ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วงกตฝัน

    ลำดับตอนที่ #2 : โลกหลังเปลือกตา

    • อัปเดตล่าสุด 2 ส.ค. 51


    ระยะทางการเดินกลับบ้าน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันช่างยาวและไกลแสนจะไกล ต้นไม้รอบทางก็เกะกะคอยเกาะเกี่ยวน่ารำคาญขนาดนี้นี่เอง สามกิโลของระยะทางว่าโหดร้ายแล้ว สามกิโลของกระเป๋านั้นยิ่งกว่า ไม่รู้เลยว่าทำไมเมื่อก่อนผมจึงไม่เคยสัมผัสกับความหนักหนาสาหัสนี้

                    ไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านของนิ้มจึงต้องมาตั้งเด่นตระหง่านก่อนที่จะถึงบ้านผม แม้ว่าจะมีคนย้ายมาอยู่ใหม่ ทาสีต่อเติมแต่รั้วมากแค่ไหน แต่เค้าเดิมของมันก็คอยฝังจิตให้เจ็บแปลบอยู่เสมอ ผมก้มหน้ามองพื้นแล้วก้าวขายาวๆเพื่อให้ร่างกายผ่านไปโดยเร็ว

                    ผมไม่นึกเลยว่าทันใดนั้นเองจะมีสิ่งที่ทำให้ผมหยุดเดิน

    หลุน

                    เลือดในตัวดูเหมือนจะเย็นวาบไปทั้งอย่างนั้น ผมสะดุ้งโหยง เสียงเสียงนั้นทำเอาหัวใจสั่นสะท้าน ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกส่วนของร่ายกายต้องหนักอึ้ง

                    เสียงยังดังขึ้นอีก ตะปูเล่มหนาที่มองไม่เห็นตอกย้ำเข้าไปในก้อนเนื้อเปี่ยมความรู้สึกจนปริทะลัก หัวใจที่ดินร่าๆอย่างทรมานอยู่นั้นทำให้ผมต้องใช้ฝ่ามือทาบอก ใบหน้านั้นร้อนผ่าวยิ่งกว่าขอบตา ทุกการเคลื่อนไหวนั้นฝืนร่างกายทั้งร่างที่กำลังหวั่นไหววูบ เพียงแค่นั้นเอง เพียงแค่เสียงหนึ่งพยางค์ไร้ความหมาย แต่ผมกลับอยากได้ยินมันซ้ำไปอย่างนี้ตราบนานเท่านาน

                    อยู่ๆน้ำหนักถูกเทไปทางด้านหลัง เหมือนกับกระเป๋าที่หลังถูกแทนที่ด้วยไออุ่น ความอ่อนหวานนั่นกำลังจะฆ่าผมเสียให้ตาย กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ทำให้หัวใจที่กำลังบ้าคลั่งหยุดชะงักลงทันใด ความอบอุ่นที่แผ่มาจากไหล่ซ้ายไม่ได้ช่วยลดความยะเยือกของผิวมือให้จางหาย ผมค่อยๆเลื่อนมือที่ขึ้นไปสัมผัสบางสิ่งที่กำลังโอบรัดคอจากทางด้านหลังอย่างอ่อนโยน กระตุ้นให้เสียงที่แจ่มชัดนั้นกระซิบให้ได้ยินอีกครั้ง

    ทำไมมือเย็นจังเลย หลุน

                    ในคอกำลังตีบตัน ลิ้นก็จะพลันชาด้าน ริมฝีปากก็เฉียบเย็นแข็ง ผมกัดฟันสกัดทุกความหวั่นไหวที่พุ่งเข้ามารวมจุกกันเป็นเสียงสะอื้น ได้แต่บีบผิวอุ่นละมุนนั้นอย่างเบามือด้วยความโหยหา แล้วรู้สึกว่าตอนนี้ผมลืมไปแล้วทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งวิธีการหายใจ

    เธอคิดถึงฉันไหม?”

