คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เธอกลัวความสูง
หลังจากวันที่พบกันวันแรกวันนั้น ฉันก็ได้พบเขาอีกในวันถัดมา ในสภาพที่ถูกศาสตราจารย์และคุณหมอระดับสูงต่อว่าซะยับเยิน ฉันเผลอนึกเป็นห่วงเขานิดๆเพราะสำนึกบุญคุณที่พาหนีจากห้องตรวจ แต่สุดท้ายเขาก็เดินหน้าระรื่นมาที่ห้องคุมขังฉันหน้าตาเฉย พวกเขาส่งเขาเข้ามาในห้องฉัน
“เธอเข้ามาทำไม” ฉันสบตาเขาเขม็ง รีบเดินถอยห่างจากเขามาเล็กน้อยด้วยความระแวงสงสัย
“เธอก็รู้.... พวกเขาส่งฉันมา” ทิตย์ยักไหล่ คำพูดนั้นทำให้ฉันอยากไล่เขาให้ออกๆไปซะพ้นๆ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีก เหมือนคนอื่นๆ ทุกคนก็เหมือนกันหมด
“ออกไป!” ฉันขึ้นเสียงเล็กน้อย ทิตย์สบตาฉันอย่างนิ่งสงบ ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น มันก็แค่คำแก้ตัวลวงๆที่ร่างมาอย่างดิบดี จืดชืดไร้ความรู้สึก คำพูดแบบนั้นฉันไม่ต้องการ
“ออกไปนะ อย่ามายุ่งกับฉันอีก! ฝากบอกพวกคนข้างนอกนั่นด้วย ไหนๆจะเอาฉันไปเป็นสัตว์ทดลองก็ทำให้สมกับเป็นสัตว์หน่อย! สัตว์น่ะมันเหงาไม่เป็นหรอก ฉันไม่อยากได้ความสมเพชสงสารจากใคร ไม่ต้องพาใครมาพบฉันอีก!”
“ชู่ว.....” เขาวางนิ้วชี้ลงบนปาก “ใจเย็นๆสิละมุน..... เธอโวยวายแบบนี้ฉันจะบอกข่าวดีเธอได้ยังไง”
ความคิดที่จะเริ่มรัวหมัดและกำลังที่มีอยู่ใส่เขานั้นชะงักงันทันทีที่ได้ยินชื่อที่แปลกหูของฉันเอง แววตาคู่นั้นสะกดฉันได้ได้อีกครั้ง ทิตย์ไม่ได้ขยับเปลี่ยนตำแหน่งเลยแม้แต่น้อย ฉันรอคอยคำพูดต่อไปของเขานิ่งๆ ไม่รู้ทำไมมือของฉันจึงเย็นเฉียบ
“ที่นี่ไม่มีกล้องกับเครื่องดักฟังแล้วนะ.....”
หัวใจเหมือนจะต้องการหยุดเต้นไปเสียตรงนั้น ฉันยังไม่เชื่อซะทีเดียว ราวกับเขารู้ความคิดที่หมุดติ้วในสมองฉัน เขาพยักหน้าช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มกว้างแทนการยืนยันซ้ำๆ ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี “พวกนั้นจะทดสอบอะไรอีกล่ะ”
“เปล่าหรอก ฉันขอเขาเอง” ทิตย์หัวเราะ “ข้อแลกเปลี่ยนที่ฉันต้องมาเสี่ยงชีวิตกับเธอในห้องนี้ ได้ข่าวว่าเธอมือหนักไม่เบานี่”
ฉันยังคงมองหน้าเขาอย่างแข็งกร้าว ทิตย์ยังพูดต่อ “อีกอย่าง.... พวกเขาอนุญาตให้ฉันพาเธอออกไปข้างนอกได้ ตั้งแต่บ่ายจนถึงหกโมงเย็น แต่เธอต้องตรวจร่างกายตอนกลับมาทุกครั้ง”
“แล้วใครที่ไหนไม่ทราบบอกว่าฉันอยากออกไปข้างนอก.....”
