังลั่น ดาบในมือตวัดฟันจากด้านบนลงมากลางศีรษะเขา คิลนึกถึงคำพูดไรท์เวลามีเรื่องบ่อยๆเขาชอบพูดคำนี้

    ‘’ กลัวจังเลยย ‘’

    ................................................................................................................................................................................

    ‘’ กะ กะ กะ กลัวที่ไหนเกรงใจหรอกหนา ‘’ เสียงต้าและจอมยุทธหนุ่มร้องเพลงลั่นโรงเตี้ยมอย่างสำราญ เมื่อกินเหล้ากันเสร็จก็พากันกอดคอมาเมาแอ๋ที่โต๊ะ ‘’ ใยน้องนางช่างสวยบาดตาข้าอะไรเยี่ยงนี้ ‘’ เสียงจอมยุทธหนุ่มสะพายกระบี่ไว้กลางหลังก่อนจะเดินไปแซวสาวๆที่นั่งโต๊ะข้างๆ ส่วนต้าก็นั่งกินเนื้อย่างสามรสอย่างเอร็ดอร่อย

    ‘’ อี๊ น่ารำคาญพวกเราไปกันเถอะ ‘’ หญิงสาวพูดกับเพื่อนอย่างอารมณ์เสียก่อนจะพากันออกจากร้านโดยไม่สั่งอาหาร ทำให้เถ้าแก่ที่มองเหตุการณ์แต่แรกต้องกมขมับ

    ‘’ อาตี๋ ส่งแขก ‘’ เถ้าแก่พูด

    ‘’ ได้เลยอาเฮีย ‘’ พูดจบมันก็พากลุ่มคนประมาณสามคนลากต้ากับชายคนนั้นออกมาโยนหน้าร้าน

    ‘’ อะไรฟะ มาไล่ลูกค้าแบบนี้ได้ไง ‘’ ต้าที่นอนหมอบกับพื้นโวยวายก่อนสะดุดสายตากับรองเท้าหุ้มส้นสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าเขา ต้าจึงเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับบุรุษหน้ามนเกล้าผมแบบมือกระบี่ ผิวงามผุดผ่องดูเจ้าสำอาง ข้างหลังสะพายกระเป๋าเดินทางเหมือนนักผจญไพรโดยมีกระบี่เหน็บไว้เล่มหนึ่ง

    ‘’ มองอะไร ‘’ เขาถามห้วนๆ

    ‘’ เปล่า ‘’ ต้าหันหน้าหนีก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ชายเจ้าสำอาจคนนั้นไม่สนใจเพียงแต่เดินเข้าประตูโรงเตี้ยยมไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก ส่วนจอมยุทธที่มากับเขาตอนแรกก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะสะอึกด้วยความเมา

    ‘’ พบกันน้อยนิด จากกันเนิ่นนาน ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้วท่านเฉียวฉินข้าขอตัวลาก่อน ‘’

    ‘’ ใครชื่อเฉียวชินฟะ ‘’ ต้าตั้งคำถามกับตัวเองก่อนจะโบกมือลา

    ทางฝั่งของไรท์

    ‘’ ขอบพระคุณท่านมากที่ช่วยรักษาอาการธาตุน้ำแข็งเข้าแทรกให้แก่ข้า ‘’ ประมุขสาวพูดกับไรท์ เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะมองไปบนเพดาน ‘’ เจ้าหัวขโมย เจ้าจะแอบบนนั้นอีกนานมั้ย ‘’ พูดจบร่างเงาดำก็ทะยานทะลุเพดานลงมาหกสายปรากฏต่อหน้าไรท์

    ‘’ ประมุขแดนเหนือ วันนี้ข้าขอรับชีวิตเจ้าตามคำสั่งของท่านเฉียวชิน ส่วนคนรับใช้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าถือเป็นความกรุณาจากพวกข้าหกเงาดำละกัน ฮ่าๆ ‘’ ชายที่ใส่ชุดนินจาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ไรท์ก็ยืนอยู่เงียบๆขมวดคิ้ว ก่อนจะยิ้มเหี้ยมออกมา ‘’ ถ้าผมไม่ทำตามที่พวกคุณพูดล่ะ ‘’

    ‘’ งั้นแกก็เตรียมตัวตายซะ ‘’ หนึ่งในนั้นตะโกนใส่หน้าเขาก่อนที่พวกมันทั้งหมดจะสร้างค่ายกลกระบี่ล้อมรอบๆตัวเขาก่อนจะจ้วงแทงกระบี่พร้อมกัน ไรท์สปิงตัวกระโดดตีลังกากลับหลังข้ามหัวนักฆ่าทั้งสอง มันทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน ‘’ ไร้ประโยชน์น่า ‘’ ก่อนจะควงกระบี่หมุนตัวแทงกลับหลังไปหาไรท์ทันที ไรท์หัวเราะเบาๆก่อนจะต่อยสวนกลับที่ปลายกระบี่

    เคร้งงง!!  กระบี่หักสองท่อนพร้อมกับนักฆ่าคนแรกดึงกระบี่กลับทัน ส่วนอีกคนรับโชคไปเต็มๆน้ำแข็งเกาะกินกระบี่ที่มันถืออยู่ลุกลามมมาถึงข้อมืออย่างรวดเร็วมันผงะถอยหลังก้าวใหญ่ ‘’ บัดซบ ‘’ มันร้องลั่นก่อนจะหยิบมีดสั้นที่เน็บไว้ข้างเอวมาตัดแขนตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำแข็งลามไปส่วนสำคัญ

    ‘’ แก!! ‘’ เงาดำที่โดนน้ำแข็งกัดกินพูดออกมาอย่างกราวเกรี้ยว

    ‘’ นายทำได้อย่างไร ‘’ ประมุขสาวปิดปากเผลออุทานออกมา เพราะวิทยายุทธในคำภีร์ของแดนเหนือไม่มีท่วนท่าที่รุนแรงอันตรายขนาดนี้ นอกจากว่าจะเป็นวิทยายุทธลับฝ่ามือพรากวิญญาณที่ไม่มีผู้ใดฝึกสำเร็จเลย

    ‘’ จะฆ่าคนรับใช่อย่างผมหรอ กลัวจังเลยย

     

    *****************************************************************************************************

    *-*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×