                    ผมยังตอบไม่ได้ พยายามเงยหน้าย้อนสายน้ำตาที่กำลังจะทะลัก ศีรษะที่สัมผัสโดนเส้นผมของเธอทำให้ผมพร้อมที่จะปล่อยโฮ เธอจะได้ยินไหมว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังร่ำร้องคำตอบนั้นสุดกำลัง เพราะศูนย์กลางความรู้สึกทั้งมวลได้สูบฉีดทุกความโหยหาไปเลี้ยงชีวิตอยู่ตราบเท่าที่ผมยังหายใจ

    ไม่ได้เจอกันนาน พูดน้อยลงไปเยอะเลยนะ

    นิ้ม.......

                    เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าไร้พลัง หางเสียงหายไปกับอากาศ การฝืนแรงธรรมชาติไม่อาจกลั้นสายน้ำเล็กๆนี้ได้อีกแล้ว มันไหลร่วงจากขอบตา ละเลียดช้าๆลงมาสัมผัสกับผิวแก้ม พึมพำในแบบที่ไร้เสียงออกมาว่า คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจริงๆ

    หลุน......?”

    เธอจริงๆหรอ เธอไปไหนมา.....?”

                    แขนคู่นั้นถอนออกจากรอบคอ ผมรีบหันกลับไปทางด้านหลัง รอยยิ้มอันคุ้นเคยก็โปรยปรายความงดงามเหนือดอกไม้ดอกใด ใบหน้าขาวผ่องนั้นยังสดใสและมีชีวิต ผมไม่กล้าเอื้อมมือไปแตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย ด้วยความกลัวว่าเธอจะสลายหายไปอีกครั้ง ยิ่งสบตาก็ยิ่งรวดร้าวปนเปกับความคิดถึง นึกอยากจะรั้งร่างกายนั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน แต่ก็ทำไม่ได้........ ทำไม่ได้แม้แต่จะเปล่งชื่อเธอออกไปอีกครั้ง

                เธอเอียงคอ ประกายของนัยน์ตาสะกดให้ผมไม่อาจกะพริบตา ยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยนแล้วใช้มือที่เรียวบางวางลงบนแก้มอาบธารน้ำของผมอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก

    หน้าเธอร้อนยังกะไข้ขึ้น ไม่เห็นเหมือนมือเลย

                    ผมหงุดหงิดตัวเองถึงขีดสุด พูดออกไปสิ ขยับสิ.... เสียงไปอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้! ทำไมถึงพูดไม่ได้ ทำไมล่ะ!! อย่าให้เธอหายไปอีก รั้งเธอไว้.....พูดออกไป พูดออกไป! พูดสิ!! บอกให้พูด!!! ไอ้......เอ้ย!!!!

    หลุน.....

                    นิ้มโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างๆหู สะกดความคลุ้มคลั่งของจิตใจไว้ราวกับไม่เคยมีอยู่ น้ำเสียงนุ่มนวลของเธอดูเหมือนไม่ได้ซึมผ่านทางโสตประสาท หากแต่ผ่านพุ่งไปถึงหัวใจ ไปถึงจิตวิญญาณบางๆของผมเสียตรงๆอย่างไรอย่างนั้น

    ฉันจะอยู่ที่นี่....อยู่ในโลกของเธอ ที่ที่เธอจะมองเห็นเสมอยามที่หลับตา......

     

    !!!!

                    ดวงตาลืมตื่นขึ้นสัมผัสกับความมืดมิดของเช้าตรู่ เสียงหัวใจที่เต้นกระแทกอกนั้นดังยิ่งกว่าเสียงปลุกจากนาฬิกา ลมหายใจของผมถี่เร็วราวกับเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแข่งกีฬา สมองหมุนติ้วไม่รู้ว่าทิศทางไหน แต่ที่แน่ๆ มันกำลังทำงานหนักหน่วง

                    นิ้ม...... ผมจำได้รางๆว่าเห็นเธอ รีบนึกเข้าสิ เธอพูดอะไรบ้าง.... เกิดอะไรขึ้นในนั้น เธอสวมชุดอะไร อยู่ในวัยไหน ผมสั้นหรือผมยาว เสียงของเธอเป็นยังไง รอยยิ้มเธอเปลี่ยนไปบ้างไหม นิ้ม นิ้ม.....นิ้ม!

