ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงกตฝัน

    ลำดับตอนที่ #4 : หมุนวน

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 51


    เหนื่อยแล้วๆๆๆๆ

                    ผมตื่นจากภวังค์ ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร คนที่กระชากตัวผมให้ออกมาจากความสุขได้เสมอมีแค่คนคนเดียวเท่านั้น ผมร้องโอดครวญอยู่ในใจ แล้วเผลอหลุดปากออกมาแทบจะในทันที เธออีกแล้วหรอ....?”

    ทำไมพูดจาไม่น่ารักเลย เธอนั่นแหละมาจากไหน ฉันมาวิ่งที่นี่ทุกวันตั้งแต่ม.1แล้วนะ ไม่คุ้นหน้าเธอสักหน่อย

    ครับ....ครับ ผมผิดครับ ผมถอนหายใจ ก่อนที่จะมองขมิ้นวิ่งแซง จนเริ่มห่างออกไปช้าๆ

                    ภาพภาพนั้นทำให้ผมใจหายวาบ ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกนึกคิดให้ไปกระจุกอยู่ที่การจากลา ผมเห็นขมิ้นเป็นนิ้มอยู่แว่บหนึ่ง เพียงแค่ชื่อของเธอถูกเอ่ยออกมาในความนึกคิดเพียงเสี้ยววินาทีขาของผมก็ถึงกับดีดตัว ก้าวยาวเพื่อไล่ตามคนตรงหน้าราวกับจะคว้าตัวเธอให้กลับมา ผมตาค้างไม่กะพริบ ราวกับว่าถ้าเผลอปิดเปลือกตาอีกครั้ง นิ้มที่ผมเห็นจากดวงจิตอันโหยหาจะละลายหายไปชั่วนิรันดร์

                    อย่าไป.....อย่าหายไปอีกเลย..... ผมร่ำร้องอยู่ในใจ เสียงนั้นแหบพร่าและสั่นครือ คำขอร้องนั้นไม่รู้จะส่งไปให้ใคร ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่เธอ เป็นแค่ใครสักคนที่ทำให้ผมคิดถึงภาพภาพนั้นเท่านั้น แม้ขมิ้นจะได้ยินมันก็ไร้ความหมาย ไม่ต่างอะไรกับเสียงลมที่ผ่านหูไปทุกวันๆ

                ขมิ้นหันกลับมาแล้วสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเห็นผม กะพริบตาปริบๆสองสามที แล้วยิ้มออกมาเหมือนเดิม วิ่งเร็วจริงนะ ฟิตไม่เบานี่นาเธอ

    นิดหน่อย ผมหลบตามองลงพื้น ภาพทุกอย่างก็มลายหายไปสิ้น วินาทีนั้นที่ผมเผลอมองลึกลงไปในแววตาที่ไม่รู้อะไรเลยคู่นั้น มันทำให้ผมหลุดออกมาในอีกโลกปัจจุบันอีกครั้ง โลกที่ผมเกลียดแสนเกลียด ทำไมเธอจะต้องพาผมกลับมา ทำไมจะต้องขัดขวางทุกครั้งที่ผมพยายามเดินเข้าไปหาโลกโลกเดิมที่ผมรัก ผมอยากจะเดินออกไปให้พ้นเขตแดนของที่นี่ แล้วไม่ต้องหันหลังกลับมาอีกเลย

                    มันไม่มีสิ่งไหนที่ผมต้องการจะอยู่เพื่อนสิ่งนั้น สองร้อยวันมันเพียงพอแล้วสำหรับพิสูจน์ว่าโลกแห่งความจริงมันไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว ประตูหัวใจเพียงบานเดียว มันถูกปิดตายสนิท ไม่มีกุญแจดอกใดที่สามารถเปิดมันได้ เพราะกุญแจเพียงดอกเดียวดอกนั้นมันถูกทำลายไปตลอดกาล

                    ขมิ้นวิ่งออกไปอย่างเนิบนาบ ไม่เร่งไม่รีบและไม่ผ่อนกำลัง ความคงที่ของเธอสม่ำเสมอเหมือนจังหวะเข็มวินาทีที่ไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง มันก็จะยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้น อยู่ในจังหวะนั้นเพื่อรักษาความเป็นปัจจุบันเอาไว้ ความสม่ำเสมอของเธอนั้นทำให้ผมถอนตัวออกมาจากถนนสีเทา

                    ผมเกลียดปัจจุบัน อาจฟังดูไร้เหตุผล แต่ตอนนี้ผมเริ่มเกลียดเธอ เกลียดความไม่รู้อะไรเลยของเธอ ผมเกลียดเธอที่ทำให้ผมคิดถึงนิ้ม เกลียดที่เธอปล่อยให้ผมฝันถึงนิ้มแล้วกระชากมันออกจากผมอย่างไร้เยื่อใย เกลียดเธอที่ดำรงอยู่บนผืนปัจจุบันอย่างมั่นคง ผมเกลียดเธอ....เกลียดเธอ เกลียดเธอ!

