คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฝนแรก
“ผลการทดสอบของเธอยอดเยี่ยมครับ....แต่ก็ไม่ได้เป็นถึงกับอัจฉริยะ การเรียนรู้อยู่ในเกณฑ์ดีมาก หัวไว ฉลาด แต่ก็ไม่ถึงกับว่าอยู่ในขึ้นพิเศษหรอก”
นักวิเคราะห์ที่ฉันจะได้เห็นหน้าเขาเดือนละครั้งกล่าวรายงาน เป็นผู้มอบ “สิทธิทางการศึกษา” ให้กับฉัน โดยมีหลักสูตรตรงตามที่คนอื่นทั่วไปเรียน มีการสอบตัดเกรดแบบมาตรฐาน มีการบ้าน มีตำรา มีครูอาจารย์ผลัดเปลี่ยนตามรายวิชา เหมือนที่โรงเรียนปกติทุกอย่าง เว้นแต่เพียงสิ่งเดียว.....
“เธอสอบทุกวิชาเฉลี่ยได้แปดสิบเก้าคะแนน วิชาที่ได้คะแนนต่ำสุดคือฟิสิกส์....แปดสิบสี่คะแนน ส่วนวิชาที่ได้คะแนนสูงสุดคือภาษาอังกฤษกับคณิตศาสตร์ ได้เก้าสิบแปดคะแนนเท่ากัน”
“ผมไม่อยากฟังเรื่องนั้น ผมไม่อยากรู้ว่าเธอเก่งอ่อนวิชาอะไร แต่ผมอยากรู้ว่าสมองของเธอมีอะไรที่เหนือคำอธิบายของเราไหมต่างหาก! ถ้าคุณไม่มีอะไรรายงานเป็นพิเศษก็กลับไปได้แล้ว.....” พวกเขาท่าทางเครียดเมื่อพบเพียงแต่การรายงานว่าฉันมันก็แค่เด็กผู้หญิงธรรมดา ฉันหัวเราะเยาะอยู่ในใจ พวกเขากำลังจะพาฉันไปพบจิตแพทย์คนใหม่อีกแล้ว จับฉันนั่งรถเข็น มัดมือมัดเท้าราวกับคนบ้าทั้งๆที่พวกเขานั่นแหละสติไม่สมประกอบ.....
“คุณศุภาพิชญ์ คุณคงพอใจกับผลการสอบของคุณมากสินะ” ใครคนหนึ่งในชุดขาวเดินเข้ามาหาฉัน ฉันสบตาที่กำลังเก็บซ่อนอารมณ์โกรธคู่นั้นโดยไม่กลัวเกรง ใบหน้าเหลี่ยมคมสันดุดันกำลังกัดฟันกรอด พวกเขามักชอบคิดเสมอว่าฉันไม่ได้แสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงของตัวเองให้เขารู้
“ใช่..... มันดีขึ้นนี่ ฟิสิกส์ล่าสุดฉันเพิ่งได้แค่แปดสิบเอ็ดเอง”
“คุณหลอกเราไปไม่ได้ตลอดหรอกนะ....สักวัน ความลับของคุณ เราจะงัดแงะออกมาจนได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม”
เขาโยนแผ่นกระดาษผลสอบใส่ตัวฉัน มันกระแทกอกแล้วลงไปกองอยู่บนตัก สายฝนเทลงมาเสียงดังสนั่นพร้อมเสียงฟ้าร้อง รถเข็นกระชากตัวออกแรงๆอย่างตั้งใจ เขาก้าวอาดๆไปที่จุดหมายอย่างเร่งรีบ แผ่นกระดาษบนตักปลิวออกไปโดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้ มันกระแทกลงพื้นก่อนจะถูกเหยียบซ้ำด้วยรองเท้าสีดำวาวของคนเข็นหน้าตาน่าขยะแขยงคนเดิม ฉันพ่นลมหายใจอย่างคับแค้นใจในสภาพที่เหมือนตุ๊กตาคอตกไร้ชีวิต
“อ้าว.... นั่นคุณผู้ช่วยของศาสตราจารย์คมชาญนี่นา คุณมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ฉันได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งร้องทัก ฉันรู้ว่าเขากำลังพูดคุยกับคนเข็นรถเพราะการหยุดเคลื่อนที่ของตัวเอง เสียงใหญ่และแก่กว่าเสียงห้าวๆเมื่อครู่ดังออกมาจากด้านหลัง เพียงแค่ได้ยินเสียงเขาฉันก็รู้สึกคลื่นไส้ไม่ว่าคำพูดนั้นจะสุภาพเพียงใดก็ตาม
“อ้อ... คุณสุธินันท์ สวัสดีครับ”
“อากาศแย่แบบนี้เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีรึเปล่า”
“ก็ดี....ขอบคุณ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ผมมีงานต้องทำ” ล้อรถเริ่มหมุนต่อ ฉันยังไม่เงยหน้าขึ้นไปมองทาง ไม่คิดจะมองว่าเขากำลังพาฉันไปที่ไหน แค่ได้ยินคำว่าจิตแพทย์ก็ทำให้ฉันเหน็บหนาวยิ่งกว่าสายฝน ฉันไม่ชอบความมืดสลัวหรือความกดดันของคำถามที่เขาเอาแต่ยัดใส่สมองฉันเลย
“เดี๋ยวครับๆ! ศาสตราจารย์คมชาญกำลังเรียกคุณอยู่ คุณเอ่อ.... คุณภูมิรวี”
“ภูมิรพี!”