                    ฉันจะอยู่ที่นี่....อยู่ในโลกของเธอ ที่ที่เธอมองเห็นเสมอยามที่หลับตา......

                   

    .......................................................................

       

                    เสียงเอ็นแร็คเก็ตปะทะเข้ากับลูกบอลลูกเล็กดังสนั่นเพราะการตีเต็มหน่วง เม็ดเหงื่อพราวกระเซ็นไปตามทิศทางของการตี ขาที่อ่อนล้าจนสั่นเทิ้มกำลังกรีดเสียงร้องประท้วงประสานกับหัวไหล่ที่เจ็บแปลบ ผมพยายามหายใจ สองมือพยายามประคองไม้ที่เริ่มหลวมให้กระชับ พลางฟังเสียงตึกตักจากข้างในที่คล้ายกับเสียงเครื่องจักรใกล้พัง

    พอเถอะหลุน มิ่งตะโกนข้ามฟากมา ผมรีบส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวก็ตายหรอก

    ไม่....ยังไหว เป็นคำโกหกที่ไร้มูลที่สุดเท่าที่เคยพูดออกไป ร่างกายกำลังจะล้มพับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ผมก็เฝ้ารอให้ถึงวินาทีนั้นอยู่เหมือนกัน เหงื่อที่ผุดออกตามตัวกำลังทำให้ผิวเนื้อเย็นวาบ ดวงตาทั้งสองเองก็เริ่มปรือ คู่ตียังคงคัดค้านแล้วเดินออกจากสนาม ผมได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจจากบรรดากล้ามเนื้อไม่รักดีเสียงดังจนออกนอกหน้า

    หลุน เป็นไรวะ เมื่อวานยังยืนยันไม่ตีท่าเดียว เพื่อนผู้เหงื่อโทรมกายนั่งพิงกำแพง ทิ้งไม้เทนนิสลงพื้น แล้วหายใจเข้า-ออกแรงๆเพราะความเหนื่อย แต่ยังไงก็ตาม อาการของเขายังน้อยกว่าผมนัก

    กูอยากออกแรง.... ผมพึมพำ แม้จะยอมยุติการตีแล้ว แต่ผมก็ยังคงฝืนไม่นั่งพักตามที่อะไรต่อมิอะไรพากันเรียกร้อง

    กินอะไรมาวะ

    เออน่ะ.....

    ท่าทางอาการมึงยังไม่ได้ดีขึ้นเลย เป็นคำพูดที่ไม่ลงลึกในรายละเอียดใดๆ แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังเปิดหัวข้อสนทนาบทใด และเขาเองก็รู้ว่าผมเข้าใจดี กูไม่รู้หรอกนะว่าต้องทำยังไง รู้แต่ว่า....ที่มึงเป็นอยู่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกว่ะ

    เออ....รู้ ผมเบนสายตาไปทางอื่น มองคนอื่นๆที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเล่นบนคอร์ดที่มีอยู่แค่น้อยนิด ทุกคนล้วนเหมือนเป็นเพียงตัวประกอบในภาพวาด ไม่มีความหมายให้มองลึกในรายละเอียด

    ขมิ้นนี่.... ผมพึมพำ ขณะสะดุดกับเพื่อนข้างโต๊ะเข้าให้ มิ่งจึงชะเง้อมองหาบ้าง ป่านนี้ยังไม่กลับอีกหรอวะ

    แล้วจะกลับห้องยัง มึงไหวแต่กูไม่ไหวแล้วนะเว้ย เขาเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านอะไร จึงยอมเดินกลับห้องไปแต่โดยดี

    หนึ่งย่างก้าวก็ทำให้สั่นไหวไปทั้งตัว ผมเริ่มปวดหัวตุบๆ การเสียเหงื่อช่างเป็นอะไรที่ไม่สนุกเลย ยังไม่ได้นึกถึงสามกิโลที่ต้องเดินกลับ ผมเริ่มโซเซเหมือนคนเดินไม่เป็น มิ่งเดินหายไปซื้อน้ำตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมถึงกับต้องถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกที่สามารถเดินมาถึงห้องได้ ไม่ใช่ คลาน กลับมา

