ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงกตฝัน

    ลำดับตอนที่ #6 : ด้วยลมหนาวที่กรีดผ่าน

    • อัปเดตล่าสุด 14 ส.ค. 51


    คืนต่อๆมา ไม่รู้ว่าผมยังคงไขว่คว้าที่จะเดินในทางวงกตอันวกวนของตัวเองอยู่หรือไม่ รู้เพียงแต่ผมไม่ได้เห็นใบหน้าของนิ้มอีกเลย ทุกคืนคือการรอคอยอย่างสับสน ไม่รู้ว่าผมกำลังรอคอยอะไร ต้องการทางเดินทางไหน จะจากไปหรือว่าจะหวนคืน แต่ถึงอย่างนั้น.... ผมก็ยังเฝ้าคิดถึงนิ้มไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงแน่ใจว่าไม่มีใครแทนที่เธอได้

                    ความรู้สึกของผมยังไม่ลดลง ความทรมานที่มาจากความคิดถึงร่ำร้องก้องกังวานทุกยามราตรีที่ว่างเปล่า ผมตื่นขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้เหตุผล หลายคืนที่แสนจะอ่อนล้า....จะต้องยอมนอนอีกเท่าไร ทั้งวันทั้งคืนเลยหรือไม่ แปดชั่วโมงยามรัตติกาล กับอีกเศษชั่วโมงชั่วคราวยามตะวันฉาย แม้จะพยายามถึงขนาดนั้น เธอ....ทำไมถึงไม่เคยปรากฏกายให้ผมสามารถเข้าถึงเกินกว่าเสี้ยวหนึ่งในเวลาที่สูญไปเหล่านั้นเลย

                    แต่แล้วผมก็ยังตื่น ไม่ว่าจะด้วยความทรมานของตัวเอง หรือด้วยความหวังดีของขมิ้น หรือบางทีควรจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะเดิมพันการหลับใหลครั้งเดียว เสี่ยงครั้งเดียว แล้วไม่ต้องแก้ตัวใหม่ตามหาใครอีกเลย หากพบเธอ....ผมก็จะได้อยู่กับเธอตลอดไป แต่ถ้าไม่....ผมก็แค่......แค่นั้นเอง.....

                    และแล้วคืนที่ผมเกลียดที่สุดก็มาถึง วันที่สามสิบเอ็ด เดือนธันวาคม วันสุดท้ายของปี วันที่หัวใจผมต้องแหลกสลายเมื่อลืมตารับวันใหม่ของอีกหนึ่งช่วงปี ก่อนถึงวันปิดเรียนห้าวันรวดประจำเทศกาล ทุกคนต่างพากันพูดคุยวางแผนกันอย่างสนุกสนาน สีสันของความรื่นเริงมันช่างลวงตาสิ้นดี ไม่มีใครสังเกตถึงแววตาที่เย็นเยียบของผม แม้แต่มิ่งที่รู้เรื่องทุกอย่าง หรือขมิ้นที่ตอนนี้เป็นเพื่อนสนิทของผม

                    ขมิ้นเล่าเรื่องการไปเที่ยวช่วงปีใหม่ของเธออย่างสนุกสนาน ผมที่อยู่ในวงสนทนาได้แต่เงียบเฉย ไม่ได้แลกเปลี่ยนแผนการใดๆกับเพื่อนผอง ไม่แม้แต่ยอมสละเสียงหัวเราะ แต่ดูเหมือนสีสันของการเริ่มต้นปีจะลบเลือนจุดหมองๆอันน้อยนิดอย่างผมไปได้ไม่เหลือรอย

                    ในคืนนั้นช่างเหน็บหนาว หนาวสะท้านไปถึงหัวใจ หนาวจนแผลลึกแห้งและปริแตกทรมานเหนือกว่าเก่า พ่อแม่ที่ดูไม่ได้เห็นความเศร้าสะเทือนใจใดๆจากผมต่างพากันดูรายการพักผ่อนรับปีใหม่และรอนับถอยหลังเพื่อเปลี่ยนปฏิทินกันอย่างใจจดใจจ่อ ผมอ้างว่าไม่สบายปวดหัว เมื่อเสร็จสิ้นกับอาหารเย็น ผมก็รีบเข้านอนเร็วกว่าวันอื่น ผมไม่ต้องการสัมผัสความยาวนานของวัน ไม่แม้แต่นิดเดียว

