ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เพื่อเธอตลอดไป yaoi [SJ]

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF].....เพื่อเธอตลอดไป.....(วอนซิน)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 50


    เรื่องนี้เป็นชอร์ทฟิกที่บอกว่าเราช๊อบชอบบบบบ...อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้างบอกกันด้วยนะคะ....

    หมายเหตุ** อ่านไปฟังเพลงไปได้อารมณ์ที่สุดในโลกกกก 555

           [url]http://www.doo-dd.com/music/play.php?id=2645[/url]  หาโค้ดเพลงไม่ได้

    กรุณาคลิกไปฟังเพลงด้วยจ้า...ขอร้องเลยย

    .......ลมกรรโชกแรงราวกับสวรรค์กำลังเกรี้ยวกราด... ท้องฟ้ามืดมิดเป็นสีดำสนิทปกคลุมไปทั่วแคว้น....สายฝนที่กระหน่ำลงมาราวกับว่า วันนี้คือวันสิ้นโลก.......น้ำสีแดงที่หลั่งฉานมาจากร่างกายของมนุษย์ที่ระเนระนาดอยู่ทั่วผืนดินสีน้ำตาล....มีดดาบสีเงินวาวหลายหมื่นเล่มทุกปักอยู่คาอวัยวะสำคัญของใครหลายคน.....อาวุธที่ดูสวยงาม แต่กลับเต็มไปด้วยอันตราย.....มันเกิดขึ้นมาเพื่อฟาดฟัน....มันเกิดขึ้นมาเพื่อสร้างความวุ่นวายบนพื้นพิภพ...และบัดนี้...ความคมแหลมของมันก็ได้ไปคาอยู่ที่หัวใจของคนที่สำคัญที่สุดของแผ่นดินเสียแล้ว.....





    ......องค์จักรพรรดิ.........




    การต่อสู้ที่ยาวนานคงจบลงแล้วสินะ.....จบลงเสียที...เกมส์การคร่าชีวิตของใครหลายคน....ที่ไม่เพียงชนชั้นล่าง...ชนชั้นสูง...ก็ต้องจบลงด้วยปลายดาบจากสงครามเช่นเดียวกัน......

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่วแคว้น.....หญิงสาวชาวบ้านหลายคนถึงกับลมจับเมื่อทราบข่าวว่าบุคคลอันเป็นที่รักต้องถูกพรากจากไป.....เสมือนหนึ่งร่มไทรของบ้านถูกโค่นเช่นนั้น...บางคนที่ทนไม่ได้ถึงกับปลิดชีพของตัวเองตามคนที่รักไป......สงคราม....มันช่างเป็นสิ่งที่โหดร้ายเสียนี่กระไร....

    และสิ่งที่ทำให้ทุกคนในแคว้นต้องรินหลั่งน้ำตาออกมาราวกับฟ้าร้องไห้...คงหนีไม่พ้นข่าวการสวรรคตของจักรพรรดิอันเป็นที่รักของทุกคน...คิมอึนเมียว......

    "....พระองค์ท่าน...เสวยพระกระยาหารเสียหน่อยสิขอรับ....พระองค์ท่านยังไม่ได้เสวยอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะขอรับ..." เสียงปลอบประโลมที่ดูแสนจะเป็นห่วงดังขึ้นข้างหูชายหนุ่มร่างสูงที่บัดนี้นั่งปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเองอยู่ที่ตำหนักริมน้ำ....ตากลมโตบวมแดงมองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา...ราวกับว่ากำลังสื่อสารกับใครที่อยู่ไกลแสนไกล....สายลมที่พัดบางเบาโบกพลิ้วผมยาวให้ระไล้ไปตามใบหน้าอันงามงดราวกับอิสตรี...ขนตางอนยาวไม่ไหวติงราวกับไม่ได้ใส่ใจโลกรอบตัวเองเลยแม้สักนิด....


    "....." ความเงียบคงจะเป็นคำตอบที่ชายหนุ่มในชุดสีดำดูเป็นทางการได้รับ....เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเอื้อมมือไปแตะคนข้างหน้าที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่า....เขาได้แต่ยืนรอคำตอบที่ไม่น่าจะได้รับอยู่เช่นนั้น....ก่อนจะมีมือใหญ่มากุมบ่าเค้าอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว


    "ไปเถอะ....เดี๋ยวฉันจัดการเอง...." ชายหนุ่มรูปงามในชุดสีดำยาวลักษณะคล้ายทักซิโด้....ผ้ากำมะหยี่เนื้อดี...และ เชือกมันสีทองที่ผูกเป็นโบว์สวยสง่าอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง....กระดุมทองฝังเพชรที่ประดับอยู่ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าสูงทั้งสิ้น...บอกให้รู้ถึงบรรดาศักดิ์ที่คงจะสูงกว่าทหารทั่วไป...ขาเรียวในกางเกงสแล็กดำยาวเข้ากับชุดได้เป็นอย่างดี....ชายหนุ่มบีบไหล่ผู้ที่ยืนอึ้งอยู่ในเชิงว่าให้เป็นหน้าที่ของเขาเองจะดีเสียกว่า....ชายหนุ่มผู้มียศต่ำกว่าในตอนแรกก็อ้ำอึ้ง ราวกับว่ากำลังจะให้คนที่สูงกว่ามาทำหน้าที่ของเขา...แต่ชายคนนั้นก็พยักหน้าอีกครั้งเหมือนเป็นคำสั่ง....คนรับฟังก็ได้แต่พยักหน้าก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินจากไป.....


    "....."

    "......"

    ความเงียบยังคงไม่สลายจากบรรยากาศรอบด้าน....ชายหนุ่มชุดดำผู้มาใหม่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆคนที่กำลังสร้างโลกส่วนตัวที่แสนจะเศร้าให้ตัวเอง......คนที่นั่งเหม่อเหลือบสายตามองนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่ามีคนรุกรานพื้นที่ส่วนตัวของเค้า......และเมื่อเห็นว่าใครมา....หน้าสวยก็เบนสายตากลับไปที่ไกลแสนไกลเช่นเดิม.....


    แต่หาก...สายตาเบนไปไกล...ศรีษะกลับเอนพิงไหล่คนข้างกายอย่างหมดอาลัยตายอยาก และ ไร้เรี่ยวแรง.....

    "....."ชายหนุ่มในชุดดำไม่ได้มีคำพูดปลอบประโลมใจ หรือชวนไปกินข้าว...เค้าเพียงแค่นั่ง....และคว้ามือเรียวมากุมไว้ บีบน้อยๆเป็นการปลอบใจเท่านั้น....หากแต่นี่ก็เป็นสิ่งที่คนข้างๆเค้าต้องการที่สุด เท่านั้นเอง...




    "ทำไมเพิ่งมา....รู้มั้ยว่าข้ารอเจ้านานแค่ไหน...ซีวอน" เสียงแหบพร่าพูดเบาราวกับเป็นเพียงสายลมบางเบาที่ไล้หูไปเท่านั้น....แต่ถ้อยคำทุกคนของคนตรงหน้านี้ ไม่มีวันที่เค้าจะไม่ได้ยิน..แม้กระทั่งเสียงหัวใจ...ที่ตอนนี้มันบอบช้ำเสียเหลือเกินเมื่อต้องเสียบิดาอันเป็นที่รักไป.....


    "กระหม่อมฯขอพระราชทานอภัยฯพระเจ้าค่ะ....กระหม่อมฯไปจัดการเรื่องกับฝ่ายทางกระโน้นมา...ผลของการยุทธคราวนี้คือ เรามิได้เสียดินแดนหลักให้เค้าแต่อย่างใดเพราะถึง...."ชายหนุ่มเอ่ยไว้แค่นั้น เพราะรู้ดีว่าคำที่จะเอื้อนเอ่ยต่อไปคงทำร้ายจิตใจคนฟังเสียน่าดู....

    "ถึงเสด็จพ่อจะสิ้น...พูดมาเถอะข้ารับได้....ข้าไม่ได้อ่อนแอขน..ฮึก..ขนาด..ฮึก..ขนาดนั้นนะ...ซีวอน...ฮึก" ปากก็พูดเช่นนี้ แต่น้ำตาที่มันหลั่งรินมาจากหัวใจที่บอบช้ำกลับเต็มล้นปรี่เปลือกตาคู่งามอย่างไม่ทันตั้งตัว....ร่างเล็กซุกตัวเข้าไปสู่อ้อมแขนที่เปิดรับเค้าอยู่ตลอดเวลาอย่างว่าง่าย ปากบอกไม่อ่อนแอ แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือคราบความเข้มแข็งของ โอรสกษัตริย์ที่กำลังจะต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้เห็นเลย...ตอนนี้คนตรงหน้าซีวอน ดูเป็นเพียงคนตัวเล็กๆธรรมดาที่เหมือนจะเพิ่งผ่านเรื่องราวอันโหดร้ายมาเสียก็เท่านั้น....แรงสะอื้นทำให้มหาดเล็กคนสำคัญทนไม่ไหว....อ้อมกอดที่แน่นอยู่แล้ว กลับกระชับเข้าไปให้ถึงไออุ่นของหัวใจยิ่งขึ้นไปอีก....ยิ่งปลอบ...เหมือนยิ่งเปิดกั้นประตูความอ่อนแอ และ ตัวตนของตรงหน้าให้มากขึ้น....


    ...ร้องมาเถิด....ปล่อยให้น้ำตามันไหลมาเถิด...กระหม่อมจะเป็นคนรองรับหยาดหยดแห่งความเสียใจของพระองค์ไว้เอง........กระหม่อมจะรองรับมัน..ด้วยหัวใจของกระหม่อมเอง......

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ร่างสองร่างที่บัดนี้นั่งเคียงข้างกันอยู่ ณ ที่เดิม...หากแต่เวลาที่หมุนไปช่างเร็วยิ่งนัก....ใจดวงน้อยๆเริ่มสงบลงด้วยการปลอบประโลมของมหาดเล็กผู้แสนดี......มือหนาโอบไหล่บางเป็นเวลาเนิ่นนานเหมือนจะลืมวันและเวลาไปเสียแล้ว...



    ท้องฟ้าเริ่มก้าวข้ามกลางวัน.....เดินหน้าสู่รัตติกาลด้วยความโหยหาหมู่ดาว....แสงรำไรจากดวงจันทร์สุกสว่างลงมายังพื้นน้ำสงบนิ่ง....เหมือนกับจะได้เวลาอันสมควรแล้วสินะ....ที่คนที่บัดนี้หัวใจแสนจะอ่อนแอ...ต้องยืนหยัดสู้ตามภาระที่แบกไว้อีกครั้ง....




    "ทรงมีพระอาการดีขึ้นแล้วนะพะย่ะค่ะ....จะเสวยพระกระยาหา.."




