คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ละมุนกับอาทิตย์
หลังจากผ่านประตูหลายร้อยบานกับภาพวิวหลายพันเส้นขีดอยู่นานทีเดียวล้อรถจึงเริ่มชะลอ ฉันเอนตัวพิงเบาะอย่างปลอดโปร่ง ได้ยินเสียงหอบอยู่ใกล้ๆ เส้นผมของฉันคงสัมผัสโดนมือที่ชุ่มเหงื่อเล็กน้อย ฉันแหงนหน้าขึ้นมองเพดานซีดขาวสีลอกที่ติดดวงไฟอยู่แน่นหนา ฉันคงจะลืมไปแล้วว่ามีคนอยู่ข้างหลังหากไม่ได้ยินเสียงไอเบาๆเพราะความเหนื่อยของเขา
“ตกลงจะพาฉันไปไหน.....”
ฉันถามเบาๆ ที่นี่ไม่มีใครเลย ฝนเริ่มซาและลมก็เริ่มอุ่นขึ้น แม้เพียงเสียงกระซิบก็สื่อสารกันได้โดยไม่ต้องตั้งใจจับใจความ เขาไม่ยอมตอบคำถาม เพียงแต่มองหน้าฉันแล้วยิ้มกว้างก่อนที่จะรีบแก้มัดเข็มขัดที่รัดแขนขาของฉันไว้อย่างรวดเร็ว
“อึดอัดแย่เลยผูกอะไรแบบนี้ไว้” ฉันรีบยกแขนออกจากแท่นวาง รอยช้ำเก่าๆยังคงมีอยู่ คอยย้ำเตือนวันคืนแรกๆที่พวกเขาพยายามฉีดสารเคมีใส่ตัวและมัดฉันไว้ไม่ให้ขัดขืน ฉันเคยดิ้นรุนแรงจนร่างกายต้องมีแผลที่ไม่น่าจดจำ ใบหน้าที่บดบังด้วยการสวมหน้ากากครอบจมูกกับปากและเข็มฉีดยายาวเฟื้อยนั้นเป็นภาพที่น่ากลัวแค่ไหน ฉันไม่เคยลืม
“แบบนี้ก็ไปไหนมาไหนได้ซะที กินแรงกันอยู่ตั้งนาน” เขายื่นมือเป็นการแสดงว่าจะอาสาช่วยฉันลุก แต่ฉันสะบัดไมตรีนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี ยันตัวเองขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร ขาทั้งสองแตะพื้นและยืดตัวขึ้น ฉันตัวสูงเพียงแค่ลูกตาของเขาเท่านั้น รถเข็นถูกพับเก็บแล้วลากออกไปจนพ้นสายตา เขาวางมันพาดกับกำแพงก่อนจะเข้าไปหยิบร่มมาจากห้องห้องหนึ่ง แววตาของเขามีประกายสนุกสนานจนดูน่าเบื่อหน่าย
“เธอชอบฝนมั้ย? เฮ้ๆๆ เป็นอะไรไปล่ะ ทำหน้าซะน่ากลัว.....”