“ไม่มีหรอก แต่ยังไงเธอก็ต้องออก” เขาสบตาฉันอย่างแน่วแน่เช่นกัน ดวงตาคู่นั้นยากจะคาดเดาว่าเขาคิดอะไรอยู่ “ใครว่าเธอมีทางเลือก”
“อ๋อ....ใช่สิ ฉันมีทางเลือกเยอะแยะเลย เลือกที่จะฉีดยาเข็มไหน หาจิตแพทย์คนไหน ตรวจสมอง เจาะเลือดยังไง ชีวิตฉันทางเลือกที่จะมีความสุขจนจะบ้าแล้วนี่”
“เพิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนช่างประชด”
“เอาสิ ไปรายงานพวกหมอของเธอเลยว่าสิ่งมีชีวิตอย่างฉันน่ะ ประชดแบบมนุษย์เป็นเหมือนกัน”
“พูดมากนักนะ มานี่เลย” เป็นอีกครั้งที่เขาคว้าแขนฉันออกไป ฉันสะบัดและดิ้นเต็มแรง ไม่มีทาง จะมีใครพาฉันไปไหนง่ายๆได้ยังไง พวกนักวิทยาศาสตร์โรคจิต จะเอายังไงกับฉันอีก พลังของฉันมันหายไปแล้ว! มันหายไปตั้งแต่สิบขวบด้วยน้ำมือของพวกแกแท้ๆ ยังจะมายัดเยียดให้ฉันรื้อฟื้นอะไรอีกงั้นหรือไง!
“ละมุน ขอร้องล่ะ...เชื่อใจฉันเถอะ”
คำพูดของเขาทำให้ฉันหยุดดิ้น แรงดึงนั้นหายไปทันทีราวกับเขาหมดเรี่ยวแรง เขาไม่ได้ถือโอกาสออกแรงกระชากฉันให้ออกไปพ้นประตูแล้วจับมัดเหมือนที่คนพวกนั้นทำ เรี่ยวแรงอย่างเขา หากคิดจะบังคับฉันจริงก็คงจะลากออกไปโดยไม่ยากเย็นแต่เขาไม่ ดวงตาของเขากำลังบอกฉันเป็นคำพูดอีกคำ เขาไม่มีความคิดที่จะบังคับฉันเลย
ทิตย์ยืนยันภาษาของดวงตาด้วยการปล่อยมือ
“ขึ้นมาสิ” ทิตย์ร้องเรียกอย่างสบายๆพร้อมกับเข็นรถจักรยานออกมาจากที่ไหนสักแห่ง ฉันไม่ได้เห็นยานพาหนะชนิดนี้มานานมากแล้ว นานพอๆกับที่ไม่ได้เห็นท้องฟ้าหรือเมฆขาว เขาขึ้นไปนั่งเบาะคนขับ
“กลัวหรือไง ไม่เคยนั่งหรอ? ฉันไม่ทำเธอล้มหรอกน่า”
ฉันแลบลิ้นใส่เขา “หกปีก็เหลือแหล่ให้ฉันขี่จักรยานเป็นน่ะ!”
