คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : จะทำอย่างไรดี?
ผมกับเธอวิ่งกันคนละสามรอบเท่านั้น ระหว่างวิ่งเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งตอนเดินกลับบ้านนี่แหละ เธอจึงเอ่ยปากพูดไม่หยุด
เธอเล่าเรื่องต่างๆมากมายให้ผมฟัง ราวกับว่าคุ้นเคยกับผมเป็นอย่างดี เธอเล่าเรื่องหนังสือที่อ่าน นักเขียนที่ชอบ เพลงที่ฟัง วิชาที่เบื่อ อาจารย์ที่ไม่ชอบ รวมไปถึงชีวิตตอนม.ต้น เธอเค้นเรื่องราวเหล่านั้นมาจากไหนนะ? เธอเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องราวน่าฟังเหล่านั้นได้อย่างไร? ผมได้แต่นึกสงสัยอยู่อย่างนั้น
.........
“เป็นอะไรไปน่ะ”
ผมเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะทันทีที่ผมเดินชะลอฝีเท้าลง เธอก็ถึงกับหยุดเดิน พร้อมกับมีสีหน้าไม่สบายใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทน เธอมองผมด้วยแววตาที่กังวลราวกับเด็กๆที่กลัวว่าจะทำอะไรผิด
“เปล่า...ก็เธอไม่ชอบให้ฉันเดินอยู่ข้างๆเธอนี่”
ภาพเหตุการณ์วันที่ผมไล่เธอออกไปพุ่งพรวดเข้ามาในความทรงจำทำให้ผมเกือบร้องอ๋อออกมาทั้งอย่างนั้น พลันรู้สึกผิดหนักๆขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ผมพูดอะไรไม่ถูก ขมิ้นเองก็เช่นกัน เธอเพียงแค่ยักไหล่พลางพยักเพยิดบอกว่าเดินต่อไปสิ ฉันไม่เป็นไร ภาษากายของเธอพูดว่าอย่างนั้น
รถไอติมสีฟ้าแล่นเอื่อยๆผ่านไปทำให้ผมนึกอะไรเพื่อที่จะแก้ไขความผิดของตัวเองได้ ผมกวักมือเรียกเธอแล้ววิ่งไปที่รถขายของเย็นๆคันเล็ก คนขายวัยกลางคนสังเกตเห็นผมจึงหยุดรถแทบจะในทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาเรียกหา
“กินอะไรดี?” ผมเปรยขึ้นพลางมองไปที่เมนูหลากหลายตรงหน้า ขมิ้นยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ ผมหันไปมองเธอที่ยังไม่ยอมเดินเข้ามา “มาช่วยเลือกหน่อยสิ”
ขมิ้นยิ้มไปพร้อมๆกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอคงไม่เข้าใจและนึกขำในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอกำลังตั้งคำถามอะไรกับผมรึเปล่า เธอจึงเอาแต่มองเมนูไอติมหลากรสสลับกับใบหน้าของผม
“จะกินฉันหรอมามองฉันเนี่ย” ผมแซวเข้าไปหนึ่งดอกก่อนที่จะชี้ไอติมที่ผมหมายปอง ลุงผิวคล้ำก็ล้วงเข้าไปในตู้เย็นเคลื่อนที่ หยิบเอาของหวานเย็นเจี๊ยบที่กำลังจะเป็นของผมขึ้นมา
