ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนผึกทักษะผู้ใช้เทพอลเวง

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 มิติเวลาที่บิดเบือน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 364
      0
      24 ก.ค. 58

    ภายใต้จัตุรัสห้องโถนปากทางเข้าดันเจี้ยงที่ถูกประดับไปด้วยเพชรพลอยเรืองแสงมากมาย ภายในห้องถูกล้อมรอบไปด้วยประตูศิลาทรงสี่เหลี่ยมสามบาน คิลกวาดสายตาไปรอบๆพื้นที่อย่างพิจารณาก่อนลองเดินไปเคาะประตูศิลาบานแรกเบาๆเพื่อทดสอบความแข็งแรง

    ‘’ อ่าว นายเด็กใหม่นี่เองนึกว่าใครมายืนตะล่อมๆแถวนี้ ‘’ เสียงครูประจำชั้นดังมาจากด้านหลัง คิลสะดุ้งรีบลดมือที่เคาะประตูศิลาลงก่อนจะหันมาตอบแทบจะทันที ‘’ อ่าครับ พอดีผมคิดว่าพวกปีศาจมันจะไม่หลุดออกมาหรอ ในเมื่อความแข็งแรงของประตูก็ไม่ต่างกับหินทั่วไปเลย ‘’

    อาจารย์หนุ่มผยักหน้าเบาๆ ‘’ ใช่ เราเอาหินธรรมดาๆบนภูเขาหลังตึกห้ามาทำ แต่ว่า ‘’ เขาหยุดพูดก่อนจะงื้อหมัดขวาต่อยใส่ประตูศิลาบานที่สองอย่างแรง

    ตู้มมมม !! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงปะทะทำให้คิลเซถอยหลังจนติดกำแพง ฝุ่นควันลอยฟุ้งไปทั่วห้องจนเขาต้องดึงเสื้อขึ้นมาปกติจมูก เวลาผ่านสักพักฝุ่นควันค่อยๆจางลงภายที่ปรากฎให้เขาเห็นคืออาจารย์ประจำชั้นที่ยืนเก๊กกอดอกข้างๆประตูศิลาบานที่สองในสภาพไร้รอยขีดข่วน

    ‘’เป็นไง ‘’ เขาพูดวลีสั้นๆ

    ‘’ หินธรรมดาไม่น่าจะทนแรงโจมตีได้นี่นา หรือว่าครูใส่พลังบางเอาไว้ ‘’ คิลตั้งข้อสงสัย สีหน้าดูไม่ตกใจเท่าไหร่เพราะเขาคาดเดาที่นี่คงไม่เอาของธรรมดาๆมาทำเพื่อป้องกันพวกปีศาจหรือมอนเตอร์แน่นอนถ้าไม่เสริมอะไรเอาไว้การที่เขาถามอาจารน์ก่อนหน้าก็เพื่อความแน่ใจ

    ‘’ ฮ่าๆเธอนี่ดูสงบนิ่งดีนะ แต่เอาเถอะนี่คงได้เวลาที่ฉันต้องไปละ ‘’ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือสีเงินที่ทำจากสแตนเลสอย่างดีกว่าจะหายวับไปราวไปภูติพรายพร้อมกับทิ้งประโยคปริศนา ‘’ ถ้าอยากรู้คำตอบก็ลองค้นหาดูสิ ‘’

    คิลถอนหายใจเบาๆก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่วางอยู่ตรงทางเข้าขึ้นสะพาย จากนั้นเขาก็เดินดุ่มๆตรงไปที่ประตูศิลาบานแรก แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเพราะเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกจากด้านหลัง

    ‘’ นี่นายลืมของน่ะ ‘’ คิลหันไปยิ้มให้อีกผ่ายก่อนเดินไปหยิบของจากผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเธอก็ดุเขาเล็กน้อย ‘’ ของสำคัญขนาดนี้ยังลืมได้อีกนะ ‘’

    ‘’ ขอบคุณ ‘’ คิลกล่าวขอบคุณหญิงสาวก่อนจะหยิบคาตานะคู่กายมาเหน็บไว้ที่เอวเป็นเวลาเดียวกับที่ดาร์ดและอันเชนเดินเข้ามาพอดี