    "ขอพระราชทานอภัย ฝ่าพระบาท...บัดนี้....องค์ชายฮันคยองแห่งแคว้นนอรึม มารอพระองค์อยู่ที่ห้องเสวยฯพะย่ะค่ะ" ข้าราชบริพานหนุ่มชุดดำเดินเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของคนทั้งคู่อย่างเสียมารยาท....ก่อนจะโค้งตัวทำความเคารพคนทั้งคู่แล้วเดินออกไปเมื่อทำหน้าที่ของตนเองเสร็จ....




    "ห๊า..ท่านฮันมางั้นหรือ....ท่านฮันมาหาข้าแล้ว....ท่านฮันมาหาข้าแล้วซีวอน....ข้าไปก่อนนะ...." คนตัวเล็กไม่ได้ยิ้มอย่างปกติเพราะเพิ่งผ่านเรื่องเศร้าใจมา หากแต่ท่าทีก็ดูรีบร้อนราวกับว่าคนที่กำลังถูกเอ่ยถึงมารอเค้านานแสนนานแล้ว...หรือไม่...


    คนที่กำลังถูกเอ่ยถึง....ก็เป็นคนที่องค์ชายรอมานานแสนนานแล้ว......


    "คนที่พระองค์รอ....ไม่ใช่ข้า....แต่เป็นเค้าสินะ" คำเอื้อนเอ่ยที่มหาดเล็กผู้แสนดีไม่สามารถจะบอกกับผู้ที่เพิ่งวิ่งไปเมื่อกี้ได้....ความรู้สึกที่ไม่อาจถ่ายทอดไปให้คนที่อยู่ข้างๆได้....ความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้....

    ระหว่างเรา...คงเป็นแค่ มหาดเล็กผู้ซื่อสัตย์ที่ท่านแสนไว้ใจ กับ องค์ชายที่กำลังจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่เข้าไม่มีวันเอื้อมถึง.....ทั้งร่างกาย...และ...จิตใจ.....

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    "ท่านฮัน...ท่านฮัน......"มือเรียวทั้งสองข้างเปิดประตูไม้สักอย่างรวดเร็ว.....เสียงเล็กร้องเรียกคนที่มานั่งคอยอยู่ที่โต๊ะอาหาร....คนที่ถูกเรียกหันกลับมองคนตัวเล็กก่อนจะรีบก้าวท้าวยาวมาหาด้วยความร้อนรน....อ้อมกอดอบอุ่นโอบกระชับร่างเล็กด้วยความรวดเร็ว.....ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆให้กับทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ทุกคนในห้องเป็นเชิงให้ออกไป...



    "ท่านฮัน....ฮึก....ฮึก...ข้า....ข้า...เสียใจ....ข้าเสียใจ..." น้ำตาที่ไหลรินออกมาราวกับเขื่อนแตก....มือเรียวโอบร่างสูงตรงหน้าราวกับหาที่พึ่ง...เสียงงอแงเป็นเด็ก....น้ำตาหลายหยดก็ถูกนิ้วเรียวปาดออกไปไม่ให้เหลือไว้....เผื่อความเศร้าที่มีอยู่ในจิตใจจะหยุดลงบ้าง.....




    "ไม่เอา...ฮีชอล...ไม่ร้อง...ต้องเข้มแข็งเค้าใจมั้ย....คนดี...เข้าใจมั้ย...ฮึ....องค์จักรพรรดิมิได้จากเจ้าไปไหน หากแต่พระองค์ท่านไปรอเจ้าอยู่อีกที่นึงก็เท่านั้น....ข้าเชื่อว่าพระองค์ท่านคงมิอยากให้เจ้าต้องเสียน้ำตาเช่นนี้หรอก...เพราะฉะนั้น....เจ้าต้องเข้มแข็งรู้มั้ย...."...คนตัวสูงกล่าวสั่งสอนราวกับเป็นบุพการี...ก่อนจะลูบหัวคนตัวเล็กที่บัดนี้พยามเกลือกกลั้นน้ำตาไว้อย่างเชื่อฟัง และ เคารพ......ก่อนจะช้อนตาเรียวขึ้นมองอย่างอ่อนหวาน....แล้วตรัสตอบด้วยถ้อยคำที่น่าฟังยิ่งนัก...

    "ข้ารู้...ข้าเชื่อคนรักของข้าเสมอ...."

    น่าฟังยิ่งนักหรอ.....น่าฟังสำหรับหนึ่งใจ...แต่สำหรับอีกหนึ่งใจที่บัดนี้มาได้ยินคำพูดเหล่านี้ที่ข้างประตูที่ปิดไม่สนิท.......คำๆนั้น...ที่ไม่ได้เอ่ยกับข้า....มันทำให้เจ็บปวดแสนทรมานเลยทีเดียว....
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------


    3 เดือนแห่งความทรมานผ่านพ้นไป


    "ซีวอนๆ.....เจ้ารู้ข่าวหรือยัง...เค้าจะให้ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป...." องค์ชายตัวน้อยรีบวิ่งตึกตัก ตึกตักมาที่ห้องของคนคุ้นเคยแสนสนิท ก่อนจะเสียมารยาทเปิดประตูห้องมหาดเล็กสุดหรูหราด้วยความเคยชิน แล้วกระโดดขึ้นเตียงเขย่าตัวคนในชุดนอนอย่างตื่นเต้นราวกับเด็กๆ.....คนถูกคร่อมที่นอนหลับอยู่เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มาเยือนยามกำลังหลับสบายก็แทบตาสว่างเลยทีเดียว!


    "องค์ชาย ทำอย่างนี้อีกแล้วนะขอรับ...กระหม่อมว่ามันมิสมควร...องค์ชายมีอะไรก็ให้พระพี่เลี้ยงมาตามกระหม่อมไปก็ได้นี่ขอรับ" คนพูดเหงื่อตก...ในใจเต้นระรัวเมื่อยามอยู่ใกล้ร่างที่โหยหา...คนถูกว่าได้แต่ทำปากยื่นก็จะกระแทกส้นเท้าอย่างขัดใจแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาข้างเตียง...ก่อนจะหันหน้าหนีสุภาพบุรุษคนดี...


    "ชิ....ข้าก็ทำอย่างนี้ของข้ามาตั้งแต่ข้ายังแบเบาะ....เจ้ายังไม่ชินอีกหรือไง...อีกอย่างเวลาอยู่ด้วยกันสองคนข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าเลิกเรียกองค์ชาย องค์ชาย ซะที...เรียกข้าว่าฮีชอล ได้ยินมั้ย..เจ้าบ้า..." คนเอาแต่ใจสะบัดเสียงไม่พอใจ.....คนฟังได้แต่ยิ้มเจื่อนๆก่อนจะเดินมานั่งตรงข้ามเจ้าตัวดีเป็นการง้องอน....

    "กระหม่อมเป็นเพียงมหา..

    "มหาดเล็ก...คำก็มหาดเล็ก สองคำก็มหาดเล็ก !!!  แล้วทำไมแต่ก่อนเรียกได้..ห๊า....จริงๆแล้วเจ้าจะเรียกข้าต่อหน้าคนอื่นก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก  เค้าก็เข้าใจกันหมดแหละ...เจ้าเป็นสหายคนสนิทของข้า ทุกคนก็รู้...มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละ...ที่ดูเหมือนจะไม่รู้....คิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นมหาดเล็ก...ทำเหมือนเจ้าไม่อยากเป็นสหายของข้ายังไงยังงั้น...ชิ!"  องค์ชายตัวน้อยที่ดูเหมือนองค์หญิงเสียมากกว่า จิ๊ ปากอย่างหงุดหงิดใจ....เรื่องตื่นเต้นที่นำมาพูดดูเหมือนจะหายไปเสียหมด...บัดนี้เหมือนจะหาเรื่องอื่นมาพูดเพื่อทะเลาะได้แทนเสียแล้ว.... เค้าไม่ได้เพิ่งขัดใจ...แต่ขัดใจมานานแล้ว......ชเว ซีวอน...สหายคนสนิทตั้งแต่วัยเยาว์...ที่แต่ก่อนไปไหนมาไหนก็เปรียบได้ดังปาท่องโก๋....แต่ทำไมตั้งแต่ โตขึ้นมารู้สึกว่าคนตัวใหญ่ตรงหน้าจะสร้างกำแพงชนชั้นระหว่างเค้ากับตัวเองเสียเหลือเกิน....

    "กระหม่อมมิบังอาจ...กระหม่อมเป็นเพียงมหาดเล็กเท่านั้น....พระองค์ลองคิดดูสิขอรับ หากกระหม่อมไม่ให้เกียรติพระองค์เพียงสักคน คนอื่นก็อาจจะนำไปกล่าวว่าลับหลังเสียๆหายๆได้นะขอรับ"ชายหนุ่มแก้ตัวอย่างมีเหตุผล...ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้มาจากใจเค้าเลย.....

    "แล้วไง....สนใจทำไมล่ะ...เจ้าพวกปากหอยปากปูพวกนั้น...น่ารำคาญจะแย่ ข้าจำได้เลย มีช่วงนึงที่พวกนั้นเอาเราไปนินทา...หาว่าข้ากับเจ้ามีสายสัมพันธ์แอบแฝง...เอ่อ...ไปในทางชู้รัก....ทำเอาท่านฮันถึงกับโกรธข้าเป็นฟืนเป็นไฟ...แย่ๆๆๆ" คนตัวเล็กทำหน้ายู่เมื่อคิดถึงสภาพของคนรักตอนที่รับรู้ตอนนั้น....พร้อมจะส่ายหัวหลายที...ตามอารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อคิดถึงอดีต....


    ก็เหตุนั้นแหละที่ทำให้ข้าต้องทำตัวห่างเหินพระองค์เช่นนี้ ฮีชอล....!!! เหตุผลที่ข้าต้องอยู่ห่างจากท่าน....เหตุผลที่ข้าต้องเว้นระยะห่างของชนชั้นของเราไว้...เหตุผลที่ทำให้หัวใจข้าต้องร้องให้...ก็เพราะเหตุนี้แหละ....พระองค์ทรงเป็นคนรักของเขา...ของผู้ที่เหมาะสมกับท่าน....ไม่ใช่ข้า........ด้วยเหตุนั้นหากเราเข้าใกล้กันมากกว่านี้...หากทุกอย่างเป็นเหมือนเมื่อก่อน.....ข้ากลัว...ข้าจะรักท่านมากกว่านี้....ข้ากลัวหัวใจข้าต้องเจ็บมากกว่านี้ถ้าหลงระเริงไปไกล...ข้ารู้ว่าไม่มีวัน...ที่จะอาจเอื้อมถึงท่านได้....หรือถ้าหากเอื้อมได้...ข้าก็ไม่สามารถคว้าหัวใจท่านได้......ข้าจึงต้องระลึกเตือนใจให้เจียมไว้อยู่เสมอ....


    ....ว่าท่านและข้า....ต่างกันราวนภากับใต้มหาสมุทร...

    "ซีวอน...ซีวอน...." คนตัวเล็กเขย่าร่างตรงหน้าที่นั่งเหม่อไปเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดไปครู่ใหญ่....จิตใจของคนตรงหน้าลอยไปไหนกันนะ...พักนี้เห็นใจลอยบ่อยเหลือเกิน....เป็นอะไรของเขา...