“หลงตัวเองจริง” ขมิ้นยิ้มแล้วชี้ไปที่ไอติมบนเมนูบ้าง มันเป็นไอติมรสผลไม้ ผิดกับผมที่เป็นรสช็อคโกแลต ผมจึงอดถามไม่ได้ “ทำไมผู้หญิงถึงชอบกินรสผลไม้กันจัง”
“เปล่านี่ ฉันกินได้ทุกรสนั่นแหละ”
ขมิ้นหัวเราะแล้วแกะไอติมเข้าปาก แล้วเดินออกจากรถไอติมหลังจากยื่นเหรียญสิบให้คนขายเรียบร้อย ผมเดินตาม เร่งแซงไปสองสามก้าวแล้วก็เดินถอยหลัง
เธอยังตั้งตัวไม่ทันเท่าไร แต่ก็คงพอเข้าใจแล้วว่าผมยินดีที่จะให้เธอเดินอยู่ในระดับที่เสมอกัน
วันนี้ทำให้ผมรู้ว่า ขมิ้นกินไอติมหมดแท่งก่อนผมซะอีก
---------------------------------------------------
“นิ้ม!” ผมร้องเรียกชื่อเธอขึ้นมาด้วยหัวใจที่ลิงโลด หลังจากเฝ้ารอมานานหลายต่อหลายคืน ผมก็ตามหาฝันของผมพบ นิ้มที่ผมยาวราวกับไม่เคยตัดสั้นมาก่อนหันมายิ้มทักทายพร้อมกับโบกมือไปมา มือขวาถือกระเป๋าจาค็อบสีดำแบนเรียบ ใบหน้าของเธอยังคงน่ารักสดใสไม่เปลี่ยนแปลง
“ออกมาช้าจังเลยนะหลุน เดี๋ยวก็ไปปั่นงานตอนเช้าไม่ทันหรอก” เธอพูดพลางวิ่งเข้ามาหา ผมมองเห็นใบหน้าของเธอเต็มๆตา ก่อนที่จะคืนสติเพ่งมองรอบๆตัวอีกครั้ง มันคือโรงเรียนเราเองไม่ผิดแน่ กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแบกกระเป๋าสามกิโลอยู่บนหลัง นิ้มก็ทำให้ผมใจลอยไปหลายนาที
เราเดินไปที่ห้องด้วยกัน เหมือนกับฝัน....ใช่สิ มันเป็นฝันนี่นะ แต่มันเป็นฝันที่ผมปรารถนาให้เป็นความจริงที่สุดในโลก ผมสีดำสนิทของนิ้มโบกสะบัดไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย ผมไม่อาจหยุดรอยยิ้มที่เหยียดกว้างได้
นิ้มมองผมอย่างสงสัย ท่าทีของเธอดูไม่ออกเลยว่าคือความฝัน ทุกสิ่งดูปกติดีทุกๆอย่าง เหมือนกับมันคือชีวิตประจำวันธรรมดาของเรา มิหนำซ้ำเธอยังบอกอีกว่าวันนี้มีสอบอังกฤษ ถามถึงผมว่าผมอ่านหนังสือมารึยัง ผมส่ายหน้าในจังหวะเดียวกันกับที่เธอถอนใจเฮือกใหญ่ ยิ้มมุมปากพลางพึมพำต่ำๆว่า ไม่ไหวเลยไม่ไหวเลย
ผมย้ำกับตัวเองว่า มีสมาธิกับเธอให้มากๆ และอย่าได้เผลอลืมตาขึ้นมาอีกเลย
“จะไปไหนน่ะหลุน?” นิ้มถามเสียงสูงนิดๆเมื่อเห็นผมเดินดุ่มๆเข้าไปยังโต๊ะประจำเพราะความเคยชิน เธอเอียงคอแล้วคิ้วขมวดน้อยๆ “เธอนั่งหลังห้องไม่ใช่หรอ นั่งกับมิ่งไง”
ผมมองตามนิ้มมือที่ชี้ไปยังโต๊ะหลังสุดติดกับถังขยะ ห่างไกลกับที่นั่งบนชีวิตจริงอย่างฟ้ากับเหว ผมกะพริบตาถี่ๆนิดหนึ่งก่อนที่จะเดินตามไปอย่างว่าง่ายพลางร้องอือๆออๆไปนิดหนึ่ง วางกระเป๋าลงบนโต๊ะพร้อมกับย้ำตัวเองอย่างหนักแน่นไม่ให้นึกถึงเรื่องราวนอกเปลือกตา ในตอนนี้....ชีวิตผมอยู่กับเธอ
