ท้าพิสูจน์
คุณเคยสงสัยในเรื่องที่เราไม่เคยศรัทธาไหม? แล้วคุณเคยกล้าพอที่จะลองพิสูจน์มันด้วยตัวเองหรือเปล่า เราขอให้คุณลองอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้แล้วคุณจะพบว่าบางครั้งคำตอบของทุกสิ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด...
ผู้เข้าชมรวม
220
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ท้าพิสูจน์
หัวใจผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ มันเต้นแรงซะจนผมคิดว่ามันจะกระเด็นออกมาจากอกเลยทีเดียว ผมไม่ได้เป็นโรคหัวใจหรอกนะครับ และผมก็รู้ตัวดี
...ความกลัวกำลังครอบงำผมอยู่
ผมกำลังยืนอยู่ในที่ๆมืดสนิท อับทึบ มีเพียงแสงไฟจางๆจากไฟฉายของผมเท่านั้นที่คอยส่องนำให้เห็นสภาพเบื้องหน้าของห้องๆหนึ่ง ที่มีสภาพเป็นห้องโถงวางเปล่ามีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น ทุกๆตารางนิ้วในห้องนี้หรืออาจเรียกได้ว่าพื้นที่ทั่งหมดของตัวบ้านถูกฝุ่นจับหนาเตอะ และบางส่วนก็มีหยากไย้ชักใยอยู่ สภาพอันน่าวังเวงที่เห็นอยู่เบื้องหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงกาลเวลาที่ถูกทอดทิ้งของบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี ยิ่งตอนที่มีเสียงเห่าหอนของสุนัขภายนอกด้วยแล้วก็สามารถทำให้คนที่ขวัญอ่อนสติกระเจิดกระเจิงได้เลยทีเดียว แต่ที่ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
สายลมเย็นๆพัดผ่านเข้ามาในตัวบ้านทางประตูที่ผมเปิดทิ้งไว้ กระทบเข้ากับหลังของผมจนรู้สึกเสียวสันหลังวูบ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านอีกสักสองสามก้าวเพื่อเข้าไปภายในบ้านให้ลึกกว่านี้ เบื้องหน้าผมตรงบันไดที่เป็นทางขึ้นไปบนชั้นสองของตัวบ้านมีรอยเท้าปรากฏอยู่บนฝุ่นที่จับหนาบนขั้นบันได ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงส่วนที่พักบันไดที่เป็นส่วนลับตา
‘บ้านหลังนี้ร้างมานานกว่าสิบปี ไม่น่าจะมีคนอยู่แล้วนี่นา’ ผมคิด ความกลัวครอบคลุมไปทั่วทุกอณูในตัวผม แต่ด้วยความกล้าที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดรวมกับความขี้สงสัยที่เป็นนิสัยส่วนตัวของผมก็ชักนำให้ผมเดินตามรอยเท้าขึ้นไปข้างบน ยังไม่ทันที่เท้าขวาจะแตะกับบันไดขั้นแรกเสียงดังโครมครามก็เกิดขึ้นจากชั้นบนของตัวบ้าน พร้อมๆกับที่ลำแสงจากไฟฉายของผมฉายไปต้องกับอะไรบางอย่างที่หล่นลงมาจากชั้นบน เท่าที่ผมเห็นมันมีลักษณะทรงกลม...สีขาวนวล
เพล้ง!!!...
