คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทสรุปของนายช่างฝัน (ตอนจบ)
“ทำไมล่ะมิ่ง ดูหลุนสิ.... เอาแต่เงียบอย่างเดียวมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว” เสียงใสของขมิ้นแว่วเข้ามากระทบหูทันทีที่ผมอยู่ในรัศมีการได้ยิน
“มันมีเหตุผล” มิ่งตอบแค่นั้น และดูท่าทางจะอยากให้บทสนทนามันจบแค่นั้น แต่ฝ่ายขมิ้นไม่ยอมเลิกราง่ายๆ
“ก็บอกมาสิ เอาแต่บอกว่าเหตุผลๆอยู่ได้”
“แล้วทำไมถึงสนใจในตัวหลุนนักล่ะ”
“ฉันมันก็แค่คนอัธยาศัยดีเท่านั้นเองน่า”
“จริงเร้อ.....” มิ่งยิ้มกวนๆ “เอางี้..... ถ้าเธอตีกับฉันได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันจะบอกความคิดของฉันก็ได้ว่าที่ไอ้หลุนมันเป็นแบบนี้เพราะอะไร แต่มีข้อแม้ว่าเธอห้ามบ่น ห้ามขอพัก แล้วก็ห้ามไปกินน้ำถ้าฉันยังไม่ยอมเลิกนะ”
“โหดนะเธอ.....” เสียงโอดโอยดังมาจากข้างกายเขา แต่ก็กลับยอมรับโดยดี
อยู่ๆเวลาก็ไหลไปเรื่อยราวกับเทปบันทึกภาพที่ถูกเร่ง แล้วผมก็มาอยู่ที่โรงอาหารโดยที่ไม่ได้กระดิกขาไปไหนเลย ภาพที่เห็นคือขมิ้นที่ผมเผ้ากระเซิง แล้วดื่มน้ำหมดไปสามขวดราวกับนักเลงเมาเหล้า ทั้งๆที่มิ่งยังคงมีท่าทีสบายเหลือแหล่ แต่สภาพก็เหงื่อโทรมไปทั้งตัว การท้าทายนี้คงโหดมาไม่ใช่ย่อย
“น่าสงสารจัง”
“พูดมากน่า ยอมเล่าสักทีสิ”
“เออๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะถึกมากถึกมายขนาดนี้ ผิดคาดจริงๆ” มิ่งหัวเราะกลบเกลื่อน ขมิ้นยังไม่ทันจะส่งตาเขียวส่งไปเพื่อคะยั้นคะยอเรื่องเล่าจากเขา เขาก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ก็ดีเหมือนกัน ให้เพื่อนใหม่รู้ซะบ้างก็คงดี แต่อย่าไปทำตัวให้มันรู้ล่ะว่าเธอรู้”
“ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วแฮะ” ขมิ้นพูดทีเล่นทีจริง แต่ถึงอย่างนั้นมิ่งก็เล่าเรื่องราวออกมาให้เธอฟังในที่สุด
“หลุนมีเพื่อสมัยเด็กอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าไปเจอกันตั้งแต่ตอนไหน อนุบาลเลยล่ะมั้ง เขาเป็นผู้หญิง...ชื่อว่านิ้ม แล้วตอนมัธยมนี่แหละ ทั้งสองคนก็มาอยู่ห้องเดียวกัน สนิทกันมากยิ่งกว่าอะไรดี กลับบ้านด้วยกันทุกวัน งานไหนๆก็ทำด้วยกัน จนหยั่งกับว่าจะไม่มีอะไรไปแยกสองคนนี้ได้เลย จะดูรูปไหมล่ะ มีรูปถ่ายรวมทั้งห้องอยู่รูปนึง” ว่าแล้วเขาก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา หยิบรูปแบบเดียวกันกับที่ผมมียื่นให้ขมิ้นพลางบรรยายว่านิ้มอยู่ส่วนไหนของภาพ
“คนอื่นรู้รึเปล่าฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ก็คงรู้เพราะก็พากันจับคู่อยู่บ่อยๆ ถึงกับโหวตให้เป็นคู่รักแห่งปีสองปีติดกันเลยนะ นิ้มถึงจะปฏิเสธแต่ก็ไม่จริงจัง ส่วนไอ้หลุนไม่เคยพูดอะไรเลย แต่ที่แน่ๆ หลุนชอบนิ้มแน่นอน ทุกรูปที่มีนิ้ม มันจะชอบโผล่ไปใกล้ๆตลอดนั่นแหละ จะบังเอิญมั่ง จงใจมั่งฉันก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ที่แน่ๆ สายตาของมันไม่เคยมองใครนอกจากนิ้ม
