ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ESP Online

    ลำดับตอนที่ #13 : Client:12 พบกันอีกครั้ง (ตรวจสอบ100%)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 57


    ตอนที่ 12

                กลุ่มฝุ่นควันที่เกิดจากการสาดกระสุนอย่างรัวแบบไม่นับเม็ดได้เริ่มจางหายไป    ปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวดูสูงเพรียวผู้มีผมสีน้ำตาลแดงและสวมชุดคล้ายกับกี่เผ้าสไตล์จีนสีฟ้าสดใสยืนอยู่ตรงหน้านันทกร

                “......”

                “ดูสิเนื้อตัวมอมแมมไปหมดเลย”

                หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนเช็ดใบหน้าให้กับเด็กชายที่นั่งเข่าอ่อนอยู่ตรงนั้นก่อนที่เขาจะเริ่มเอ่ยอะไรออกมา

                “พะ พี่ภัทร”

                ไม่ใช่เพียงนันทกรเท่านั้นที่แปลกใจถึงการมาเยือนของจิราภัทรแบบไม่ได้บอกกล่าวทั้งศิลา นฤนาถและคนอื่นๆก็ต่างอึ้งไปตามกัน

                “พี่มานี่ได้ไงอ่ะ”

                “ถามแปลกก็ตามพวกเอ็งมาอ่าดิ ไม่ใช่ฉันคนเดียวนะคนอื่นๆก็อยู่ที่นี่ด้วย”

                จิราภัทรหันไปมองที่ด้านหลังพุ่มไม้ดอกสีขาว   ไม่นานนักก็มีผู้เล่นอีกสามถึงสี่คนเดินตามมาซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน เป็นพวกหทัยจากทีมช่วยเหลือนี่เอง

                “แสดงว่าพวกเราต้องขึ้นไปปิดเกมบนเกาะลอยฟ้านั่นงั้นหรอ หรือมีอีกทางคือตามหาเบาะแสฆาตกรของเร็น”

                “ใช่ครับ ผมเองขนาดเป็นน้องชายยังไม่ทราบเลยว่าพี่ชายตายเพราะสาเหตุอะไรเหมือนกัน”

                หลังจากที่เอ็นอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกับทั้งสองฝ่ายเป็นอันเรียบร้อยแล้วจะถึงตาพี่น้องได้เคลียร์เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นบ้าง

                “ภัทรเก่งจังเลย ยิงกระสุนทีเดียวพวกมอนสเตอร์ก็หายไปหมดแล้ว”

                “ดูเลเวลสิยะ จะ91อยู่แล้วยังไม่ได้ไปเปลี่ยนอาชีพเลย”

                “ขี้โกงอ่ะ แอบไปเก็บเลเวลก่อนเฉยเลย”

    นฤนาภบ่นงอแงที่เพื่อนๆของเธอได้เลเวลนำหน้าไปก่อนแล้วจนถึงขั้นจะเปลี่ยนอาชีพเลยด้วยซ้ำ

    “ไม่เท่าสองคนนู้นหรอก”

    จิราภัทรชี้ไปที่หทัยและนริศาที่ดูเหมือนจะมีอุปกรณ์และอะไรแปลกๆเพิ่มมาเยอะขึ้นจนแปลกตาไปเลย เมื่อนฤนาถเห็นแส้ทีอยู่ข้างเอวและขนาดของบูมเมอแรงที่ขนาดใหญ่ขึ้นของหทัยก็รู้ได้ทันทีว่าพี่สาวของเธอได้แซงหน้าไปเปลี่ยนอาชีพมาก่อนแล้วพร้อมกับนริศา

    “ขี้โกง!  พาเราเวลมั่งสิ”

    “ให้จบเรื่องนี้ก่อนนะ เพราะไม่รู้ว่าจะได้เล่นมันต่อหรือเปล่า”

    จากนั้นหทัยจริงเดินไปคุยข้างๆนันทกรที่ยืนอยู่กับนฤนาถถึงจำนวนไอเท็มที่หายไปของจิราภัทรว่าทั้งสองคนมีส่วนรู้เห็นอะไรหรือเปล่า

    “ผมแค่ยืมไปเปลี่ยนเป็นเงินเองอ่า”

    “ตายซะเถอะไอน้อง!”

