คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ศาสตราจารย์คมชาญ
เขาพาฉันออกมากับจักรยานทุกวัน อาจจะขี่วนไปวนมา อาจจะแวะที่โน่นที่นี่ทั้งร้านค้า ห้างใหญ่ๆหรือแม้แต่ตลาดสด ทุกวันๆฉันมักจะเฝ้ารอเวลาให้เขาเดินเข้ามา และคิดว่าวันนี้เขาจะพาฉันไปถึงไหนในวันนี้ ไม่เคยมีทิวทัศน์ใดที่ไม่น่ามอง ทุกอย่างทุกช่วงเวลาเหล่านั้นสำหรับฉันมีค่าให้เกี่ยวเก็บทุกวินาที แผ่นหลังของเขากับเสียงล้อหมุนกลายเป็นสิ่งที่ฉันคุ้นเคยและรอคอย
ฉันนั่งมองเข็มนาฬิกา พลางนึกถึงคำพูดของเขาในวันหนึ่ง วันที่ฉันเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกล วันที่เขาพาฉันออกไปจนเกือบเลยเวลาสถาบันวิจัยกำหนดไว้ แม้ดวงตากำลังมองเข็มนาฬิกา แต่ทำไมภาพที่ฉันเห็นกลับเป็นภาพในวันนั้น.....
“ถ้าเธอไม่ว่าอะไร....ฉันอยากพาเธอออกมาแบบนี้ทุกวัน ได้ไหม?”
เขาถามฉันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น เกือบเย็นแล้ว แสงแดดทอเป็นสีส้มอ่อนสวยงาม ฉันเผลอยิ้มไปเพราะคำถามนั้นแล้วกำหมัดขึ้นมาทุบแผ่นหลังตรงหน้าเบาๆ “แค่จักรยานคันเดียวจะพาฉันไปได้ถึงไหนกัน? อาทิตย์เดียวให้รอดก่อนเถอะ เดี๋ยวเธอก็เหนื่อยตายแล้ว”
“เอ้า! ดูถูกๆ ถ้าฉันทำได้เธอจะยอมซ้อนทุกวันเลยไหมล่ะ” เขาท้ายทายอย่างมั่นใจ “หรือไม่...ถ้าฉันหมดแรงขึ้นมา เธอก็เปลี่ยนมาเป็นคนขับพาฉันกลับก็ได้ไม่ใช่รึไง?”
“อ้าวๆๆ แน่ใจนะ ฉันขับน่ะ....สามวันยังก็กลับไม่ถึงสถาบันวิจัยเลย”
เขาหัวเราะเต็มเสียง ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้ชอบเสียงหัวเราะนั้น แม้เขาจะไม่ได้หันมา ฉันก็รู้ว่าเขามีสีหน้าแบบไหน แววตาของเขาจะเป็นอย่างไร แววตาที่จะทำให้ฉันลืมทุกอย่างที่เคยปวดร้าว เขาทำให้ฉันลืมทุกอย่างที่เคยประสบ แม้เช้าของวันพรุ่งนี้ฉันอาจจะถูกเจาะเลือด ถูกตรวจสมอง ถูกฉีดยา ถูกพาไปห้องตรวจ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว เพราะยามบ่ายของทุกวันคือการเริ่มวันใหม่ที่แท้จริงของฉัน
“เธอยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะ” เขาหันมาพลางลดความเร็วลง เสียงล้อทั้งสองหมุนไปด้วยกันเบาๆ ฉันเอียงคอและยิ้มกว้าง ไม่เคยรู้สึกอยากพูดอะไรมากเท่านี้มาก่อน มีแรงผลักอะไรบางอย่างที่กำลังดันขึ้นมาจากภายใน ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ใครต่อใครเรียกว่าความสบายใจ หรือไม่ก็คือความสุข
“ฉันจะรอเธอทุกวันเลยถ้าเธอบอกว่าจะทำได้จริงๆ”
“ฉันทำได้อยู่แล้ว”
“ทำไมมั่นใจนักล่ะ”
“เพราะ......” เขาลากเสียงยาว แต่ก็ไม่ยอมพูดต่อ จนจักรยานหยุดสนิท เขาก็ยังไม่ยอมพูดต่อให้จบประโยคนั้นจริงๆ เพียงแค่ต่อคำพูดให้ฟังดูกวนประสาทกว่าเดิมเท่านั้น “เพราะอะไรนะ....”