    ‘’ อ่าวนี่ยังไม่เข้าไปอีกหรอ หรือว่านายรอเพื่อนอยู่ ‘’ อันเชนถาม

    ‘’ เปล่าครับ เดี๋ยวผมก็ไปแล้ว ‘’ คิลตอบ ส่วนดาร์ดก็หันไปมองหญิงสาวที่คุยกับคิลเมื่อครู่ ‘’ ยัยหนู ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาเดินเล่นนะต่อให้เธออยู่คาส A ก็เถอะ ‘’

    ‘’ ไม่นึกว่าท่านดาร์ดผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นห่วงคนอื่นด้วย ‘’ น้ำเสียงใสๆดังขึ้นมาบริเวณที่คิลยืนอยู่ส่วนดาร์ดก็พูดโดยไม่หันหน้าไปหา ‘’ นี่ไม่ใช่เวลามาพูดแขวะกันหรอกนะรุ้ง ถ้าไม่รีบไปเก็บวิญญาณละก็แพ้พวกฉันไม่รู้ด้วยนะ ‘’

    รุ้งหัวเราะเบาๆ ‘’ หุหุ เริ่มก่อนก็ไม่สนุกสิ ฉันจะเริ่มต้นพร้อมพวกนายนี่แหละ ‘’ หญิงสาวยืนพิงกำแพงอย่างสบายๆตอบ ซึ่งตอนนี้เธออยู่ในชุดรัดรูปสีขาวสลับดำเป็นลายตาราง ส่วนล่างเป็นกางเกงขายาวสีไม่ต่างกับเสื้อนัก ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นมามัดอย่างหลวมๆเป็นทรงหางม้าเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้

    ‘’ เฮ้ รุ้งรอนานมั้ย ‘’ เสียงหวานๆดังขึ้นมาบริเวณทางเข้าพร้อมกับปรากฏร่างของลิขิตและมิกิเดินเข้ามา เธอเข็นรถเข็นที่บรรจุไปด้วยสัมภาระมากมายจนล้นรถเข็น ส่วนข้างหลังสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมกับอุปกรณ์แต่งหน้าล้วนๆ ส่วนมิกิก็ถือหนังสือนิยายบกหนาไว้อ่านเล่นเล่มหนึ่ง

    ลิขิตเข็นรถผ่านหน้าคิลช้าๆก่อนจะเบ้ปากใส่ ‘’ ยี๊ นึกว่าเหม็นอะไรที่แท้ก็เหม็นขี้หน้านายนี่เอง ‘’ เมื่อฝ่ายตรงข้ามหาเรื่องมีหรือว่าคนอย่างคิลจะยอม เขาพูดสวนกลับแทบจะทันที ‘’ โถๆๆ แม่คุณนี่เขามาทำภารกิจเก็บวิญญาณกันนะ ไม่ใช่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ ขนของนึกว่าย้ายบ้านยัยเฉิ่มหรือว่าเธอจะกลับไปอยู่ในถ่ำแบบมนุษย์หินก็ให้อยู่นะ ‘’

    ลิขิตไม่สนใจ เธอเข็นรถไปหารุ้งก่อนจะหันมาเร่งมิกิให้เดินไวๆ ‘’ นี่มิกิเดินไวๆหน่อยสิ เฮ้อชีวิตฉันทำไมมันเลวร้ายขนาดนี้นะ แทนที่จะไปเก็บวิญญาณสบายๆสักหน่อยกลับต้องมาเจอตัวทำให้อารมณ์เสียจนได้ ‘’ คิลได้ยินเข้าก็ก็สวนกลับมาทันที ‘’ ในชีวิตเธอมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าหน้าเธอด้วยหรอ ? ‘’

    ‘’ นี่นาย! ‘’ ลิขิตกัดฟันกรอดๆ

    ‘’ พอเลยทั้งคู่ ลิขิตเลิกต่อล้อต่อเถียงกับคิลได้แล้วคราวนี้เธอเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ส่วนคิลนายก็ยอมๆซะบ้าง ‘’ รุ้งกึ่งดึงกึงลากลิขิตเดินเข้าประตูศิลาบานที่หนึ่งไปพร้อมกับมิกิที่รับหน้าที่เข็นรถจำเป็นแทน