                    ในขณะที่ก้าวขาออกจากลู่วิ่งลู่สุดท้าย ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆมาแต่ไกล ทำให้ขาของผมก้าวต่อไปไม่ออก ความคิดทั้งหลายเริ่มขดม้วนต่อยตีกันอีกครั้ง

                    นี่ฉันรู้สึกไปเอง....หรือว่าเธอพยายามหนีฉันจริงๆ....

                    ผมหันกลับไปช้าๆ มองเห็นร่างที่อยู่ห่างไกลกันครึ่งสนามฟุตบอล เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นเสียงขมิ้น ที่เอาแต่วิ่งไปข้างหน้า สภาพของเธอแค่ควบคุมลมหายใจก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แม้จะเป็นคนประเภททำอะไรแปลกๆอย่างเธอ แต่การแหกปากตะโกนข้ามฟากมาถึงนี่ก็ใช่ที่ แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นใครไปได้อีกแล้ว แม้ว่าเสียงเสียงนั้นจะแสนสิ้นหวังจนไม่สมเป็นเธอเลยก็ตาม

                    แต่ไม่ว่าผมจะหูฝาดไปเอง หรือว่าเป็นคำพูดของใคร ทันทีที่ได้ยินคำพูดเบาบางไร้พลังที่ทวนกระแสลมมานั้นจบ ความรู้สึกผิดก็แทรกตัวเข้ามาหาจิตใต้สำนึกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจเป็นตราบาป....ที่เมื่อสองสามวินาทีที่แล้ว ผมรู้สึกเกลียดเธออย่างน่ารังเกียจ

                    ผมเดินกลับบ้านไปอย่างยากลำบาก เพราะร่างกายกำลังบรรจุความขยะแขยงในตัวเองจนหนักอึ้ง

                         

                    วันต่อมา ผมรีบตื่นไปโรงเรียนเพราะอยากจะไปขอโทษขมิ้น ความรู้สึกผิดของผมที่เกาะฝังอยู่ในใจทำให้ทั้งคืนผมตาสว่าง และเมื่อฝันก็ฝันเห็นแต่ความน่าสมเพชของตัวเอง ถ้าขืนไม่รีบไปขอโทษเธอให้จบๆ ผมคงไม่เป็นอันหลับอันนอนแน่ๆ

    ขมิ้นล่ะ.... คือคำพูดแรกเมื่อผมเดินเข้าไปในห้อง ทุกสายตามองผมราวกับว่าไม่เคยรู้จักคนคนนี้มาก่อนในชีวิต และไม่มีใครตอบคำถามผม ไอ้เพื่อนที่พอคุยกันได้มันก็ยังไม่มา แต่กระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆทำให้ผมรู้ว่าเธอมาถึงโรงเรียนแล้ว

                    แต่ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน

                    ทั้งๆที่ถ้ารออยู่เฉยๆ ยังไงก็ได้คุยกับเธอแน่ๆ แต่ผมกลับไม่สามารถหยุดรอได้ถึงขนาดนั้น ผมวิ่งออกจากห้องทันทีที่ทิ้งกระเป๋าลงบนเก้าอี้ประจำ มองหาเธอทุกๆส่วนที่คิดว่าเธอจะไป....แล้วเธอจะไปไหน? ผมไม่รู้ ไม่สิ...ไม่เคยนึกที่จะอยากรู้ แต่ตอนนี้ผมอยากแล้ว ในมือถือผมก็ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอ ผมด่าตัวเองรัวไปหลายชุด

                    ไม่เคยนึกเบื่อตกใจกับพื้นที่ที่มากมายของโรงเรียนมาถึงขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เข้าชั้นม.1 โรงอาหาร หรือโรงยิม หรือห้องสมุด หรือห้องพักครู หรือห้องคอมฯ หรือห้องเรียนห้องอื่น หรือที่สนามฟุตบอล หรือที่โรงเกษตร ผมไม่รู้เลยว่าเธอมีชีวิตประจำวันยังไง แล้วผมจะไปหาเธอพบได้ยังไงกัน? ซอกตึกนั้น มุมตึกนี้ ทุกพื้นที่ผมวิ่งพล่านหาเธอไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

                ผมทรุดนั่งลงที่โรงอาหารในที่สุด พยายามกวาดสายตามองหาขมิ้นอีกครั้งขณะหอบถี่ๆสลับกับไอแห้งๆ เธอหายไปไหนนะ.....?