“นั่นสิ เพราะอะไรหรอ” ฉันรอฟังคำตอบอย่างกระตือรือร้น เอนตัวไปมองหน้าเขาอย่างขบขัน เมื่อทิตย์ชำเลืองมองฉันก็รีบเอนตัวกลับที่เดิม เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นมา ก่อนที่จะตามมาด้วยคำตอบ ฉันไม่ได้หวังว่าคำตอบจากปากของเขาจะเป็นสิ่งที่จริงจังสักเท่าไรนัก แต่ฉันก็ไม่เคยนึกเช่นกันว่าคำตอบนั้นจะทำให้ฉันยิ้มได้มากมายถึงเพียงนั้น และทำให้รอยยิ้มนั้นกลับคืนมาได้เมื่อนึกถึงมัน
“ก็เพราะคนที่จะนั่งอยู่ข้างหลังฉันคือเธอน่ะสิ....”
ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์เพราะเสียงเปิดประตู คนที่เดินเข้ามาทำให้ฉันยิ้มกว้างอย่างโล่งอก
“ละมุน เหม่ออะไรอยู่ได้ จะไปกันรึยัง?”
จากนั้นเกือบหนึ่งเดือนเต็มหลังจาวันแรกที่พบกับเขา ฉันต้องเข้าไปพบจิตแพทย์อีกครั้ง หลังจากที่ฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าพวกนักวิทยาศาสตร์ชุดขาวพวกนั้นมีสีหน้าที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาจนน่าสงสัย เขาค้นพบอะไรที่เพิ่มเติมเกี่ยวกับฉันแล้วหรือไงนะ? หรือว่าพบนวัตกรรมใหม่ที่จะทดสอบฉันกันแน่?
“สวัสดีคุณสุธีนันท์......” น้ำเสียงที่ไม่เจือความเป็นมิตรของลุงภูมิรพีดังขึ้นทันทีที่เห็นทิตย์ ฉันหันไปมองเขาที่เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มไม่กลัวเกรงน่าหมั่นไส้ดังเดิม รอยยิ้มนั้นกลายเป็นสิ่งเรียกเสียงหัวเราะที่ไม่อาจเปิดเผยทุกครั้งสำหรับฉัน เพราะมันคือคำประกาศศึกระหว่างเขากับคุณลุงคนเข็นรถ ลุงผู้ช่วยบ่นงึมงำพลางรัดแขนฉันแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย
“คุณยังต้องมัดเธออีกเหรอครับ?”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณ..... คุณมีงานของคุณ ผมมีงานของผม และอย่างน้อยคุณก็ควรให้ความเคารพต่อผู้ที่อาวุโสกว่าคุณสักหน่อย คุณไม่ควรมาบอกว่าผมควรทำโน่นทำนี่ราวกับว่าผมอยู่ใต้อำนาจของคุณ”
“ใจเย็นๆสิครับ....ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลย ผมให้ความเคารพต่อคุณเสมอในฐานะรุ่นพี่เสมอนะครับ”
“อย่าได้เหิมเกริมไป ที่คุณได้มาถึงระดับนี้ทั้งๆที่ยังเรียนมัธยมปลายอยู่นั่นก็เป็นเพียงเพราะความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ของคุณเท่านั้น.... ไม่ใช่ว่าคุณฉลาดหรือเก่งกว่าผมเสมอไป”
“ผมก็ไม่เคยบังอาจคิดเช่นนั้นครับ” ทิตย์หัวเราะ “อันที่จริงผมก็อยากคุยต่อ แต่ว่าผมต้องไปทำงานแล้วล่ะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณสุธีนันท์ เราได้คุยกันต่อแน่”
ความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ของทิตย์? คำพูดนั้นทำให้ฉันนึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร แต่ดูเหมือนนี่เป็นสิ่งที่คนเข็นรถตั้งใจไว้ เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงของเขาดังขึ้นเบาๆในระดับที่ตั้งใจให้ฉันได้ยินมันเพียงผู้เดียว