    จิราภัทรเข้าไปล็อคคอน้องชายไว้แน่น นันทกรจึงวิ่งไปหลบหลังศรศิลป์เพื่อให้เขามารับเคราะห์แทนซึ่งเขาเองก็ยินดีให้มาลงที่เขาแทนนันทกร
     



                “แบบนี้น่าเบื่อเลยอ่ะ”


    “สองคนนั้นเขาเป็นเกี่ยวข้องอะไรกันหรือครับพี่หทัย?”

    ศิลาจึงเข้ามาอธิบายถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนให้กับเอ็นผู้เข้าร่วมทีมตัวน้อยได้ฟังว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร   
      

                 ซึ่งทุกคนก็มองตามสภาพความเป็นจริงแล้วว่านิสัยและอารมณ์อย่างจิราภัทรนั้นเหมาะสมและสมควรอย่างยิ่งที่จะส่งต่อให้ศรศิลป์เป็นคนดูแลในอนาคต :ซึ่งนันทกรเองก็ไม่ได้ค้านอะไรแต่อย่างใด

                “งั้นพวกเรากลับไปพักที่ห้องกันก่อนดีกว่านะ พวกฉันอยู่ชั้นสาม พวกนายอยู่ชั้นสี่มีอะไรก็ลงมาหาได้ถ้าได้ความคืบหน้าอย่างไรจะติดต่อไป  แยกย้ายได้!

                ด้วยเหตุนี้จึงมีการสลับที่นอนกันใหม่ดังนี้  

                            

    ห้อง

    คู่

    301

    นันทกร : ศรัญ

    302

    หทัย : นฤนาถ

    303

    จิราภัทร : นริศา

    401

    นที : ศิลา

    402(ห้องใหญ่)

    ศรศิลป์ : นพดล : เอ็น

     

                เมื่อทั้งสิบเอ็ดคนแยกย้ายกันไปพักตามอัธยาศัยแล้วนั้นหทัยได้ถามไถ่ถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เธอและจิราภัทรไม่ได้เข้าร่วมเนื่องจากภารกิจสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัย

                “เบาะแสมีเพียงอย่างเดียวคือฆาตกรมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมนี้และยังอยู่ในเกม”

                นฤนาถบอกเบาะแสเพียงอย่างเดียวที่เอ็นทิ้งไว้ให้หลายคนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดีเพราะเบาะแสที่มีมันน้อยเกินไปที่จะออกตามหา

                “แกจะหาตัวคนร้ายหรอ?

                “เอาจริงๆก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าใครเป็นคนร้ายอ่ะ”

                แต่บทสนทนาของสองพี่น้องก็ต้องถูกขัดจังหวะเพราะเพื่อนชายที่กำลังเดินมาหา นพดลอยากคุยเรื่องส่วนตัวและหลายอย่างกับนฤนาถมากกว่าด้วยการส่งสัญญาณให้หทัยเป็นนัยว่าช่วยหลบไปก่อน

                หทัยที่ไม่มีอะไรทำในตอนนี้จึงคิดจะไปวางแผนที่จะพิชิตเกาะลอยฟ้าไปถึงชั้นบนสุดได้โดยไร้รอยขีดข่วนโดยขอคำปรึกษาจากจิราภัทร นริศาและเอ็น

                “หากต้องการแบบนั้นพวกเราเองต้องมีทักษะและเลเวลที่สูงขึ้น”

                คำแนะนำของเอ็นบอกหนทางที่จะพิชิตเกาะลอยฟ้าคือการเก็บเลเวลเท่านั้น ถึงแม้ว่าเลเวลที่สูงขึ้นจะทำให้ต้องเก็บค่าประสบการณ์มากขึ้นไปอีกแต่ก็มีอยู่หลายหนทางที่จะเพิ่มค่าประสบการณ์โดยไม่ต้องไปสู้กับมอนสเตอร์คือ ปลูกผัก ตกปลาและทำอาหาร

