ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงกตฝัน

    ลำดับตอนที่ #7 : คืนใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 51


    เปิดเรียนอีกครั้ง เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังสนั่นวุ่นวายเหมือนกับวันเปิดเทอม ผมเดินเข้าไปโดยไม่ได้ทักทายใคร ในขณะที่คิดว่าจะเมินสายตาจากกระเป๋าที่จะวางอยู่ที่โต๊ะข้างๆโต๊ะประจำ กลับต้องแปลกใจที่กระเป๋าเรียนนั้น กลับไม่ใช่กระเป๋าใบเดินที่คุ้นเคย

    อ้าวหลุน มาแล้วหรอวะ เจ้าของกระเป๋าเดินเข้ามาตบไหล่ทักทาย แต่สีหน้าของเขาไม่ได้ร่าเริงสุขสบายเช่นน้ำเสียงเท่าไร ตรงกันข้าม เขากลับจ้องตาผมเขม็ง เค้นความจริงบางอย่างจากผมอยู่

    เออ....มาแล้ว ผมมองข้ามสายตานั้นไปแล้ววางกระเป๋าตามปกติ

    จะไม่ถามเหรอว่าขมิ้นไปไหน?”

    ก็ไม่ได้อยากรู้จะถามทำไม?”

                    แววตาของมิ่งส่อแววเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก กลับถามเพียงว่า ปีใหม่...ไปทำอะไรมา?”

    ไม่ล่ะ อยู่บ้าน เสียงของผมเริ่มห้วน ขมิ้นคงไปพูดอะไรเข้าล่ะสิ.....จะทำตัวน่ารำคาญไปถึงไหนนะ ไปไกลๆได้ซะก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีใครมาปลุกอีก ไม่มีใครมาคอยแทรกเวลานึกถึงนิ้มอีก พอสักที

    .....มีเรื่องอะไรกับขมิ้นกันแน่ นั่นไงว่าแล้วไม่ผิด......

    ก็ไปถามเขาเองสิ

    ถ้าขมิ้นตอบ ทำไมกูจะต้องมาถามมึงวะ

                    ผมเลิกคิ้วขึ้น มิ่งจึงถอนใจแล้วเล่าว่า เมื่อเช้าพอกูมาถึงห้อง ขมิ้นก็รีบเข้ามาคะยั้นคะยอขอแลกที่ท่าเดียว พอถามว่าทำไมก็บอกว่าเบื่ออาจารย์อย่างโน้นอย่างนี้ จะให้กูเชื่อหรอวะ?”

                    อย่างน้อยก็คงรู้ตัวว่าตัวเองมันน่ารำคาญ ผมนึกแต่ไม่ได้พูดอะไร นั่นไม่ใช่เรื่องของผมอีกแล้ว

    ไอ้หลุน มึงจะตอบกูไหม?”

    กูก็แค่รำคาญก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร นั่นคือคำตอบสุดท้ายที่ผมจะให้เขา น้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิ่งมองผมด้วยสายตาตำหนิ แต่ผมก็ยังไม่แยแส

    ....เออ ก็ได้ เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก

                เป็นการเรียนที่แสนสงบ ราบเรียบและง่ายดาย ผมไม่ได้มองหาขมิ้นผู้ที่คอยส่งเสียงแจ้วๆอยู่ข้างๆเลยว่าตอนนี้เธอไปอยู่ไหน ไม่ได้ยินเสียงเธอพูดจากับใคร และวันนั้นผมก็ได้หลับแทบทั้งวันเท่าที่ต้องการ โดยไร้นิ้วมือที่คอยสะกิดเอวซ้ำๆเพื่อให้จดจ่อกับการเรียน อันเนื่องมาจากไอ้เพื่อนข้างๆตอนนี้ มันก็เอาแต่จ้องหนังสือการ์ตูนอยู่จนไม่อาจหลุดออกมาสู่โลกภายนอกเช่นกัน

                    ไม่มีเสียงเธอ ไม่มีภาพเธอ ไม่มีชื่อเธอ จนดูราวกับว่าห้องนี้ ไม่มีตัวตนของเธอ

                    ผมเริ่มสะกิดใจแปลกๆ จึงเริ่มหันมองไปหลังห้อง กวาดตาซ้ายขวา ขมิ้นอยู่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ที่เดิมของมิ่ง แต่ภาพของเธอนั้นราวกับไม่ใช่เธอ จนผมถึงกับมองข้ามเธอไปหลายครั้ง ต้องเพ่งมากๆพอสมควรแต่ก็ยังรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เป็นใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก

                    แม้เธอจะไม่ได้หม่นหมอง หรือนั่งเหงาหงอย แต่รอยยิ้มที่ผมเห็นนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยนอกเสียจากความว่างเปล่า ขมิ้นคนนั้นดูเป็นคนคนหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้จักไปในทันที ไม่รู้ทำไม? รอยยิ้มนั้นผิดปกติตรงไหน ท่าทีของเธอแปลกไปอย่างไร

                    ชื่อของเธอเปล่งค้างได้อยู่เพียงลำคอ เพราะรู้ดีว่าผมคงไม่สมควรที่จะปล่อยมันออกมา

     

    หลุน..... หลังจากผ่านการนั่งด้วยกันเกือบเต็มวัน มิ่งก็เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกก่อนที่คาบเรียนต่อไปจะเริ่มขึ้น ผมเงยหน้าจากการพยายามนอนหลับอีกหน หลังจากที่ฝันไปว่าตัวเองกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง

    กูไม่รู้นะว่าอะไรเข้าสิงมึง หรือขมิ้นไปทำอะไรให้มึงฟิวส์ขาด แต่ที่แน่ๆ....มึงโคตรใจร้ายเลยว่ะ

    ไปรู้อะไรมาอีกวะ กูนึกว่าเรื่องนี้มันจบตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะเว้ย ผมไม่ค่อยสบอารมณ์ที่จะยืดบทสนทนาออกไปอีกสักเท่าไร จึงเผลอขึ้นเสียงหงุดหงิดดังเกินไปจนเห็นได้ชัด แต่มิ่งก็ไม่ได้หันมาสบตาผม

    เอาเป็นว่ากูรู้ว่ามึงไม่อยากเข้าใกล้ขมิ้นอีกแค่นั้นแหละ กว่าจะรีดมาได้กูล่ะเหนื่อยแทบตาย

    มึงชักจะเป็นอย่างขมิ้นเข้าไปทุกวันละ ต้องแส่ ต้องเสือกทุกเรื่อง

    คงงั้นแหละมั้ง เขาตอบสั้นๆ แต่มึงเคยดูตัวเองรึเปล่า....ว่า

    กูไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร ผมขัดขึ้นแทบจะในทันที มิ่งชะงักกับการขัดจังหวะไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดประโยคที่ตัวเองตั้งใจต่อจนจบ ผมพยายามนิ่งเฉยกับคำพูดนั้น แต่มันก็แข็งกร้าวได้เพียงแค่ภายนอก

    มึงเคยดูตัวเองรึเปล่า ว่ามึงใส่ใจกับคนรอบข้างเขาบ้าง สักนิดไหม?”

                ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดกึ่งคำถามของไอ้มิ่งทำให้ผมถึงกับข่มตาไม่หลับอีกในห้อง ดังนั้นเมื่อสิ้นเสียงกริ่งเลิกเรียน ผมจึงรีบคว้ากระเป๋ากลับบ้านในทันที

                    ระหว่างทางผ่านรถไอติมอีกครั้ง ผมจึงแวะซื้อรสรสเดิมเพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้จิตใจของผมเย็นลงไปบ้าง

                    แต่น่าเสียดาย... ไอติมวันนี้ไม่มีความอร่อยหลงเหลืออยู่เลย มีแต่ความเย็นชา เรียบเฉย และเงียบเหงา ลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้ง ฤดูที่นิ้มรักที่สุด..... ฤดูที่ผมเหงาที่สุด และวันที่ผมสับสนที่สุด

                    ของหวานที่มีแต่รสเย็นถูกทิ้งลงถังทั้งๆที่ยังหมดไปไม่ถึงครึ่ง

     