    "ฮะ...ขอรับ....กระหม่อมขอพระราชทานอภัย พระองค์ท่านมีอะไรหรือขอรับ..." คนตัวสูงกว่ารีบละอารมณ์ที่ครุ่นคิด หันกลับมาสนใจสิ่งสวยงามตรงหน้า ราวกับว่าเค้าไม่อยากเห็นคนตรงหน้านี้อารมณ์เสียแม้เพียงสักวินาที !

    แต่ก็คงไม่ทัน เพราะบัดนี้คนเอาแต่ใจทำปากยู่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกแล้ว...คนอะไร...เอาแต่ใจชะมัด!


    "กระหม่อมขอพระราชทานอภัย...พระองค์ท่าน..อย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ..."


    "....." ไม่มีเสียงตอบรับจากคนตัวเล็ก....หน้าสวยหันหนีจากคนคุ้นเคย...ตาเรียวค้อนประหลักประเหลื่อไปให้ประตูห้อง ราวกับว่าเป็นคนทำผิด


    "พระองค์ท่าน...."

    "......"

    "พระโอรส.."


    "......"

    "ฮีชอล..."

    "อะไร!" เสียงห้วนสะบัดตอบกลับมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่ต้องการ....แต่ก็ยังไม่วายขึ้นเสียงไม่พอใจกับพฤติกรรมคนตรงหน้าที่ดูเหม่อลอยไม่สนใจเค้าอีก....ซีวอนใจร้าย...จะกล่าวเช่นนั้นเลยก็ไม่ได้....ถ้าหากใจร้ายจริง....วันๆชายหนุ่มคงไม่เอาแต่นั่งระลึกถึงหน้าหวานหรอกนะ....ซีวอนไม่ได้ไม่สนใจ.....เพียงแต่เหม่อลอยเพราะคนตรงหน้านี้แหละ.....หากแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้อะไรเลย....และ...คงไม่มีวันรับรู้อะไรเลย....แม้กระทั่งความรัก....ที่มันล้นจนหัวใจมหาดเล็กผู้แสนดีผู้นี้.....

    คนที่ใจร้ายน่ะ...ไม่ใช่ซีวอนหรอก.....

    หากแต่เป็นท่านต่างหาก....คิม...ฮีชอล


    เหมือนความโกรธของว่าที่จักรพรรดิจะไม่หายง่ายๆ.....
    มหาดเล็กคนดีก็เลยไม่วายต้องเดินเข้าไปง้องอนขอความเห็นใจ มือใหญ่ถือวิสาสะ ที่เอาความกล้าจากไหนก็ไม่รู้กุมมือคนตัวน้อยไว้อย่างประหม่าก่อนจะ กางนิ้วก้อยของคนตัวเล็กออกมา.....ทำเหมือนที่เคยทำตอนเด็กๆ....ไม่ใช่ไม่รู้ตัว...แต่เค้าคิดหาวิธีอื่นที่จะทำให้ดีกันไม่ได้แล้ว....นิ้วเรียวทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันโดยถูกคนง้อบังคับ......คนถูกง้อมองวิธีคนตัวใหญ่ก็ได้แต่อมยิ้มอย่างน่ารัก...แต่ก็ยังไม่วาย...แอบเก็กขรึมต่อไปเสียนี่!!

    คนอะไรเอาใจยากจัง!


    "ดีกันเถอะนะขอรับ...พระ...เอ่อ...ฮีชอล..." ชายหนุ่มกระอักกระอ่วนเอ่ยนามคนน่ารักออกไปอีกครั้ง....เมื่อเห็นคนน่ารักไม่ตอบ ก็จำใจจะต้องบีบมือเล็กเบาๆเป็นสัญญาณให้ตอบรับกับคำง้องอนของเขา.....

    "ก็ด๊ะ!!! ชิ....ห้ามคิดเรื่องอื่นเวลาอยู่กับข้าอีกนะ เข้าใจมั้ย" คนตัวเล็กสั่งเสียงแข็งก่อนจะโยกย้ายสะโพกตัวเองไปอยู่บนเตียงนอนของพ่อมหาดเล็ก..ก่อนจะเขี่ยม้วนผมตัวเองเล่นอย่างสบายใจ....


    "นี่ซีวอน..เค้าจะให้ข้าขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิองค์ต่อไปล่ะ...." ฮีชอลบอกเรื่องสำคัญที่นำมาบอกแก่เพื่อนสนิท...ผู้คิดไม่ซื่อกับเขาในตอนนี้....นัยน์ตาของคนเล่าเรื่องมิแววตื่นเต้นจับระยับอยู่รอบๆ แต่หากสังเกตุเข้าไปในหัวงลึกของนัยน์ตาคู่สวยให้ดี...คงจะมองเห็นความทุกข์ ไม่สิ ความกังวลใจอยู่ไม่น้อย....ถึงแม้จะไม่เด่นชัด แต่มีหรือ...ชายหนุ่มผู้ที่มอบหัวใจให้กับเขาจะดูไม่ออก.....แม้แต่เสียงหัวใจ....เค้ายังได้ยินเลย...ยังได้ยินชัดเลย.....ว่ามันไม่ได้มีให้เค้า.....


    "เหตุใดพระองค์จึงกังวลใจเช่นนั้น" ซีวอนถามก่อนจะเอื้อมมือหนาไปกุมมือเรียวไว้อีกครั้ง...ก่อนจะจ้องเข้าไปในห้วงลึกของนัยน์ตาคนตรงหน้า...เหมือนจะค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง....คำตอบที่อยู่ในหัวใจ...

    "เจ้ารู้?"

     "แล้วเหตุใดกระหม่อมจะไม่รู้เล่า..." คนตัวใหญ่ถามกลับคนที่นั่งงงเป็นไก่ตาแตก....ราวกับว่าซีวอนเข้าไปนั่งอ่านข้อความอยู่ในใจเค้าอย่างไงอย่างงั้น...เหตุใดจึงรู้ใจไปเสียทุกอย่าง..

    "ข้าแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยหรือ?"

    "มิได้....สีหน้า และ ท่าทางของพระองค์เหมือนคนวัยหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นเมื่อได้รับเกียรติยศมากกว่า....หากแต่ถึงร่างกายและสีหน้าจะไม่ฟ้อง...แต่กระหม่อมคิดว่า กระหม่อมสะกดคำที่อยู่ในห้วงลึกของนัยน์ตาพระองค์ได้....กระหม่อมจึงได้ถามว่า เหตุอันใด พระองค์ถึงยังมีความกังวลใจอยู่...." อันที่จริง คนตัวโตก็รู้คำตอบของคำถามดี....ดีเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวอีก...เพียงแต่อยากให้คนตรงหน้าระบายความในใจออกมา เผื่ออารมณ์ความเครียดที่คุกกรุ่นอยู่ในใจอย่างไม่แสดงออกจะลดลงเสียบ้าง.....แต่คำตอบที่ได้รับ...ก็มีบางสิ่งที่ทำให้คนถามต้องเจ็บปวด....

    เหมือนมีคนจับจุดได้.....ฮีชอลก้มหน้าอยู่สักพัก...ครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างจากคำพูดของซีวอน....ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนพูด...ยิ้มน้อยๆให้กับความรู้ดีของมหาดเล็กหนุ่ม...ก่อนจะเบนสายตาออกไปไกล.....


    "ฮึ...เจ้านี่มันช่างรู้ดีเสียนี่กระไร...ขนาดท่านฮันยังไม่รู้เลย....ทำไมท่านฮันไม่รู้ใจข้าเฉกเช่นเดียวกับเจ้าบ้างนะ...ท่านฮันบอกเสมอให้ข้าเข้มแข็ง.....แต่ข้า....แต่ข้าไม่อยากเข้มแข็งอีกต่อไปแล้วซีวอน....ข้าเหนื่อย....ข้าเหนื่อยเสียเหลือเกิน...อย่างที่เจ้ารู้....ในใจข้าตอนนี้มันกังวลใจ และท้อแท้ ไม้แพ้ความตื่นเต้นเสียเท่าไรหรอก....ข้ากลัว...ข้ากลัวข้าจะทำภาระอันสำคัญเช่นนี้ต่อจากเสด็จพ่อได้...ข้ากลัว...ข้าเหนื่อย...แต่ข้าปฏิเสธในสิ่งใดไม่ได้เลย....ข้าไม่สามารถปฎิเสธการรับตำแหน่งได้....เจ้าก็รู้เพราะเหตุอันใด...ศักดิ์ศรีไงล่ะ...ศักดิ์ศรีของความเป็นลูกเสด็จพ่อมันค้ำคอข้าอยู่..ซีวอน...มันค้ำคอข้าอยู่....ข้าเหนื่อยเหลือเกิน....ท่านฮันเองก็คาดหวังกับข้า...ทุกคนก็คาดหวังกับข้า...ข้าเหนื่อยเหลือเกิน....." เสียงเรียวอ่อนแรงตามคำพูด....นัยน์ตาคมไม่ได้สบกับคนตรงหน้าหากกลับเหม่อมองไปไกล...ไปสักแห่งหนนึง.....ไปพร้อมกับหัวใจ...ที่ดูจะไร้เรี่ยวแรง....คำพูดที่กลั่นออกมาจากเบื้องลึก...ของจิตใจที่ถูกอะไรบางอย่างที่เรียกว่าศักดิ์ศรีเก็บ และ กดไว้มานาน....บุรุษหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะเป็นผู้เปิดประตูให้สิ่งเหล่านั้นได้พรั่งพรูออกมา....ออกมาจากความเหนื่อยล้า...ที่ไม่สามารถจะเอ่ยกับผู้ใดได้เลย....


    เหตุเพราะ...

    ไม่มีใครเข้าใจเค้าเลย...แม้กระทั่งคนที่เค้ารัก...ก็ตาม.......


    ชายหนุ่มตรงหน้าเหมือนจะเป็นที่ปรึกษา....ที่พึ่ง...หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นถังขยะ...ที่คอยรองรับทุกสิ่งทุกอย่างจากเค้าด้วยความยินดี....เพื่อนที่แสนดี..ชเว ซีวอน...


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    ตึกๆๆๆๆๆ เสียงเท้ากระทบไม้ดังขึ้นตามระเบียงทางเดินยาว ณ ตำหนักไม้สักอันงดงามราวกับสร้างบนสวรรค์ ตำหนักที่ดูสงบ อบอุ่นใจ...หากแต่ดูขัดกับใบหน้าของคนที่กำลังวิ่งไปที่ใดสักแห่งในขณะนี้เหลือเกิน.....
    ประตูไม้สักถูกเปิดออกโดยไร้การเคาะตามมารยาทอย่างปกติ...ความรีบร้อนทำให้คนที่ถือข่าวสารลืมทุกสิ่งทุกอย่าง...หน้าตาตื่นตระหนกทำให้คนที่ถูกรบกวนการทำงานไม่ได้ว่าอะไรที่ไม่ได้เคาะประตูนั่น เพียงแต่ส่งสายตาเป็นเชิงถามออกไปเท่านั้น...