ไม่มีใครรู้ว่านิ้มคิดยังไง ทั้งห้องหลายคนก็คิดว่าหลุนมันรักเขาข้างเดียว ที่อีกหลายคนก็บอกว่าไม่แน่ บางคนก็ว่าเป็นแฟนกันก็มี แต่สุดท้าย.....” มิ่งหยุดชะงักที่ตรงนั้น สีหน้าของเขาทำให้คนฟังพลอยหน้าเสียไปด้วย ขมิ้นหน้าซีดลง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ราวกับว่าเธอรู้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใดต่อไปอย่างนั้นแหละ ในที่สุดมิ่งก็พึมพำออกมาอย่างยากลำบาก
“นิ้มตายไปก่อนที่เราจะจบม.3 ครอบครัวของเธอก็ด้วย นิ้มตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ รายละเอียดฉันไม่รู้หรอก อาจารย์เล่ามาแค่นั้น ทั้งวันในห้องถึงกับเงียบสนิท ไม่มีใครเป็นอันเรียน คำพูดของอาจารย์แต่ละคนไร้ความหมายมากในวันนั้น เฉลยข้อสอบหรือผลสอบอะไรก็ไม่อาจแลกความเศร้าให้เป็นความสนใจได้ หลายคนอยากจะพูด.... แต่ก็พูดไม่ออก อยากจะถาม....แต่ก็ลังเลว่าอยากจะรู้จริงไหม ทุกคนเสียน้ำตาไปหลายสาย แต่ความเสียใจของเราทุกคน ต่อให้รวมกันแล้วยกกำลังสักเท่าไร ก็คงไม่เท่ากับสิ่งที่หลุนต้องเจอ”
ขมิ้นแตะริมฝีปากตัวเองด้วยความตกใจ มองตามิ่งไม่กะพริบ
“ทุกคนพยายามไม่พูดถึงนิ้มอีก บรรยากาศที่อึมครึมก็ค่อยๆจางลงไปตามเวลา แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้จัดงานเลี้ยงอำลาอย่างที่ห้องอื่นเขาทำกัน อาจจะมีก็แยกเป็นกลุ่มๆไป ไม่ได้รวมยกโขยงไปทั้งห้าสิบกว่าคน เพราะเราทุกคนรู้ว่าห้องเราไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกคนยังคงรู้สึกว่าเราจะจัดงานเลี้ยงได้ยังไง ในเมื่อการสูญเสียสมาชิกคนนึงไป มันไม่มีวันทำให้ห้องเราเหมือนเดิม
ตั้งแต่ตอนนั้นหลุนก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย ช่วงแรกๆหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ นึกว่ามันจะหาทางฆ่าตัวเองให้ได้จริงๆงั้นแหละ มันคลั่งมากจนน่ากลัว จริงๆนะ....ฉันยังเสียวเลย สภาพมันตอนนั้นไม่เหมาะที่จะมาเรียนแม้แต่นิดเดียว อาจารย์เรียกมันไปคุยหลายครั้ง เชิญผู้ปกครองก็แล้ว แต่มันก็ยังแย่อยู่ดี ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าไปพูดอะไรกับมันเลย เพราะกลัวว่าจะไปกระตุ้นอะไรมันอีก ว่าง่ายๆกลัวไปทำมันสะเทือนใจจนคิดสั้นน่ะ”
ขมิ้นที่หน้าถอดสีตาค้าง ไม่มองหน้าคู่สนทนาอีกแล้ว มิ่งจึงเสริมขึ้นมาอีกสั้นๆว่า “พอรู้แบบนี้และ เธอก็เห็นนี่ มันยังไม่หายดี ทั้งๆที่มันก็นานมาแล้วนะ”
“ไม่เท่าไรหรอก อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี แค่ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี มันคงทดแทนอะไรกันไม่ได้” เธอเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเป็นฝ่ายนิ่งฟังมานาน ไม่รู้ว่าระหว่างนัยน์ตาของผม หรือนัยน์ตาของเธอแสดงความตกใจปนเปกับความเศร้าสะเทือนใจเป็นมากไปกว่ากัน มาก...จนไม่น่าเชื่อว่ามันเคยใสซื่อเมื่อผมสบ จนเข้าใจว่าเธอไม่เคยรู้อะไร
“ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่มันยากว่ะ” มิ่งพึมพำต่ำๆ “ยิ่งมันรู้ว่าฉันรู้เห็นทุกอย่าง จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือว่าจะพยายามทำให้มันรู้สึกดีขึ้น ทั้งสองทางก็ยิ่งทำให้มันลงเหว....”
“ก็พอเข้าใจอยู่หรอก”
“งั้นเธอก็ช่วยหน่อยสิ ช่วยไอ้หลุนมันหน่อย เธอนั่งข้างๆมันนี่”
“โอ้ย... ไม่ไหวหรอก” ขมิ้นร้องขึ้น “พอรู้แบบนี้แล้ว.... ฉัน....”