                ในตอนนี้ แม้แต่เก้าอี้ที่แข็งและกร้านที่สุดก็สามารถให้ความรู้สึกเช่นโซฟานุ่มหรูที่สุดในโลก  ผมมองนาฬิกาอยู่แวบหนึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงจะห้าโมง หมายความว่าผมคงจะงีบหลับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นี่ล่ะ....เวลาที่ผมรอคอย เหนื่อยขนาดนี้หลับตาไปไม่เท่าไรก็คงได้ฝัน

                    หลับตาไปไม่เท่าไรก็คงได้เห็นเธอ.....

     

    เฮ้!”

                    ผมพรวดพราดกระเด้งตัวขึ้นมาจากโต๊ะ สบตากับดวงตาคู่ใสตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาที่ผม ใบหน้าที่คุ้นเคยส่งยิ้มบางๆมาให้และมีทีท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ

    หลุน ไปทำอะไรมา ถ้าจะว่ายน้ำทำไมไม่เอาชุดมาเปลี่ยนล่ะ

    ตลกจังนะเธอ ผมประชดประชัน ขมิ้นเอียงคอพร้อมกับหรี่ตาอย่างสงสัย เธอคงไม่รู้ว่าผมกำลังฉุนเฉียวอะไรนักหนา แน่นอนเธอไม่รู้ เธอไม่มีวันเข้าใจ และเธออาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังหงุดหงิดและรำคาญจนเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว

    ทำไมเธอถึงต้องทำหน้าเศร้าอยู่เรื่อยเลย....

    ไม่ใช่เรื่องของเธอ

    โลกส่วนตัวกว้างจังนะ โกรธหรอที่ฉันมาปลุกเธอน่ะ

                อยากจะตอบออกไปใจจะขาดว่า ใช่ แต่สติที่แทบไม่เหลือก็สามารถยั้งปากและอารมณ์ไว้ทัน เธอไม่ผิด เธอแค่ไม่รู้อะไร เธอแค่คนที่บังเอิญมาเห็น แค่บังเอิญอยากรู้อยากเห็น แค่บังเอิญใส่ใจไปกับทุกเรื่อง ใช่! แค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องเก็บไปโมโหเลย

    ว้า....โกรธจริงด้วยเธอทำหน้าเบ้ พยายามหันหน้าตัวเองมาให้ผมสบตา หลังจากจับได้ว่าผมพยายามเบือนหน้าหนี ทำไงให้เธอหายโกรธดีล่ะ

                    ก็อย่ามายุ่งกับฉันสิ ไปให้ไกลๆจากชีวิตฉันเลยไป! แน่นอนว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสามารถยั้งให้ข้อความเหล่านั้นหยุดเพียงแค่เป็นความคิด ริมฝีปากผมยังคงเรียบนิ่งสนิท

    แต่อันที่จริงเธอไม่ควรโกรธฉันนะ เพราะนี่ได้เวลาเขาปิดห้องเรียนแล้ว อยากค้างที่ห้องมากรึไง

    ว่าไงนะ? เดี๋ยว.... นี่กี่โมงแล้ว?” ผมร้องขึ้นมาเพราะความตกใจ ถามเวลากับเธอทั้งๆที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองก็โชว์เด่นหราอยู่บนข้อแขน

    ก็ห้าโมงน่ะ หลับเพลินจนลืมเวลาหรอ?”

                    ไม่จริงน่า....! ผมร้องอุทานในใจเสียงดัง นี่ผมยังไม่ได้ฝันเลย ทำไมล่ะ หมายความว่ายังไง ครึ่งชั่วโมงนี้ผมไม่ได้หลับเลยหรอ? ไม่สิ....หลับ ผมหลับแน่ๆ แต่ไม่มีความฝัน ทำไม...?