เท่านั้นแหละสติที่ผมอุตส่าห์ควบคุมได้อยู่ก็กระเจิงทันที เท้าผมทำงานโดยอัตโนมัติพาตัวผมออกไปจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว ในหัวผมไม่หลงเหลือความคิดอะไรอีกแล้ว
ผมกลับมาถึงบ้านโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำได้อย่างไร และก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแม่ที่ยอมเสียสละเวลาอันมีค่ามาเทศนาลูกบ้าๆอย่างผมที่แอบออกไปนอกบ้านหลังกินข้าวเย็นเสร็จแล้วกลับบ้านดึกอีกต่างหาก แต่ผมก็ดีใจที่ได้กลับถึงบ้านและได้รู้ว่าแม่เป็นห่วงผมถึงขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆ การท้าพิสูจน์ของผมก็ล้มเหลวไปอีกครั้ง
lllll
เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานไปเล่าให้พวกเพื่อนๆของผมฟังมีเมษ จอม และก็เบื้อก เราทั้งสี่สนิทกันมากจนถึงขนาดมีทุกข์ร่วมทุกข์มีสุขร่วมเสพเลยทีเดียว
ระหว่างทางไปโรงเรียนผมจำเป็นจะต้องปั่นจักรยานผ่านบ้านร้างหลังนั้นอีกครั้ง สภาพภายนอกของตัวบ้านนั้น เป็นบ้านปูนขนาดสองชั้น เก่ากึก ซ่อมซอ มีไม้เลื้อยไต่ขึ้นรอบๆบ้าน ส่วนบริเวณโดยรอบก็ปลูกไม้ยืนต้นอันหนาทึบบังเอาไว้ ดูแล้วบ้านหลังนี้ก็มีสภาพไม่ต่างจากบ้านผีสิงในสวนสนุกสักเท่าไหร่นัก แต่ที่ต่างจากบ้านทั่วๆไปคือมันเป็นบ้านที่ผู้คนในหมู่บ้านต่างลือกันว่ามีผีสิงอยู่
แต่ผมนะไม่เชื่อหรอก เพราะผมไม่เคยเชื่อในเรื่องผีสางนางไม้ จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนมีตาลุงคนหนึ่งมาเล่าให้ผมฟังว่าตัวแกเองเพิ่งไปเจอแจ็คพอร์ตมาเต็มๆเมื่อกลางดึกคืนหนึ่งตอนที่แกเดินผ่านบ้านหลังนั้น แกเห็นแสงสว่างวอบๆแวมๆฉายออกมาจากหน้าต่างชั้นบน พร้อมกับการปรากฏเงาของคนๆหนึ่งท่ามกลางแสงไฟจางๆ มันโผล่มาทันทีทันใด แถมยังหายไปต่อหน้าต่อตาโดยแกยังไม่ทันรู้ตัว
เท่านั้นแหละครับ เพียงเรื่องเล่าของตาลุงแก่ๆคนเดียวก็ได้จุดประกายความอยากรู้ของผมจนผมต้องวางแผน หาทางเข้าไปพิสูจน์และนั้นก็เป็นต้นเหตุของการท้าพิสูจน์ของผมที่ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาสองครั้ง แต่ในครั้งที่สามนี้ผมจะต้องไม่พลาดเพราะผมจะพาเพื่อนไปด้วย
“เฮ้ย! บ้านร้างที่เขาเล่าลือกันว่ามีผีสิงอยู่นะ เราไม่เชื่อหรอก เราเคยเข้าไปพิสูจน์ แต่คว้าน้ำเหลวมาแล้วตั้งสองรอบ แต่ครั้งเนี้ยเราไม่พลาด พวกแกจะไปกับเราด้วยรึเปล่า”
ผมถามเพื่อนของผม “รึพวกแกกลัว”
“เฮ้ยไอ้เพื่อนบ้า อย่าเอาพวกเราไปเหมารวมเป็นพวกไก่อ่อนซิว่ะ” ไอ้เมษหนึ่งในเพื่อนทั้งสามของผมตอบ “เรานะไปแน่”
เมษและจอมเป็นคนกล้าบ้าบินพอๆกับผมจะเหลือก็เพียงเบื้อกเท่านั้นที่เป็นคนขี้กลัวและอายยังทำท่าลังเลอยู่
“เบื้อก แกไปไหวไหมว่ะ ถ้าไม่ก็ไม่ต้องไปก็ได้”ผมถามด้วยความเป็นห่วงพลางจ้องหน้าเบื้อกพร้อมๆกับเมษและจอม เบื้อกเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“พล อย่ามาดูถูกเรานะ เราเป็นลูกผู้ชาย ไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว” และนั้นก็เป็นคำตอบเอกฉันท์ ที่ทำให้จอมโขกหัวเบื้อกหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ไอ้เพื่อนรัก
lllll