“วันนี้ส่งใบงานสังคมนะ เสร็จรึยัง?” เพื่อนหญิงถามอีก ผมจึงดึงแฟ้มออกมาจากเป้ พลิกไปพลิกมาสองสามหน้า เนื้อที่สำหรับคำตอบยังคงว่างเปล่าสะอาดสะอ้าน แน่นอนว่านิ้มยื่นใบงานของตัวเองมาให้โดยที่ไม่ต้องปริปากขอ
“เธอนี่รู้ดีจัง” ผมหัวเราะอย่างสบายอารมณ์
“ก็เธอไม่เคยเปลี่ยนเลยนี่”
คำตอบนั้นทำให้ผมชะงักกึก ในตอนนั้นเองที่นิ้มหันไปทักทายเพื่อนหลายๆคนที่เดินเข้ามา ทุกคนล้วนสนิทสนมกับเธอเป็นอย่างดี นั่นสินะ....เธออยู่ในโลกนี้มาเสมอนี่นา ทุกคนที่นี่คือความทรงจำปัจจุบันที่ผสมปนเปกันในจิตใจของผม นิ้มเดินไปคุยกับกลุ่มเพื่อนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างออกรส หัวเราะคลอเคล้ากันไปตามเรื่อง เหตุการณ์ที่ได้ยิน ผมเสียอีกที่เป็นคนนอกไม่รู้อะไร
“ขมิ้น....สวัสดี” ผมร้องทักเมื่อเห็นเพื่อนที่คุ้นเคยที่สุดในปัจจุบันเดินเข้ามาทางประตูหลังห้อง ขมิ้นเพียงพยักหน้าเงียบๆด้วยสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่รู้จักผมมาก่อน เธอไม่ได้สบตาผมนานนัก ไม่แม้แต่เปล่งเสียงกวนๆอ้อนรองเท้าเบอร์สี่สิบสี่ของผม ความเปลี่ยนแปลงนี้เสียอีกที่ทำให้ผมใจหายขึ้นมานิดๆ
มิ่งเดินตามหลังเธอเข้ามา ผมทักทายเขา เขาจึงเดินเข้ามาถามว่าผมทำอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจคำตอบผมเท่าไร ผมจึงถามถึงเรื่องขมิ้นที่ดูแปลกไปกับเขา
“.....มึงเคยคุยกับขมิ้นด้วยหรอวะ?” นี่คือคำพูดที่มอบให้ผม พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจในคำถาม
ผมได้แต่เงียบไปในทันใด มองผมดำที่รวบไว้อย่างยุ่งๆไม่ใส่ใจที่ห่างกันหนึ่งช่วงกำแพง ขมิ้นนั่งเงียบๆทำอะไรสักอย่าง นั่งคู่กับเฟิร์นที่ในชีวิตจริงผมไม่เคยเห็นเธอทั้งสองคุยกัน
“อ้าว? เป็นอะไรล่ะหลุน ไม่ลอกแล้วหรอ?” นิ้มเดินกลับมาที่โต๊ะประจำที่อยู่ข้างหน้าผม ผมมองหน้าเธอก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้มหน้าก้มตาลอกลายมือตัวกลมๆอ่านง่ายบนแผ่นใบงานสีเข้มๆเหล่านั้น
น่าแปลกที่ทุกๆอย่างกลับไม่ได้ทำให้ผมเบิกบานอย่างที่ใจคิด
“วันนี้เป็นอะไรรึเปล่า? ดูมึนๆงงๆนะ” นิ้มถามขึ้นขณะที่มิ่งดึงเอาต้นฉบับใบงานไปวางไว้ระหว่างโต๊ะเพื่อการแบ่งปันอันเท่าเทียม ผมได้แต่ยิ้มแหยๆพร้อมกับส่ายหน้า อ้างไปหน้าตาเฉยว่าคงนอนดึกไปหน่อยเมื่อคืน
“เล่นเกมอีกล่ะสิ หนังสือก็ไม่อ่าน งานก็ไม่เคยทำ เธอนี่นะ....”
