คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : วงกต
คืนนี้ผมลืมตาตื่นเป็นครั้งที่สิบ
ผมยื่นมือไปกดแสงไฟให้ปรากฏบนผิวเรียบของนาฬิกาข้อมือ เห็นตัวเลขวินาทีสีดำไหลไปเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน แสดงเวลาราวๆตีหนึ่งเศษ เปลือกตาของผมทำงานเปิดๆปิดๆจนเริ่มเกิดอาการประท้วง ยิ่งตื่นขึ้นมาอีกมากเท่าไร การนอนให้หลับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผลจากการตื่นมาในทุกๆครึ่งชั่วโมงทำให้ร่างกายอันดื้อรั้นไม่รู้สึกง่วงราวกับรับพวกคาเฟอีนมาเป็นกิโล ผมถอนใจแล้วหลับตา
ไม่ใช่....ฝันนี้ก็ไม่ใช่ ฝันนี้ก็ไม่เจอ เธออยู่ไหน? ทำไมถึงไม่มาหาฉัน? นิ้ม? ได้ยินฉันไหม.... ทำยังไงฉันจึงจะได้พบเธอ ฝันเข้าสิ.... ไม่ใช่ ไม่ใช่ ที่นี่ก็ไม่ใช่
เธออยู่ที่ไหน?
เปลือกตากระเด้งออกจากขอบราวกับแสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ ความว่างเปล่าที่ได้รับมันช่างโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรดี ผมลุกขึ้นนั่ง มือกุมเส้นผมที่เกรียนจนแทบไม่เหลือ ทำยังไงผมจึงจะเลือกความฝันได้ ใครบอกว่าความฝันคือจินตนาการในหัวของเราเอง มันคือโลกส่วนตัวของเรา แล้วทำไมเราจึงบังคับมันไม่ได้! ผมไม่ได้อยากเห็นโรงเรียน ไม่ได้อยากเห็นทะเล ไม่ได้อยากเห็นสงคราม ไม่ได้อยากเห็นสิ่งที่ผิดแผกจากธรรมชาติ ผมฝันถึงของพวกนั้นมาพอแล้ว! ผมอยากฝันเหมือนเมื่อวาน....อยากเห็นเธอ! อยากได้ยินเสียงเธอ! อยากสัมผัสถึงเธอ! ลำพังฝันมั่วซั่วก็แย่พออยู่แล้ว ตอนนี้ยังนอนไม่หลับอีก อะไรกันนักกันหนาวะ!
สุดจะระบายความเคืองแค้นที่คุกกรุ่นอยู่ในใจ ผมได้กลิ่นเลือดจางๆที่ปาก คงเผลอกัดมันจนได้ สายตาของผมเริ่มคุ้นชินกับความมืด ห้องที่ไม่รกแต่ก็ไม่เรียบร้อยของตัวเองจึงเริ่มแจ่มชัดขึ้นมาช้าๆ ผมใช้มือเปิดผ้าม่านข้างเตียงเล็กน้อย มองท้องฟ้าที่ไม่บรรจุดวงดาวไม่ว่าฟ้าจะปิดหรือเปิด เพราะมันจะถูกม่านแสงของไฟถนนและบ้านเรือนแถวนั้นบดบังไปจนหมดสิ้น
แล้วตอนนี้ล่ะ....อะไรกำลังบดบังความฝันของผมอยู่?