เวลาสามทุ่มตรงผมแอบออกมาจากบ้านและตรงไปยังบ้านร้างนั้นอีกครั้ง บริเวณหน้าบ้านร้างที่เป็นจุดนัดพบที่ผมกำหนดขึ้น ปรากฏไอ้เมษและไอ้จอมอยู่แล้ว ทั้งคู่ถือไฟฉายอยู่ในมือแสดงความพร้อม ด้วยเพราะบ้านของพวกเราทั้งสี่คนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน การมายังจุดนัดพบที่นี่จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากแต่อย่างไร
“ไอ้เบื้อกยังไม่มาเลย” เมษรายงานแล้วทำหน้ามุ่ย “สงสัยลูกผู้ชายคนนั้นจะหลงทางเลยมาช้า”
“คงงั้นมั้ง”ผมพูดรับมุขของเมษ แต่ยังไม่ทันขาดคำเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นข้างหลังผม นายเบื้อกมาแล้ว และก็มาอย่างรวดเร็วเต็มฝีเท้าอีกด้วย
“ .’โทษที ที่มาช้ากว่าจะขอแม่มาได้ก็ใช้เวลาตั้งนานแนะ”เบื้อกกล่าวพลางหอบพลาง และนั้นก็ทำให้พวกผมโล่งใจเป็นอย่างมาก คนพร้อม ไฟฉายพร้อมและที่สำคัญใจพร้อม การท้าพิสูจน์ครั้งสำคัญครั้งนี้จึงเริ่มขึ้น
ผมสัมผัสบรรยากาศอันคุ้นเคยอีกครั้ง เลือดในกายแล่นพล่าน ความรู้สึกต่างๆพากันถ่าโถมเข้ามาในใจผมทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกล้า แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจที่ยังพอมีเพื่อนมาร่วมทาง ผมเหลียวมองไปยังเพื่อนทั้งสามและต้องอมยิ้มออกมา เพราะเพื่อนทั้งสามที่ป่าวประกาศตนว่ากล้านั้นบัดนี้หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม พวกเราเกาะกลุ่มกันเดินเข้าไปยังห้องโถงห้องแรก ผมชี้ให้พวกเขาดูตรงบันไดเป็นสัญญาณว่าพวกเราต้องขึ้นไปข้างบนซึ่งข้างหน้าบันไดมีเศษโคมไฟตั้งโต๊ะแตกกระจายเกลื่อนอยู่พลั้นผมก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวาน ใจนึกสงสัยว่าใครโยนลงมา แต่ก็ต้องทิ้งความสงสัยไปเมื่อเห็นว่าธุระตรงหน้าสำคัญกว่า
การพิสูจน์ครั้งนี้น่าจะราบรื่นดีจนเมื่อพวกผมกำลังเดินไปข้างบนได้ครึ่งทาง ผมซึ่งอยู่หน้าสุดนั้นก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นทำลายความเงียบผนวกกับเสียงหมาหอนและบรรยากาศที่เต็มใจสร้างความกลัวมาให้เยือนอีกครั้ง ผมกระชับไฟฉายในมือให้แน่นขึ้น ข้างบนนั้นมืดมากจนผมแทบไม่เห็นอะไรเลย แม้จะมีแสงจากไฟฉายก็ตาม
“ไอ้พล...กะ...แกขึ้น...ไปซิว่ะ”เสียงสั้นครือของจอมดังขึ้นข้างหลังผมและพยายามดันหลังผมจนผมเซไปข้างหน้า “จะหยุดให้ผีมันหลอกเอารึ”
ผมส่ายหัวด้วยความปลงสังเวชก่อนจะทำใจแข็งเดินนำเพื่อนๆขึ้นไปข้างบน บริเวณชั้นบนของตัวบ้านก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย มีเพียงของลักษณะแบนๆซึ่งถูกผ้าคลุมสีขาวคลุมอยู่วางเรียงเป็นริ้วพิงผนังบ้านและเฟอร์นิเจอร์บางอย่างที่ทั้งหมดถูกฝุ่นจับจนหนา ผมลองเปิดผ้าคลุมดูของที่อยู่ด้านใน ปรากฏเป็น Art Gallery เกือบทั้งหมด
ท่ามกลางความประหลาดใจของผมและเพื่อนๆ เสียงเคาะประตูก็ดังมาจากห้องห้องหนึ่งซึ่งประตูถูกปิดอยู่และโดนข้าวของกองทับไว้ เสียงเคาะดังขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นเสียงทุบพร้อมๆกับที่มีเสียงร้องครวญครางฟังไม่เป็นภาษา เมษกับจอมนั้นร้องจ๊ากและวิ่งหนีลงบันไดไป ทิ้งให้ผมกับเบื้อกกอดกันตัวสั่น ตอนนั้นยอมรับว่าผมกับเบื้อกนั้นตกใจมาก พยายามจะก้าวขาวิ่งหนีก็ก้าวไม่ออก มันกลัวซะจนหัวสมองว่างเปล่าเลยทีเดียว แต่ก็มีเสียงหนึ่งก้องอยู่ในหู ผมไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไรแต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกกล้าขึ้นที่จะเปิดประตูบานนั้น