                    อากาศเย็นสบายโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มหนาห่อหุ้มร่างกายที่ถึงกับสั่นระริก แม้ไม่มีน้ำตา ใช่หมายความว่าหัวใจนั้นจะอุ่นสบาย จะข่มตาหรือไม่ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา วันนี้ใบหน้าของเธอแจ่มชัดติดตรึงกว่าทุกครา มือที่เย็นเยียบแต่กลับชุ่มเหงื่อขยุ้มปลอกหมอนแน่น ไม่ว่ายังไงก็หวนนึกถึงแต่เธอ ความเจ็บปวดมีขีดจำกัดอยู่ที่เท่าไรผมไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้มาสุดจะทานจะทน ความเย็นไม่ได้ทำให้จิตใจหนาวชาไปด้วยเลย ทุกอย่างมันยิ่งแย่ลงไปอีกเพราะความร้าวรานนั้นมันยากเหลือเกินที่จะข่มตาหลับ

                    ฝันเอย.....ฝันนั้นอยู่ที่ไหน ฝันที่โอบอุ้มเธอคนนั้นตอนนี้ไปซุกซ่อนอยู่ส่วนใดของวงกตอันวกวน กลับมาหาฉันเถอะ กลับมาหาฉันที กลับมาช่วยฉันที ฉันที่พร่ำเพ้อถึงเธอมากมายถึงขนาดนี้ แค่สองสามนาทีก็ยังดี ได้โปรดเถอะนะ....แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพียงความลวงตา แม้ว่าฉันจะยังไม่อาจหลับใหลตลอดกาลได้ ความฝันที่ฉันรัก ตัวเธอที่ฉันรัก อย่าทิ้งฉันไว้แบบนี้ เธอมีชีวิตอยู่อย่างเบิกบานในใจฉัน แต่ฉันสิกลับไม่สามารถมองย้อนหาเธอในหัวใจของตัวเองได้ แค่มองหาเธอในโลกของตัวเองแท้ๆ ทำไม....ถึงไม่เจอสักที

                    นี่มันวันที่สามร้อยหกสิบห้าพอดีแล้วนะ ที่เธอจากฉันไป

                    ผมได้แต่หลับตาอย่างโดดเดี่ยว กลั้นทุกเสียงที่พร้อมจะสะอื้นไห้ ซุกตัวอยู่กับผ้าห่มที่แทบไม่เหลือไออุ่น หากหัวใจนั้นเย็นเยียบ จะมีสิ่งใดเลยที่จะสามารถเข้ามาเยียวยา....? นอกเสียจากจะหลับตา แล้วเฝ้าภาวนา เรียกร้องพร่ำหาแต่เธอ

                    ผมได้คำตอบแล้ว ไม่ว่าอย่างไร โลกที่ผมอยากจะดำรงอยู่นั้น คือโลกที่มีเธออยู่ โลกที่มีตัวตนของนิ้มอยู่อย่างแจ่มชัด ใครที่ไหนคนใดจะเปลี่ยนไปก็ช่าง ขอให้เธอยังเป็นเธออยู่ก็พอ

     

                    ร่างกายของผมร่วงหล่นมาจากไหนนั้นไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีร่างกายก็กระแทกพื้นแข็งดังผลั่ก แล้วผมก็ลุกไม่ขึ้นอีกเลย แต่แม้ไม่เหลือเรี่ยวแรง แต่สตินั้นยังคงพอแข็งแรง ลูกตายังคงเปิดอ้า แต่น่าแปลกนักที่ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่มืดมิด สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหนาวแว่วอื้ออึงพัดผ่าน สัมผัสร่างกายดูเหมือนจะชาด้าน เพราะผมไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย

    หลุน เป็นอะไรรึเปล่า?” เสียงเสียงหนึ่งเรียกเข้ามาอย่างร้อนรน สัมผัสอุ่นๆสัมผัสหนึ่งกระทบที่แผ่นหลัง เสียงอ่อนหวานนั้นเรียกชื่อผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมได้ยินไม่ชัด ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงลมเย็นเยือก หรือเสียงใครสักคนที่อบอุ่น หรืออาจจะแว่วผสมกลมกลืนทั้งสองอย่าง

                    เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเมื่อร่างกายผมไม่มีการตอบสนอง ไม่มีเสียงอื่นแทรกเข้ามาเลยในตอนนั้น เจ้าของเสียงเริ่มเขย่าร่างกายของผม น่าแปลกที่ผมไม่อาจโต้ตอบได้แม้ว่าใจจะต้องการ

    หลุน! หลุน! หลุนเป็นอะไรไปน่ะ หลุน!”