    "แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...ท่านซีวอนขอรับ..ท่านซีวอน.."คนส่งข่าวไม่มีแรงแม้แต่จะพูด เค้าประหม่าและตื่นตระหนกมากเกินไป...เกินกว่าที่จะกลั่นกรองข้อมูลออกมาเป็นคำพูดได้..จนคนฟังต้องขมวดคิ้วสงสัย...ข่าวอะไรกันนะ สงสัยจะร้ายแรงอยู่เหมือนกัน เจ้าทหารคนนี้ถึงวิ่งหน้าตื่นมาขนาดนี้


    "มีอะไร..." ร่างสูงถามเสียงเรียบ...อย่างสงบ...ต่อให้เป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหน..เค้าก็ต้องสงบ...ตำแหน่งสูงสุดของบรรดาเหล่าผู้มียศที่ค้ำคอเค้าอยู่ทำให้เค้าไม่สามารถจะตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ใดได้ แม้จะร้ายแรงเพียงใด...เพราะสถานะของเค้าคือที่ยึดเหนื่ยวของทุกคน....ด้วยเหตุนั้นเค้าจึงต้องเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด....เสมอ....

    "..คะ..คือ...คือ.."

    "....มีอะไรก็รีบว่ามาได้มั้ย.."


    "คือ..ตอนนี้รัฐเมยากำลังเคลื่อนทัพมาทำสงครามกับเราขอรับ....ทางเราเพิ่งได้รับข่าวจากสายที่อยู่ชายแดน..พวกมันมาอย่างเงียบมาก...เราเลยไม่ได้เตรียมกองทัพของเราไว้เลยขอรับ.....แล้วทางชายแดนบอกว่า พวกมันมากันเยอะมาก...กระผมคิดว่า พวกมันคงเห็นว่ารัฐเรากำลังอ่อนแออยู่เพราะตอนนี้ยังไร้ซึ่งจักรพรรดิ.....พวกมันยังฝากสารมาบอกอีกว่า...."


    "ว่า??"


    "จะตีเมืองหลวงในวันที่องค์ฮีชอลขึ้นเป็นจักรพรรดิ!!!"


    "วันสถาปนา..."ร่างสูงทวนคำพูดของทหารหนุ่มด้วยใจครุ่นแค้น....เหตุใดจะไม่รู้...พวกมันดูถูกคนที่เค้ารักมากเกินไป...พวกมันเลือกที่จะตีรัฐในวันสถาปนา...ความหมายของการทำแบบนี้ก็คือ.....จักรพรรดิองค์ใหม่ไม่มีความสามารถพอที่จะปกครองแคว้น....จักรพรรดิองค์ใหม่อ่อนแอเกินไป.......เป็นการดูถูกที่น่ารังเกียจที่สุดที่ชาวแคว้นทั่วไปรู้ดี....การทำแบบนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง.....เพราะการกระทำแบบนี้.....เหมือนเป็นการประลองเพื่อวัดความสามารถของผู้นำอย่างหนึ่ง.....หากจักรพรรดิฝ่ายที่มาท้ารบแพ้...เป็นที่รู้กันดีว่า...จะต้องยอมถวายชีวิตตัวเองเพื่อเป็นการขอพระราชทานอภัยที่บังอาจมาดูถูกจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างร้ายกาจ....ดังนั้น...จึงไม่มีใครอยากจะทำเช่นนี้...


    หากแต่รัฐเมยา...คงมั่นใจ...ว่าจะชนะแน่...หากจักรพรรดิองค์ใหม่ดูคล้ายคลึงกับอิสตรีเช่นนี้


    คนร่างสูงไม่ได้ใส่อารมณ์เกรี้ยวกราดลงไปในคำพูด...หากแต่บัดนี้ใจของเขาลุกโชนราวกับไฟอะไรบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง...การดูถูกคนที่เขารักเช่นนี้......บังอาจมาก...บังอาจมาก.....

    วันสถาปนา....วันไหนนะ.....วันสถาปนา...

    "พรุ่งนี้!" เสียงเรียบตะโกนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว....ทำไมมันช่างรวดเร็วเช่นนี้.....ความกังวลใจก่อตัวขึ้นในใจของมหาดเล็กหนุ่ม..กองทัพทางเรายังไม่ได้เตรียม......แต่ไม่ได้...ถึงแม้จะรวดเร็วเพียงใด....ถึงแม้ข้าศึกจะเข้ามาใกล้เพียงไหน....

    ศักดิ์ศรีของคนที่เค้ารักสำคัญที่สุด....ศักดิ์ศรีที่เค้าจะไม่มีวันให้ใครมาเหยียบย่ำสำคัญที่สุด

    แล้วเราจะได้เห็นดีกัน รัฐเมยา!!!!


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ห้องสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลขนาดใหญ่ที่ผนังรอบด้านเป็นไม้สักทองดูเป็นทางการอย่างดี..เก้าอี้หลายสิบตัวที่บัดนี้ถูกจับจองไปด้วยผู้คนในชุดราชการตำแหน่งใหญ่ทั้งสิ้น.....คนมีอายุ และ คนวัยหนุ่มนั่งกันเรียงรายไม่ได้แบ่งอายุ...และคนที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญที่สุด...คนในชุดสีดำปักดิ้นทองนั่งที่เก้าอี้ตัวใหญ่หัวโต๊ะอย่างน่าเกรงขาม....กระแอมเสียงเบาเพื่อเรียกความจอแจจากเสียงของหลายคนในห้องให้อยู่ในความสงบ....

    "ขออภัยทุกท่านที่ต้องเรียนเชิญทุกท่านมาประชุมกันกระทันหันเช่นนี้.....ข้าขอเข้าเรื่องกันเลยนะ...หลายท่านคงทราบแล้วถึงสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น...ช่างรวดเร็วเกินใครจะคาดคะเน.....ฝ่ายนั้นบังอาจมาก...ที่กระทำการอุกอาจเช่นนี่.....บังอาจมาหยามศักดิ์ศรีขององค์ฮีชอล...ซึ่งเรื่องนี้ข้าว่าทุกคนก็คงคิดเช่นเดียวกับข้า...เราจะยอมพวกนั้นไม่ได้...ด้วยเหตุนี้...ข้าจึงอยากให้ทุกท่านตระเตรียมทัพที่อยู่ภายใต้อำนาจของทุกคนให้เสร็จภายในเวลาก่อนพระจันทร์จะขึ้น คืนนี้ แล้วเราจะออกแยกเดินทางกันเป็นสามทัพ....ทัพหน้าจะไปดักสกัดกำลังของพวกมันที่หัวเมืองชั้นนอก....ส่วนทัพที่สองให้ดักสกัดอยู่ที่หัวเมืองชั้นใน ข้าขอให้ทัพที่สองใช้ยุทธวิธีแบบกองโจร โดยให้ซุ่มตีตอนกลางคืน ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง ทัพแรกต้องสกัดพวกมันมิให้หลุดออกมาจนกว่าจะถึงเวลาค่ำคืน ...และ ทัพที่สองให้ดักซุ่มอยู่ที่ภูเขาที่ใกล้ที่พวกมันจะพักค้างคืนให้มากที่สุด...เพราะข้าเชื่อว่า เมื่อพวกมันผ่านด่านแล้วมาได้แล้ว คงจะต้องพักเอาแรงก่อนซักหนึ่งคืน....และเมื่อพวกมันหลับ...ให้จัดการฆ่ามันเสียให้หมด....พยายามอย่าให้เหลือรอด....แล้วถ้าเกิดมันเหลือรอดมา....ทัพที่สาม...คือเมืองหลวง...ให้แบ่งฝั่งเป็นฝั่งตะวันออก และ ฝั่งตะวันตก....แล้วเมื่อมันเข้ามาให้โจมตีจากด้านข้างแบบไม่ให้พวกมันรู้ตัว...ข้าเชื่อว่าเมื่อถึงด่านที่สาม...พวกมันคงจะเหลือน้อยแล้วทีเดียว โอกาสที่เราจะได้ชัยชนะก็จะมีมาก" มหาดเล็กผู้ยิ่งใหญ่ออกแบบยุทธศาสตร์การรบได้อย่างน่าชื่นชม.... ทุกคนรับฟังแล้วก็พยักหน้าตาม..ไม่มีใครกล้าขัดข้องความคิดที่ฉลาดเกินอายุของมหาดเล็กหนุ่มผู้นี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ถึงมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าใครๆตั้งแต่อายุยังเยาว์


    "แผนการของท่านช่างแยบยลนะ ท่านซีวอน หากแต่ใครจะนำทัพใดเล่า ท่านโปรดช่วยแจ้งแก่ข้าให้กระจ่างด้วยเถิด" ข้าราชการผู้หนึ่งยกมือเอ่ยถาม....ซีวอนยิ้มรับคำชมก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

    "สำหรับทัพหน้า...ข้าจะขอเป็นคนนำไปเอง....โดยคนที่จะไปกับทัพแรก ก็คือ ท่านเยซอง ท่านอึนฮยอค ส่วนทัพที่สอง....ท่านที่จะไปก็คือ...

    "ข้าไปเอง!! " ก่อนที่มหาดเล็กหนุ่มจะพูดจบ คนที่เค้าไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาแทรก......คนรักของฮีชอล....คนรักของคนที่เค้ารัก...

    "แต่กระหม่อมเกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง องค์ฮันเกิง...ให้พวกกระหม่อมรับผิดชอบกันเองจะดีเสียกว่านะขอรับ...ถ้าเกิดท่านเป็นอะไรไป ประชาชนในเมืองท่านอาจจะมากล่าวหาองค์ฮีชอลเป็นได้"...บุรุษหนุ่มกล่าวตอบด้วยเหตุผลอย่างสุภาพ.....เหตุผลที่ดูเหมือนจะดี...แต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่มาจากใจอีกแล้ว....เหตุผลที่แท้จริงน่ะหรอ...เค้า..อยากเป็นเพียงคนๆเดียวที่จะอยู่เคียงข้าง..และปกป้องคนที่เค้ารักต่างหาก!!!

    เห็นแก่ตัวไปรึเปล่านะ!


    "หึ...เจ้าคิดมากไปหรือเปล่าซีวอน...ประชาชนข้าจะว่าเช่นไรได้....ในเมื่อทุกคนก็ทราบว่าองค์ฮีชอลเป็น"คนสำคัญ"ของข้า....ข้าจะไปช่วย...ก็เพราะการตัดสินใจของข้าเอง...เหตุใดเจ้าถึงคิดจะปฎิเสธน้ำใจของข้ากัน..." ฮันเกิงส่งสายตาของผู้เหนือกว่าไปให้บุรุษหนุ่ม..เหตุใดคนฉลาดอย่างเค้าจะไม่รู้ว่าความรู้สึกของซีวอนที่มีต่อคนรักเค้าเป็นเช่นไร...เค้ารู้ตลอดเวลา..เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้น....ความรักของซีวอนช่างน่าสงสาร....แต่เค้าเองก็รักฮีชอล...เพราะฉะนั้น...คงยกฮีชอลให้ไม่ได้ล่ะนะ...เพชรของใคร..ใครก็ต้องหวง...หัวใจของใคร ใครก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา...การยุทธครั้งนี้หากไม่ได้ช่วยฮีชอล...ดูจะเป็นคนรักที่แย่นัก....เพราะฉะนั้น....ฮันเกิงจึงยินดีเสนอตัวเองเข้าช่วยรัฐเพื่อนบ้านได้อย่างทันที....