    ‘’ เหอะๆ เพิ่งรู้นะนี่ว่านายปากร้ายมาก ‘’ อันเชนหัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่สนทนากับคิลในตอนแรก ‘’ ส่วนเธอน่ะรีบๆไปเข้าคาสเรียนได้แล้ว ถ้าจำไม่ผิดวันนี้มีการทดสอบสำคัญของพวกคาส A อยู่ไม่ใช่หรอ ‘’

    เธอได้ยินเข้าก็รีบก้มมองนาฬิกาข้อมือทันที ‘’ ว้ายตายแล้ว เลยเวลาเข้าคาสตั้ง 10 นาที ‘’ พูดจบเธอก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    ‘’ เธอมาทำอะไรที่นี่กันนะ แต่เอาเถอะพวกรุ้งเริ่มเก็บวิญญาณกันแล้วพวกเราก็จะมัวชักช้าไม่ได้ ‘’ อันเชนพูดก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูศิลาบานที่สองกับดาร์ด ดูเหมือนทั้งคู่ค่อนค่างสนิทกันไวน่าดูเพราะพวกเขามีอะไรคล้ายๆกันหลายอย่าง

    ส่วนคิลเขาเลือกที่จะเข้าไปประตูศิลาบานที่สามเพราะคิดว่าตัวเต็งหลักๆที่เก็บวิญญาณเก่งๆเข้าไปบานแรกกับบานที่สองแล้ว ถ้าไปก็คงไม่พ้นโดนแย่งเก็บวิญญาณแน่นอน และคนที่ได้น้อยที่สุดต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อได้ข้อสรุปเขาก็เดินมุ่งตรงไปที่ประตูบานที่สามทันที่ ครืกกก! เสียงขอบประตูศิลาขูดกับแผ่นหินบนพื้นเบาๆก่อนจะเผยให้เห็นทางไกลๆสุดลูกหูลูกตา แสงสว่างจากคบเพลิงที่ประดับกำแพงทั้งสองด้านเป็นตัวชี้นำทางให้เขาเดินไปตามทางอย่างไม่มีติดขัด ในใจก็ลุ้นอย่างตื่นเต้นว่าปลายทางจะเจอพวกแบบไหนออกมาในขณะที่ทางออกก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ เขาเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่ง ด้วยเทคนิคการก้าวขาที่เลียนแบบมาจากหุ่นนักฆ่าทำให้เขาใช้เวลาไม่นานในการมาถึงทางออก

    ‘’ วี๊ววว ยะฮุ้  ‘’ เขาตะโกนออกมาอย่างผ่อนคล้ายเพราะต้องทนอึดอัดกับทางเดินแคบๆมาหลายชั่วโมง พร้อมกับกระโดดพุ่งออกไปเบื้องหน้าสายลมสดชื่นปะทะใบหน้าเขาเบาๆก่อนจะรู้สึกได้ว่าพื้นล่างไม่มีพื้นดินรองรับฝ่าเท้าของเขาอยู่

    ‘’ เหวออออ ‘’ คิลร้องเสียงหลงพร้อมกับร่างที่ตกลงไปเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วง แต่เมื่อตั้งสติให้ดีก็พบว่าข้างล่างเป็นทางน้ำหลากเขาจึงตัดสินใจถอดกระเป๋าเป้โยนออกไปด้านข้างทันที ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกลับหมุนตัวกลางอากาศเพื่อทรงตัว

    ตู้มมม!! เสียงน้ำสาดกระเซ็น พร้อมกับร่างไร้สติของคิลที่ใหลไปกับน้ำที่เชี่ยวกราด ร่างของเขาใหลมาตามน้ำที่เชี่ยวกราดเรื่อยๆจนมาหยุดที่ปลายน้ำแห่งหนึ่ง