“เธอทำได้น่า วันนี้เธอยังทำให้มันพูดได้เยอะกว่าไอ้วุธอีก เธอครองสถิติอันดับหนึ่งอยู่นะ” มิ่งพูดอย่างกระตือรือร้น จนดูไม่ออกว่าพูดเล่นหรือพูดจริง
“พูดเป็นเล่นไปได้” ขมิ้นดูไม่สนุกด้วย เธอรู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่นำมาเป็นเรื่องเล่นๆพอให้หัวเราะ สีหน้าของเธอลำบากใจชนิดที่ไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถมาประดับบนใบหน้าอันสดใสตลอดเวลาอย่างเธอได้
“เอาน่าขมิ้น ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็แล้วกัน หลุนไม่รู้หรอกว่าเธอรู้ ตราบใดที่เธอไม่แสดงอาการ มันต้องหลุดจากภาพเก่าๆ ซ้ำๆสักทีแล้ว นี่มันม.ปลายแล้วนะ เธอจะใจร้ายไม่ห่วงอนาคตเพื่อนเลยหรอ”
“มิ่ง!” เธอถึงกับโอดครวญเมื่อได้ยินเหตุผลสารพัดที่หยิบยกขึ้นมา เขาไม่ได้หัวเราะ ยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปล้วนจริงจังเป็นที่สุด
แล้วเวลาก็ไหลเร็วขึ้นอีกครั้ง ผมหงายหลังไปเพราะอะไรบางอย่างที่หมุนวน แต่ก็ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของลมหายใจ ผมก็มาอยู่ที่ลู่วิ่งอันคุ้นตา กระตุ้นผมให้จำได้ทันทีว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไร
ขมิ้นเดินด้อมๆมองๆค่อยๆเดินเข้ามา มองร่างที่กำลังวิ่งอยู่ลู่นอกสุดอยู่โดดเดี่ยว เธอวางกระเป๋าลงแล้วโดดลงไปบนลู่ วิ่งตามร่างนั้นไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเธออยู่ห่างจากร่างร่างนั้นเกือบๆสามสิบเมตร เธอจึงชะลอฝีเท้าลง
ฉันจะทำยังไงให้เธอมองเห็นฉันได้ ขนาดเข้าใกล้เธอขนาดนี้เธอยังเฝ้าแต่จะหนีฉันไปทั้งนั้น หลุน....เธอจะไม่ยอมรับใครนอกจากคนคนเดิมคนนั้นของเธอจริงๆหรอ? ถ้าฉันยังพยายามไล่ตามเธอแบบนี้ เธอจะยิ่งหนีฉันไปไกลกว่าเดิมใช่ไหม? หรือฉันไม่เคยวิ่งเร็วพอ? หรืออะไร? ถ้าเธอสนใจหันกลับมาตอบคำถามฉันสักนิด ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละ....มันจะเป็นไปได้ยังไง
มิ่ง....ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิ ถ้าเกิดหลุนเกลียดฉันจนไม่อยากเฉียดใกล้ ฉันจะไปก้าวก่ายดึงเขาออกจากภาพเก่าๆที่เธอขอให้ฉันช่วยได้ยังไงกัน?
แล้วเธอก็ส่งเสียงออกมาว่า “เหนื่อยๆๆๆๆๆ” ก่อนที่ฉากจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ผมมาอยู่ในห้องเรียนประจำ เสียงอาจารย์สอนภาษาไทยดังแว่วปะทะหู พอจำเนื้อหาได้รางๆผมก็เห็นร่างของตัวเองตื่นขึ้นมาเพราะนิ้วชี้ของขมิ้น สายตาที่เห็นเต็มไปด้วยความรำคาญ ในขณะที่เพื่อนหญิงตีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มองที่หนังสือเรียนของตัวเองต่อไป
ไม่มีบทสนทนาอะไรเลย มีแต่เสียงแว่วเสียงเดิมกระทบเข้ามา มันทั้งเลื่อนลอยและสิ้นหวัง
ไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังฝันถึงอะไร แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่ฉันคิด.....ฉันก็ลำบากใจนะที่ต้องฝืนใจพาเธอออกมา ฉันรู้ว่าเธอคงรักเขามากยิ่งกว่าอะไร รักจนไม่อาจมองเห็นใครคนอื่นอีกแล้ว แต่ผิดไหมที่ฉันจะพยายาม ผิดไหมที่ฉันอยากจะร้องขอให้เธอตื่นขึ้นมา ผิดไหมที่ฉันอยากจะเห็นภาพเธอที่ลืมตา เธอคงเกลียดฉันน่าดูสินะ ที่รังแต่จะพาเธอออกมาจากความทรงจำอันล้ำค่าของเธอ