    ตาต่อตาสบกันอย่างไม่มีใครจะยอมลดให้ใคร!

    "กระหม่อมมิบังอาจ...กระหม่อมขอพระราชทานอภัย....พระองค์จะร่วมทัพครั้งนี้ก็สุดแล้วแต่พระองค์เถิด กระหม่อมคงห้ามพระองค์มิได้....องค์ฮีชอลคงยินดีที่ทราบข่าวนี้..."ประโยคสุดท้ายถูกเน้นให้กระแทกใจตัวเองเล่นๆ ซีวอนก้มโค้งเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะอัญเชิญให้ฮันเกิงนั่งลงในเก้าอี้หัวโต๊ะฝั่งตรงข้าม...ตาประสานตาเหมือนกำลังทำสงครามจิตวิทยากันอย่างย่อยๆใจของทั้งคู่เหมือนกำลังรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไรกันอยู่.......จนบรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่แล้วกลับยิ่งดูเลวร้ายขึ้นไปอีกเท่าตัว....


    "อะแฮ่ม แล้วทัพที่สองจะส่งใครไปกับองค์ฮันเกิงด้วยหรือเปล่าขอรับ ท่านซีวอน" ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นขัดความเงียบก่อนที่บรรยากาศจะพาให้เสียงาน........คนทั้งสองจึงได้ละสายตาออกจากกันและกันเสียตอนนั้น...


    "ทัพที่สอง...กระหม่อมขอชี้แจงให้องค์ฮันเกิงฟังว่า..จะเป็นทัพแบบกองโจร..ด้วยเหตุดังกล่าว กระหม่อมคิดว่า ทัพแบบนี้เป็นทัพที่ต้องแอบซุ่ม...ดังนั้นคงจะไม่ต้องใช้คนเยอะ.....จึงขอให้องค์ฮันเกิงนำทัพของพระองค์ไปแต่เพียงกลุ่มเดียว พระองค์จะทรงขัดข้องหรือไม่ขอรับ" คนตัวใหญ่ออกคำสั่งที่ทำให้ทุกคนหันมองกันเลิ่กลั่ก....อย่างน้อยน่าจะให้ไปกันสักสองกอง...เผื่อฉุกเฉิน...อย่างนี้มัน...


    "เอ่อ ท่านซีวอน กระหม่อมเห็นว่า..

    "ตกลง...ข้าจะนำทัพของข้าไปเป็นทัพที่สอง หลังประชุมเสร็จเจ้ามาอธิบายให้ข้าฟังด้วยแล้วกัน...ว่าเจ้าคิดการไว้เช่นไร"  ฮันเกิงไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวสักนิดกับการต้องต่อกรกับศัตรูด้วยกำลังพลอันน้อยนิดเช่นนี้.....ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เค้ามองการยุทธทะลุปรุโปร่ง....หากจะเกรงกลัวด้วยเรื่องแค่นี้ ....เขาคงไม่ใช่กษัติร์ยแล้ว....อีกอย่าง....ไม่มีวันที่เค้าจะยอมอ่อนข้อ หรือ อ่อนแอให้มหาดเล็กหนุ่มเห็นเป็นอันขาด!!!


    "ทราบแล้วขอรับ.....ต่อไปกระหม่อมขอกล่าวถึงการทัพต่อ...ทัพสุดท้าย คือทัพที่ประจำเมืองหลวง...จะนำทัพโดยองค์ฮีชอล...เป็นผู้นำทัพฝั่งตะวันออกและ ท่านทงแฮเป็นผู้นำทัพฝั่งตะวันตกร่วมกับท่านคิบอม....โดยเมื่อองค์ฮันเกิงสำเร็จจากกิจแล้ว...พระองค์ช่วยส่งม้าเร็วไปบอกฝั่งทางทัพหลวงด้วยนะขอรับ...แล้วท่านคิบอม ท่านช่วยวางสายสืบไว้ที่หน้าประตูทางเข้าเมืองและเมื่อข้าศึกมันเข้ามาในเมืองได้หมดแล้ว ขอให้ท่านช่วยให้สายปิดประตูเมืองซะ...มันจะมิได้มีทางหนี...และเมื่อนั้น...ท่านทงแฮ..ท่านช่วยจุดพลุเป็นสัญญาณสำหรับทัพทั้งสองทิศด้วย..." ซีวอนพูดจบก่อนจะสบสายตาบุรษหนุ่มทั้งสองที่ได้รับคำสั่ง...ทั้งสองยิ้มให้ซีวอนด้วยความมั่นใจก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ..


    "แล้วท่านฮีชอลทราบถึงแผนการยุทธครั้งนี้หรือยังรึ ซีวอน" ฮันเกิงเอ่ยถามความสงสัยหลังจบคำพูดของซีวอน....เนื่องจากไม่เห็นว่าที่จักรพรรดิและคนรักของเขาในห้องประชุมการยุทธ  ณ ตอนนี้


    "กระหม่อมกราบทูลองค์ฮีชอลแล้ว พระองค์มิต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด..."ซีวอนสบตาตอบคนตรงข้าม....ก่อนจะยิ้มให้น้อยๆ...แต่ด้วยความหมายอันใด...ไม่มีใครทราบได้


    "ข้าขอประทานอภัยท่านซีวอน...หากข้าจะรบกวนถามหน่อยว่าเหตุใดองค์ฮีชอลถึงไม่มาประชุมนะวันนี้" ข้าราชการมีอายุคนนึงเอ่ยขึ้นถามกลางที่ประชุม....สายตาบ่งบอกความไม่พอใจเล็กน้อย....ที่คนที่ควรจะมาที่สุดกลับหายตัวไปอยู่ไหนไม่รู้


    "ไม่ใช่เหตุอันใดที่ใครต้องรู้....ว่าองค์ฮีชอลจะอยู่ไหน จะทำอะไร....นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพระองค์...สำหรับเรื่องที่ท่านถามข้ามิขอตอบ" ซีวอนเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้มองหน้าคนถามแต่อย่างใด...ความจริงจังที่มีทำให้คนถามไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ


    "เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นซีวอน...ขุนนางและข้าราชการทุกท่านย่อมต้องการทราบอยู่แล้วว่าคนที่สำคัญที่สุดของเค้าอยู่หนใด...ฮีชอลทำตัวเช่นนี้...แล้วเค้าจะวางใจให้เป็นจักรพรรดิต่อไปได้เช่นไร...เจ้าสมควรจะเอ่ยอ้างเหตุผลแทนฮีชอลเสียมากกว่าถ้าเจ้าหวังดีกับองค์ฮีชอลของเจ้าจริงๆ" ผู้หักหน้าซีวอนได้คงจะมีเพียงชายผู้นี้ผู้เดียวกระมัง....เสียงเรียบเอ่ยราวกับไม่สนใจความรู้สึกของซีวอนเลยแม้แต่นิด...

    อีกฝ่ายได้แต่กำมือไว้....อึดอัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรชายผู้นี้ได้ ก็เพราะความต่างของชนชั้นมันค้ำคอน่ะสิ!!!


    "กระหม่อมขอพระราชทานอภัย แต่กระหม่อมเห็นว่ามันเป็นเรื่องมิสมควรจริงๆที่จะทราบเรื่องราวของชนชั้นที่สูงกว่า.."คำตอกกลับที่เริ่มจะกลายเป็นสงครามย่อยๆในห้อง บัดนี้คนพูดข่มอารมณ์ตัวเองไว้แค่ไหนแล้วก็ไม่รู้....หากเป็นคนอื่นพูดคงไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองมากเพียงเท่านี้....หากแต่นี่....ถ้าไม่นับความเกี่ยวพันทางการเมือง...ชายผู้นี้ก็..

    ศัตรูหัวใจชัดๆ!!!


    "เจ้าจะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก...เจ้าเองก็ตำแหน่งเท่าๆพวกเค้า....เหตุใดมีเจ้าเพียงผู้เดียวที่รู้เหตุผล...แล้วคนอื่นไม่รู้...อย่างนั้นมันดูไม่ยุติธรรมไปหน่อยหรือไร"  ไม่ทราบว่าคนพูดมีจุดประสงค์อย่างไรจึงได้ชี้โพรงให้กระรอกให้ชนชั้นขุนนางคนอื่นมองซีวอนในแง่ลบเช่นนี้....อยากจะโค่นคนตรงหน้าลงจากตำแหน่งมหาดเล็กมากหรือไงนะ...


    คนฟังก็ได้แต่ทำใจให้มันสงบต่อไป...แต่มันช่างทำยากเหลือเกิน....


    "กระหม่อมขอพระราชทานอภัย....เอาล่ะ..องค์ฮีชอ...


    "ข้ามาแล้ว...มีใครจะพูดอะไรอีกหรือไม่..." คนที่ถูกเอ่ยถึงอยู่นาน..ปรากฎตัวอย่างทันกระหันเหมือนต้องการให้พ้นคำครหา.....ก่อนที่เรื่องของเขาจะถูกจาบจ้วงไปมากกว่านี้

    ".....อ้าว....ฮีชอลเจ้าไปไหนมาน่ะ...ทุกคนเค้าประชุมกันอยู่ เหตุใดเจ้าถึงไม่มา...."คนถามยิ้มให้คนรักก่อนจะเดินไปจูงมือให้เดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆกัน....ทั้งๆที่ซีวอนเอง...ก็กำลังจะไปยกเก้าอี้ประจำตำแหน่งจักรพรรดิมาให้......แต่เห็นภาพที่กระแทกอวัยวะที่เต้นอยู่ที่อกข้างซ้ายเช่นนั้นแล้ว ได้แต่เปลี่ยนความคิดทรุดลงที่เก้าอี้ตัวเดิม..คิ้วเรียวขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปสงบลงเหมือนเดิม.......อาการที่แสดงออกไปไม่ได้...น้ำตาที่จะไหลออกไปไม่ได้....

    เจ็บในหัวใจเหลือเกิน...เจ็บจนบอกไม่ถูกเลยทีเดียว......