“คุณสุธีนันท์ทำงานได้ดีจริงๆไหม คุณศุภาพิชญ์”
“ก็คงเป็นเช่นนั้นค่ะ.....ฉันไม่รู้” ฉันพยายามบอกปัด น้ำเสียงไม่แสดงว่าอยากสานบทสนทนาของเขาต่อ แต่ดูท่าเขาจะไม่ยอมหยุดพูดง่ายๆ “ผมอยากรู้จริงๆว่าเขาทำอย่างไรจึงสามารถเข้าถึงตัวคุณได้มากมายขนาดนี้”
ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ได้หันกลับไปมองเขา แต่ลุงภูมิรพียังพูดต่อไปอย่างเริงร่า “สมกับเป็นไพ่ตายของสถาบันเสียจริงๆ ในที่สุดเขาก็เป็นตัวแปรสำคัญในการสานต่อโครงการนี้จนได้ คุณศุภาพิชญ์ คุณอยากรู้ไหม? ว่าทำไมเขาจึงได้กลายเป็นความหวังของวงการจิตแพทย์”
“ไม่อยากรู้.....ค่ะ”
เป็นน้ำเสียงที่ฉันพยายามบังคับให้เรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมันเกือบจะสั่นสะท้านพอๆกับจิตใจของฉัน ฉันอยากจะเถียง อยากจะเย้ยหยันเขา แต่คำพูดบางอย่างก็ดูจะยากเกินกว่าจะหลุดออกมาจากลำคอ อีกอย่าง....ฉันรู้สึกกลัวในสิ่งที่อาจจะพรั่งพรูออกมาจากมนุษย์ไร้จิตใจเช่นเขา ฉันไม่อยากจิตใจไขว้เขว แต่คำพูดนั้นทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ ทิตย์เป็นคนบอกฉันเองว่ามีคนส่งเขามา ฉันลืมมันไปแล้ว..... ลืมราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริง ราวกับว่ามันเป็นเรื่องโกหกที่ลอยเข้ามาแล้วก็ผ่านหายไป แต่เมื่อมานึกถึงตอนนี้ ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าสิ่งใดคือคำโกหก
ฉันไม่เคยชอบห้องตรวจเลยสักครั้ง มันเป็นห้องเล็กๆและไม่ค่อยสว่างมากสักเท่าไรนัก ที่ที่จะต้องอยู่กับจิตแพทย์ลำพังเพียงสองคน บรรยากาศที่นั่นตึงเครียดด้วยคำถามหลอกล่อมากมาย อีกทั้งกำแพงสะท้อนเสียงก้องไปหมดจนฉันเริ่มรู้สึกเกลียดน้ำเสียงตัวเองขึ้นมาทุกครั้ง แววตาของหมอก็ไม่เคยเป็นมิตรและดูไม่สนใจอะไรนอกจากจดคำตอบที่ฉันพูดออกไป
วันนี้คนที่ฉันจะต้องพบคือ ศาสตราจารย์คมชาญ
ฉันยังไม่ถูกแก้มัด และไม่เคยถูกแก้ขณะที่จิตแพทย์หรือนักบำบัดทั้งหลายพยายามซักถามเลยสักครั้ง แต่ที่นี่มันต่างออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง ศาสตราจารย์คมชาญก็เดินเข้ามาแก้มัดฉันออก และเชิญให้ฉันไปนั่งที่คนไข้ปกติ เขาเป็นชายอายุราวสี่สิบปลายๆ ผมดำเริ่มแซมด้วยสีขาว ใบหน้ายังไม่มีริ้วรอยมาบดบังใบหน้าเดิมๆให้ดูสูงวัยขึ้นมากนัก เมื่อแก้มัดฉัน เขาก็เดินไปนั่งเก้าอี้ข้างๆด้วยท่าทางสุภาพ
“สวัสดี....คุณศุภาพิชญ์ ยินดีที่ได้พบคุณ” ชายวัยกลางคนยิ้มนิ่ง ฉันสบตาเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย “นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณต้องมาหาคนอย่างผม ถูกต้องไหมครับ?”