เสียงนั้นเหมือนว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่ภาพที่ผมเห็นนั้นกลับไม่แฝงด้วยอารมณ์ใดๆเลย ขณะที่กำลังทบทวนสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป ทุกอย่างก็หมุนวนหายไปอีกครั้ง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงที่ดังราวกับระเบิดแผดเสียงลั่นแปรเป็นแสงสีกลางฟากฟ้า ดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นเป็นดวงกลมแตกกระจายเป็นร้อยกลีบพันสี สะพานสีขาวข้ามแม่น้ำใหญ่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน หลายคนกอดกัน หลายคนกอดคอกัน หลายคนดื่มฉลองกัน และอีกหลายๆคนกำลังปล่อยดวงดาวสีส้มเหลืองให้ลอยขึ้นไปประดับฟ้า อากาศที่นี่หนาวเย็นแต่ทว่ากลับอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ผมไม่รู้จักที่นี่ ไม่เคยเห็น จึงไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน
เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นที่ผมจดจำได้ เธอกับผู้หญิงผู้ชายอีกสี่ห้าคนกำลังหัวเราะ ถ่ายรูป และชื่นชมงานศิลปะบนฟ้าอย่างเพลิดเพลิน ภาพของเธอที่อยู่ในชุดตามสบายนั้นช่างแปลกตา ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็นคนที่มีรูปร่างสูงมากถึงขนาดไหน
ภาพขมิ้นที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทำให้ผมใจหายวาบ นึกอยากจะไปกระชากเครื่องมือสื่อสารมรณะนั้นให้พ้นๆมือ แต่ขาของผมกลับแข็งทื่อไม่ขยับ ผมไม่สามารถยื่นมือเข้าไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
ด้วยเสียงพลุและระยะห่าง ผมไม่ได้ยินเสียงของเธอ ปากที่พรั่งพรูคำพูดสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มนั้นทำให้ผมเข่าทรุด โดยเฉพาะภาพวินาทีที่ผมรู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป ภาพที่รอยยิ้มนั้นถูกกระชากให้เลือนหายทำให้ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดขึ้นมาที่กลางใจ ขมิ้นที่นิ่งเงียบและน้ำตาเอ่อคลอค่อยๆกดวางสาย แขนทิ้งข้างลำตัวเหมือนตุ๊กตาไม่เหลือไอชีวิต บรรดาพี่ๆญาติๆรอบข้างกำลังสนุกสนาน การที่จะมาแสดงสีหน้าไม่ดีไม่งามคงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เธอทำทีเป็นมองพลุอยู่เพียงลำพังผ่านทางเลนส์กล้องในมือ ไม่มีใครรู้เลยว่าน้ำตานั้นอาบแก้มอยู่เงียบๆ
สักพักเธอก็ขึ้นรถกับพวกญาติๆของเธอ บ่นพึมพำว่าง่วงเพื่อเลี่ยงการสนทนาเพราะเกรงว่าเสียงจะสั่นเครือ ไม่รู้ว่าเวลานั้นไหลเร็วหรือว่าผมพลาดเหตุการณ์ช่วงนั้นไปเอง กว่าจะรู้สึกตัว ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือขมิ้นที่นอนคลุมโปงแล้วส่งเสียงสะอื้นแผ่วๆออกมาที่กลางหมอน
ฉันขอโทษ.....ฉันขอโทษ..... เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่ปลุกเธออีกแล้ว ฉันขอโทษที่พยายามพรากเธอออกจากสิ่งที่เธอรัก ฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตของเธออีกแล้ว ถ้าเธอไม่อยากเดินออกมา ฉันก็จะไม่บังคับเธอ เธอคงไม่มีวันหันกลับมามองฉันอีก ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ.... ฉันแค่ไม่อยากเห็นเธอเพ้อจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันแค่อยากให้เธอจำได้สักนิดว่าฉันก็เป็นคนหนึ่งที่สามารถอยู่ข้างๆเธอ ฉันแค่อยากจะพาเธอออกจากวังวันที่เธอสร้างมันขึ้นมาเท่านั้นเองนะ หลุน....ฉันขอโทษ ถึงจะรู้ว่าเธอไม่อยากได้ยินเสียงฉันอีกแล้ว แต่ขอร้องเถอะนะ ช่วยฟังแค่คำคำนี้ก็พอ ฉันขอโทษ....ฉันขอโทษ
“ฉันขอโทษ.....” ผมหลุดปากออกไปอย่างไร้สติ ทั้งๆที่ไม่มีเรี่ยวแรงเปล่งคำพูดอื่นใดออกไป แต่คำคำนี้กลับกระฉอกออกมาอย่างง่ายดาย
“หลุน!”
เสียงแปลกใหม่ห้าวๆดังขึ้นอีกครั้ง ผมลืมตาด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง ดวงตาพร่าไปพักหนึ่งและเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่ภาพชายตรงหน้าจะปรากฏชัดเจนขึ้นในทุกรายละเอียด ผมก็เซล้มลงอย่างควบคุมไม่อยู่
“ลุกขึ้นมา!”