    "เอาล่ะ...ข้ามาแล้ว....ข้าได้ยินที่พวกเจ้าพูดกันทั้งหมดเมื่อกี้...เหตุผลที่ข้าไม่มาที่นี่ในเวลาอันสมควรเพราะข้าไปซ้อมเพลงดาบกับครูเรียววุคมาน่ะ....ท่านว่างแค่ตอนนี้...เพื่อการศึกพรุ่งนี้.....ศักดิ์ศรีข้าจะถูกหยามไปไม่ได้......" สายตาคมแกร่งตวัดไปรอบห้องราวกับจริงจังในคำพูดยิ่งนัก....ใครหน้าไหนกล้ามาดูถูกคิม ฮีชอลคนนี้...อย่าหวังว่าจะได้รอดจากปลายมีดดาบข้าเลย...แม้แต่เส้นผม...ข้าก็จะทำให้มันตกลงไปสู่พื้นดินพร้อมหัวมันทั้งหมดนั่นล่ะ....

    รัฐเมยา!


    "อ่อ...แล้วใครที่สงสัยในความสามารถและตัวข้า...ก่อนข้าจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ...ซึ่งข้าก็คิดว่ามีไม่น้อย.....ข้าขอใช้พรุ่งนี้เป็นตัวพิสูจน์ทุกสิ่ง...หลังจบการรบ..ใครประสงค์จะประลองต่อก็เชิญ..." ว่าที่องค์จักรพรรดิพูดอย่างไม่สนใจใคร....สายตาเรียวเหลือบมองรอบๆก่อนแสยะยิ้ม..ทำไมจะไม่รู้...พวกขุนนางที่นั่งหน้าสลอนอยู่แถวนี้...คิดการกบฎกันเป็นว่าเล่น..เตรียมการกันไว้อย่างดิบดี..เหตุที่ลือกันไปทำให้ใครหลายคนเริ่มสงสัยในตัวเขา...ก็มี...องค์ฮีชอลแท้จริงเป็นอิสตรีบ้างล่ะ...องค์ฮีชอลไม่เก่งการฟันดาบบ้างล่ะ..องค์ฮีชอลไม่สามารถเป็นจักรพรรดิได้บ้างล่ะ


    เพราะฉะนั้นก็พิสูจน์ให้มันรู้กันไปเลยเสียดีกว่า!!!

    "เจ้าดูท่ามั่นใจมากเลยนะฮีชอล...ไม่ใช่เดี้ยงก่อนซะล่ะฮ่าฮ่า"คนตัวใหญ่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน....คำพูดแกมหยกล้อทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดดูคลายลงเยอะ....ทั้งๆที่คนสร้างบรรยากาศแบบนี้มาตั้งแต่ต้นก็ไม่ใช่ที่ไหน...เจ้าตัวคนพูดเล่นเองนั่นแหละ....

    "แน่นอน...ศึกครั้งนี้ท่านฮันคอยดู....ข้าจะสู้ยิบตาเลย เนอะซีวอนเนอะ" คนตัวดียังหันไปยิ้มให้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของเค้าอยู่...ที่บัดนี้คิ้วเรียวขมวดเป็นปมอยู่อย่างไม่รู้ตัวเสียแล้ว....

    ไม่ใช่แค่คิ้ว...แต่เวลาที่ภาพแบบนี้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเค้า.....

    หัวใจมันผูกรัดแน่นกันเป็นปมยิ่งกว่าคิ้วเสียอีก......


    เจ็บ....ใครจะรู้สึกเหมือนข้าบ้าง....เจ็บจนอยากจะกรีดร้องไปทั้งร่างกาย....


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    .....เสียงดาบตวัดผ่านลมที่กรรโชกดังไปทั่วชายแดน...กองทัพที่ปะปนกันนับพันจนแยกแทบไม่ออกว่าฝูงมนุษย์เหล่านี้เป็นฝ่ายใดกันแน่...กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งพื้นดินสีน้ำตาล...ที่บัดนี้นองฉานไปด้วยสีแดงทั่วอาณาบริเวณ....สายลมที่กรรโชกแรงราวกับพายุ เหมือนกับจะตอกย้ำความโหดร้ายของสงครามที่ทวีความน่ากลัวขึ้นไปทุกที...อาวุธแหลมคมปักเข้าไปคาอวัยวะที่เคยเต้นอยู่ด้านซ้านของหน้าอกให้มันดับสนิทลงอย่างไร้เรี่ยวแรง....


    "เร็วเข้า โจมตีอย่าให้มันไปไหนได้ไกล.." ชายชุดดำแสนองอาจกับกระบี่สีเงินยาวที่ส่องสว่างและตวัดไปทั่วร่างกายของศัตรูนั่งอยู่บนม้าศึกสีดำองอาจไม่แพ้เจ้าของ ศรีษะที่ถูกปลายคมที่ชุ่มไปด้วยเลือดตวัดทิ้งลงพื้นไปหลายหัวแล้ว...ความสามารถที่ไม่เป็นรองใครทำให้ตอนนี้ฝ่ายได้เปรียบเห็นทีจะเป็นเค้า...


    "ท่านซีวอนครับ...ตอนนี้ฝ่ายศัตรูของเราเหลือกำลังพลน้อยแล้วขอรับ....."นายทหารท่าทางจะตำแหน่งใหญ่พอดู ควบม้าสีขาวที่บัดนี้สีขาวของมันเปรอะเปื้อนเลือดไปหมดเสียแล้ว...หากแต่หยดเลือดทุกหยดที่ไหลรินลงบนตัวมันนั้นไซร้เป็นโลหิตที่หลั่งออกมาจากร่างกายของศัตรูเสียทั้งสิ้น.....คนฟังยิ้มรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และ กระเซ็นของโลหิต....ก่อนจะออกมือรบกับคนในชุดแม่ทัพของอีกฝ่ายอย่างคนไม่ประมาทในทุกวินาที!!

    ม้าสีดำสองตัวกำลังประชันหน้ากันอย่างดุเดือด.....ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน....หน้ากากที่กำบังหน้าอยู่ทำให้ไม่อาจยลใบหน้าที่แท้จริงของบุรุษที่เป็นแม่ทัพภายใต้หน้ากากได้....ระดับยศที่ติดบนบ่าและเครื่องแต่งกายเพียงเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าทั้งสองคือผู้นำทัพ


    "หึ...ท่านคงเป็นผู้นำทัพของรัฐเมยาสินะ....บังอาจมากที่ท่านหยามศักดิ์ศรีขององค์ฮีชอล....ถ้าวันนี้หัวท่านไม่หลุดถึงพื้น.....ข้า ชเว ชีวอน...มหาดเล็กผู้ภักดีต่อองค์ฮีชอล คงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่แท้...."ดาบเรียวยาวชี้หน้าที่มองไม่เห็นของฝ่ายตรงข้าม....สายตาหยามเหยียด และ เกรี้ยวกราดของคนที่เคยเป็นสุภาพบุรษ ส่งผ่านช่องตาของหน้ากากสีดำโลหะ.....ศึกครั้งนี้....ไม่มีวันยอมแพ้ให้แน่!!!

    "อย่ามัวแต่พล่ามอยู่เลย...ท่านมหาดเล็กผู้ภักดี...เรามาประลองกันให้รู้ไปเลยเสียดีกว่า...แสดงให้ข้าเห็นหน่อย ว่าเจ้ามันก็ไร้น้ำยาพอๆกับองค์เหนือหัวของเจ้าเช่นกัน..ต่อไปรัฐเมยา...จะเป็นเพียงผู้ยิ่งใหญ่แห่งเดียวในพื้นพิภพ ฮ่าฮ่าฮ่า...."


    เช้ง!!! ไม่ทันที่เจ้าคงอาจหาญจะเอ่ยคำปรามาสสิ้น ปลายดาบคมก็ตวัดเข้าเกือบจะถึงตัวแม่ทัพอีกฝั่ง...หากแต่ฝีมือที่ไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าซีวอน ตวัดดาบเรียวรับได้อย่างทันท่วงที!!!


    ไม่มีคำพร่ำเพรื่อ พูดพล่ามอีกต่อไป....

    ปลายดาบของมหาดเล็กตีเข้าไปทางข้างหน้าศรีษะของแม่ทัพรัฐเมยาอีกครั้ง....คนตัวสูงก็รับได้เช่นเดิม ก่อนจะตวัดดาบเรียวออกแล้วจ่อดาบกลับมาทีคอซึวอน!!!  มหาดเล็กหนุ่มเอี้ยวตัวหลบปลายดาบได้ทันควัน!! ไม่มีใครด้อยไปกว่าใครเสียเลย....


    "เจ้าเองฝีมือดีพอตัวนะ....แสดงว่าไม่ไร้น้ำยาเหมือนองค์เหนือ...


    ฉับ!!!!!!!!!!!!!


    จังหวะนั้น...จังหวะเดียวที่แม่ทัพของรัฐศัตรูกำลังพูดพล่าม..ดาบเรียวไม่รอช้าอีกต่อไป.....ทำทีเป็นขยับเข้าไปใกล้....หยุดมองตาฝ่ายตรงข้าม....ก่อนจะ...ตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้งแล้วลำคอหลุดร่วงลงกับพื้นก่อนที่คำพูดเหล่านั้นจะจบ!!!!!

    จบสิ้นกันแล้วสินะ...สงคราม......


    ดูง่ายไปไหม....มหาดเล็กหนุ่มคิดในใจ...จากการประลองเพลงดาบที่ผ่านมา....ใช่ว่าคนนี้จะรับมือยากอย่างที่คิด....แม่ทัพรัฐเมยา...เจ้าอ่อนหัดเพียงเท่านี้...แต่เจ้ากลับฮึกเหิมรึมาสู้กับ มหาอาณาจักรขององค์ฮีชอล....


    คิดผิดไปหน่อยล่ะมั้ง....


    มหาดเล็กหนุ่มอาจจะคิดถูก.....ถ้าทหารในฝ่ายเค้าคนเดิมกับที่รายงานเมื่อกี้วิ่งมาด้วยร่างกายชุ่มไปด้วยโลหิตเสียก่อน...


    "ท่านซีวอนขอรับ...คนในทัพพวกนี้...ไม่ใช่ทัพที่แท้จริงของพวกมันขอรับ....แม่ทัพที่ท่านสังหารไป...ไม่ใช่องค์แม่ทัพของรัฐเมยา.....มันเป็นตัวปลอม....ทัพเมยาที่แท้จริงมีพลเพียงสามหมื่น หากแต่พวกมันตบตาเราด้วยกองทัพนับแสน...เป็นการตัดกำลังพลของฝ่ายเรา......เพื่อที่


    "ตอนนี้พวกมันอยู่ที่ไหน!!" ก่อนที่ทหารจะเปรยถึงยุทธศาสตร์การรบที่แยบยลจนตบตาพวกเขาได้แล้ว....ซีวอนไม่ต้องการถามถึงเหตุผลอะไรแต่อย่างใด...เพียงแต่ตอนนี้อยากรูว่าพวกมันอยู่ไหนเพียงเท่านั้น!!!


    เพราะคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดคงไม่พ้น

    องค์ฮีชอล!!!