                ผมมองนาฬิกาที่ไหลมาถึงเจ็ดโมงยี่สิบ หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปนั้นผมไม่ได้อะไรเลยนอกจากเหงื่อ นี่ผมไม่เคยหาอะไรเจอเลยหรือ.... ยามกลางคืนหานิ้มในความฝันก็ไม่เจอ แล้วตอนนี้ก็ยังมาหาขมิ้นบนโลกความจริงๆไม่เจออีก นี่มันคำสาปหรืออะไร นิ้วมือถึงกับรวบเป็นหมัดเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ หลับตาแล้วขบกรามด้วยความเจ็บใจ ก่อนที่จะเริ่มคิดฟุ้งซ่านเตลิดเปิดเปิง ใครคนหนึ่งก็เปรยออกมาลอยๆ

    เดี๋ยวนี้ริวิ่งรอบโรงเรียนแล้วหรอ?”

                    ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ก่อนจะมองไปข้างๆตัว สายตาสดใสคู่เดิมก็สบเข้ามาหาเต็มเปา เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมมองเธอแบบเต็มๆตา ไม่หลบ ไม่รำคาญและไม่เบื่อหน่าย เผลอๆอาจจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ขมิ้นทำสีหน้างงๆเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของผม

    ขมิ้น!?”

                    เพื่อนหญิงเลิกคิ้วแล้วเอียงคอ เป็นอาการแสดงออกของคำว่า ไม่เข้าใจ อะไรหรอ?”

    เธอ...ทำไมถึงชอบโผล่มาให้ตกใจอยู่เรื่อย!” ผมโพล่งออกไปทั้งๆที่ไม่ใช่ความตั้งใจของตัวเองสักนิด ขมิ้นยิ่งมีสีหน้างงหนักเข้าไปอีก แต่ก็หัวเราะเบาๆออกมาเหมือนจะยอกย้อนอะไรกับผมด้วยภาษากวนๆในแบบฉบับของเธอ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ขมิ้นก็ไม่ได้พูดอะไร

                ผมจึงเรียกชื่อเธออีกครั้ง เธอจึงหันกลับมารับฟังคำพูดของผมพอดี เมื่อวาน...ขอโทษนะ  

                    คำพูดของผมไม่อาจคลายให้ง.งูสองตัวไม่ให้เข้ามาชนกันได้ สีหน้าของขมิ้นบอกผมอย่างนั้น เธอขมวดคิ้วพลางเอียงหูเข้ามาใกล้ขึ้นพลางพูดด้วยเสียงสูงเล็กน้อยว่า อะไรนะ!?

                    นั่นสิ....ผมรู้แต่ว่าต้องขอโทษ แต่ขอโทษเรื่องอะไรวะ เรื่องที่เผลอไปเกลียดเธอ แล้วเธอจะรู้เรื่องไหมเนี่ย! ขมิ้นยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองหน้าผมเฉยๆเพื่อคะยั้นคะยอขอคำอธิบายเพิ่ม โดยที่ไม่ต้องเสียพลังงานในการกลั่นกรองเป็นคำพูด

    ขอโทษที่.....เอ่อ ... ผมยังนึกไม่ออก ขณะกำลังนึกคำพูดมาอธิบายเหตุผลอยู่นั้น เสียงหัวเราะเบาๆของขมิ้นก็ดังขึ้นมาอีก ทำให้ปากเผลอโพล่งเหตุผลเหตุผลแรกที่เพิ่งคิดออกออกไปว่า ขอโทษที่เมื่อวานกลับแล้วไม่ได้บอก

                    มาถึงตรงนี้ผมกลับอยากขอโทษเธอซ้ำอีกที่พูดอะไรสุดแสนจะไร้สาระ และคงต้องขอโทษตัวเองด้วยที่ทำอะไรไม่เข้าท่า มึงคิดได้ไงวะ..... ผมถอนใจ แต่น่าแปลกที่คนข้างๆกลับไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะตอบกลับมา

    หลุน.... นี่เธอจริงๆหรอเนี่ย?”