เสียงเดิมดังย้ำขึ้นอีก ผมเหลือกตาขึ้นไป สบตากับสายตาที่คุ้นเคยจนน่ากลัว ผมสะดุ้งเฮือกจนหัวใจสูบฉีดแรงตึกตัก เนื้อตัวเย็นเฉียบคล้ายกับคนตาย สายตาสองคู่ที่กำลังมองมานั้นดูราวกับว่าจะสามารถมองทะลุทะลวงได้ทุกอย่าง เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
เพราะร่างสองร่างที่อยู่ห่างกันซ้าย-ขวาราวๆเมตรสองเมตรนั้น ต่างมีรูปร่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่สิ เราสามคนที่กำลังอยู่ ณ ที่นี้ ต่างเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!
“ฟังกูให้ดีๆ” ตัวผมทางฝั่งซ้ายเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยขึ้น งงไปนิดหน่อยที่เห็นตัวเองคุยกับตัวเองโดยใช้คำสรรพนามว่า ‘กู’อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อย่าได้ขยับเขยื้อนอะไรเป็นอันขาด”
“เห็นเส้นแบ่งพวกนี้ไหม?” ตัวผมทางฝั่งขวาพูดขึ้นมาบ้าง เสียงที่เหมือนกันทำให้ฟังดูเหมือนกับว่าพูดต่อกันโดยไร้การเว้นวรรค ผมมองที่พื้น มีเส้นพาดยาวสองเส้นบนพื้น แบ่งตัวผมระหว่างผมฝั่งซ้าย ตัวผม และตัวผมฝั่งขวา
“ถึงเวลาที่มึงต้องเลือกแล้ว” ไม่รู้ว่าเสียงมาจากฝั่งไหน เพราะไม่ทันได้หันไปมอง แต่ประโยคต่อไปนั้น ฝั่งขวาเป็นคนพูด “ว่าจะตื่น หรือจะหลับ โลกแห่งความจริง หรือความฝัน”
“ถ้ามึงเดินมาที่นี่ มึงจะกลับไปฝัน ยาวนานเท่าที่มึงต้องการ.... แน่นอน นิ้มยังรอมึงอยู่ที่นั่น” ผมในฝั่งซ้ายเอ่ยเรียบๆ “อย่างที่มึงต้องการมาตลอดนั่นแหละ”
“แต่ถ้ามึงมาที่นี่ มึงจะตื่น.... ตื่นขึ้นมาทำอะไรๆให้มันถูกต้อง ทำอะไรๆให้มันเข้าที่เข้าทาง กลับไปแก้ไขในสิ่งที่คิดว่ามึงพลาดไป” ผมในฝั่งขวาพูดต่อ ไม่มีท่าทีกริยาใดๆเป็นพิเศษเช่นกัน ผมงุนงงจนพูดไม่ถูก
“ทำไมกูต้องเลือก.....” ผมเผลอโพล่งออกไปทั้งที่ใจไม่คิด ผมทั้งคู่พากันหัวเราะเสียงต่ำ ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายหัวเราะ ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายอธิบาย แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเลือดมันเย็นเฉียบขึ้นมาเสียจริงๆ
“ก่อนจะหลับ มึงก็รู้แล้วนี่~ ว่ามึงกำลังไม่สบาย ถ้ามึงตื่นขึ้นมาตอนนี้ ก็จะถือว่ามึงสู้กับโรค มันก็จะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้ามึงไม่คิดจะตื่น.....ก็แน่ล่ะ ถ้าตัวมึงไม่คิดจะดึงดันปกป้องไม่ให้เชื้อโรคทำอะไรตัว ใครล่ะจะช่วยมึงได้ มึงก็จะได้หลับยาวสมใจ”
มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ? ผมนึกอย่างหวาดๆ เส้นบางๆที่ขีดไว้กลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจจนไม่อาจจะเฉียดใกล้
“อย่าเข้าใจผิดล่ะ มันไม่ใช่ความตายหรอกนะ.... มึงจะได้อยู่กับนิ้มไปอีกนาน ว่าง่ายๆมึงจะเป็นเจ้าชายนิทราตราบเท่าที่มึงคิดว่ามึงจะต้องการ ไม่มีใครจะปลุกมึงได้นอกจากตัวมึงเอง”
ผมมองตาพวกเขาสลับกัน ราวกับจะถามว่าพวกเขาอยากจะให้ผมเดินข้ามไปยังเส้นบางๆเส้นไหน สายตาที่โต้ตอบแฝงไปด้วยคำตอบที่ผมเข้าใจดี ต่างฝ่ายต่างก็เลือกที่จะเชียร์ฝั่งของตน แล้วอยู่ๆฝั่งซ้ายก็พูดขึ้นมาอีกว่า
“โอกาสนี้ไม่ได้มาบ่อยๆหรอกนะ.... ถ้าพลาดครั้งนี้ อาจจะไม่มีอีกแล้วก็ได้ จะมีสักกี่ครั้งที่ชีวิตมึงจะสับสนอะไรแรงๆแบบครั้งนี้ สับสนจนอยากที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง ใช่ไหมล่ะ?”