    "พวกมันเคลื่อนทัพเข้าทางแม่น้ำ...ซึ่งพวกเราไม่ได้คาดการ์ณถึงสถานที่นั้น เพราะมันเป็นที่ลำบาก...ตอนนี้มันตีเข้าทางแม่น้ำฝั่งตะวันตกที่ใกล้กับเมืองหลวงเป็นอย่างมาก...
    สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้คือ ทัพหลวงยังไม่รู้ตัว!!! " เจ้าทหารคนนั้นพูดสิ่งที่ซีวอนกังวลใจที่สุดออกมา..บัดนี้เหงื่อที่พราวเกาะหน้า...ความอ่อนล้าจากการรบ...ไม่อาจเทียบได้กับความห่วงหา และ ความตื่นตระหนกอย่างที่ซีวอนไม่เคยเป็นมาก่อน

    องค์ฮีชอล!!!

    องค์ฮีชอล....อย่าเป็นอะไรนะ!!!

    ถึงแม้ฮีชอลอาจจะเคยออกรบกับองค์จักรพรรดิองค์ก่อนมาบ้าง...หากแต่การศึกในครั้งนั้น....ไม่ได้ร้ายแรงดังเช่นปัจจุบัน...เป็นการออกรบเพื่อประลองยุทธ หรือ ออกรบตีเมืองประเทศราชเท่านั้น....ด้วยเหตุนั้น..ประสบการณ์ในการรบของฮีชอลถึงน้อยนัก!!!


    "เจ้ารีบรายงานองค์ฮันเกิง...ข้าจะนำทัพส่วนนึงถอยร่นกลับไปช่วยทัพหลวง ณ บัดนี้ !!! บอกองค์ฮันเกิงให้รีบไปให้ทัน"

    มหาดเล็กไม่คอยช้า...ตีบึ่งอาชาสีดำกลับไปตามหัวใจ....ที่บัดนี้มีแต่ความห่วงหาทุกลมหายใจ!!!


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    "ซีวอน!...เจ้ามาแล้วหรือ.....ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าทัพมันจะตีเข้ามาแบบนี้...ข้า..


    "พระองค์ อย่าทรงตื่นตระหนกพ่ะย่ะค่ะ..กระหม่อมจะอยู่เคียงข้างพระองค์เอง...." มหาดเล็กควบม้าสีดำไปตีเคียงข้างองค์จักรพรรด ที่บัดนี้กำลังรับมีดดากจากศัตรูฝั่งตรงข้าม แล้ว โต้กลับไปทีละคนสองคน....ฝีมือเพลงดาบของฮีชอลก็ใช่ว่าจะเป็นรองใคร....


    หัวที่หลุดออกมาจากบ่าด้วยน้ำมือของเขาก็มีนักต่อนักแล้ว!!!

    "....อ๊ะ...ท่านฮันมาแล้ว...อ๊ะ.." เช้ง...

    ดาบคงจะผ่าเข้ากลางลำคอให้แผ่นดินได้ร้องไห้เล่นๆแน่ๆ...ถ้ามหาดเล็กของเขาเอาดาบมารับก่อนที่มันจะฟันเข้าเนื้อคนประมาทอยู่....ซีวอนได้แต่ส่ายหัว


    ในเวลาเช่นนี้ยังมีอารมณ์คิดถึงคนรักอีกหรือไง!!!


    "พระองค์....มีสติหน่อยสิพ่ะย่ะค่ะ...พระองค์ทรงอยู่ในสนามรบนะ" มือเรียวตวัดดาบ ปากเรียวพร่ำสอน...ไม่กี่ครั้งที่ นายชเวจะเป็นเช่นนี้...อารมณ์ของเขาที่เคยสงบ...บัดนี้กับแปรปรวนด้วยเหตุเพราะคนตรงหน้า...


    ถึงอารมณ์จะแปรปรวนเพียงใด สติของเขายังครบถ้วนอย่างเห็นได้ชัด...นั่น...แม่ทัพ...นั่นคงเป็นแม่ทัพจริงๆของรัฐเมยา.....ที่ควบอาชาสีดำตรงมาตรงคนที่เค้ารักแล้ว!!!


    "องค์ฮีชอล..ระวัง!!"


    เช้ง!!!!

    ปลายดาบศัตรูตวัดเข้ามาเหนือหัว....คนหน้าสาวปัดออกด้วยดาบคมไปได้ก่อนจะตีดาบเข้าที่ข้างลำตัวของคู่ต่อสู้ หากแต่คู่ต่อสู้ก็ตั้งรับได้ไม่แพ้กัน...ม้าศึกทั้งสองตัวก็ต่อสู้กันไม่ต่างจากคนบนม้า...มหาดเล็กหนุ่มกำลังจะหันตัวไปช่วยองค์เหนือหัวที่เค้ารัก..หากแต่ศัตรูที่รายล้อมเค้าตรงหน้าก็มีจำนวนมิใช่น้อย...

    กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว...บัดนี้ฝ่ายได้เปรียบเสียเปรียบดูจะไม่ต่างกันเท่าไร....จำนวนคนที่สิ้นชีวิตบนพื้นดินอาบโลหิตนี้มากจนแทบจะนับไม่ได้....การยุทธยังไม่จบ...ไม่มีเสียงร่ำไห้...มีเพียงเสียงตวัดดาบที่ดังไปทั่วแคว้นทั่วนั้น...


    องค์ฮันเกิงที่บัดนี้ดูเหมือนจะเสร็จสิ้นจากการกำจัดศัตรูของตนเองรีบควบอาชาสีน้ำตาลรูปสง่ามาตีคู่กับคนรักของเขา....ปลายดาบคมของเจ้าเมืองรัฐเมยาตวัดเข้าหาเป้าหมายใหม่ที่ดูเหมือนจะเกะกะขวางทางการปลงพระชนม์ของเขาเสียเหลือเกิน...จึงต้องรีบกำจัดให้สิ้น....องค์ฮีชอลหันไปช่วยคนรักต่อสู้...หากแต่ฝั่งด้านข้างก็มีศัตรูอีกหนึ่งที่มาประลองยุทธ!!!

    ดาบเรียวสองดาบตวัดกันอย่างไม่มีใครเป็นรองใคร...ฮันเกิงตีฟันเข้าที่ด้านข้างของแม่ทัพ....โลหิตที่ไหลรินออกมาเป็นสาย...หากแต่วิญญาณยังไม่ได้ออกจากร่าง...ศัตรูเพียงได้รับบาดเจ็บ...แต่ดูเหมือนความเจ็บจะเป็นแรงฮึด....ให้แม่ทัพของรัฐกบฏฟันเข้าที่มือที่จับดาบของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว!!! มือที่ไร้เรี่ยวแรงแดงฉานไปด้วยโลหิตที่ไหลพุ่งออกมาจากเส้นเลือด!! แรงที่ไม่มีทำให้ฮันเกิงอยู่ในสถานะเสียเปรียบ...


    "ท่านฮันนนน!!!" ฮีชอลมองตาค้าง..แต่ยังต้องคุมสติหันไปรบพุ่งกับบุคคลชุดดำที่รายล้อมอยู่...


    ในเมื่อฮันเกิงอยู่ในสถานะที่ทำอะไรไม่ได้.....แม่ทัพรัฐเมยาก็ถือโอกาสตวัดดาบขึ้นสูงก่อนจะ

    ฉับ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    โลหิตแดงฉานพุ่งออกจากลำตัวทุกทิศทุกทาง!!!!! หากแต่คงจะดีกว่านี้ถ้าร่างที่แม่ทัพรัฐเมยาเพิ่งปลิดชีพไปไม่ใช่...


    "ซีวอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน"

    มหาดเล็กหนุ่มรีบตะบึงม้าสีดำมาเมื่อเห็นคนรักของคนที่เค้ารักกำลังจะถูกปลิดชีพ....ก่อนจะตัดสินใจ...รับปลายมีดดาบแทนฮันเกิง....คนที่เป็นเสมือนหัวใจของฮีชอล...

    เสียงแหลมเรียวเล็กกรีดร้องเสียงดังราวกับหัวใจกำลังจะถูกพรากไปจากตัว......ตอนนี้สติที่เคยอยู่กับเนื้อกับตัวหลุดหายไปทั้งสิ้น...ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าทุกรายตัวของฮีชอลถูกสังหารอย่างไร้ซึ่งความคิด......ร่างเล็กควบม้าอย่างรีบเร่งดิ่งตรงหน้าคนที่ปลิดชีพของคนสำคัญของเค้าไป..ตอนนี้น้ำตาที่ไหลรินออกมาจากหน้ามันรุนแรงไม่เท่ากับความแค้นที่ประทุอยู๋ในใจเค้าตอนนี้....


    ใครฆ่าซีวอน....มันต้องตาย!!!!

    ฉึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! การสังหารที่ง่ายดายอย่างไม่มีใครเคยคาดคิด....ร่างกายที่ประทุด้วยความแค้นอย่างไม่ลืมหูลืมตาตรงดิ่งไปที่แม่ทัพรัฐเมยาก่อนจะเสียบดาบเค้าไปกลางลำคออย่างไร้ความปราณีและการตั้งตัวใดๆ


    แม่ทัพตาย...สงครามสิ้น!!!


    เขาเป็นฝ่ายชนะ....หากชัยชนะครั้งนี้ต้องแลกมาด้วย...คนสำคัญที่สุด


    เมื่อสงครามจบลงด้วยความรวดเร็ว...ร่างเล็กไร้สติไม่สนใจสิ่งรอบกายใดๆทั้งสิ้น....หากแต่รีบลงจากหลังอาชาสีดำแล้ววิ่งตรงไปหาคนสำคัญของเค้าอย่างไม่รู้ดีรู้ร้าย!!!

    "ซะ...ซีวอน...ซีวอน....อย่าเพิ่งหลับตาสิ!!!! ข้าสั่งไง...ไม่ได้ยินหรือไงงงงง ซีวอนนนนน เจ้าอย่าทำแบบนี้...อย่าทำแบบนี้....เรียกชื่อข้าซีวอน..เรียกชื่อข้า..." น้ำตาหลายหยาดหยดที่หลั่งมาไม่ใช่เพียงจากร่างกายแต่ทั้งหมดหลั่งออกมาจากหัวใจ....มือน้อยที่กุมศรีษะของมหาดเล็กคนสำคัญเค้าไว้บนตัก....


    "ฮะ...ฮี..ชอ...ชอล....ฮะ..ฮีชอล......" ร่างสูงที่ทนกับพิษบาดเจ็บเพื่อเอื้อนเอ่ยคำสุดท้ายไปให้กับคนตรงหน้า...คนสำคัญของเค้า...คนที่เค้าให้หัวใจไปทั้งดวง...คนที่เค้าคิดจะปกป้องตลอดไป....


    หากแต่ต่อไป....คงทำไม่ได้แล้ว....


    "ทำ..ไม..ทำไมเจ้าถึง..." ฮันเกิงที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหวั่น


    เหตุใดถึงเอาชีวิตเข้าแลกกับคนที่เป็นหัวใจศัตรูเช่นข้า....เหตุใด.....ทำไมถึงไม่ปล่อยให้เค้าตาย...


