คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โลกหลังเปลือกตา
ระยะทางการเดินกลับบ้าน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันช่างยาวและไกลแสนจะไกล ต้นไม้รอบทางก็เกะกะคอยเกาะเกี่ยวน่ารำคาญขนาดนี้นี่เอง สามกิโลของระยะทางว่าโหดร้ายแล้ว สามกิโลของกระเป๋านั้นยิ่งกว่า ไม่รู้เลยว่าทำไมเมื่อก่อนผมจึงไม่เคยสัมผัสกับความหนักหนาสาหัสนี้
ไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านของนิ้มจึงต้องมาตั้งเด่นตระหง่านก่อนที่จะถึงบ้านผม แม้ว่าจะมีคนย้ายมาอยู่ใหม่ ทาสีต่อเติมแต่รั้วมากแค่ไหน แต่เค้าเดิมของมันก็คอยฝังจิตให้เจ็บแปลบอยู่เสมอ ผมก้มหน้ามองพื้นแล้วก้าวขายาวๆเพื่อให้ร่างกายผ่านไปโดยเร็ว
ผมไม่นึกเลยว่าทันใดนั้นเองจะมีสิ่งที่ทำให้ผมหยุดเดิน
“หลุน”
เลือดในตัวดูเหมือนจะเย็นวาบไปทั้งอย่างนั้น ผมสะดุ้งโหยง เสียงเสียงนั้นทำเอาหัวใจสั่นสะท้าน ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกส่วนของร่ายกายต้องหนักอึ้ง
เสียงยังดังขึ้นอีก ตะปูเล่มหนาที่มองไม่เห็นตอกย้ำเข้าไปในก้อนเนื้อเปี่ยมความรู้สึกจนปริทะลัก หัวใจที่ดินร่าๆอย่างทรมานอยู่นั้นทำให้ผมต้องใช้ฝ่ามือทาบอก ใบหน้านั้นร้อนผ่าวยิ่งกว่าขอบตา ทุกการเคลื่อนไหวนั้นฝืนร่างกายทั้งร่างที่กำลังหวั่นไหววูบ เพียงแค่นั้นเอง เพียงแค่เสียงหนึ่งพยางค์ไร้ความหมาย แต่ผมกลับอยากได้ยินมันซ้ำไปอย่างนี้ตราบนานเท่านาน
อยู่ๆน้ำหนักถูกเทไปทางด้านหลัง เหมือนกับกระเป๋าที่หลังถูกแทนที่ด้วยไออุ่น ความอ่อนหวานนั่นกำลังจะฆ่าผมเสียให้ตาย กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ทำให้หัวใจที่กำลังบ้าคลั่งหยุดชะงักลงทันใด ความอบอุ่นที่แผ่มาจากไหล่ซ้ายไม่ได้ช่วยลดความยะเยือกของผิวมือให้จางหาย ผมค่อยๆเลื่อนมือที่ขึ้นไปสัมผัสบางสิ่งที่กำลังโอบรัดคอจากทางด้านหลังอย่างอ่อนโยน กระตุ้นให้เสียงที่แจ่มชัดนั้นกระซิบให้ได้ยินอีกครั้ง
“ทำไมมือเย็นจังเลย หลุน”
ในคอกำลังตีบตัน ลิ้นก็จะพลันชาด้าน ริมฝีปากก็เฉียบเย็นแข็ง ผมกัดฟันสกัดทุกความหวั่นไหวที่พุ่งเข้ามารวมจุกกันเป็นเสียงสะอื้น ได้แต่บีบผิวอุ่นละมุนนั้นอย่างเบามือด้วยความโหยหา แล้วรู้สึกว่าตอนนี้ผมลืมไปแล้วทุกอย่าง ลืมแม้กระทั่งวิธีการหายใจ
“เธอคิดถึงฉันไหม?”