                “อย่างพวกฉันก็พอทำอาหารได้หรอกนะ ขาดก็แต่วัตถุดิบ”

                “ก็ให้พวกที่ทำอาหารไม่ได้ไปตกปลาและปลูกผักแทนไง”

                นริศาเสนอแนะให้พวกที่มีอาชีพเย็บปักถักร้อยอย่างพวกเธอไปปลูกผักแทนเพราะมันจะง่ายกว่าที่จะต้องไปคลุกฝุ่นลุยกับมอนสเตอร์ที่ถูกควบคุมจากเร็นทำให้พวกมันฉลาดกว่าเดิม

                “ต้องเอาความเห็นนี้ไปถามกับทุกคนดู”

                เมื่อนำความคิดเห็นดังกล่าวไปปรึกษากับสมาชิกในปาร์ตี้แล้วก็มีความเห็นพ้องตรงกันว่าเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดแล้ว

                ทีมถูกแบ่งออกเป็นสามทีมใหญ่ๆคือ ทีมวัตถุดิบ ทีมผลิตและทีมช่วยเหลือผู้เล่นที่ก้าวผ่านคลาสสุดท้ายมาแล้วไม่มีปัญหาที่จะกังวลในพลังของตัวเองเพราะว่าคงสูงพอที่จะปราบลูกน้องบอสได้ง่ายๆ ข้อกำหนดอยู่ที่เลเวล91ที่ทุกคนนอกเหนือจาก หทัย นริศา เอ็นและจิราภัทร  ซึ่งนพดลก็มีเลเวลที่ใกล้เคียงเพียงพอแล้ว

                “คิดว่าจะใช้เวลากี่วันจริงที่จะสามารถไปพิชิตเกาะได้?

                “คาดว่าน่าจะสามวันจริงและหกวันในเกมนะ”

                หทัยตอบกลับคำถามของนทีถึงการคาดเดาวันเวลาที่ต้องใช้และหมดไปกับเรื่องเบื่อหน่ายอย่างการเก็บเลเวลจากการปลูกผัก

                “ดีหน่อยที่ฉันได้ตกปลา”

                ศิลาล้อนทีที่จับได้ไม้สั้นกับศรัญและนพดลทำให้ทั้งสามคนต้องไปปลูกผักแทน  ส่วนศิลาและนันทกรก็ไปตกปลาโดยปล่อยให้นฤนาถและศรศิลป์นั่งทำชาและน้ำผลไม้ไปเรื่อยๆ

                “ข้าวเย็นวันนี้จะทำบาร์บีคิวนะ”

                “เย้!!

                เสียงซ้อนประสานของทั้งหกคนเอ่ยดีใจอย่างมากนับจากวันที่พวกเขาติดอยู่ในนี้ นี่ก็เป็นวันแรกที่พวกเขาจะได้ทานของอร่อยแบบไม่เสียเงินซักที  โดยปล่อยให้หทัยงงไปกับความดีใจที่ดูออกจะเวอร์ไปก็ตามที

                “สงสัยจะคิดถึงรสมือคุณแม่กันละมั้ง?

                “คิดว่านะ”

                จิราภัทรที่ออกความเห็นอย่างกำกวมก็จากไปพร้อมกับตะกร้าใบชาในมือ ชวนให้หทัยสงสัยจริงๆว่าตกลงแล้วนั้นความสัมพันธ์ระหว่างศรศิลป์และจิราภัทรไปถึงไหนแล้วกันแน่เพราะหลังจากเจอกับทุกคนจิราภัทรก็เดินตามศรศิลป์อยู่ตลอดเวลาแทนที่จะไปตามนันทกรน้องชายตัวเอง

                จากข้อสงสัยที่มีอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะสิบหาเบาะแสความรักของเพื่อนสนิทตนเองด้วยการสอบถามเหล่าผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่หทัยไม่รู้โดยเริ่มจากนันทกรน้องชายของจิราภัทร