ถ้าเป็นนิ้มล่ะ....เธอจะทำยังไง? เธอเคยคิดที่จะบังคับฝันตัวเองบ้างไหม? เธอเคยนอนไม่หลับแบบนี้รึเปล่า? รู้แต่ว่าเธอไม่ชอบท้องฟ้าในเมือง เพราะมันมองไม่เห็นดาว.... เธออยากเห็นดาวเต็มฟ้าเหมือนในหนังสักครั้ง เธอเลยกระตือรือร้นที่จะไปต่างจังหวัด... ฤดูหนาวคือฤดูที่เธอหลงรัก แต่ในตอนนี้ มันกลับเป็นฤดูที่ผมเกลียดแสนเกลียด
หลับแล้วก็ตื่น แล้วก็หลับแล้วก็ตื่นอีก แปดชั่วโมงอันแสนสั้นกำลังถูกบั่นทอนด้วยขยะฝันที่ไร้สาระ ผมนึกอยากเอาหัวพุ่งไปโขกกำแพงหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพอ.... เพราะแบบนั้นดีไม่ดี ผมอาจจะไม่ได้ฝัน และมันเสี่ยงเกินไป ถ้ามันไม่อาจพาผมเข้าไปในประตูฝันที่ต้องการ ผมก็ไม่เหลือโอกาสแก้ตัวให้เปลี่ยนบานประตูอื่นอีกเลย
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ว่าผมอาจจะต้องกระทำสิ่งเหลือเชื่อแบบนั้นจริงๆเข้าสักวัน หากนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมได้อยู่กับเธอ แม้เพียงค่ำคืนเดียว...หรืออาจตลอดกาล
วันรุ่งขึ้น อาจารย์เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารมากมายอยู่ในมือ ผมนั่งอ้าปากหาวด้วยความเพลียกับการอดนอน(?) พลางเลื่อนโต๊ะให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมแก่การปลีกวิเวก ในขณะที่คนอื่นๆกำลังบ่นพึมพำเพราะการสอบเก็บคะแนนแบบสายฟ้าแลบอยู่นั่นเอง ผมกลับอยู่ในสภาวะไม่รู้ทุกข์รู้ร้อน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าความรู้มีอยู่เต็มหัว หรือว่าผมสามารถทำใจว่าคะแนนมันเป็นอนัตตาอันไร้ตัวตน ผมเพียงแค่รู้สึกว่าไม่มีอะไรสามารถมากระทบจิตใจของผมให้เป็นเดือดเป็นร้อนได้อีกแล้ว
กระดาษเปื้อนหมึกที่มีแต่โจทย์คณิตศาสตร์ยาวเหยียดนั้น ช่างเป็นอะไรที่แปลความหมายยากยิ่งกว่าร้อยกรองซับซ้อนของกวีเจ้าคารม ผมเริ่มการทดเลขแบบไร้ระเบียบ ขยุกขยิกเหมือนสารลับที่ไม่อาจให้ใครอ่าน ข้อหนึ่งผ่านไป ข้อสองผ่านไป ข้อสามผ่านไป.....
ผมจำคำตอบที่กาลงไปไม่ได้ ลืมไปแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังจดจ่ออยู่ที่ส่วนใดของโจทย์ปัญหา ไม่รู้แม้แต่นี่คือข้อที่เท่าไร เหลืออีกกี่ข้อ แล้วนี่ผมกำลังสอบเรื่องอะไร?
สายตาและสมาธิถูกถอนออกจากบรรทัดโจทย์ เปลี่ยนเป็นการเปิดไล่หน้ากระดาษบางๆทีละแผ่น เพื่อจะดูตัวเลขสุดท้ายบนกระดาษแผ่นสุดท้าย ผมไล่เปิดไปเรื่อยๆ ทีล่ะแผ่นๆ
ทีล่ะแผ่นๆ......
ไม่มีแม้เงาของสิ่งที่เรียกว่าจุดสิ้นสุด ผมเริ่มสับสน สำรวจแผ่นกระดาษอีกครั้ง ความหนานั้นบ่งบอกถึงจำนวนไม่ถึงสิบแผ่น แต่หน้ากระดาษที่ถูกเปิดนั้นกลับนับไม่ถ้วน ไม่ใช่.....ราวกับว่าทุกครั้งที่เปิด แผ่นกระดาษนั้นก็ถูกอากาศเข้าทำละลาย ผมเร่งเปิดจนลืมหายใจ ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมราวกับไม่ได้ขยับไปไหน นี่มันอะไร!? สายตาชำเลืองเห็นเลขข้ออีกครั้ง มันเองก็ไม่ได้ขยับไปไหนเลยเช่นกัน
ผมกำลังวนเวียนหลงทางอยู่ที่เดิม?