“แต่อย่าใช้เวลานานนักล่ะ ของแบบนี้มันก็มีขีดจำกัด..... มึงอาจจะตื่นขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ แล้วทุกอย่างก็จะสลายไปในพริบตา มึงจะจำอะไรไม่ได้เลยว่าได้เห็นอะไรไปบ้างในฝันนี้ เพราะฉะนั้น....ไม่ต้องบอกก็รู้นะว่าต้องทำยังไง”
ผมนิ่งไปในทันใด
นิ้ม.... เธอที่ฉันเฝ้าคิดถึงทั้งวันทั้งคืน หนึ่งปีที่ไม่มีเธอ ไม่มีวันไหนที่ทำให้ฉันจะมีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจที่แข็งแรง มันพังทลายไปแล้วในคืนนั้น คืนวันสิ้นปีที่รถทัวร์คันใหญ่คันนั้นพาเธอกับครอบครัวไปอีกโลกตลอดกาล ในความฝันไม่กี่ครั้ง การที่ได้รับรู้ความรู้สึกของเธอคือสิ่งที่ฉันไม่อาจบรรยายได้ ฉันรักเธอ....เธอรักฉัน แล้วจะให้ฉันปล่อยให้เธอหายไปอีกอย่างงั้นหรอ?
ขมิ้น..... เธอที่หวังดีกับฉัน แต่ฉันกลับไม่เคยต้องการเธอจนกระทั่งวันที่รู้ว่าเธอจะจากไป คำพูดที่ฟังดูไร้ความหมายสำคัญนั้น ฉันรู้แล้วว่าวันนี้มันไม่จริงเลย เธอทำเพื่อฉันในแบบตัวของเธอ ฉันอยากจะกลับไปขอบคุณและขอโทษเธอ แต่ว่า.... ถ้าฉันเลือกทางทางนั้น วันที่เธอจะได้ยินคำพูดดีๆจากฉันก็คงไม่มีทางมาถึง ฉันจะปล่อยให้เธอจมอยู่กับความรู้สึกพร่ำขอโทษเหล่านั้นได้ยังไงกัน?
นิ้ม ฉันไม่อยากให้เวลากว่าสิบปีของเราสูญสลาย....
ขมิ้น ฉันยังอยากมีโอกาสเข้าใจในตัวเธอมากกว่านี้.....
แต่ว่า..... ทางทางไหนกันที่หัวใจ และร่างกายต่างพากันเลือกหา หากไม่รีบตัดสินใจไปสักทาง ทุกอย่างก็จะสูญสลาย นิ้มอาจจะหายไปชั่วนิรันดร์ และผมคงจะไม่มีวันเข้าใจขมิ้นอีกเลย
“เลือกได้รึยัง?”
ผมข่มตาอย่างยากลำบาก แปลเสียงจังหวะหัวใจในเป็นคำพูดสักพยางค์สองพยางค์แต่กลับไร้ผล อดีตหรือปัจจุบัน หากเลือกสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งก็ต้องจางหาย เพราะฉะนั้น.... ผมควรจะเลือกสิ่งที่ผมเฝ้าโหยหาและรักยิ่งกว่ารักมากกว่าความรู้สึกเพียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่ใช่หรือ?
นั่นสิ....เวลาไม่ถึงปีกับฝันที่ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก มันจะมาแทนที่วันเวลาอันมีค่าร่วมสิบสี่สิบห้าปีได้ยังไง?