    หมายความว่าไง

    หมายความว่าปกติแล้วเธอไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มคุยน่ะสิ มาถึงตรงนี้คู่สนทนาจึงเริ่มหัวเราะ แถมวันนี้เธอไม่อารมณ์เสียด้วยตอนฉันมาทักเธอ

                    อันที่จริงที่เธอทำมันไม่น่าใช่คำทักทายเท่าไรนะ ผมนึกในใจ เธอเคยเอ่ยคำทักทายสวัสดีฮัลโหลกับผมด้วยหรอ? เอาเถอะมันคงไม่เหมาะที่จะถามเท่าไร ตกลงนี่ผมวิตกจริตไปเองหรอที่คิดว่าเธอน้อยใจผม อันนี้ก็ไม่เข้าท่าที่จะถาม ไม่ว่าคำถามไหนๆก็เดาได้เลยว่าคำตอบแรกที่ออกมาจากเธอต้องเป็นเสียงหัวเราะอีกแน่ๆ

    แล้วเธอหายไปไหนมา... ผมเลือกคำถามนี้เป็นคำถามที่เอ่ยออกไป เธอหันมามองหน้าผม สิ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจเกิดประกายสงสัยขึ้นมาอีกแล้ว

                เธอยิ้มร่า ตามหาฉันอยู่หรอ?”

                    เป็นน้ำเสียงที่กวนแต่กลับแฝงไปด้วยความน่าเอ็นดูพิลึก น่าเอ็นดูจนผมเผลอหัวเราะ เออ ประมาณนั้นแหละ ตกลงเธอไปอยู่ไหนมาล่ะ?”

                    ขมิ้นลุกขึ้นยืน เหม่อมองอะไรก็ไม่รู้พักหนึ่ง แล้วหันมาพร้อมกับคำพูดที่ไม่น่าใช่คำตอบ ผมสบตาเธอไม่วางตาราวกับจะหาความหมายจริงๆของน้ำเสียงนั้น แต่รอยยิ้มของเธอที่ปรากฏออกมาไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรให้ผมจับผิดออกมาได้ มันยังคงร่าเริง สดใส และมีชีวิตชีวาอย่างที่ควรจะเป็น

    ฉันไม่ได้ไปไหนเลยนะ แต่เธอนั่นแหละที่ไม่เคยมองเห็นฉันเอง

                      ไม่ว่าจะคิดในแง่ไหน ผมก็คิดหาคำพูดโต้ตอบคำพูดนั้นไม่ได้แม้แต่คำเดียว และดูเหมือนเธอก็ไม่ได้หวังตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมีคำพูดคำไหนออกมาจากปากผมเช่นกัน ขมิ้นจึงพูดต่ออย่างสบายๆ เธอถึงชอบตกใจอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อยไงล่ะ

                    ผมยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบ้าง งั้น....ฉันคงจะต้องจับตามองเธอตลอดเวลาแล้วล่ะ ก่อนที่ฉันจะหัวใจวายเข้าสักวัน

                ขมิ้นแลบลิ้นใส่ผมแล้วออกวิ่งกลับห้อง ผมยักไหล่ก่อนที่จะวิ่งตามไปอย่างไม่รีบร้อน พลางหัวเราะใส่ตัวเองอย่างหยุดไม่ได้ จนแล้วจนรอด....ผมก็ลืมขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอจนได้

     

    หลุน! ตื่นได้แล้ว

                ผมลืมตาตื่นจากฝันที่เพิ่งก้าวเปลี่ยนไปเมื่อครู่ ผมใช้เวลาไปกับความผิดหวังได้ไม่นานนักก็ต้องพบกับอาจารย์ที่เพ่งเล็งผมเป็นพิเศษ อาจารย์ร.ศ.112 ที่ตอนนี้อาฆาตพยาบาทผมไปแล้วนั่นเอง ขมิ้นมองหน้าผมอย่างขำๆพลางขยับปากกระซิบว่า ยังไม่เข็ดอีกหรอ?

                      เสียงหัวเราะแห้งๆคือคำตอบของผม

    วันนี้เธอจะไปวิ่งอีกไหม?”

    ทำไมหรอ?” ขมิ้นหันมามองด้วยสีหน้าบ่งบอกว่าตกใจเสียขนาดหนัก เผลอๆผมอาจจะทำให้เธอเป็นลมเข้าสักวัน ถ้าเผลอพูดอะไรออกมายาวเกินไป

    ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย ผมหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้รอคำตอบของเธอหรอก เธอต้องมีเหตุผลกับทุกคำถามเลยหรอ?”

    เธอนี่....พูดยากกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลยนะ ขมิ้นหัวเราะในลำคอ ก็ได้ๆ ฉันไป

    ก็แค่นั้นแหละ ฉันก็แค่บอกว่าฉันจะไปด้วย

                    ก็แค่นั้นเอง ไม่เข้าใจเลยว่าผมกับเธอจะยื้อบทสนทนาไปเพื่ออะไร

                    เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนวันนั้น ผมรู้สึกว่ามันดังช้ากว่าทุกวัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×