“ใครส่งเธอมา ศาสตราจารย์ของเธอน่ะเหรอ....” ฉันเปลี่ยนแววตาและความคิดทันที แผลที่ข้อมือนั้นทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ นี่คงเป็นมุกตลกอะไรที่พยายามเร่งปฏิกิริยาให้ฉันแสดงสิ่งที่เขาต้องการออกมาอีกล่ะสิ คงมีกล้องอะไรบางอย่างกับเครื่องวัดคลื่นบ้าๆบอๆที่ไหนสักแห่ง สนุกกันมากใช่ไหม..... เบื่อละครบทเก่าอีกล่ะสิถึงได้เพิ่มตัวละครใหม่ๆเข้ามาสมทบ
“พูดอะไรของเธอน่ะ...” ร่มสีดำถูกกางออก เขากวักมือให้ฉันเข้าไปใต้นั้น “มาสิ....ไปเดินเล่นกันเถอะ”
“อะไรของเธอน่ะ!” ฉันคงหูฝาดไปแล้วแน่ๆ อยู่ๆคนคนนี้ทำอะไรของเขา คู่สนทนาโต้ความคลางแคงใจของฉันด้วยคำพูดที่ว่า ฝนแค่นี้ ร่มคันเดียวก็เอาอยู่ ไม่เปียกหรอก
“ดูเธอไม่เชื่อใจฉัน.....” เขาพูดขึ้นในที่สุดพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน “ให้ฉันสาบานกับอะไรก็ได้ ว่าตัวผมนี้! ไม่ได้ถูกส่งตัวมาจากศาสตราจารย์ท่านไหน ไม่ได้มีปฏิบัติการลับเฉพาะอะไร! ไม่ได้คิดมิดีมิร้ายใดๆทั้งสิ้น! ผิดคำพูดขอให้ฟ้าผ่าตาย”
“แล้วเธอมายุ่งอะไรกับฉัน.... เพื่ออะไร” ฉันไม่ยักมีอารมณ์สนุกสนานหรือขำขัน ยืนกอดอกแน่น ไม่เชื่อคำพูดเขาแม้แต่คำเดียว แต่น้ำเสียงของเขากลับทำให้ฉันเริ่มสั่นคลอน บางอย่างในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่ที่ประดับบนใบหน้ากำลังพูดกับฉันด้วย มันมีเสียงแว่วเข้ามาหาเป็นคำว่าเขาไม่ได้โกหก
“ฉันก็แค่....อยากมีเพื่อนเท่านั้นเอง”
“เธอชื่ออะไรน่ะ” ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงทำตัวเป็นคนใจดียอมเดินมาที่สวนตามคำชวน ภายใต้ร่มคันเดียวกันนั้นดูเหมือนกับฉันได้อยู่ใต้ผืนผ้าใบโค้งงอนั้นเพียงคนเดียวเสียมากกว่า เพราะตัวเขากลับยื่นร่างกายออกจากร่มไปเกือบครึ่ง แต่ไม่มีทีท่าจะยักแยแสอะไรกับความเปียกปอน เขาถามฉันพลางพยายามถือร่มอย่างระมัดระวัง แม้ฝนจะลดความคลุ้มคลั่งลงไปมากแล้วก็ตาม นั่นเป็นคำถามแรกที่ฉันไม่นึกว่าจะได้ยินหลังจากที่เดินไปเรื่อยๆอย่างเงียบเชียบสักพักหนึ่ง
“เธอก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ....” ฉันพึมพำเสียงเรียบ เบือนหน้าหนีออกจากเขา มองถนนกว้างที่มีน้ำเจิ่งนองจนแทบกลายเป็นสระน้ำ ระลอกคลื่นวงกลมเป็นหยดดวงแผ่กระจายออกอย่างเรียบเชียบ
“ไม่.....ฉันไม่รู้ เลยถามเธอไง” เขายืนยัน แล้วขยับไปมาเพื่อพยายามสบตาฉัน ฉันรู้สึกว่าริมฝีปากกำลังชาด้านแปลกๆประกอบกับลำคอก็แห้งผาก หลังจากคิดแล้วคิดอีกฉันจึงยอมตอบไปโดยดี “พวกเขาเรียกฉันว่า ศุภาพิชญ์”
“ศุภาพิชญ์ จำยากชะมัด.... นี่เธอไม่มีชื่อเล่นรึไง” เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนฉันนึกถึงตัวเองเวลากำลังนั่งอยู่ในห้องสอบ ชื่อเล่น.... ฉันรู้ว่ามันคืออะไร ความทรงจำอันเรือนลางของฉันบอกฉันว่าฉันเคยมีชื่อชื่อนั้น ใครสักคนเรียกฉันอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้ง นานมากแล้วที่ไม่ได้ยินใครเอ่ยมันออกมา.....ชื่อเล่น..... บ้าน? ครอบครัว? ความว่างเปล่า?