สองขายืนหยัดขึ้นอย่างมั่นคง ซ้ายคืออดีต และขวาคือปัจจุบัน ผมตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตที่ใจปรารถนา พลางมองตัวผมอีกคนที่ยิ้มกว้าง ก่อนจะมองข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อยๆผุพังแตกเป็นเสี่ยง
“มึงจะเสียใจไหมที่จะเลือกใช้ชีวิตที่เหลือแบบนี้” ตัวผมถาม ผมได้แต่พยักหน้า
การตัดสินใจครั้งนี้ แม้จะอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง มันก็จะยังคงเหมือนเดิม
“กินช้าจังเลยนิ้ม นี่ถ้าฉันกินสองแท่งยังหมดก่อนเธอเลยมั้ง” ผมแหย่เพื่อนสาวที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆกันบนม้าหิน นิสัยละเลียดชิมรสไอติมแท่งรสหวานของเธอยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“แหม ก็ไม่ได้กินนานนี่ กินหมดก็เสียดายแย่” เธอบ่นอุบอิบ ขณะนั้นผมก็มองเห็นมิ่งกับขมิ้นเดินผ่านไป พวกเขาไม่เห็นเราสองคน นับเป็นสองคนบนโลกปัจจุบันที่ผมยังเผลอหัวใจสั่นวาบในโลกฝันเมื่อเหลือบตามองไปเห็น
กว่านิ้มจะกินหมดผมก็ใส่คำแซวคำแหย่ไปอีกหลายดอก นิ้มมองหน้าผมไป แลบลิ้นไป ยิ่งเร่งเธอก็ยิ่งชะลอให้ไอติมหมดช้าลง แต่การยืดระยะเวลาของทุกสิ่งย่อมมีขีดจำกัด ในที่สุดเธอก็โยนไม้ในมือทิ้งไปในถังขยะข้างตัว
“ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเลือกฉัน” นิ้มพูดขึ้นพลางเอียงคอ ดวงตาเป็นประกายใสน่ารัก
“เพราะว่า....นั่นสิ ฉันเลือกผิดเข้าให้แล้วล่ะมั้ง” ผมขยิบตา มือขาวๆตบไหล่ผมเกือบแรงแทนคำว่า ‘เคือง’
“งั้นก็เปลี่ยนซะสิ เธอเลือกได้ตลอดเวลานี่ ไม่เหมือนฉัน”
“แหม เธอน้อยใจฉันหรอ” ผมเริ่มใช้เสียงง้อ “จริงๆหรอเนี่ย?”
“ไม่จริงมั้ง” เธอแลบลิ้นใส่แล้วเมินหน้าหนี
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”
นิ้มไม่โต้ตอบคำพูดนั้น ผมพยายามมองหน้าเธอ แต่เธอก็เอาแต่เมินหน้าหนี จะง้อให้หันมายังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว ผมทั้งขำทั้งตลกในท่าทางเด็กๆที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเธอ
“ฉันไม่เปลี่ยนหรอก เรื่องอะไรล่ะ.... ฉันจะทิ้งเธอไว้ได้ยังไง”
“พอเถอะๆ คิดซะว่าฉันไม่ถามเธอก็แล้วกัน”
!!!!
“หลุน!”
เสียงเรียกขัดจังหวะผมในทันใด จังหวะกะพริบตาในฝันกลายเป็นจังหวะเดียวกันกับการตื่น ผมยืดหลังที่โก่งงอเพราะท่าทางสัปหงกส่วนตัวขึ้นมาทันทีอย่างรู้งาน สายตาคุ้นเคยคู่นั้นมองผมด้วยแววกวนๆเหมือนเคย
“นิ้วชี้ยังทรงพลังเหมือนเดิมนะ” ผมหัวเราะเบาๆอย่างระมัดระวังเพื่อหลบสายตาอาจารย์ เธอผู้คอยปลุกผมมีสีหน้าไม่พอใจนิดๆที่เห็นผมหลับ
“หนีไปฝันอีกแล้วนะ”
“ก็ฉันอยากให้เธอปลุกนี่นา”
“อ๋อหรอ.....” เธอลากเสียงยาว แสดงอาการไม่เชื่อจนสุดหัวใจ เช่นเดียวกับผมที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวันนี้จะต้องมาง้อทั้งคนในฝันและคนบนโลกแห่งความจริง
“อะไรกัน นี่นานๆทีฉันถึงจะเผลอหลับนะ”
“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่”
“แล้วทำไมดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนน้อยใจอยู่แถวนี้ล่ะ”
ผมเริ่มยียวนกวนประสาท แล้วเสริมขึ้นมาอีกว่า “แต่วันนี้บังเอิญจังเลยนะ ฉันฝันว่าฉันจับคู่สอบเทนนิสกับนิ้ม แล้วนิ้มก็น้อยใจเพราะคิดว่าฉันจะไปสอบคู่คนอื่น หรือว่าคนน้อยใจคนนั้นจะเป็นนิ้มจริงๆ ไม่ใช่ใครบางคนแถวนี้”
“ก็คงงั้นแหละ” น้ำเสียงห้วนแบบนี้เป็นอันว่าเป็นการแสดงให้ผมต้องเริ่มบทง้อต่อจนได้ แม้จะรู้ว่าขมิ้นไม่เคยน้อยใจผมจริงๆนับตั้งแต่วันที่ผมโทรไปเพื่ออธิบายแล้วเล่าเรื่องทุกเรื่องทุกอย่างให้เธอฟังก็ตาม แต่เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมได้รู้ว่า เธออาจจะกำลังซ่อนความรู้สึกอะไรเมื่อไรก็ได้ โดยที่ผมสายตาแย่เกินกว่าจะสังเกตเห็น