“ค่ะ....” ฉันตอบสั้นๆ
“ดวงตาของคุณมีประกายชีวิตฉายออกมาแล้วนะครับ ดูเหมือนคุณจะมีความสุขในชีวิตขึ้น”
ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดถึง และไม่คิดว่ามันจะเป็นความจริง ฉันไม่เคยคุ้นหน้าเขามาก่อนในชีวิต เขาจะมารู้ได้อย่างไรว่าแต่ก่อนดวงตาของฉันเป็นอย่างไร
“แต่ดูเหมือนคุณจะไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับผมนัก.....แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ต้องขออนุญาตทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่นะครับ ผมเชื่อว่าผมจะไม่ทำให้คุณรู้สึกแย่อย่างที่คุณกลัว” ศาสตราจารย์ยิ้มกว้างขึ้น พลางหยิบรายงานจากแฟ้มข้างตัวขึ้นมา มีกระดาษหลายแผ่นจึงคัดเลือกอยู่นาน ฉันนั่งนิ่งอย่างว่าง่าย
“รายงานบอกผมว่า.... คุณมีสมองที่ปกติดีทุกอย่าง ความจำดี สุขภาพดี เป็นคนร่าเริงสดใส”
ฉันเลิกคิ้ว เป็นรายงานที่ฟังดูแปลกหู ฉันไม่เคยได้ยินรายงานที่มีเรื่องดีๆเกี่ยวกับสุขภาพจิตฉันเสียเท่าไรนัก มันมักจะมีแต่คำว่า เก็บกด ก้าวร้าว มีปัญหาทางด้านควบคุมอารมณ์ เก็บตัวหรือไม่ก็หัวรุนแรง
“จากที่ผมอ่าน คุณเป็นคนยิ้มง่ายและสดใสอีกด้วย..... แต่ยึดติดกับอดีตไปสักหน่อย นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณเป็นคนขี้ระแวงไม่ไว้ใจคน คนอื่นจึงได้มองคุณเป็นคนค่อนข้างแข็งกระด้าง....และแสดงออกการต่อต้านรุนแรงสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยตั้งใจให้มันเกิดขึ้น”
ศาสตราจารย์ดูพอใจกับสิ่งที่ได้อ่าน ฉันยังคงคาใจในรายงาน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นถ้อยคำแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครเคยพูดถึงฉัน ชายกลางคนวางรายงานลงบนเก้าอี้อีกตัว ตัวอักษรสีน้ำเงินบนมุมหัวกระดาษเป็นลายมือหวัดตัวเล็ก ถึงอย่างนั้น แม้จะเห็นเป็นตัวอักษรกลับหัว ชื่อชื่อนั้นก็สะดุดตาเกินกว่าจะไม่สนใจ รายงานของนายสุธีนันท์
อยู่ๆสมองของฉันหนักอึ้งขึ้นมาทันที ดวงตาของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะความรู้สึกกลัว ทิตย์..... เขาไม่ได้มาเพราะอยากเจอฉัน เขาก็เพียงแค่หมากตัวหนึ่งของสถาบัน มาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อลับหลังฉัน เขาก็รายงานข้อมูลต่างๆที่พวกเขาไม่เคยรู้และต้องการที่จะรู้ เพิ่มชิ้นอาวุธให้กับสถาบันมากขึ้น ช่างเป็นไพ่ตายสุดท้ายอันเหมาะสมเพื่อรุกฆาต เขาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เมื่อมันสำเร็จ เขาได้สิ่งที่ต้องการเขาก็จะจากไป ใช่....แล้วเขาก็ทำงานได้ดีจริงๆ ป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่นะ..... วางแผนหลอกล่ออะไรฉันกับพวกนักวิทยาศาสตร์รึเปล่า? หรือกำลังยืดอกรับคำชมจากสถาบัน หรือกำลังวาดฝันรางวัลและชื่อเสียงที่จะตามมาเพราะความสำเร็จอันงดงามของเขา
เสียงเคาะประตูดังปลุกฉันให้ตื่นจากห้วงความคิด นี่ฉันคิดอะไรอยู่นะ..... ทิตย์คือคนเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขในสถาบันที่มีแต่ความเย็นชาและเหน็บหนาว ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาหวังดีต่อฉัน เขาเข้าใจฉัน เขาทำเพื่อฉันจริงๆ ต่อให้จะถูกสั่งมาหรือเป็นเพียงงานที่ถูกมอบหมาย นั่นคือสิ่งที่เขามอบให้ฉันไม่เปลี่ยนแปลง ฉันเชื่อใจเขา..... ใช่ ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจอะไรเลยนี่!