                    เสียงของแม่แว่วๆมาจากหลังบ้าน ฟังดูเหมือนกำลังบ่นอะไรสักอย่างแต่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะผมทิ้งตัวลงบนพื้นเย็นเฉียบ เอาหัวหนุนหมอนแบนๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า น่าแปลกที่ผมง่วงเหลือเกิน จนดูไม่เหมือนว่าวันนี้เป็นวันที่ผมได้นอนได้ฝันเต็มอิ่มที่สุด หัวที่ปวดตุบๆบ่งบอกผมว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาพสมดุล คอก็แห้งผาก แม้ดื่มน้ำสักเท่าไรก็ไม่บรรเทา เปลือกตาเองก็เริ่มปวดขึ้นมาเสียเฉยๆ แล้วอยู่ๆร่างกายก็รู้สึกหนาววูบจนต้องคว้าหาผ้าห่มบางๆบนโซฟามาหุ้มตัว หรือว่าจะไม่สบายเข้าแล้วจริงๆ....?

                การตากลมหนาวมันมีประโยชน์แบบนี้นี่เอง ผมนึก ในขณะที่คอเริ่มฝืดจนรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาหาอะไรดื่ม ผมยังไม่อยากทำอะไรตอนนี้แม้แต่จะหายามากินบรรเทาอาการต่างๆ เอาแต่หลับตาข่มตาหลับ แต่ทั้งๆที่ง่วงแสนจะง่วง จิตใจก็กลับไม่อาจก้าวเข้าสู่ความฝันได้สักที มันฟุ้งซ่านไม่เป็นส่ำ ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาจนเริ่มรู้สึกว่าทรมาน มือของแม่เข้ามาสัมผัสที่หน้าผากแล้วพึมพำว่าตัวรุมๆ ดูเหมือนแม่จะถามอะไรขึ้นมาอีก แต่ผมก็นอนนิ่งแกล้งทำเป็นหลับ

                    แล้วผมก็หลับจริงๆ

                    นิ้มวิ่งเข้ามาต้อนรับผมอย่างอบอุ่น อาการไข้ในโลกแห่งความจริงนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าผมจะพบเธออีกครั้งได้เร็วขนาดนี้ ผมฉีกยิ้มกว้าง แต่ไม่รู้ทำไมผมจึงรู้สึกว่าเหนื่อยแสนเหนื่อย เหนื่อยจนร่างกายหนักไปซะทุกส่วน แค่ยืนก็แสนจะลำบากยากเย็น เด็กสาวตากลมๆผมยาวสลวยถามเสียงใส

    เป็นอะไรไปหรอ?”

    ฉันเหนื่อยจัง ผมตอบไปตามความเป็นจริง พลางมองไปรอบๆตัวเพื่อดูว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ที่แท้ก็คือสวนหน้าบ้านที่ตอนเด็กๆผมกับนิ้มมาเล่นด้วยกันทุกเย็น ความลำบากใจที่ต้องมานั่งเล่นตุ๊กตาผู้หญิงในวันวานเหล่านั้นยังติดตรึงไม่เสื่อมคลาย

    ก็นั่งสิ ยืนทำไม นิ้มหัวเราะ แล้วนั่งลงไปอย่างสบายๆ เธอสวมเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนกับกางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้าน อันเป็นเครื่องแบบที่ชินตามากกว่าชุดนักเรียนในสายตาผม ผิวขาวสะอาดของเธอดูเข้ากับลมเย็นๆมากกว่าแสงแดดเปรี้ยงๆ เธอจึงแจ่มใสกับอากาศแบบนี้เป็นพิเศษ

                    ผมนึกอยากถามว่าเธอยังจำคำพูดวันนั้นที่เธอเคยพูดในฝันเมื่อคืนก่อนรึเปล่า แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะหลายครั้ง ผมคิดว่านิ้มในแต่ล่ะฝัน ไม่เคยมีการเชื่อมโยงกันทางความทรงจำเลยแม้แต่น้อย

    นิ้ม ผมเรียกเธอเบาๆหลังจากทิ้งตัวนอนแผ่บนพื้นหญ้า ไม่รู้ว่าดวงอาทิตย์หายไปไหน ฟ้าโปร่งสบายถึงขนาดนี้ ทำไมแดดถึงไม่ส่องลงมาเลย? ช่างมันเถอะ ก็ดีแล้วนี่....ไม่ร้อนดี ลมก็เย็นสบายด้วย เพื่อนสาวหันมามองตามเสียงเรียก พลางบอกผมว่าเสื้อเลอะเทอะหมดน่า