    "พ...เพร...อึก..อึก...." เลือดที่กระอักออกมาจากลำคอแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ร่างกายมหาดเล็กคนนี้แทบจะไม่ไหวเสียแล้ว  แต่จิตใจยังรั้งลมหายใจให้อยู่กับคนที่เค้ารัก....


    ต่อไปอีกสักนิด


    อีกสักนิดก็ยังดี


    "พะ...เพราะ...หะ...หัว...จะ..ใจ...ขะ...ของ...เค้า...อะ...อยู่...ที่ท่าน!!! อึก..อึก.." นิ้วเรียวพยายามชี้ไปที่อกข้างซ้ายของคนที่โอบกอดเค้าไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง.....

    "พอ!!! ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว...ข้า..ฮึก...ข้าจะรีบนำเจ้าส่งโรงหมอ...เจ้าห้ามพูดอะไรอีก...ฮึก...ทนอีกนิดนะ..ฮึก...เดี๋ยวเจ้าต้อง...ฮึก...ต้องอยู่กับข้าต่อนะ....เดี๋ย..ว..ฮึก...เดี๋ยววันนี้...ข้าจะละ...เลี้ยงกิมจิที่เจ้าชะ...ชอบไง...ดีมั้ย...ฮึก..."ร่างเล็กพยายามรั้งคนตรงหน้าไว้ให้นานที่สุด....ทหารที่ถูกไปตามแพทย์ฝีมือดีมาเพื่อคนบาดเจ็บ....ยังไม่กลับมา...และถึงจะกลับมา...เวลาที่มีก็ใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว...ร่างเล็กพยายามพูดติดตลกทั้งน้ำตา....ราวกับว่าคนตรงหน้าจะต้องอยู่กับเค้าอีกนานแสนนาน.....หลอกตัวเองว่าคนตรงหน้าจะต้องไม่จากไปไหน.....คนตรงหน้า

    จะอยู่กับเค้าตลอดไป...


    "ดะ..ดีสิ.....ดะ...ดี..สะ..เสมอ....ฮะ...ฮี..ชอ..ชอล..." มือเย็นที่ถูกกอบกุมด้วยมืออุ่นบัดนี้สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด..ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงค่อยๆซีดลงเรื่อยๆ...น้ำตาที่แอบแก้มของคนโอบกอดร่างบาดเจ็บไหลรดมือของคนตัวสูงที่ถูกอบกุมไว้ที่แก้มอย่างโหยหา...โหยหาการมีชีวิตของคนตรงหน้า....ไม่อยากให้หัวใจหยุดเต้น....


    "อะ..ฮึก..อะไร...เจ้าอยะ..อย่าพูดมากสิ...เดี๋ย..เดี๋ยว..ฮึก..หมอ..ก็..มา..ฮึก" คนร่างเล็กยังคงหลอกตัวเองต่อไป...น้ำตาที่ทำเช่นไรบัดนี้ก็คงหยุดไหลไม่ได้....หัวใจที่กำลังถูกบีบตัวรัดอย่างช้าๆ ด้วยเวลาแห่งการจากไปมันใกล้เข้ามาแทบทุกวินาที!!!!

    ก่อนเวลาจะหมดลง....ก่อนเวลาจะหมดไป....


    ขอพูดเพียงคำหนึ่งคำ


    คำพูดคำสุดท้าย


    คำพูดที่ชายคนนี้ไม่เคยได้เอื้อนเอ่ย...


    คำพูดที่มันฝังอยู่ในอวัยวะในอกข้างซ้ายมาเป็นแรมปี....


    คำพูด...ที่มันกลั่นกรองมาจากหัวใจที่แท้จริง...





    "ระ...รัก...."


    "ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ซีวอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ซะ...ซีวอนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน มะ...ไม่..เจ้าต้อง...ไม่...เจ้าต้องไม่ทิ้งข้าไป....ฮึก...ฮึก..เจ้าต้องไม่ทิ้งข้าไป...ฮึก....แล้วข้าจะอยู่..เช่นไร..ฮึก..ไม่จริง ไม่จริง บอกข้าทีว่ามันไม่จริง!!! ตื่นเดี๋ยวนี้!!! เจ้าอย่าหลับ!!! ตื่น ข้าสั่งให้ตื่นไง !!! ตื่น!!! ไม่จริง ไม่จริงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!"


    หัวใจของข้าอยู่ที่ท่าน...หากแต่หัวใจของท่าน...อยู่ที่เค้า......ข้าต้องปกป้องหัวใจท่าน.....ฮีชอล....หัวใจของท่าน...อยู่ที่เค้า...ข้าจะต้องปกป้องไม่ให้หัวใจท่านแตกสลาย....

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ช่วงเวลาที่ผ่านเลย....กาลเวลาที่หมุนไป...หากหัวใจยังคงเดิม....


    "เจ้าเป็นอย่างไรบ้างซีวอน....เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง...บัดนี้อยู่สบายดีหรือเปล่า...ที่นั่นอากาศหนาวมากมั้ย......ฮึ..." คนตัวเล็กนั่งทอดอารมณ์อยู่ที่เดิม...ที่ที่เคยนั่งเอนไหล่ เล่นหัวกับหนุ่มมหาดเล็กผู้คุ้นเคย....ผู้ที่เค้า.....

    "รัก"


    "เจ้า...คง...คะ..คิดถึง..ฮึก..คิดถึงข้าใช่มั้ย....เจ้าคงคิดถึง..ฮึก...ข้านะ..." สายน้ำที่ไหลออกมาหัวใจเกลือกกลิ้งลงสู่แก้มทั้งสองอีกครั้ง...หากครั้งนี้ไม่มีคนปาดให้เหมือนที่มหาดเล็กหนุ่มเคยทำ.....หากแต่ฮีชอลรู้สึกชินเสียแล้ว....เพราะการเสียน้ำตาเช่นนี้...เวลานี้....มันเกิดขึ้นทุกวัน....

    เกิดขึ้นทุกวัน...ตั้งแต่คนคนนั้นจากไป....


    เจ้าจะคิดถึงข้ามั้ยนะ...ซีวอน....


    "ฮีชอล...ร้องไห้อีกแล้วหรือ..."คนคุ้นเคยที่สาวเท้ายาวเข้ามานั่งด้านข้างคนนั่งสวย....ที่ที่เคยเป็นที่นั่ง...ของใครคนั้น....


    "ฮึก...ข้าเปล่า..ท่านฮัน.." เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมาขัดกับมือเรียวที่ปาดน้ำตาออก...คนตรงหน้ามีหรือจะไม่รู้....


    "ข้าขอโทษนะท่านฮัน...ที่ข้าปฏิเสธการแต่งงานของเรา...ข้า...ข้ามิอาจ...


    "ข้าเข้าใจ...ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก....ข้าเข้าใจ...มีแต่เจ้าเท่านั้นแหละ...ที่ไม่เข้าใจตัวเองมาตั้งแต่แรก..." ฮันเกิงกล่าววาจาที่ทำให้คนฟังต้องทำหน้าฉงน....ไม่เข้าใจอะไร...แล้วตั้งแต่แรก..หมายความเช่นไร


    "ข้าไม่เข้าใจสิ่งใด..."


    "เจ้าไม่เข้าใจว่าที่ผ่านมา...เจ้าไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าคิดกับข้าเพียงแค่พี่ชาย...เจ้าเพียงแต่อุปโลกน์ให้ข้าเป็นคนรัก....หัวใจของเจ้าน่ะ..มีแต่ "คนคนนั้น" มาตั้งนานแล้ว" สายตาเรียวรื้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้งเมื่อคนตรงหน้าเอ่ยอ้างถึง "คนคนนั้น" ขึ้นมา


    "เหตุใดท่านถึงคิดเช่นนั้น"


    "แล้วเจ้าขาดเจ้านั่นได้รึเปล่าล่ะ...เจ้าลองคิดกลับกันสิ...ถ้าหากวันนึงเจ้าขาดข้าไป...เจ้าจะรู้สึกเช่นไร...แล้ววันนี้..ทีเจ้าขาดเค้า...เจ้ารู้สึกเช่นไร..." ฮันเกิงไม่ได้ให้คำตอบที่น่าพอใจ...หากแต่ให้คนข้างๆนำกลับไปทบทวนความรู้สึกตัวเองเสียมากกว่า....ถึงแม้เค้าจะรู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้ามั่นใจในความรู้สึกของตนเองแล้ว...หากแต่สิ่งที่เป็นตั้งแต่แรก...สิ่งที่ฮีชอลรู้สึกตั้งแต่แรก...ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนนี้เลย....

    ฮีชอล..."รัก".."คนคนนั้น" มานานแล้ว....

    ฮันเกิงเองรู้ดี......


    "ข้า...


    "ไม่ต้องตอบข้าหรอก...ตอบคนที่อยู่บนฟากฟ้านั่นเถอะ....ข้าเชื่อว่าเค้าคงอยากฟัง..."


    "เค้าจากข้าไปแล้ว...." คนหน้าสวยน้ำตารื้น....ไหลรินออกมาเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน....รู้แต่ว่าน้ำตามันไม่เคยเหือดหายไปจากใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว....


    "ข้าว่าเจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้วนะ...ข้าว่าคนที่เจ้ารักคงไม่อยากเห็นเจ้าร้องให้สักเท่าไรหรอก....แล้วอีกอย่างคนที่เจ้ารักไม่ได้จากเจ้าไปไหนเสียหน่อย...เจ้าพินิจให้ดีเจ้าจะรู้เอง....เค้าอยู่ใกล้เจ้าเสียเหลือเกิน...เพราะฉะนั้น...เลิกร้องไห้ได้แล้ว"น้องชาย"" องค์ชายคนดีลูบหัวปลอบประโลมคนตัวเล็กก่อนจะเดินจากไปปล่อยให้ใจของตัวเล็กได้อยู่คนเดียวเสียจะดีกว่า...เผื่อจะได้มีเวลาทบทวนสิ่งที่เค้าพูดไป...

    หากพินิจให้ดี....


    เจ้าอยู่ไหน...ซีวอน...เจ้าอยู่...

    ข้าทราบคำตอบแล้วล่ะ

    ...เจ้าอยู่ในนี้....อยู่ในหัวใจของข้านี้....ใช่มั้ย...คนดี...เจ้าอยู่ที่นี่....

    และจะอยู่ตลอดไป.....

    คนตัวเล็กยืนขึ้นรับสายลมที่โบกพริ้วมาปะทะใบหน้าเหมือนการรับรู้ความรู้สึกของร่างสูง....เหมือนคนที่เค้ารอคอยจะเป็นมาเยือนในสภาพของสายลมอบอุ่นห่อหุ้มหัวใจบอบบางไว้....ฮีชอลหลับตาพริ้ม...อ้าแขนรับลมอุ่มทั้งรอยยิ้ม....


    "รอข้านะ....รอข้าที่นั่น...ข้าจะไปบอกคำที่เจ้าต้องการได้ยิน.....ข้าจะไปบอกคำที่เจ้ารอคอย........รัก...."

    ตลอดไป.........

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×