ผมยังตอบไม่ได้ พยายามเงยหน้าย้อนสายน้ำตาที่กำลังจะทะลัก ศีรษะที่สัมผัสโดนเส้นผมของเธอทำให้ผมพร้อมที่จะปล่อยโฮ เธอจะได้ยินไหมว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังร่ำร้องคำตอบนั้นสุดกำลัง เพราะศูนย์กลางความรู้สึกทั้งมวลได้สูบฉีดทุกความโหยหาไปเลี้ยงชีวิตอยู่ตราบเท่าที่ผมยังหายใจ
“ไม่ได้เจอกันนาน พูดน้อยลงไปเยอะเลยนะ”
“นิ้ม.......”
เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าไร้พลัง หางเสียงหายไปกับอากาศ การฝืนแรงธรรมชาติไม่อาจกลั้นสายน้ำเล็กๆนี้ได้อีกแล้ว มันไหลร่วงจากขอบตา ละเลียดช้าๆลงมาสัมผัสกับผิวแก้ม พึมพำในแบบที่ไร้เสียงออกมาว่า คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจริงๆ
“หลุน......?”
“เธอจริงๆหรอ เธอไปไหนมา.....?”
แขนคู่นั้นถอนออกจากรอบคอ ผมรีบหันกลับไปทางด้านหลัง รอยยิ้มอันคุ้นเคยก็โปรยปรายความงดงามเหนือดอกไม้ดอกใด ใบหน้าขาวผ่องนั้นยังสดใสและมีชีวิต ผมไม่กล้าเอื้อมมือไปแตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย ด้วยความกลัวว่าเธอจะสลายหายไปอีกครั้ง ยิ่งสบตาก็ยิ่งรวดร้าวปนเปกับความคิดถึง นึกอยากจะรั้งร่างกายนั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน แต่ก็ทำไม่ได้........ ทำไม่ได้แม้แต่จะเปล่งชื่อเธอออกไปอีกครั้ง
เธอเอียงคอ ประกายของนัยน์ตาสะกดให้ผมไม่อาจกะพริบตา ยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยนแล้วใช้มือที่เรียวบางวางลงบนแก้มอาบธารน้ำของผมอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก
“หน้าเธอร้อนยังกะไข้ขึ้น ไม่เห็นเหมือนมือเลย”
ผมหงุดหงิดตัวเองถึงขีดสุด พูดออกไปสิ ขยับสิ.... เสียงไปอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้! ทำไมถึงพูดไม่ได้ ทำไมล่ะ!! อย่าให้เธอหายไปอีก รั้งเธอไว้.....พูดออกไป พูดออกไป! พูดสิ!! บอกให้พูด!!! ไอ้......เอ้ย!!!!
“หลุน.....”
นิ้มโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างๆหู สะกดความคลุ้มคลั่งของจิตใจไว้ราวกับไม่เคยมีอยู่ น้ำเสียงนุ่มนวลของเธอดูเหมือนไม่ได้ซึมผ่านทางโสตประสาท หากแต่ผ่านพุ่งไปถึงหัวใจ ไปถึงจิตวิญญาณบางๆของผมเสียตรงๆอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันจะอยู่ที่นี่....อยู่ในโลกของเธอ ที่ที่เธอจะมองเห็นเสมอยามที่หลับตา......”
!!!!
ดวงตาลืมตื่นขึ้นสัมผัสกับความมืดมิดของเช้าตรู่ เสียงหัวใจที่เต้นกระแทกอกนั้นดังยิ่งกว่าเสียงปลุกจากนาฬิกา ลมหายใจของผมถี่เร็วราวกับเพิ่งเสร็จสิ้นจากการแข่งกีฬา สมองหมุนติ้วไม่รู้ว่าทิศทางไหน แต่ที่แน่ๆ มันกำลังทำงานหนักหน่วง
นิ้ม...... ผมจำได้รางๆว่าเห็นเธอ รีบนึกเข้าสิ เธอพูดอะไรบ้าง.... เกิดอะไรขึ้นในนั้น เธอสวมชุดอะไร อยู่ในวัยไหน ผมสั้นหรือผมยาว เสียงของเธอเป็นยังไง รอยยิ้มเธอเปลี่ยนไปบ้างไหม นิ้ม นิ้ม.....นิ้ม!