“หลุน!”
เสียงเรียกที่ปนเปมากับเสียงหัวเราะดังลั่นทำให้ผมสะดุ้งโหยง หัวใจเต้นถี่ยิบเหมือนเพิ่งออกแรงวิ่งวิบากมานับชั่วโมง เหงื่อผุดออกมาเป็นหยดเม็ด เพื่อนหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆชี้นิ้วไปที่อาจารย์หน้าห้องด้วยสีหน้าสกัดกลั้นเสียงหัวเราะ ผิดกับสีหน้าของท่านอาจารย์อายุครึ่งศตวรรษที่จ้องเขม็งมาที่ผมเหมือนกับแมวตะครุบเหยื่อ
“ว่าไงพ่อคุณ รู้ดีมากใช่ไหม ไหน....ตอบมาสิ ว่าเกิดอะไรขึ้นในปีร.ศ.112”
เอาเข้าแล้ว...ผมพลาดจนได้
“ขำอะไรก็ให้มันพองามก็ได้นะเธอ” ผมบ่นออกมารอดไรฟันขณะที่คนข้างๆยังไม่ยอมสะกดเสียงหัวเราะลงเสียที ในขณะที่ผมกำลังค่อยๆยืดตัวขึ้นเผชิญหน้ากับอาจารย์สอนสังคมที่แต่งหน้าทาปากราวกับกำลังจะไปงานเลี้ยงของสังคมไฮโซในอีกสิบนาทีข้างหน้า ทั้งอาจารย์และผมต่างมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายด้วยกันทั้งนั้น
“อะไรกันล่ะ ขอบคุณก็ยังไม่ขอบคุณยังจะมาดุฉันอีกหรอ เอ้า....รู้รึเปล่าคำตอบน่ะ”
“เออ....ไม่ต้องช่วยฉันหรอกน่า”
คำตอบสองสามประโยคเท่านั้นที่อาจารย์พอใจ ผมนั่งลงโดยมีคำบ่นของอาจารย์ห้อยท้ายพ่วงมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมมีหน้าที่เพียงขานรับและพยักหน้าเท่านั้น ผมเหลือบมองคนข้างๆปราดนึง ขมิ้นยังคงเหยียดยิ้มอยู่ไม่หาย
จากบทเรียนเมื่อวาน ผมจึงได้รู้ว่าการฝืนรีดเอาเรี่ยวแรงออกไปจากตัวจนเกลี้ยงไม่ใช่วิธีที่จะทำให้ผมฝัน มันเพียงแค่ทำให้ผมหลับเป็นตายอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น
แดดยามบ่ายเป็นสีส้มอ่อน สนามฟุตบอลที่สีซีดจางเป็นสีน้ำตาลกำลังถูกเหยียบย่ำจากรองเท้าสีดำคู่แล้วคู่เล่า รอบๆสนามนั้นคือถนนสีเทาที่เรียกว่าลู่วิ่งห้าลู่ โดยการจราจรวันนี้ช่างแสนสบายไร้ไฟเขียวไฟแดง เพราะมีผมเป็นยานยนต์เพียงลำเดียวที่โลดแล่นวนไปมารอบแล้วรอบเล่า เดี๋ยวทวนเข็ม แล้วก็ตามเข็ม ก็แค่วิ่งกลับไปกลับมาให้ผ่านจุดเดิม จะต้านหรือวิ่งตากระแสของนาฬิกาไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องนำมาใส่ใจ เพราะตอนนี้....ผมเกลียดแสนเกลียดเสียงการวิ่งไปรอบๆของเข็มสั้นเข็มยาว
เพราะเสียงของมันน่ารำคาญ ยิ่งทำให้ผมยามที่สะดุ้งตื่นตอนดึกๆดื่นๆพาลนอนไม่หลับเอา