    ทำไมทำหน้างงขนาดนั้นเล่า ตกลงเธอจะนอนค้างโรงเรียนจริงๆหรอไง?” ขมิ้นยังพูดใส่หูไม่เลิก ผมมองหน้าเธออย่างเหลืออด ทุกครั้งที่ผมเริ่มคิดอะไรสักอย่าง เสียงของเธอก็จะดังแทรกเข้ามาไปซะทุกที ทำไมเธอต้องเอาแต่ขัดขวางชีวิตผมนักหนาก็ไม่รู้!

    แล้ว....เธอไม่กลับบ้านรึไง

    ก็ฉันกะว่าจะนอนค้างที่นี่เป็นเพื่อนเธอไง เธอแลบลิ้นล้อเลียน พร้อมกับหัวเราะกวนๆสนุกสนาน ผมถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางยัดหนังสือลงกระเป๋าเป้ไปเร็วๆแล้วหิ้วขึ้นบ่า

    เอาล่ะ...พอใจเธอรึยัง

    ทำไมต้องทำหน้าเครียดอย่างนั้นด้วยล่ะหลุน

                    ผมก้าวขาเดินผ่านเธอไปโดยไม่เอ่ยคำลา พยายามก้าวขาให้ยาวและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความเหนื่อยล้าที่ไร้ประโยชน์นั้นเป็นเหมือนตุ้มเหล็กที่รัดร่างกายไว้ทั้งเนื้อทั้งตัวทำให้ร่างกายผมดื้อดึง ไม่ยอมปฏิบัติตามดั่งที่ใจสั่งการ

    นี่....จะแซงก็รีบแซง ทำไมต้องมาเดินตามหลังฉันด้วย ระดับเสียงของผมอยู่ในระดับที่มั่นใจว่าสามารถส่งผ่านไปถึงหูทั้งคู่ของคนที่ต้องการจะสื่อถึง พยายามเค้นเอาทุกความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ข้างในใส่ลงไปเน้นๆทุกพยางค์ แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเหมือนจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

    รู้ได้ไงว่าฉันตั้งใจตามหลังเธอ หลงตัวเองไปรึเปล่า

                สุดทนที่จะต่อปากต่อคำ ผมตัดสินใจปิดปากเงียบสนิท ขมิ้นเคลื่อนตัวมาเดินข้างๆ แม้ไม่ได้หันไปมองแต่ผมก็รู้ได้ว่าเธอกำลังมองหน้าผม

    ทำไมเธอถึงได้เงียบนักล่ะ

    เพื่อที่เธอจะได้ไม่ได้ทำลายสถิติไง ผมตอบห้วนๆ

    แล้วทำไมเธอถึงชอบเหม่ออยู่เรื่อย

    เพราะ..... ผมตอบค้างอยู่อย่างนั้น แล้วหันไปมองหน้าคู่สนทนาที่น่ารำคาญใจจะขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นเองที่จิตใจของผมรู้สึกเจ็บบาดลึกจนสั่งร่างกายให้หยุดชะงัก ผมเผลอหลุดคำพูดที่เธอไม่มีวันเข้าใจออกมา อย่า......

    หา?” ขมิ้นขยับเข้ามาเงี่ยหูฟังคำพูดจากผม ผมรีบยกมือห้ามพลางหันหน้าไปทางอื่น หลุน เป็นอะไร?”

    อย่าเดินข้างๆฉันผมพูดเสียงดังเกินความจำเป็น อย่าเดินข้างๆฉัน!”

    หลุน ใจเย็น เป็นอะไรไปเนี่ย

    อย่าเดินข้างๆฉัน!” ผมยังคงยืนยันประโยคเดิมอย่างปวดร้าว แล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง ไม่ได้คิดว่าคนข้างหลังจะรู้สึกอย่างไร ไม่ได้คิดว่าร่างกายกำลังจะไม่ไหว คิดแต่ว่าต้องออกไปจากที่นั่น

                    ผมยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาเดินอยู่แทนที่เธอไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนหรือเหตุการณ์ใด ข้างกายผม คือที่ว่างที่ขนาดพอเหมาะสำหรับเธอเท่านั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×