เสียงหัวเราะที่คุ้นเคยนั้น สองร้อยวันดูจะทำให้มันฟังช่างห่างเหิน เช่นเดียวกันกับคำพูดดีๆลื่นหู ไม่ใช่คำประชดประชัน ไม่ใช่คำเหน็บแหนม ไม่ใช่คำแขวะ ไม่ใช่คำกวนประสาท ไม่ใช่คำตอกย้ำ ผมรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่ลึกๆ หลายครั้งเลยที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป ได้แต่ยิ้มบางๆเท่านั้น
ผมเบนสายตาไปที่ขมิ้นอีกครั้ง เธอยังไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่น้อย ยังไม่ได้ยินเสียงเธอเย้าแหย่ใครเลยวันนี้ ทำไม....เธอเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ? และที่สำคัญที่สุด โลกโลกนี้ ทำไมผมจึงดูไม่มีตัวตนเลยสำหรับเธอ
ไอ้มิ่งกระทุ้งผมให้ขยับปากกา เพราะมันลอกเสร็จแล้วหมดหน้ากระดาษ นิ้มยังใช้ตากลมๆมองผมอย่างสงสัยที่เจือไปด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ผมยิ้มให้เธออีกครั้งก่อนจะถอนสายตากลับเข้าสู่แผ่นกระดาษ นิ้มมีสีหน้าไม่สบายใจเท่าไรนัก เธอน่ารักและคอยดูแลคนไม่เอาไหนอย่างผมเสมอ.....
แต่ดูเหมือนผมจะเริ่มคุ้นชินกับสภาพดูแลตัวเองเกินไปเสียแล้ว
เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างเนิบช้า เสียงเข็มนาฬิกาดังก้องกริ๊กๆ ผมตื่นตอนตีห้าโดยไม่จำเป็นต้องมีนาฬิกาปลุกให้สะดุ้งเด้งออกจากเตียง แต่ผมยังไม่มีกะจิตกะใจลุกขึ้นมาทำอะไรได้ ได้มองแต่เพดานที่ประดับด้วยหลอดไฟสีขุ่นดำพาดยาวอยู่หนึ่งดวง นัยน์ตาว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง หัวใจผมเต้นไม่เร็วเอาเสียเลย ไม่เหมือนเช้าไหนๆที่มีแต่ความร้อนรุ่มกระวนกระวายไม่เป็นสุข
หน้าตาของนิ้มเพียงสักพักกลับพร่าเลือน เสียงของเธอแม้จะพยายามไขว่คว้าเข้ามาก็ยิ่งจางหายเบาบาง ความฝันไม่อาจเติมเต็มความมีตัวตนบนโลกปัจจุบันได้เลยแม้แต่น้อย
ขอบตาร้อนขึ้นมาวาบหนึ่ง แต่เหตุผลนั้นไม่กระจ่างแจ้งในจิตใจอีกแล้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะอะไร เพราะความรักความผูกพันของนิ้มที่จางหายไปในโลกแห่งความจริง หรือความอบอุ่นของขมิ้นที่ไม่หลงเหลือเลยในความฝัน
ผมเฝ้าเดินทางตามหาฝันมานานตั้งกี่เดือนกว่าจะได้มาพานพบกับคืนคืนนี้ ความวกวนอยู่ในทางวงกตที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่เคยทำให้ผมนึกถึงความสับสนที่เข้าพร้อมจู่โจมเลยแม้แต่น้อย เมื่อก่อนอาจสับสนกับเส้นทาง แต่ตอนนี้กลับต้องมาสับสนกับจุดหมาย อดีต....กับปัจจุบันที่ซ้อนทับกันในช่วงเวลาแปดชั่วโมงนั้นยังคงติดตรึงในภาพจำอันรางเลือน
อดีตที่เริ่มอายุยืนยาวเกินกว่าสองร้อยห้าสิบวัน กับปัจจุบันที่นับวันก็ยิ่งรู้สึกถึงความสำคัญ การตัดสินใจเลือกช่วงเวลาเหล่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
จะทำอย่างไรดี....?