ฉันจะอยู่ที่นี่....อยู่ในโลกของเธอ ที่ที่เธอมองเห็นเสมอยามที่หลับตา......
.......................................................................
เสียงเอ็นแร็คเก็ตปะทะเข้ากับลูกบอลลูกเล็กดังสนั่นเพราะการตีเต็มหน่วง เม็ดเหงื่อพราวกระเซ็นไปตามทิศทางของการตี ขาที่อ่อนล้าจนสั่นเทิ้มกำลังกรีดเสียงร้องประท้วงประสานกับหัวไหล่ที่เจ็บแปลบ ผมพยายามหายใจ สองมือพยายามประคองไม้ที่เริ่มหลวมให้กระชับ พลางฟังเสียงตึกตักจากข้างในที่คล้ายกับเสียงเครื่องจักรใกล้พัง
“พอเถอะหลุน” มิ่งตะโกนข้ามฟากมา ผมรีบส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ “เดี๋ยวก็ตายหรอก”
“ไม่....ยังไหว” เป็นคำโกหกที่ไร้มูลที่สุดเท่าที่เคยพูดออกไป ร่างกายกำลังจะล้มพับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ผมก็เฝ้ารอให้ถึงวินาทีนั้นอยู่เหมือนกัน เหงื่อที่ผุดออกตามตัวกำลังทำให้ผิวเนื้อเย็นวาบ ดวงตาทั้งสองเองก็เริ่มปรือ คู่ตียังคงคัดค้านแล้วเดินออกจากสนาม ผมได้ยินเสียงโห่ร้องดีใจจากบรรดากล้ามเนื้อไม่รักดีเสียงดังจนออกนอกหน้า
“หลุน เป็นไรวะ เมื่อวานยังยืนยันไม่ตีท่าเดียว” เพื่อนผู้เหงื่อโทรมกายนั่งพิงกำแพง ทิ้งไม้เทนนิสลงพื้น แล้วหายใจเข้า-ออกแรงๆเพราะความเหนื่อย แต่ยังไงก็ตาม อาการของเขายังน้อยกว่าผมนัก
“กูอยากออกแรง....” ผมพึมพำ แม้จะยอมยุติการตีแล้ว แต่ผมก็ยังคงฝืนไม่นั่งพักตามที่อะไรต่อมิอะไรพากันเรียกร้อง
“กินอะไรมาวะ”
“เออน่ะ.....”
“ท่าทางอาการมึงยังไม่ได้ดีขึ้นเลย” เป็นคำพูดที่ไม่ลงลึกในรายละเอียดใดๆ แต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังเปิดหัวข้อสนทนาบทใด และเขาเองก็รู้ว่าผมเข้าใจดี “กูไม่รู้หรอกนะว่าต้องทำยังไง รู้แต่ว่า....ที่มึงเป็นอยู่มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกว่ะ”
“เออ....รู้” ผมเบนสายตาไปทางอื่น มองคนอื่นๆที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเล่นบนคอร์ดที่มีอยู่แค่น้อยนิด ทุกคนล้วนเหมือนเป็นเพียงตัวประกอบในภาพวาด ไม่มีความหมายให้มองลึกในรายละเอียด
“ขมิ้นนี่....” ผมพึมพำ ขณะสะดุดกับเพื่อนข้างโต๊ะเข้าให้ มิ่งจึงชะเง้อมองหาบ้าง “ป่านนี้ยังไม่กลับอีกหรอวะ”
“แล้วจะกลับห้องยัง มึงไหวแต่กูไม่ไหวแล้วนะเว้ย” เขาเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านอะไร จึงยอมเดินกลับห้องไปแต่โดยดี
หนึ่งย่างก้าวก็ทำให้สั่นไหวไปทั้งตัว ผมเริ่มปวดหัวตุบๆ การเสียเหงื่อช่างเป็นอะไรที่ไม่สนุกเลย ยังไม่ได้นึกถึงสามกิโลที่ต้องเดินกลับ ผมเริ่มโซเซเหมือนคนเดินไม่เป็น มิ่งเดินหายไปซื้อน้ำตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมถึงกับต้องถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกที่สามารถเดินมาถึงห้องได้ ไม่ใช่ “คลาน” กลับมา
ในตอนนี้ แม้แต่เก้าอี้ที่แข็งและกร้านที่สุดก็สามารถให้ความรู้สึกเช่นโซฟานุ่มหรูที่สุดในโลก ผมมองนาฬิกาอยู่แวบหนึ่ง อีกครึ่งชั่วโมงจะห้าโมง หมายความว่าผมคงจะงีบหลับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นี่ล่ะ....เวลาที่ผมรอคอย เหนื่อยขนาดนี้หลับตาไปไม่เท่าไรก็คงได้ฝัน
หลับตาไปไม่เท่าไรก็คงได้เห็นเธอ.....