ใครต่อใครเวลามาออกวิ่ง เขาอาจจะวิ่งกันที่ลู่ในสุดเพื่อลดระยะทาง แต่ผมกลับเลือกที่จะอยู่วงโคจรรอบนอก ผมไม่กลัวเลยที่จะเหนื่อยหรือล้า นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการ ผมต้องการจะฝัน ฝันเห็นสิ่งที่ผมโหยหามาตลอดสองร้อยกว่าวัน แม้ว่าแสงแดดจะฉาดแสงคอยขับไล่ผมให้กลับไป แต่ไม่มีอะไรขวางผมได้ ต่อให้ผมจะต้องแห้งตายเข้าสักวัน ผมก็จะยังคงวิ่งไปหาเธอ
แม้ว่าเธอจะอยู่ไกลออกไปทุกที
ผมเจ็บแปลบที่หน้าอก ก่อนที่หัวใจจะส่งจะความหนาวสั่นไปทั้งร่าง เธอไกลออกไปทุกที...ถ้าปล่อยให้เธอหายไปทุกคืนแบบนี้ ผมคงไม่มีทางตามหาเธอเจอแม้แต่ร่องรอย สิ่งเย็นชาที่เรียกว่า ‘เวลา’ ไม่ว่าจะดำรงอยู่บนโลกไหนๆ จะที่ดาวเคราะห์ดวงนี้หรือสุดขอบจักรวาล หรือแม้แต่โลกใบเล็กๆของเราเอง มันไม่มีทางใจอ่อนเหลียวหันกลับมาหาผู้ที่เรียกร้องหยุดกลางทาง เรามีแต่ต้องเดินไป.....เดินไปกับมันเท่านั้น
ห่างไกลกันเพียงชั่วข้ามคืน ผมก็นึกรอยยิ้มของเธอไม่ออกแล้ว....หลงเหลือแต่เพียงความรู้สึกไหววูบดั่งเปลวเทียนในอากาศที่สั่นไหว และความกลัวของการลาจากไปตลอดกาล
ผมกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นทำให้เธอหายไป กลัวว่าสักวันผมเองนี่แหละที่จะเป็นคนทิ้งเธอให้จมฝังในความมืดมิดตลอดกาล ผมกลัวว่าผมเองนี่แหละที่ทำให้เธอต้องร้องไห้เพียงลำพัง ผมเองนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายลืมเลือนทุกสิ่งไป เพราะฉะนั้น....ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องฝันให้ได้ เพื่อย้ำเติมตัวเอง เพื่อเติมความรู้สึกดีๆ เพื่อที่จะได้อยู่กับเธอ
ผมมองไปที่เนินดินที่โป่งนูนขึ้นมาน้อยๆ พอเป็นที่นั่งตามธรรมชาติ ที่ตรงนั้นคือที่ที่นิ้มมักจะมานั่งถ้าหากผมเกิดมีความรู้สึกอยากวิ่งขึ้นมา เธอจะนั่งมองอยู่เงียบๆ หรือไม่ก็มองโน่นมองนี่ ถึงจะบอกว่าไปรอที่อื่นก็ได้แล้วจะตามไป เธอก็ไม่ยอมไป
พอผมถามเธอว่า ทำไมเธอไม่ยอมไปรอที่อื่น เธอจะหยิบขวดน้ำที่ถูกวางไว้จนหายเย็นออกมาแล้วก็พูดว่า “ถ้าฉันไปรอที่อื่น ใครจะเป็นคนมาส่งน้ำให้เธอล่ะ”
จนถึงวันนี้ ผมยังไม่รู้เหตุผลจริงๆของเธอเลย....
ความคิดเห็น