“อ้าวหรอ.....?” เสียงหัวเราะร่าดังออกมาอย่างสดใส ฉันเลิกคิ้ว “งั้นก็ขึ้นมาสิ รอให้คนมาจับไปฉีดยารึไง”
“พูดซะอย่างกับว่าเธอจะเป็นอัศวินม้าขาวมาช่วยฉันงั้นแหละ”
“ประชดอีกแล้ว... เอาเถอะ ไม่ขึ้นงั้นฉันไปล่ะนะ”
เขายิ้มที่มุมปากและทำท่าจะออกตัว เหลือบมามองฉันอย่างกวนๆ ไม่มีทางเลือก ฉันขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนัก ซึ่งฉันเริ่มไม่มั่นใจว่าสีหน้านี้มาจากใจหรือก็เพียงแค่...การเล่นสนุก
“เธอจะไปไหนน่ะ”
“บอกเธอ เธอจะรู้จักหรอ”
“เอ้อ!....ก็ได้ๆ พาไปต้มยำทำแกงอะไรก็เชิญเลยไป ฉันอยากตายเต็มทีแล้ว”
“ไม่ประชดสักคำจะได้ไหมเนี่ย” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งจากคนขับ ฉันทำปากเบี้ยว “ไม่ชอบก็ไม่ต้องพูดกับฉันก็ได้นี่ ไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว”
“พอดีว่าฉันชอบน่ะสิ”
“เพราะงานของเธอมันบังคับล่ะไม่ว่า”
“เธอนี่มองโลกในแง่ร้ายจัง” ทิตย์แกล้งพูดพึมพำ แต่ฉันรู้ว่าเขาตั้งใจให้ฉันได้ยิน เขาขับล่องไปเรื่อยๆไปตามถนน เลี้ยวเข้าซอยนั้นซอยนี้ไปอย่างคุ้นทาง ผ่านสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมากมาย ทุกอย่างดูน่าตื่นตาไปหมดแม้แต่เสาไฟฟ้าหรือตู้โทรศัพท์ เสียงนุ่มๆลอยมาหาฉันเบาๆ “เป็นไง....สบายกว่ารถเข็นตั้งเยอะว่าไหม”
“งั้นมั้ง” เสียงฉันยังแข็งกระด้างเช่นเดิม
ยิ่งอยู่กับเขานานเท่าไร ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจเขามากเท่านั้น เขาเป็นใคร นักบำบัด จิตแพทย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หมอ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ หรือก็แค่เด็กนักเรียนธรรมดาทั่วไป ทิตย์.....เธอเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตฉันทำไม เธอจะได้อะไรอย่างนั้นหรอ? เงินหรือข้อเสนออะไรที่คนพวกนั้นเสนอให้ใครต่อใครเข้ามาเป็นเพื่อนปลอมๆให้ฉันนี่มันวิเศษมากมายขนาดไหน พวกเขาถึงสามารถทำร้ายจิตใจฉันอย่างไม่ใยดีได้ทุกเมื่อ เธอเป็นหนึ่งในนั้นใช่มั้ย.....?
“จับแน่นๆนะ ทางนี้มันขรุขระ” เขาพึมพำ ฉันยังไม่ทันได้ถามอะไรเขาอีก ตัวฉันก็สั่นอย่างรุนแรง ก้อนกรวดหินดินทรายเต็มพื้นระเกะระกะ ฉันตั้งตัวไม่ถูกและรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแรงจนร่างกายร้อนวูบ ก่อนที่ตัวฉันจะหงายหลังไปทั้งตัว ฉันรีบคว้าตัวเขาไว้แน่นแล้วหลับตาปี๋ ฉันกลัวอะไรไม่เข้าท่าเสียจริงๆ! ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองอยากตายเสมอแต่ทำไมคราวนั้นกลับรู้สึกกลัวมันล่ะ? ฉันได้แต่คิดมั่วซั่วอยู่อย่างนั้น หูที่แนบติดกับแผ่นหลังของเขาได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จึงได้รู้ว่านี่มันพยายามแกล้งกันชัดๆ!