“เฮ้!”
ผมพรวดพราดกระเด้งตัวขึ้นมาจากโต๊ะ สบตากับดวงตาคู่ใสตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาที่ผม ใบหน้าที่คุ้นเคยส่งยิ้มบางๆมาให้และมีทีท่าเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ
“หลุน ไปทำอะไรมา ถ้าจะว่ายน้ำทำไมไม่เอาชุดมาเปลี่ยนล่ะ”
“ตลกจังนะเธอ” ผมประชดประชัน ขมิ้นเอียงคอพร้อมกับหรี่ตาอย่างสงสัย เธอคงไม่รู้ว่าผมกำลังฉุนเฉียวอะไรนักหนา แน่นอนเธอไม่รู้ เธอไม่มีวันเข้าใจ และเธออาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังหงุดหงิดและรำคาญจนเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว
“ทำไมเธอถึงต้องทำหน้าเศร้าอยู่เรื่อยเลย....”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“โลกส่วนตัวกว้างจังนะ โกรธหรอที่ฉันมาปลุกเธอน่ะ”
อยากจะตอบออกไปใจจะขาดว่า ใช่ แต่สติที่แทบไม่เหลือก็สามารถยั้งปากและอารมณ์ไว้ทัน เธอไม่ผิด เธอแค่ไม่รู้อะไร เธอแค่คนที่บังเอิญมาเห็น แค่บังเอิญอยากรู้อยากเห็น แค่บังเอิญใส่ใจไปกับทุกเรื่อง ใช่! แค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องเก็บไปโมโหเลย
“ว้า....โกรธจริงด้วย” เธอทำหน้าเบ้ พยายามหันหน้าตัวเองมาให้ผมสบตา หลังจากจับได้ว่าผมพยายามเบือนหน้าหนี “ทำไงให้เธอหายโกรธดีล่ะ”
ก็อย่ามายุ่งกับฉันสิ ไปให้ไกลๆจากชีวิตฉันเลยไป! แน่นอนว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสามารถยั้งให้ข้อความเหล่านั้นหยุดเพียงแค่เป็นความคิด ริมฝีปากผมยังคงเรียบนิ่งสนิท
“แต่อันที่จริงเธอไม่ควรโกรธฉันนะ เพราะนี่ได้เวลาเขาปิดห้องเรียนแล้ว อยากค้างที่ห้องมากรึไง”
“ว่าไงนะ? เดี๋ยว.... นี่กี่โมงแล้ว?” ผมร้องขึ้นมาเพราะความตกใจ ถามเวลากับเธอทั้งๆที่นาฬิกาข้อมือของตัวเองก็โชว์เด่นหราอยู่บนข้อแขน
“ก็ห้าโมงน่ะ หลับเพลินจนลืมเวลาหรอ?”
ไม่จริงน่า....! ผมร้องอุทานในใจเสียงดัง นี่ผมยังไม่ได้ฝันเลย ทำไมล่ะ หมายความว่ายังไง ครึ่งชั่วโมงนี้ผมไม่ได้หลับเลยหรอ? ไม่สิ....หลับ ผมหลับแน่ๆ แต่ไม่มีความฝัน ทำไม...?