    เป็นเวลาบ่ายของวันพอดี หญิงสาวผมสั้นดกดำ ผิวขาว หน้าตาหน้ารักในชุดเดรสสดใส หอบตะกร้าไม้สานที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเดินลัดมาตามป่าไม้เขียวขจี เสียงนกเสียงสัตว์ป่าร้องระงมไปทั่ว จุดมุ่งหมายของเธอคือน้ำเสื้อผ้ามาซักตามปกติทุกๆวัน แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ปกติสำหรับเธอเพราะปลายน้ำซึ่งควรจะมีแต่เม็ดหินเล็กๆกลับปรากฏร่างของชายปริศนานอนสลบอยู่

    ว๊ายยย! เธออุทานออกมาเสียงดังก่อนจะรีบทิ้งตะกร้าผ้าวิ่งไปหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอียงหูมาฟังเสียงลมหายใจของชายคนนั้น เมื่อพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที

    ‘’ ลูน่าเธอเป็นอะไร ฉันได้ยินเสียงเธอร้องลั่นเลย ‘’ ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นออกมาจากป่า ในมือถือคันธนูข้างหลังสะพายลูกศรไม้นับสิบ

    ‘’พี่เทริ มาช่วยลูน่าพาชายคนนี้กลับบ้านหน่อย ดูเหมือนเราจะปล่อยเขาไว้ที่นี่ไม่ได้แน่ ‘’

    ‘’ ตกลง ลูน่าช่วยถือกระบอกใส่ลูกธนูให้พี่หน่อย พี่แบกไม่ถนัด ‘’ พูดจบ เทริก็ถอดกระบอกลูกธนูให้ลูน่าถือก่อนจะเดินตรงมาหาชายหนุ่มที่นอนไร้สติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อุ้มชายคนนั้นแบกกลับบ้านทันที

    ภายในห้องนอนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีที่ถูกตกแต่งไปด้วยชั้นวางหนังสือ โต๊ะไม้สีน้ำตาอ่อนพร้อมเทียนไขสำหรับนั่งอ่านหนังสือตอนกลางคืน ผนังห้องมีนาฬิกาทรงโบราณประดับอย่างโดดเด่น นอกเหนือจากที่กล่าวมาคือร่างของคิลที่นอนกำลังงัวเงียบนเตียง ลุกขึ้นมานั่งมึนพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวเดินเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับอาหารถ้วยหนึ่ง

    ‘’ ฟื้นแล้วหรอ กินข้าวต้มนี่ก่อนสิ รู้สึกว่าระหว่างที่นายโดนกระแสน้ำพัดมาจะถูกก้อนหินในน้ำรวมถึงท่อนไม้กระแทกทำให้กล้ามเนื้อฉีกหลายแห่ง นายต้องพักฟื้นอีกสักสองสามวันถึงจะหายปกติ ‘’ หญิงสาวกล่าวก่อนจะวางข้าวต้มลงบนโต๊ะ

    ‘’ นี่ที่ที่ไหนกัน ไม่ใช่ดินแดนแห่งความตายหรอ ‘’ คิลถามอย่างสงสัย

    หญิงสาวหันมายิ้มให้เขาก่อนจะตอบ ‘’ ที่นี่คือนครแห่งชีวิตต่างหาก ดินแห่งที่มีชื่อไม่เป็นมงคลแบบนั้นไม่เคบไม่ยินเลยนะ ‘’ หญิงสาวพูดจบก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี ‘’ อ่าวฟื้นแล้วหรอ นายนี่หลับไปหลายวันเลยนะ อยากกินเนื้อมั้ยในโกดังมีเนื้อกวางที่ล่ามาได้เหลืออยู่น่ะ อ้อฉันเทริส่วนน้องสาวฉันชื่อลูน่า ‘’

    ‘’ ครับ ผมชื่อคิลขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ ‘’

    ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

    ทางด้านของพวกลิขิต ก่อนหน้านั้น 2 วัน

    ‘’ ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนแห่งความตายนี่ ‘’ ลิขิตกวาดสาบตามองไปรอบๆบริเวณที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ ถึงประตูศิลาแต่ละบานพามาถึงดินแดนแห่งความตายเหมือนกันแต่จะเชื่อมโยงสถานที่ไม่เหมือนกัน ถ้าประตูบานที่สามของคิลคือเชื่อนโยงกับป่าใหญ่ ประตูบานแรกของพวกลิขิตก็เชื่อมโยงไปที่ตัวเมืองหลวงนั่นเอง

    ‘’ เดี๋ยวฉันลองไปถามชาวเมืองดูนะ ‘’ มิกิพูดก่อนจะเดินตรงไปสนทนากับชายคนหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาด้วยใบหน้าถอดสี ‘’ ที่นี่คือนครแห่งชีวิตเมื่อ 1000 ปีก่อนจะถูกแปรสภาพเป็นดินแดนแห่งความตายในภายหลัง ‘’ คำพูดของมิกิทำให้ลิขิตกับรุ้งตกใจไม่น้อย

    ‘’ รอยต่อระหว่างมิติมันสามารถบิดเบือนเวลาได้ด้วยหรอ ฉันต้องรีบกลับไปแจ้งให้ที่โรงเรียนมราบแล้วล่ะ ‘’ ลิขิตวิ่งกลับไปทางที่เข้ามาแต่ทว่ามันกลับหายไปแล้วราวกลับไม่มีตัวตนแต่แรก เธอทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆน้ำตาเคลอ

    ‘’ เธออย่ากังวลไปเลย มีพวกฉันซะอย่างยังไงมันก็ต้องหาวิธีกลับไปได้อยู่แล้ว ที่สำคัญนักเรียนคนอื่นๆก็ต้องเผชิญเหมือนกับเราแน่ อันดับแรกเราต้องตามหาพวกคนอื่นๆก่อน ‘’ รุ้งพูด มิกิผยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเห็นด้วยก่อนจะพยุงลิขิตลุกขึ้น

    ‘’ ถ้าเป็นกรณีที่เราอยู่ยุคเดียวกันก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นกรณีที่เลวร้ายสุด คือกรณีที่เราหลงยุคหลงเวลายังไงก็ไม่มีวันหากันเจอน่ชาตินี้ ‘’ มิกิถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ ‘’ หวังว่ามันคงจะไม่มีนะ เพราะสถิติที่เคยอ่านมามีไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำและสุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างปลอดภัยแต่เสียเวลาตามหากันอยู่นานเลย ‘’

    ‘’ หวังว่าพวกเราคงไม่ใช่ 2% นั่นนะ ‘’ ลิขิตพูด รุ้งยิ้มยิงฟันใส่ก่อนจะพูดอย่างอารมณ์ดี ‘’ กรณีที่มิกิบอกคือกรณีที่เว้นเวลาเดินทางเข้าช่องว่างระหว่างมิติต่างหาก อย่างน้อยก็สัก 3 วันนะ ตอนนี้เป็นเวลาที่เราเดินทางไล่เลี่ยงกันอย่างไรมันก็ต้องอยู่ยุคนี้อยู่ดี แค่ตามหากันให้เจจอก็พอ ‘’

    ลิขิตถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘’ ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย ก่อนอื่นตอนนี้ฉันหิวแล้วอ่ะ ‘’

    ‘’ คุ้ยรถเข็นของเธอสิ เธอได้ใส่เสบียงมาด้วยหรือเปล่า ‘’ รุ้งถาม ทำให้ลิขิตหันมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนสาวของเธอ ‘’ เอ่อ ลืมใส่เอามาน่ะ ‘’

    ‘’ ว่าไงนะ ‘’ มิกิตาโต ‘’ อย่าบอกนะว่าเธอใส่ข้าวของอำนวยความสะดวกทุกอย่างยกเว้นเสบียงมาน่ะ ‘’

    ‘’ ก็คือตอนนั้นมัวแต่คิดเรื่องอื่นเพลินๆเลยลืมไปซะสนิท ‘’ ลิขิตก้มหน้าสำนึกผิด

    รุ้งถอนหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด ‘’ ถ้าไม่ได้กินอะไรไม่พ้นคืนนี้เราตายแน่ ‘’