“ฉวยโอกาสกอดฉันเลยนะเธอเนี่ย”
“ใครจะอยากไปกอดเธอไม่ทราบถ้าไม่ถึงกับจะตายแหล่มิตายแหล่ตรงนั้น” ฉันรีบดันตัวออกจากร่างร่างนั้นอย่างรวดเร็วเมื่อถึงทางเรียบ แล้วเบือนหน้าหนีมองวิวทิวทัศน์สองข้างทาง แต่เสียงหัวเราะของเขานั้นยังดังไม่ยอมหยุด “งั้นก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน ดูข้างหน้านั่นให้ดีสิ”
เนินของสะพานสูงชันกำลังรอฉันอยู่ข้างหน้า มันสูงและดูชันราวกับภูเขาขนาดย่อส่วน ทิตย์หันหน้ามาแลบลิ้นใส่แวบหนึ่งแล้วเร่งถีบจักรยานให้เร็วขึ้นไปอีก ฉันรีบเกาะจักรยานแน่นกว่าเดิม สีหน้าคงดูไม่จืดเท่าไรเลย เพราะใบหน้าฉันเย็นวาบขึ้นมาในตอนนั้นเอง รู้สึกว่าน้ำลายนั้นช่างฝืดคอ
“ขึ้นไปแล้วเธอต้องช่วยไถนะ”
“ฉันไม่ได้อยากขึ้นซะหน่อย”
“นี่ๆๆ ตัวเธอน่ะไม่ใช่เบานะ ฟิสิกส์ก็เรียนมาแล้วก็น่าจะรู้นี่ว่าดีไม่ดีจะได้ไถลลงมา”
ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ขาทั้งคู่จึงต้องดันพื้นให้เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆอย่างเอื่อยเฉื่อย ยิ่งขึ้นมาสูงเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหันกลับไปมองด้านหลัง
“เธอกลัวหรอ”
“เปล่า” ฉันยังคงปากแข็ง เท้าของทิตย์กลับคืนสู่ที่ถีบ ถึงทางราบเสียที ฉันเผลอถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แม่น้ำสายกว้างนั้นสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ เรือลำเล็กกำลังเคลื่อนออกไปสู่เส้นขอบฟ้า แหวกสายน้ำใสให้แตกเป็นฟองคลื่นสวยสะอาด แม้สองข้างทางจะเป็นบ้านที่อยู่อาศัยสีเข้มอันขัดต่อสีสันของความเป็นธรรมชาติ แต่ฉันก็เพิ่งเคยเห็นทิวทัศน์ที่น่าจดจำเช่นนี้เป็นครั้งแรก
จักรยานจอดเมื่อไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งเสียงของทิตย์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ เขาแซวแหย่ฉันเล็กน้อยก่อนที่จะบอกฉันด้วยเสียงกวนและฟังดูเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสียเต็มประดา ผิดกับเนื้อความที่ทำให้ฉันเกือบเผลอกัดลิ้นตัวเองพร้อมกับเหงื่อซึมไปทั่วตัว “ดูจนพอใจแล้วรึยัง จะได้ลงเนินกันซะที เนินสูงมากเลยนะ ฉันเคยกลิ้งล้มไปทั้งตัวทั้งจักรยานเลยแหละ ขนาดตอนนี้ขี่มาคนเดียวนะนั่น”
“นี่เธอกำลังขู่ฉันหรอ...”
“เปล่า....แค่เตือนให้รู้ไว้เฉยๆน่า” เขายิ้มอย่างมีพิรุธ “เธอจะได้จับดีๆไง”
แต่การกระทำของเขามันช่างตรงข้ามคำพูดที่ฟังดูหวังดี ล้อจักรยานเริ่มหมุนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าว ทำให้กระตูกวูบไปทั้งตัวและหัวใจ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นอีก เร็วขึ้นอีก เหมือนวันที่เข็นฉันไปทั่วทั้งสถาบันวิจัย ฉันรีบเอนตัวไปมองทางข้างหน้าอย่างร้อนรน ทางลาดลงอยู่ใกล้ขนาดนี้เขาก็ยังไม่หยุดถีบเพิ่มความเร็ว กว่าฉันจะอ้าปากเป็นคำพูดก็สายเกินไปแล้ว ฉันร้องลั่นจนแม้แต่ตัวเองก็ตกใจ แต่ก็ไม่เท่าเสียงเสียงหัวเราะของทิตย์ที่ดังคลอไปกับเสียงล้อหมุนอย่างอิสระ สองขากางออกจากตัวถีบ จักรยานยิ่งเร็วขึ้นอีกตามแรงผลักดันธรรมชาติ ไม่มีทางเลือก ฉันคว้าตัวเขาไว้แน่นอีกครั้ง
ทั้งๆที่กลัวจนต้องกอดร่างอุ่นๆนั้นแน่นเกินจำเป็น.....แต่สุดท้ายฉันก็ได้แต่หัวเราะ เพราะรู้สึกดีที่สุดในชีวิต
ความคิดเห็น