                    ปลายเสียงเริ่มแผ่วกลืนไปกับเสียงสะอื้น แรงเขย่ายิ่งแรงขึ้น ผมรู้สึกว่าตัวเริ่มอุ่น แปลกประหลาดจริงๆ นัยน์ตาเริ่มเห็นเงาสว่างขมุกขมัว เสียงนั้นยังร่ำร้องถึงผมไม่หาย ผมสงสัยว่าหากผมยังไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ เสียงนั้นจะยังดังต่อไปไหมนะ? พักหนึ่งหลังจากนั้น ผมจึงเริ่มรู้สึกถึงไออุ่นของมนุษย์

    .....นิ้มใช่ไหม?” ปากผมเริ่มขยับเปล่งเสียงแผ่วๆ จึงได้รู้ว่าในคอแสนจะแห้งผาก ดวงตาที่เคยอ้าค้างเริ่มกะพริบ ปลายนิ้วเองก็เริ่มรับรู้และขยับ ตอนนั้นเองที่จมูกได้รับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้อันคุ้นเคย เสียงหัวใจของตัวเองก็เริ่มแจ่มชัดในจังหวะ พลันเรี่ยวแรงทั้งหลายก็ฟื้นคืนราวกับโกหก

                    คนที่รออยู่นั้นคือเธอไม่ผิดเพี้ยน น้ำตาไหลอาบหน้า ทันทีที่สบตา เธอก็โผเข้ามากอดจนร่างกายเกือบหงายล้มไม่เป็นท่า วินาทีนั้นช่างรวดเร็วให้ใจหาย ได้ยินเสียงสะอื้นแว่วๆที่ปลายหู ร่างกายของเธอสั่นนิดๆเพราะเสียขวัญ ผมได้แต่แตะไหล่บางๆนั้นอย่างขวยเขิน ขืนใจไม่รวบรั้งกอดเธอไว้ดั่งที่ใจสั่งการ

                    นิ้มกระซิบชื่อผมซ้ำๆ พรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆบริสุทธิ์ไม่หยุดหย่อน ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ไม่รู้ว่าจะบอกอะไร ทุกอย่างมันช่างแปลกประหลาดเสียเหลือเกิน นิ้มยังคงไม่ยอมออกห่างจากไหล่จนกว่าเธอจะหยุดสะอื้น ช่วงเวลาที่ยากจะบรรยายนั้นทำให้เศษของหัวใจแหลกๆกลับมารวมกับเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง พลันเต้นรัวแรงคลั่งเหมือนเป็นการเต้นครั้งสุดท้าย

                    ผมเป็นฝ่ายดึงตัวเธอออกมาเบาๆ ใบหน้าแดงๆที่ฉ่ำรอยน้ำตามองหน้าผมด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยม ผมกระซิบ พอแล้ว....อย่าร้องไห้เลยนะ

                    นิ้มปาดน้ำตาเร็วๆก่อนจะพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหยียดยิ้มทั้งที่ปากยังสั่นด้วยแรงสะอื้น เธอเป็นอะไรไป ทำไมไม่ตอบฉัน....ยังกับว่าเธอ......

    ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญแล้วล่ะนะ

    ฉันคิดถึงเธอ.....คิดถึงมากๆ สิ้นคำพูดนั้น น้ำตาอีกสายก็ร่วงหล่นอีกครั้ง ฉันนึกว่าเธอจะหายไปซะแล้ว

    ไม่....ไม่มีทาง ฉันจะไม่ยอมตื่นอีกแล้ว

    เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ นัยน์ตาที่เริ่มเห็นประกายกลับมืดหม่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อผม

    ได้สิ ถ้าเธอสัญญาว่าถ้าฉันหลับอีกครั้ง เธอจะรอฉันอยู่ที่นี่ ผมยืนยันหนักแน่น จิตใจจดจ่อแต่เพียงเธอที่เฝ้าถวิลหา และผมก็หมายความอย่างที่ผมพูดทุกถ้อยคำ

    ไม่ได้หรอก...... นิ้มยิ้มเศร้าๆ ใบหน้านั้นทำให้จิตใจต้องไหววูบ

    นิ้ม ฉันทำได้

    ฉันรู้.....