“งั้นฉันเรียกเธอว่าพิชญ์ดีไหม” เขายิ้มกว้างอีกแล้ว ฉันส่ายหน้า “ไม่....ไม่ฉันมี ชื่อเล่น เพียงแต่ไม่มีใครเรียกมานานแล้ว”
ฉันชื่อ....ละมุน
เขาดูพอใจกับคำตอบ ฉันไม่รู้ว่ามันสำคัญอะไรนักหนา ชื่อจริงชื่อเล่น ในเมื่อฉันมันก็เหมือนหนูทดลองรอความตายอยู่ในกรง มีชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ หากไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งค้ำคอพวกคนสติเฟื่องพวกนั้น ป่านนี้ฉันคงเหลวเละเต็มทีไปแล้ว
ไม่รู้ทำไมฉันจึงคิดว่าฉันควรถามชื่อเขา “แล้วเธอล่ะ....คนว่างงานคนนี้ชื่ออะไร”
“แหม....ว่าไปนั่น” เขาหัวเราะร่า ยื่นมือออกไปรองรับน้ำฝนเม็ดเล็กๆที่โปรยปรายลงมา ใครคนไหนที่เคยบรรยายว่ามันเป็นบรรยากาศแสนเศร้านั้นช่างโกหก ฉันว่าเม็ดฝนเหล่านั้นดูอ่อนโยนและอบอุ่นกว่าแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาในห้องปิดตายทุกเช้าเป็นไหนๆ ฉันมองหน้าเขา.... แต่เมื่อเขาหันมา ฉันก็หันไป
“ฉันสุธินันท์ แต่ฉันอยากให้เธอเรียกชื่อเล่นฉันมากกว่า ฉันชื่ออาทิตย์ หรือไม่ก็แค่ทิตย์..... อย่างน้อยฉันก็คิดว่ามันสำคัญนะ”
หัวใจฉันกระตุกวูบ เขาพูดราวกับว่าได้ยินเสียงในความคิดฉัน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ฝนยังโปรยปราย แขนที่ออกนอกร่มนั้นเปียกน้ำใสๆเป็นหยดดวง
“ฉันชอบฝนนะ โดยเฉพาะฝนตกพรำๆ” เขา...หรือบางที ฉันควรเรียกว่าทิตย์พูดอย่างใจดี สายลมที่ผ่านตัวฉันไปอาจเหน็บหนาว แต่คนคนนี้.... ทำไมน้ำเสียงของเขาจึงยังอบอุ่นอยู่ได้ ฉันรีบปัดความคิดออกไปอย่างรวดเร็ว มันก็แค่ฝันลวงๆที่พวกนักวิทยาศาสตร์สร้างมาเพื่อศึกษาฉันเท่านั้นแหละ อย่างไปหลงกล.....อย่าติดกับอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนั้นฉันยังเด็ก ไม่รู้อะไร แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว รู้แล้วว่าไม่มีใครอยู่ข้างฉันจริง
“เธอชอบฝนรึเปล่า....”
ฉันมองเขา สบตาคู่นั้น ตั้งคำถามและเค้นคำตอบออกมาทางสายตา แต่ฉันก็ได้เพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่ในแววตานั้น ไม่มีแม้แต่คำถามที่ฉันคิด..... มีแต่คำถามที่เขาเพิ่งพูดออกมาเท่านั้นที่เขาอยากรู้ รอบตัวเป็นต้นไม้ใบหญ้า ก้อนหิน และศาลาไม้ ไม่มีทีที่ว่าจะมีกล้อง เครื่องดักฟัง หรือเครื่องมืออะไรคอบจับตาดูฉัน
“คือ....ฉันไม่รู้” ฉันอึกอัก พลาดไปแล้วที่สบตา เขาทำให้ฉันพูดไม่ออก....บางทีตอนนี้อาจจะยัง อาจจะยัง พวกเขารู้แล้วว่าเข้ามาหาฉันปุบปับไม่ได้ นี่มันคือแผนการระยะยาว! หลอกให้จิตใจฉันตายสนิทแล้วจึงลงมือ พัฒนาขึ้นนี่..... แต่ก็ชั่วช้าเช่นเดิม
“ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสมัน”
“งั้นก็ลองดูสิ......”
“เดี๋ยว นั่นเธอจะทำอะไร” ทิตย์จับข้อมือฉันให้ยื่นออกไปนอกร่ม สายฝนค่อยๆทำความรู้จักฉันอย่างอ่อนโยน แรกๆอาจจะเย็นวาบ แต่สักพัก เบื้องหลังความเย็นนั้นคือสัมผัสที่นุ่มนวล ผิวมือของทิตย์อุ่นมากจนฉันไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว
ฝนยังตกพรำๆ ทั้งๆที่เคยโหมอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราด เหมือนอารมณ์ของฉัน..... เหมือนหัวใจที่ค่อยๆอ่อนตัวของฉัน
ความคิดเห็น