“ทำไมทำหน้างงขนาดนั้นเล่า ตกลงเธอจะนอนค้างโรงเรียนจริงๆหรอไง?” ขมิ้นยังพูดใส่หูไม่เลิก ผมมองหน้าเธออย่างเหลืออด ทุกครั้งที่ผมเริ่มคิดอะไรสักอย่าง เสียงของเธอก็จะดังแทรกเข้ามาไปซะทุกที ทำไมเธอต้องเอาแต่ขัดขวางชีวิตผมนักหนาก็ไม่รู้!
“แล้ว....เธอไม่กลับบ้านรึไง”
“ก็ฉันกะว่าจะนอนค้างที่นี่เป็นเพื่อนเธอไง” เธอแลบลิ้นล้อเลียน พร้อมกับหัวเราะกวนๆสนุกสนาน ผมถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางยัดหนังสือลงกระเป๋าเป้ไปเร็วๆแล้วหิ้วขึ้นบ่า
“เอาล่ะ...พอใจเธอรึยัง”
“ทำไมต้องทำหน้าเครียดอย่างนั้นด้วยล่ะหลุน”
ผมก้าวขาเดินผ่านเธอไปโดยไม่เอ่ยคำลา พยายามก้าวขาให้ยาวและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความเหนื่อยล้าที่ไร้ประโยชน์นั้นเป็นเหมือนตุ้มเหล็กที่รัดร่างกายไว้ทั้งเนื้อทั้งตัวทำให้ร่างกายผมดื้อดึง ไม่ยอมปฏิบัติตามดั่งที่ใจสั่งการ
“นี่....จะแซงก็รีบแซง ทำไมต้องมาเดินตามหลังฉันด้วย” ระดับเสียงของผมอยู่ในระดับที่มั่นใจว่าสามารถส่งผ่านไปถึงหูทั้งคู่ของคนที่ต้องการจะสื่อถึง พยายามเค้นเอาทุกความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ข้างในใส่ลงไปเน้นๆทุกพยางค์ แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเหมือนจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
“รู้ได้ไงว่าฉันตั้งใจตามหลังเธอ หลงตัวเองไปรึเปล่า”
สุดทนที่จะต่อปากต่อคำ ผมตัดสินใจปิดปากเงียบสนิท ขมิ้นเคลื่อนตัวมาเดินข้างๆ แม้ไม่ได้หันไปมองแต่ผมก็รู้ได้ว่าเธอกำลังมองหน้าผม
“ทำไมเธอถึงได้เงียบนักล่ะ”
“เพื่อที่เธอจะได้ไม่ได้ทำลายสถิติไง” ผมตอบห้วนๆ
“แล้วทำไมเธอถึงชอบเหม่ออยู่เรื่อย”
“เพราะ.....” ผมตอบค้างอยู่อย่างนั้น แล้วหันไปมองหน้าคู่สนทนาที่น่ารำคาญใจจะขาดโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นเองที่จิตใจของผมรู้สึกเจ็บบาดลึกจนสั่งร่างกายให้หยุดชะงัก ผมเผลอหลุดคำพูดที่เธอไม่มีวันเข้าใจออกมา “อย่า......”
“หา?” ขมิ้นขยับเข้ามาเงี่ยหูฟังคำพูดจากผม ผมรีบยกมือห้ามพลางหันหน้าไปทางอื่น “หลุน เป็นอะไร?”
“อย่าเดินข้างๆฉัน” ผมพูดเสียงดังเกินความจำเป็น “อย่าเดินข้างๆฉัน!”
“หลุน ใจเย็น เป็นอะไรไปเนี่ย”
“อย่าเดินข้างๆฉัน!” ผมยังคงยืนยันประโยคเดิมอย่างปวดร้าว แล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่าง ไม่ได้คิดว่าคนข้างหลังจะรู้สึกอย่างไร ไม่ได้คิดว่าร่างกายกำลังจะไม่ไหว คิดแต่ว่าต้องออกไปจากที่นั่น
ผมยอมให้ผู้หญิงคนอื่นมาเดินอยู่แทนที่เธอไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนหรือเหตุการณ์ใด ข้างกายผม คือที่ว่างที่ขนาดพอเหมาะสำหรับเธอเท่านั้น
ความคิดเห็น