                    นิ้มมองลึกเข้าไปในดวงตาของผม เธอหัวเราะเสียงแผ่ว นานแล้วนะที่ไม่ได้มากอดเธอแล้วร้องไห้แบบนี้ ครั้งสุดท้ายก็ตอนป.4ได้ล่ะมั้ง ตอนที่ฉันทำกระเป๋าตังค์หล่นหาย

    ฉันไม่ถือสาหรอก  ไหล่ของฉันว่างสำหรับเธอเสมอ ผมอยากจะพูดต่อไปว่าอย่างนั้น แต่แม้แต่ในความฝัน ผมก็ยังไม่กล้าพอ

                    บรรยากาศนั้นเงียบไปนาน ทุกอย่างผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนอกเหนือจากการสบตา น้ำตาของคนตรงหน้ายังพร้อมที่จะกลั่นเป็นหยดทุกวินาที

    ถ้าฉันบอกว่าฉันรักเธอ เธอจะยอมให้ฉันกอดอีกสักครั้งไหม?” นิ้มเอ่ยขึ้นในที่สุดด้วยเสียงทีเล่นทีจริง ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงได้แต่ฟังเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของเธอไปเท่านั้น ผมไม่อาจถอนสายตาออกจากเธอ คอก็ดันแข็งทื่อไม่สามารถขยับเพื่อที่จะยอมรับหรือปฏิเสธ

                    เสียงกระซิบแผ่วๆดังขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันกับที่สายลมหนาวพัดผ่านตัวจนหนาวยะเยือกไปทั้งผิวกาย

    หลุน....ฉันรักเธอนะ

    !!!!

                    ร่างกายทุกส่วนกระตูกวูบ เปลือกตาเปิดออกและเหลือกขึ้นในวินาทีเดียวกัน ก่อนที่ผมจะรับรู้ว่าตัวเองได้สูญเสียอะไรไปนั้น เสียงพลุที่อยู่ห่างไกลแสนไกลก็ดังลอดจากหน้าต่าง หรือเป็นลมหนาวที่ปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมลุกขึ้นมาเร็วมากจนปวดหัวตุบๆ หายใจถี่หอบ กุมขมับด้วยผิวมือที่เย็นเฉียบ ระลึกถึงสิ่งที่ผ่านพ้นไปช้าๆ คำพูดที่วกวนซ้ำไปซ้ำมากึกก้องอยู่ในห้วงความทรงจำ อีกแค่นิดเดียวแท้.....แค่นิดเดียวที่ผมจะบอกกับเธอ แค่นิดเดียวที่ผมจะบอกกับเธอว่าผมต้องการเธอมากแค่ไหน แค่นิดเดียวที่ผมจะบอกว่าผมรักเธอ แล้วทีนี้ล่ะ!....ผมได้แต่ปล่อยให้นิ้มจากไปโดยที่ต้องทนเหงาอยู่เพียงลำพัง ผมยังไม่มีโอกาสทำให้น้ำตาของเธอแห้งหายไปได้ด้วยซ้ำ ผมก็กลับ....ทิ้งเธอด้วยการลืมตา!

                    เสียงครืดคราดๆดังแทรกเข้ามาในห้วงคิด แสงวูบวาบๆเปล่งออกมาจากข้างเตียง ไม่ใช่ทั้งพลุ ไม่ใช่ทั้งลมหนาว แต่กลับเป็นอุปกรณ์เล็กๆที่อยู่ใกล้ตัวไม่ถึงหนึ่งช่วงเอื้อม ผมกำหมัดแน่นอย่างเคียดแค้น กดรับอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดแสดงให้ได้ยินว่ารับสาย หน้าจอสว่างปรากฏชื่อผู้กระชากผมออกจากนิ้มชัดแจ้งกระจ่างตา

    หลุน! ว่าไง....สวัสดีปีใหม่นะ!” เสียงใสแจ้วๆดังแข่งกับเสียงพลุ ผมกัดฟันกรอด ไม่ใช่พูดอะไรไม่ออก แต่สติที่ขาดผึงนั้นทำให้ผมเลือกลำดับไม่ถูกว่าจะพูดอะไรออกไปก่อนดี ไม่มีความเกรงใจใดๆอีกแล้ว คนปลายสายที่ผมไม่อาจให้อภัยได้ ปลายสายที่พรากผมจากนิ้มมามากมายเกินพอ

    ฮัลโหล~ ขอโทษนะเสียงพลุมันดังมากเลย เธอได้ยินฉันรึเปล่า?”

    ฉันอยากได้ยินเสียงพลุมากกว่าเสียงเธอซะอีก น้ำเสียงเรียบและเย็นชาลอดออกมาจากใจของผม ยิ่งนึกก็ยิ่งเกลียดเธอขึ้นมาจับใจ เมื่อความพยายามทั้งหลายทุกค่ำทุกคืนต้องพังทลายหายไป กลายเป็นแค่คำว่าสวัสดีปีใหม่จากคนที่งี่เง่าน่ารำคาญที่สุดในชีวิต!      