ผมอาจจะทำให้เธอเสียใจอีกเมื่อไรก็ได้ โดยที่ผมไม่มีทางได้รู้ จนกว่าจะสายเกินไป
“งั้น เธอก็หลับต่อไปสิ”
“แล้วเธอจะปลุกฉันไหม”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“งั้นฉันก็ไม่หลับหรอก ถ้าฉันจะไม่ได้ตื่นมาเห็นเธอเป็นคนแรก”
“หมายความว่ายังไง?” ขมิ้นแกล้งตาขวาง แต่ก็กลั้นสะกดรอยยิ้มไว้อย่างทรมาน
โลกแห่งความจริง กับโลกแห่งความฝัน ไม่กี่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ....ผมมันก็ยังเป็นไอ้ตาขาวที่ไม่กล้าพูดอะไรดั่งที่ใจคิด ทั้งๆที่อุตส่าห์เรียบเรียงเสียสวยหรูอยู่นานสองนาน
อาจารย์รายวิชาเดินเข้ามา ทำให้บทสนทนาหยุดได้แค่นั้น ขมิ้นดูเหมือนจะเลิกหวังในคำตอบแล้ว ผมมองใบหน้าที่ไม่ได้หันมาสบตา พึมพำคำตอบอยู่ในใจ แม้มันจะไม่ใช่คำตอบตรงๆที่เธอต้องการจริงๆ แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าคำพูดในใจนี้ส่งไปถึงเธอได้ เพราะมันเป็นคำพูดที่ผมอยากจะบอกกับเธอที่สุด
เวลาที่อยู่กับเธอ อาจเทียบไม่ได้ก็จริงกับความผูกพันที่ยาวนานระหว่างฉันกับนิ้ม แน่ล่ะ อดีตไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี มันจะไม่มีวันสูญสลาย นับวันกลับจะยิ่งทวีค่าให้สวยงามวิจิตรตา มันก็ไม่แปลกใช่ไหมที่ฉันจะหลงจะรักมันจนหัวปักหัวปำ จนอยากจะโอบกอดวันเวลาเหล่านั้นไว้ตลอดไป
แต่ว่านะ..... ถ้าฉันมัวแต่โอบกอดวันเวลาเก่าๆพวกนั้น ฉันจะเอาสองมือที่ไหนกัน ไปจับมือของเธอที่ยื่นเข้ามา
ขมิ้น..... ตอนนี้ ปัจจุบันก็จะยังคงเป็นปัจจุบัน แต่สักวัน ทั้งฉันแล้วก็เธอ เราต่างก็ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตของกันและกัน ตราบเท่าที่เวลายังไม่อาจจะหยุดนิ่ง ความจริงของวันพรุ่งนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะแบบนั้นแหละ เพราะเวลาของปัจจุบันนั้นแสนสั้นและเปราะบางคล้ายจะยอมแหลกสลายเป็นอดีตได้ทุกชั่ววินาทีที่ผ่านไป ช่างผันกลับกับอดีตที่ไม่ว่าจะนานเท่าไรก็จะยังฝังลึกติดในหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง ฉันจึงเลือกที่จะอยู่กับเธอ เพราะฉันไม่อยากเห็นสิ่งไหนที่ฉันรักต้องสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว
วันที่ปัจจุบันต้องแปรผันเป็นอดีต... ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไร
รู้แต่ว่า สิ่งที่เรียกว่าปัจจุบันนั้น มันเป็นสิ่งไม่อาจจะดึงรั้งเข้ามาเก็บไว้ในอ้อมแขน
เพราะมือที่ยื่นเข้ามาหา ยินยอมแต่เพียงว่า จะขอจับมือเดินเคียงกันไป จนกว่าที่เราจะต้องพรากจากกัน
จนกว่าเราจะเป็นอดีตของกันและกัน
ไม่มีใครรู้ว่าวันนั้นจะมาถึงไหม?
แต่ว่า....
ขมิ้นหันมาหาเพราะอ่านลายมือบนกระดานไม่ออก เธอนี่ชอบขัดความคิดเพลินๆของคนอื่นเขาเสียจริงๆ ผมหัวเราะพลางแปลอักขระบนผืนกระดาน เธอจึงหันเหความสนใจกลับไปยังบทเรียนอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายจูงผมให้กลับเข้าสู่บทเรียนไปด้วย
“กลางภาคสอบได้สิบเต็มยี่สิบยังหน้าระรื่นจริงๆ น่าอิจฉาจังนะคนเก่ง”
จะมีอะไรน่าฟังไปกว่านี้อีกแล้ว....
ให้ตายเถอะ......สุดท้ายผมก็ติดนิสัยประชดประชันจากเธอเข้าไปจนได้
อดีตนั้นไม่มีวันหายไปไหน
ปัจจุบันก็กำลังเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ
ความรัก ความผูกพันในแต่ละช่วงเวลา ล้วนเป็นของจริง
เพราะฉะนั้น
มันจึงไม่มีวันเข้ามาแทนที่กันและกันได้
....ฉันตื่นแล้วนะ....
ความคิดเห็น