“ขออภัยนะครับ....” ศาสตราจารย์คมชาญพูดเสียงเรียบแล้วลุกออกไปเปิดประตู “ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าจะไม่พูดคุยกับใครเมื่อกำลังคุยกับคนไข้”
เสียงพูดจากอีกฟากประตูดังตอบกลับมา แต่มันเบาเกินกว่าที่ฉันจะได้ยิน ศาสตราจารย์เปลี่ยนสีหน้าหงุดหงิดรำคาญกลายเป็นความสงสัยงุนงง ชำเลืองมองฉันอย่างลังเลก่อนจะตอบตกลง เขาหันมาบอกให้ฉันรอแล้วเขาออกไปพร้อมกับปิดประตูด้วยเสียงที่เงียบกริบ
ฉันมองประตูที่ค่อยๆแง้มปิด อะไรคือสิ่งที่ศาสตราจารย์ทำสีหน้าอย่างนั้น อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉัน จึงลุกออกไปทางประตู แนบหูกับแผ่นไม้เย็นเฉียบนั้นเบาๆ แม้จะไม่ได้ยินอย่างชัดเจน แต่ก็พอจับใจความได้
“มีอะไรว่ามา....” เสียงของศาสตราจารย์ดังลอดเข้ามา เสียงอีกเสียงดังตอบขึ้นมาแทบจะในทันทีที่พูดจบ
“เรื่องคนไข้คนนี้ของคุณ เราเพิ่งได้ความคืบหน้ามาจากหัวหน้างาน”
“หวังว่ามันจะน่าสนใจพอที่มาขัดจังหวะผมนะ”
“แน่นอน.... เพราะคุณสุธีนันท์ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างนั้น เราจึงได้ข้อมูลที่สำคัญมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก”
“ครับ.....”
“ช่วงนี้เธอส่งคลื่นแปลกๆออกมาโดยไม่รู้ตัว เราจับคลื่นนั้นได้ ดูเหมือนว่าสมองส่วนใดส่วนหนึ่งที่ลึกลับที่สุดของเธอกำลังตื่นตัวแล้ว แต่มันยังอ่อนแรงและติดขัด หัวหน้างานจึงอยากให้คุณมุ่งประเด็นเกี่ยวกับความรู้สึกหรือความคิดที่มักจะอยู่ในหัวของเธอ เสร็จแล้วก็รีบส่งรายงานของคุณมาให้ทันที”
“คุณน่าจะพาเธอไปพบแพทย์สาขาสมองหรือประสาทมากกว่ามาพบผมนะ”
“เราต้องทำอยู่แล้วล่ะครับ เพียงแต่เบื้องต้น เราก็ต้องการทราบถึงจิตใจและความคิดของเธอด้วย มันคงจะมีประโยชน์ต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องอื่นๆเราคงจะมอบหมายงานให้คุณสุธีนันท์เป็นผู้เข้าหาเธอต่อไป ในวันนี้เราจะติดเครื่องจับคลื่นที่เขาด้วย เพื่อที่จะสามารถวัดคลื่นที่อาจจะส่งมาจากเธอได้ตลอดเวลา”
“ทำไมต้องเป็นสุธีนันท์?”
“เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้เธอเชื่องได้ และหลังจากที่เขาเข้าไปทำงานนี้ เขาเป็นคนแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คุณดูคนไม่ผิดจริงๆ”
“ผมไม่ได้ดูอะไรทั้งนั้น เขาเข้ามาขอร้องผมเอง....เขาอาสารับงานนี้เอง ผมไม่ได้มีส่วนร่วมเลย”
“และนี่ครับ... เมื่อเสร็จสิ้นงานของคุณ ให้เธอทานยานี้ด้วย”
“ผมควรจะถามไหมว่ามันคืออะไร”
“ไม่จำเป็น แต่หากคุณต้องการ ผมก็จะบอก”
“ไม่ล่ะ....ผมไม่คิดว่าผมอยากรู้นัก”
“แล้วก็ฝากบอกคุณสุธีนันท์ด้วยนะครับ ว่าหัวหน้างานต้องการพบเขาตอนทุ่มตรง”
“แน่นอนครับ.....”
ฉันรีบพุ่งพรวดเข้าไปนั่งเก้าอี้ตามเดิมทันทีที่น้ำเสียงของพวกเขาแสดงถึงการล่ำลา ก่อนที่ลูกบิดประตูจะเริ่มหมุน นึกว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว แม้จะโล่งอก แต่เหมือนฉันจะไม่มีลมหายใจให้ถอนออกมา มันจุกอยู่ข้างในและอึดอัดราวกับจะระเบิดออก
“ขอโทษที่ทำให้รอนะครับคุณศุภาพิชญ์ คุณพร้อมที่จะพูดคุยกับผมหรือยัง?”
ด้วยหัวใจที่กำลังปริร้าว ฉันมองผ่านดวงตาสีเข้มของบุคคลตรงหน้าเช่นคนผ่านทาง ไม่อยากจะเอ่ยคำพูดใดๆจึงเพียงแค่ผงกหัวเบาๆ พลางถอนหายใจยาว
ประกายชีวิตในดวงตาของฉัน มันไม่เคยมีอยู่จริง......
ความคิดเห็น