                “ผมไม่รู้หรอกเห็นเดินตามอย่างนี้มาสองวันละ”

                “ลองไปถามพี่นริศาดูสิครับ”

                เยี่ยมมากไม่ว่าเรื่องอะไรคนที่จะรู้ก่อนคนอื่นเสมอก็คือนริศานั่นเอง เมื่อเข้าไปที่ห้องดูเมื่อจะขัดจังหวะอะไรหรือเปล่านะเพราะมันดูบรรยากาศแปลกไปเหลือเกินพอถามไถ่ไปมาก็พบว่านริศากับนทีนั้นรู้จักกันมาก่อนหน้านี้เพราะเธอเป็นคู่หมั้นกันตามที่ฝ่ายพ่อแม่ได้ตกลงไว้
     

                “แรกๆอ่ะเกลียดมากเลยล่ะค่ะ”

                “อ่าวไหงพูดงี้ละ”

                “แต่ตอนนี้ก็พอจะชอบบ้างแล้วล่ะ เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน”

                “จ้าๆ จะถามเรื่องของจิราภัทรมากกว่า”

                คำถามนี้ทำให้ทั้งสองคนถึงกับอึ้งไปชั่วขณะก่อนนทีจะแนะนำให้หทัยไปลองถามศิลาชายผู้อยู่ในเหตุการณ์อันแสนประหลาดระหว่างสองคนนั้นดูเพราะเขาน่าจะยอมบอกแน่นอน

                “ถ้าเป็นแกไปถาม ข้าว่ามันบอกแน่”

                “ทำไมล่ะ?

                เอาน่า”

                ถึงแม้จะติดใจอยู่ไม่น้อยกับคำพูดของนทีที่บอกว่าถ้าเธอลองไปถามศิลาเขาจะต้องยอมบอกแน่นอนนั้นมันหมายความว่าไงหรือว่าศิลาจะสนิทกับเรามากกว่าไอคุณนทีอีก

                ขณะที่เดินตามหาศิลาอยู่แถวๆริมน้ำก็พบว่าเขามานั่งตกปลาอยู่ที่ท่าสองคนกับนันทกรอย่างสบายใจทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอได้ถามนันทกรแล้วแต่ไม่ได้มีโอกาสถามศิลาเลยซักครั้ง

                “ศิลา?

                “หือหะ หทัย!?

                ศิลาถึงกับหงายหลังลงท่าน้ำไปทันทีเพราะความตกใจ ตัวของเขาเปียกปอนไปหมดเพราะท่าน้ำค่อยข้างจะลึกอยู่พอตัว

                “โทษที ทำให้ตกใจหรอ?

                “ไม่ใช่ความผิดหทัยหรอก พอดีคิดอะไรเพลินๆน่ะ”

                “ว่าแต่พี่วามาทำอะไรหรอครับ”

                นันทกรเอ่ยย้ำจุดประสงค์ของหทัยว่าที่จริงแล้วเธอตามหาศิลาเพราะอะไรกันแน่

                “จะมาถามเรื่องของศรศิลป์น่ะว่าไปทำอีท่าไหนจิราภัทรถึงได้เดินตามติดขนาดนั้น”

                “เรื่องนี้นี่เอง

                “ช่วยไม่ได้นะถึงจะถูกห้ามไม่ให้บอกก็ตาม….ตามมาสิไปคุยตรงนู้นกัน”

                ศิลาชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่สูงที่อยู่บนเนินหญ้าสีเขียวขจี  ข้างๆรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาชนิดแต่พวกเราก็เลือกที่จะไม่นั่งทับดอกไม้เช่นกัน ที่ศิลาบอกให้มาตรงนี้คงเป็นเพราะไม่อยากให้นันทกรได้ยินก็ได้มั้ง

                “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น”

                “ในวันนั้นหลังจากที่พวกเราได้มารวมตัวกันแล้ว”

    ........................................................................

    ติดตามตอนต่อไป>>>>>

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×