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนคาบเรียนใหม่จะเริ่มไม่กี่นาที
แน่นอนว่านิ้วมือที่สะกิดนั้นคือขมิ้น รอยยิ้มที่ผมไม่เคยนึกว่าจะคิดถึงเมื่อมันหายไปปรากฏให้เห็นชัดถนัดตา เธอเอียงคอเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยอมยืดหลังให้เหยียดตรงในสภาพพร้อมที่จะเรียน
“นอนเก่งจังนะ มิน่าถึงได้สูงนัก” คำพูดอ้อนๆแนวนี้...ก็ไม่นึกว่าจะรู้สึกแปลกๆเมื่อไม่ได้ยินเช่นกัน
“พอดีว่าฉันเป็นคนช่างฝัน” ผมพึมพำออกมาเบาๆ เธอคงจับไม่ได้หรอกว่าน้ำเสียงนั้นจริงจังกว่าที่เธอคิดนัก เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่หัวเราะแห้งๆพร้อมกับขานรับ จ้าๆๆๆ ไม่ขาดปาก
“รู้ไหม....ว่าทำไมฉันถึงชอบฝัน”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า แปลกจริง” ขมิ้นพูดโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรขณะจัดใบความรู้ต่างๆเข้าแฟ้ม ผมเงียบไปพักหนึ่ง
“แล้วทำไมเธอถึงชอบปลุกฉันอยู่เรื่อย”
“......หา? อะไรของเธอเนี่ย? ถ้าฉันไม่ปลุกเธอฉันก็เป็นคนใจร้ายที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง” เธอหัวเราะใสๆ “จะปล่อยให้จิตพิสัยเธอกลวงโบ๋ไปอีกก็น่าสงสารแย่ งานก็ส่งไม่ค่อยจะทันเขาเท่าไรนี่เธอน่ะ”
“หรอ.....” ผมพึมพำต่ำๆ แต่ก็ยังไม่ลุกจากที่นอนไร้หมอน “จะว่าไป ก็ต้องพึ่งเธอให้ปลุกฉันบ่อยๆแล้วกันนะ”
ขมิ้นยักไหล่ “นิสัยไม่ดี.... ฉันเห็นนะว่าคาบเคมีเอย ชีวะเอย หรือคาบไหนๆที่ไม่ได้เรียนห้องนี้แล้วเธออยู่ห่างฉัน เธอก็จะหลับอยู่เรื่อย”
แล้วเธอก็ทำท่าเลียนแบบผม ด้วยการนั่งไขว่ห้าง กอดอก ก้มหน้าลงพร้อมกับหลับตา ทำตัวโงนไปเงนมาเกินกว่าที่ควรจะเป็น ผมหัวเราะหึๆก่อนที่จะเหยียดตัวตรงขึ้นมาในที่สุด “ชักจะเหมือนมากเกินไปแล้ว”
เธอแลบลิ้นใส่ทั้งๆที่ยังสวมบทผมยามสัปหงก
“ดูทำเข้า ใครกันแน่นะที่นิสัยไม่ดี”
“ก็ต้องเธอสิ” เธอสวนทันควันก่อนที่จะกลับเข้าสู่ท่านั่งตามปกติของเธอ ซึ่งเธอเองก็จัดแจงเปลี่ยนฉากด้วยเสียงหัวเราะร่วน “ฉันน่ะเป็นเด็กดีจะตายไป”
พอเห็นแบบนี้แล้ว ผมยิ่งไม่แน่ใจแล้วว่าทุกคืนหลังจากนี้....ผมยังต้องการตามหาฝันแห่งเดิมแห่งนั้นอีกหรือไม่
ความคิดเห็น