    อ้าว ขอโทษนะ ฉันโทรมาปลุกเธอหรอ?”

    เงียบซะเถอะ! เธอรู้ตัวบ้างรึเปล่าว่ามันน่ารำคาญมากแค่ไหนที่ต้องมาเจอคนอย่างเธอ!” ผมขึ้นเสียงอย่างเหลืออด รู้ตัวบ้างไหมว่าทำให้ใครเขาเดือดร้อน! เธอเคยเข้าใจใครเขาบ้างไหม....เคยรู้ตัวบ้างไหมว่าไม่มีใครอยากจะเฉียดเข้าใกล้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว! นั่นสิ...เธอไม่รู้ตัวหรอก เธอไม่เคยเห็นใจใครเลยนอกจากตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ เธอเคยถามฉันบ้างไหมว่าฉันรู้สึกยังไง! ฉันล่ะเตรียมคำตอบไว้อยู่ทุกวันที่เห็นหน้าเธอ ฉันอยากให้เธอไปไกลๆ!! ยิ่งไกลเท่าไรก็ยิ่งดี! ฟังอยู่รึเปล่า! ยิ่งอยู่กับเธอมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งเสียดายเวลาของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น! ไม่นึกเลยว่าเกิดมาต้องมาจมดิ่งลงเหวอยู่กับคนอย่างเธอ ไม่นึกเลยจริงๆ!”

                    ผมหายใจหอบเพราะแรงโกรธ ได้ยินแต่เสียงพลุดังปัง! ปัง! ออกมาจากโทรศัพท์ แต่โทสะเดือดดาลในใจนั้นเสียงดังกว่ามันมากนัก น้ำตาผมไหลออกมา แต่ไม่มีหรอกเสียงสะอื้น

    ไม่เคยรู้ตัวเลยหรอว่าฉันเกลียดเธอ..... เกลียดจนไม่รู้จะพูดยังไง มีแต่หาเรื่องมาให้ ไม่เคยยอมเข้าใจอะไรสักอย่าง รู้ไหมว่าฉันยอมไม่ขึ้นม.ปลายซะยังจะดีกว่า ถ้าเกิดรู้ว่าชีวิตต้องมาเจอกับคนอย่างเธอ! สวัสดีปีใหม่อะไรกัน ฉันไม่อยากจะได้ยิน! อุตส่าห์ดีใจจะตายที่หยุดไม่ต้องไปเห็นหน้าเธอ ยังไม่วายต้องตามรังควานอีก ทำไมต้องทำให้ฉันต้องเริ่มต้นปีด้วยคำทักทายจากเธอด้วยนะ ไม่เข้าใจเลย!”

                    กว่าจะหักห้ามคำพูดที่จ่ออยู่แค่ริมฝีปากก็สายเกินไปเสียแล้ว แม้จะรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไป แต่ผมก็ไม่นึกอยากจะขอโทษ เธอสมควรโดนแล้ว ความคิดผมวนเวียนอยู่แค่นั้น แค่นั้นจริงๆ เท่านี้ยังไม่หมดหัวใจที่ร่ำร้องเอาแต่สาปแช่งเธอแม้แต่น้อย เสียงของขมิ้นที่จับอารมณ์ไม่ได้ดังออกมาหลังจากที่เงียบหายไปนาน

    ทั้งหมด.....แค่นี้ใช่ไหม?”

                ผมย้ำเน้นเป็นครั้งสุดท้าย ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว 

                    แล้วหน้าจอโทรศัพท์ก็ดำมืดลงอย่างไร้ชีวิต เสียงพลุยังดังกึกก้องประกาศศักราชใหม่ไปทั่วฟ้า ผมมองไม่เห็นแสงสีประกายใดๆ ไม่ว่าจะเป็นพลุหรือดวงดาว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ที่บิดบังดวงตา น้ำตา ความสิ้นหวัง หรือความเกรี้ยวกราด ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขดตัวกลมใต้ผ้าห่มแล้วสั่นระริก เจ็บแปลบไปทั้งอก ในใจพร่ำพูดแต่กับนิ้มที่อาจไม่มีวันปรากฏกลับมาให้เห็นซ้ำๆอยู่อย่างนั้น วันนี้ลมหนาวช่างสร้างแผลอันบาดลึกเสียจริงๆ

                    ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ.......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×