    ‘’ คนเราอดน้ำได้ 3 วันอดข้าวได้ 1 อาทิตย์นะ ‘’ มิกิแย้ง

    ‘’ ไม่กินวันแรกสำหรับฉันก็ตายทั้งเป็นแล้วแหละ ‘’ รุ้งพูด

    ‘’ แง้ๆฉันยังไม่อยากตาย ‘’

    โคร้กกกก ! เสียงท้องของสามสาวดังออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้เด็กน้อยอายุราวๆ 8 ขวบหันมามอง เด็กคนนั้นโบกมือให้เพื่อนตนเองสักพักหนึ่งก็วิ่งมาหาลิขิตพร้อมกับซาลาเปา 4 ลูก

    ‘’ พี่สาวท่าทางจะหิว ผมให้พี่สาวหมดเลย ‘’ เด็กคนนั้นพูดจบก็วิ่งกลับไปหาเพื่อนอย่างรวดเร็วจนลิขิตไม่ทันได้ขอบคุณด้วยซ้ำ

    ‘’ ก่อนอื่นพวกเราก็ทำงานหาเงินกันก่อนถ้าไม่อยากอดตาย เพราะสกุลเงินที่นี่ไม่เหมือนของที่พวกเราใช้ ‘’ มิกิพูด ส่วนรุ้งก็พยักหน้าเห็นด้วย ‘’ ใช่ ว่าแต่เราจะทำอะไรกันดี ‘’

    ‘’ ขายของ ‘’ มิกิพูด

    ‘’ ขายอะไร ‘’ รุ้งถาม มิกิไม่ตอบเธอชี้นิ้วไปที่รถเข็นของลิขิต

    ลิขิตตาโตก่อนจะวิ่งไปกอดรถเข็น ‘’ ไม่เอานะ นี่มีแต่เสื้อผ้าสวยๆของฉันทั้งนั้น ‘’ มิกิยิ้มเบาๆก่อนจะเดินไปหาลิขิต ‘’ ไว้กลับจากที่นี่ได้เดี๋ยวฉันพาไปซื้อชุดตัวนั้นที่เธออย่างได้ให้นะ ‘’

    ‘’ จริงหรอ ‘’

    ‘’ จริงสิ ‘’

    ‘’ งั้นก็ได้ ‘’

    ……………………………………………………………………………………………………………………….

    หลังจาก 3 วันนับตั้งแต่พวกคิลไปถล่มดันเจี้ยง

    หน้าประตูศิลามีไรท์กับต้ายืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ สีหน้าทั้งสองดูดีขึ้นเยอะหลังจากหายจากอาการตาบวม ต้าอยู่ในชุดรัดรูปสีดำเพื่อความคล่องตัว ส่วนไรท์อยู่ในชุดคลุมสีฟ้าครามสง่า

    ‘’ ฉันบานแรกนายบานสาม ‘’ ต้าพูดกับไรท์

    ‘’ ตกลงว่าแต่นายไม่ไปกับผมจริงๆหรอ ‘’ ไรท์ถามด้วยความเป็นห่วง ต้าส่ายศีรษะ ‘’ นับตั้งแต่รู้จักกับนาย ฉันก็ซวยๆๆมาตลอดแยกๆกันแหละดีแล้ว ‘’

    ‘’ ตกลงไว้เจอกันในดันเจียง ‘’ ไรท์พูดจบก่อนจะเดินเข้าประตูไป ส่วนต้าก็เข้าไปอีกบานทันที

    แสงสว่างวูบวาบกระพริบอย่างต่อเนื่องก่อนที่ไรท์จะปรากฏตัวท่ามกลางหิมะตกหนัก ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่เขาก็ไม่ลดความประมาทลงแม้แต่มิลเดียว ด้วยประสาทสัมผัสระดับคาส SSพิเศษ ทำให้เขาได้ยินเสียงกลุ่มคนเดินทางอยู่ไกลๆห่างจากบริเวณที่เขายืนอยู่เกือบ 1 กิโลเมตร