“พล แกจะทำอะไรว่ะ”เบื้อกถามขณะที่ผมกำลังเรื้อของที่ข้างประตูออกและบิดลูกบิดประตูเพื่อเปิดประตูบานนั้นแต่ลูกบิดมันแข็งมากจนเปิดไม่ออก “เบื้อกช่วยหน่อย” ตอนนั้นเบื้อกมันก็ไม่ขัดอะไรแต่ช่วยผมออกแรงถีบประตูนั้นจนมันหลุดจากบานพับตกกระทบพื้นดังโครมเกือบทับโดนใครคนหนึ่งเข้า คนคนนั้นเป็นผู้หญิง ผมยาวสยาย หน้าตาผิวพรรณดูดี จนผมคิดว่าถ้าเป็นผีก็คงเป็นผีที่หน้าตาน่ารักที่สุด
ผมยังไม่ทันจะเข้าไปดูใกล้ๆ เธอคนนั้นก็โผเข้ากอดผม หอมแก้มทั้งสองข้างของผมพลางกล่าวขอบคุณที่ช่วยเธอไว้ เธอทำอย่างเดียวกันกับเบื้อกซึ่งตอนนี้ยืนนิ่งเป็นตุ๊กตา หน้าแดงยังกับลูกตำลึงสุก ความกลัวของผมหายไปหมดสิ้น
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างเข้าที่ เธอก็เล่าความจริงให้พวกผมฟัง เธอชื่อนภาลัย เป็นนักศึกษาที่กำลังจะเข้ามหาลัยใกล้ๆหมู่บ้านผม เธอและครอบครัวจึงตกลงจะย้ายมาอยู่บ้านย่าซึ่งอยู่ใกล้ๆมหาลัยด้วยเพราะย่าของเธอเสียไปนานแล้วและบ้านก็ร้างมานานกว่าสิบปี แต่บังเอิญคืนหนึ่งเธอขึ้นไปสำรวจชั้นบน ด้วยความที่เธอเป็นคนซุ่มซ่ามจึงสะดุดหกล้มชนประตูปิดพร้อมๆกับที่ของภายนอกล้มขวางไว้ผนวกกับสภาพของลูกบิดซึ่งไม่ได้รับการดูแลรักษามานับสิบปีจึงทำให้เธอถูกขังอยู่ภายในนั้นสามวันแต่โชคยังดีที่เธอรอบคอบพอที่จะนำเป้ใส่อาหารและน้ำมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะอีกทั้งในห้องก็มีเทียนไขตกอยู่หลายเล่ม เธอจึงอยู่ได้โดยรอคอยให้ใครสักคนมาช่วยเธอ จนกระทั้งเมื่อคืนวานมีเสียงดังมาจากข้างล่างเธอมั่นใจว่าเป็นเสียงคนแน่ๆ เธอจึงพยายามเขย่าประตูเพื่อออกมาให้ได้จนพื้นบ้านสั่นสะเทือนแต่สุดท้ายก็ไร้ผล คนๆนั้นหนีไปพร้อมกับเสียงร้องลั่น(ผมแอบอมยิ้ม) เธอรอคอยต่อมาจนถึงคืนนี้ ที่มีพวกผมมาช่วย เธอดีใจมากและโพเข้ากอดผมกับเบื้อกอีกครั้งก่อนที่เราจะออกจากบ้านร้างหลังนั้นและเธอก็เดินแยกจากไป ผมกำลังจะกลับบ้านพร้อมกับเบื้อกแต่ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ยังค้างอยู่ในใจผม
“เบื้อก ปรกติแกเป็นคนขี้กลัวนี่นา แล้วทำไมนายไม่หนีกลับบ้านเหมือนพวกเมษกับจอมละ”ผมถาม
“คือ แบบว่าตอนนั้นฉันก็กลัวนะ แต่เราได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหูเหมือนเสียงคนกระซิบว่า ‘จะมีสักกี่คนที่ในครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้เอาชนะความกลัวในใจตนเอง’ แค่นั้นแหละฉันก็เลิกกลัวไปเลยละ รู้สึกดีมากๆด้วย”เบื้อกตอบพลางยิ้มร่า ซึ่งผมก็ยิ้มด้วยความยินดีเช่นกันเพราะผมสามารถแก้ปริศนาบ้านผีสิงได้และที่สำคัญก็ได้ช่วยชีวิตคนคนหนึ่งไว้
ผมเดินกลับบ้านไปพร้อมกับเบื้อกแต่ก็มีสิ่งหนึ่งสะดุดสายตา บนระเบียงบ้านร้างนั้นมีร่างของหญิงชราคนหนึ่งยืนอยู่ แกส่งยิ้มให้ผมก่อนจะโบกมือลาแล้วร่างของนางก็สลายหายไป ผมมั่นใจว่านั้นต้องเป็นคุณย่าของนภาลัยแน่และเป็นคนที่แอบกระซิบข้างหูผมกับเบื้อกทำให้เราหายกลัว และต้องเป็นคนๆเดียวกันที่โยนโคมไฟลงมาข้างล่างเพื่อเป็นให้ผมรู้ว่าหลานแกติดอยู่ข้างบนในครั้งที่สองที่ผมมาเยือน
“พล มีอะไรหรอ” เบื้อกถาม “เปล่าไม่มีอะไรหรอก”ผมตอบ พลางนึกอยู่ในใจ ‘การท้าทายเพื่อหวังพิสูจน์ในสิ่งที่เราไม่ศรัทธาก็อาจนำมาซึ่งคำตอบที่แสนจะคาดไม่ถึงอย่างครั้งนี้ก็ได้’
llllll
ผลงานอื่นๆ ของ Na@Me NoN ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Na@Me NoN
ความคิดเห็น