    ทำไมวันนี้ถึงอากาศดีจัง

    ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ เธอหัวเราะสดใส ก่อนที่จะหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มเต็มไปด้วยความสุขนั้นแสดงให้เห็นว่าสัมผัสกับอากาศดีๆไปจนชุ่มปอด นิ้มรักธรรมชาติแบบนี้แหละ

    สงสัยเป็นเพราะฉันได้อยู่กับเธอล่ะมั้ง

    พูดอะไรไม่รู้ น้ำเน่าไปได้

    หรอ ผมเงียบไปพักหนึ่ง มองภาพด้านข้างของเธอพลางอมยิ้ม ไม่ต้องมีตัวตนก็ได้ ไม่ต้องมีอยู่จริงก็ได้ แค่มีเธออยู่ที่นี่ทุกๆคืนผมก็มีความสุขแล้ว ถ้าเวลาไม่จำต้องจำกัดเพียงเจ็ดหรือแปดชั่วโมงนั้น ก็คงจะดีไม่น้อย

                ผมหลับตา สูดหายใจเข้าลึกๆบ้าง ก่อนจะรวบรวมทุกความรู้สึกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆเธอ เสียงของผมไม่ได้ดัง แต่ก็ไม่ได้เบา เพราะสุ้มเสียงที่ไม่สิ้นเปลืองเหล่านี้ ถูกจัดเตรียมไว้ให้เธออย่างดี มันเป็นคำพูดที่จะมอบให้เธอเพียงคนเดียว

    นิ้ม ฉันรักเธอ

    !!!!

                    ผมลืมตาขึ้นมาอย่างงงัน นี่ผมตื่นแล้วหรอ? ทำไมมันถึงได้เร็วขนาดนี้ บ้ารึเปล่า!? ผมมองซ้ายมองขวา ไม่ใช่....ที่นี่กลับไม่ใช่บ้านของผม งั้นก็แปลว่าผมยังฝันอยู่อย่างนั้นสิ เครื่องแบบนักเรียนที่ไม่รู้ว่าถูกสวมใส่เอาไว้เมื่อไรเป็นเครื่องยืนยันที่ไม่เลวนัก ฉากรอบข้างกลายเป็นโรงเรียนที่คุ้นเคย ในตอนนั้นเอง เสียงพูดคุยก็แว่วเข้ามาในหูจนผมหันกลับไปมอง

    นั่นแหละ ตีไปทั้งแขนอย่างนั้น อย่าใช้ข้อมือ

    แบบนี้น่ะหรอ

    ผิดแล้วๆ ไม้น่ะจับแบบนี้

                    ร่างของคนสองคนที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนเห็นชัดถนัดตา ทั้งคู่มีไม้แร็คเก็ตประจำตัวอยู่ในมือ ฝ่ายชายเป็นผู้เอ่ยสอนอย่างอดทน ฝ่ายหญิงเป็นลูกศิษย์ช่างสงสัย และใบหน้าของฝ่ายหญิงผมยาวนี้เองที่ทำให้ผมเลือกที่จะหลบหน้า มากกว่าที่จะเข้าไปทักทาย

                    คนทั้งคู่เดินผ่านผมไป ด้วยการที่ผมมองตามหลังทั้งคู่ไปแท้ๆผมจึงได้เห็นภาพที่อยู่ในฝันเท่านั้นจึงจะเห็นได้ ผมเห็นตัวผมเองอีกคนหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่หยุดยืนคุยด้วย ความทรงจำรางๆก็ค่อยๆหวนระลึกขึ้นมาได้ในตอนนั้นเอง

                    ซากน้ำแข็งสีสดใสยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น ผมอีกคนที่นั่งนิ่งบนม้าหินว่างๆกำลังคอตก บอกปฏิเสธคำชักชวนของเพื่อนทั้งสองอย่างเรียบเฉย สักพักมิ่งจึงผลักขมิ้นให้ถอยห่างจากผม แล้วทั้งคู่ก็เดินไปที่คอร์ดเทนนิส การมองดูตัวเองทำเหตุการณ์ซ้ำๆคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนัก ผมจึงตัดสินใจตามพวกเขาไปอย่างเงียบๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×