    ‘’ ท่านประมุขครับ ท่านโปรดใจเย็นๆก่อนถึงแม้นว่าเจ้าผู้บุกรุกจะมีฝีมือสูงส่งเพียงใด แต่มันมิมีทางหนีฝ่าพายุหิมะขนาดนี้ไปได้หรอก ‘’ ชายคนหนึ่งพูด

    ‘’ เจ้าอย่าได้ลืม เจ้านั้นมันฉกฉวยเอาผ้าคลุมไอสวรรค์สมบัติล้ำค่าของพรรคเราไป ถ้ามันใส่หนีไปจริงๆย่อมทำได้เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่ให้มีคลื่นหิมะถล่มก็มิอาจหยุดเจ้านั่นได้ ‘’ เสียงหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าประมุขดังขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด

    ‘’ แต่อย่างไรก็ดีท่านควรจะพักรักษาตัวอยู่ที่วังมิดีกว่าหรือ มิฉะนั้นอาการธาตุน้ำแข็งเข้าแทรกมันจะแสดงออกหนักขึ้นนะครับ ‘’ คนรับใช้คนนั้นกล่าวด้วยความเป็นห่วง แต่หญิงสาวกลับดื้อดึงก่อนจะออกเดินด้วยความเร็วสุดฝีเท้า

    ‘’ โอ้ย!! ‘’ หญิงสาวผู้เป็นประมุขล้มลงใบหน้าซีดเซียวก่อนจะพยายามดันตัวเองลุกขึ้น

    ‘’ ท่านประมุข ‘’ เหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างตกใจก่อนจะกรู่เข้ามาผยุง

    ‘’ ขอโทษนะครับ ผู้หญิงคนนั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างด่วนมิฉะนั้นเธอตายแน่ ‘’ ชายในชุดคลุมสีครามเดินตรงเข้ามาหาประมุขสาว ซึ่งเหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างพร้อมใจกันชักอาวุธออกมา

    ‘’ เจ้าคนแปลกหน้า ถ้าแกเข้ามาใกล้กว่านี้พวกข้าฆ่าเจ้าแน่ ‘’ คนรับใช้คนหนึ่งตะโกนใส่หน้าชายในชุดคลุมสีคราม แต่ต้องชะงักลงเพราะประมุขสาวห้ามปราม ‘’ อย่าได้ลงมือกับชายผู้นี้มิฉะนั้นคนที่จะตายจะเป็นพวกเจ้าเอง ฉันรู้สึกถึงพลังธาตุน้ำแข็งอันมหาศาลในตัวเขาได้ แสดงว่าเขาต้องเป็นคนสำคัญสักคนในพรรคเราอย่างมิต้องสงสัย ‘’

    คำพูดของเธอทำให้เหล่าบรรดาคนรับใช้หน้าตื่นรีบวางอาวุธลงก่อนจะคารวะทันที ‘’ ขออภัยในความไร้มารยาทของกระผมด้วยคุณชาย..เอ่อ ‘’

    ‘’ ไรท์ ! เรียกผมว่าไรท์ ‘’

    ……………………………………………………………………………………………………………………

    ทางด้านของต้า

    ต้าปรากฏตัวในป่าแห่งหนึ่งซึ่งบริเวณที่เขายืนอยู่เป็นที่โล่งพอดี ระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆอย่างงงๆเพราะพื้นที่แห่งความตายดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนค่อนค่างเยอะก็มีชายในชุดจอมยุทธถือกระบี่ชี้มาทางเขาพอดี

    ‘’ เฉียวชิงเจ้าฆ่าพ่อข้า ข้าจะฆ่าเจ้าวันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า! ‘’

    ‘’ หะ ‘’

     

     

    พี่ชาย/พี่สาวฉันมีข่าวดีนะ ฉันซื้อคอมใหม่แต่ข่าวร้ายฉันก็คือนิยายก็ฉันแต่งไว้เครื่องหลักมันไม่ยอมตามมาด้วยน่ะ ที่ดองไม่ได้ติดเกมจริงจริ๊งงง แต่ฉันจะไม่ดองอีกแล้วนะสัญญา -0- รู้สึกผิดแรงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×