“อ้อๆ คุณภูมิรพี..... ใช่แล้วๆ ศาสตราจารย์รอคุณอยู่ที่ห้องตรวจสามน่ะครับ ท่าทางรีบมากด้วย”
“โอเคงั้นผมจะรีบไปทันทีหลังจาก.....”
“ไม่ๆๆๆ ไม่ครับ ศาสตราจารย์ต้องการพบคุณเดี่ยวนี้! คุณก็รู้ว่าท่านใจร้อนมากแค่ไหน มีอะไรที่สำคัญไปกว่าไปพบท่านอีกงั้นหรือครับ”
“ผมต้องพาเด็กคนนี้ไปที่ห้องตรวจพิเศษที่เจ็ด” เสียงของเขาเริ่มไม่ปกปิดความรำคาญ ไอ้ลุงอวดเก่งขี้ประจบเอ้ย! รีบไปให้พ้นๆหลังฉันซะทีเถอะน่า ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ก็ได้ ฉันขยับไปไหนได้ซะที่ไหน เผื่อการตากฝนที่สาดเข้ามาจะได้ทำให้ฉันปอดบวมหรือหนาวตายไปซะตรงนี้เลยยิ่งดี
“งั้นผมจะช่วยคุณเองครับ......”
“ไม่ๆ ผมจะ....”
“ไม่ครับๆ ศาสตราจารย์คมชาญต้องเอาผมตายถ้าตามคุณไปไม่ได้ เอ้ะ...หรือผมต้องไปแจ้งท่านดีว่าคุณเห็นอะไรที่สำคัญกว่าท่าน”
“เด็กคนนี้สำคัญมากสำหรับประเทศชาติ”
“กะอีแค่พาเขาไปส่งที่ห้องตรวจแค่นี้น่ะหรอ ขอโทษนะครับ..... แค่นี้ภารโรงก็ทำได้!”
ฉันตัวสั่นเพราะกลั้นหัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าเขาขณะนี้ โดนเข้าให้แล้วเป็นไง! คิดว่าการได้เข็นฉันไปไหนมาไหนทุกวันนี่เป็นภารกิจที่สูงส่งมากนักรึลุง ไสหัวไปได้แล้ว
“โอเค....งั้นก็ได้ อย่าลืมนะว่าห้องอยู่ชั้นแปดอาคาร...”
“ครับๆๆ ผมทำงานที่แผนกนั้นนะครับคุณ รีบไปได้แล้วครับ”
ร่างในชุดขาวนั้นรีบวิ่งไปอย่างหงุดหงิด รถเข็นเคลื่อนที่ไปอีกครั้ง ผืนกระเบื้องเย็นๆส่งเสียงครืดคราดเบาๆกับล้อเหล็ก ไม่ว่าคนเข็นคนนี้จะเป็นใครก็ตาม เขาเข็นได้นุ่มนวลกว่าตาลุงนั่นตั้งเยอะ และท่าทางจะฉลาดกว่าเป็นไหนๆ
“พวกเขาบอกฉันว่าเธอมีความสามารถบังคับเวลาได้อย่างใจนึก.....” ฉันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาเพราะเสียงกระซิบข้างหูอันแผ่วเบานั้น สายตามองไปข้างหน้าอีกครั้ง ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ทำให้ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ไหน คนทางด้านหลังผงะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงค่อยอย่างสนอกสนใจ “นั่นเรื่องจริงหรือ?”
ฉันไม่ตอบและไม่หันไปมอง แต่เขายังไม่หยุดพูด ซ้ำยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีก “นี่เธอพูดได้รึเปล่า?”
“.....ฉันนึกว่าเธอมีหน้าที่แค่พาฉันไปห้องตรวจ ไม่ใช่มาตรวจฉันเองซะอีก” ฉันพูดเสียงกร้าว ชำเลืองมองไปที่เขาเล็กน้อย เขาไม่ได้สวมชุดขาวแบบตาลุงนั่นหรือใครๆที่เอาแต่ยุ่มย่ามชีวิตฉันมาเกือบทั้งชีวิต ก็แค่เสื้อคอปกสีขาวลายสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ข้อมือซ้ายใส่นาฬิกาดิจิตอลเก่าๆเรือนหนึ่ง จากคำพูดที่ได้ยิน....เขากำลังแสดงตัวว่าเขาอายุเท่าๆกับฉัน
“ห้องตรวจ ให้ตายเหอะ! นี่เธอไม่ได้คิดใช่มั้ยว่าฉันไล่ตาลุงงี่เง่านั่นไปเพราะจะพาเธอไปห้องตรวจน่ะ!” เขาหัวเราะ แต่นั่นทำให้ฉันขำไม่ออก จึงรีบหันไปมองเขาเต็มๆตาด้วยความรู้สึกตกใจ ใบหน้าของเขากำลังฉีกยิ้มกว้างอย่างสนุกสนานรอคอยอยู่แล้ว แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ฉันไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี ดีใจ...ประหลาดใจ....หรืองงงัน และแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
“เธอกำลังล้อฉันเล่นหรืออะไรกันแน่”
“ฉันก็นึกว่าเธอจะมองออกซะอีก ตาลุงภูมิอะไรนั่นน่ะหรอจะถูกเรียกตัว เขาน่ะซื่อบื้อยิ่งกว่ายามซะอีก ไม่รู้ว่าไต่ขึ้นมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ระดับปลายแถวได้ไง”
“ถ้าเธอไม่ได้จะพาฉันเข้าห้องตรวจ แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหน?”
“ไปที่ที่สนุกๆกว่าห้องตรวจละกันน่า” เขาขยิบตา ก่อนที่ฉันจะปริปากอะไรอีกเขาก็รีบชิงพูดตัดหน้าในทันที “อย่าร้องเอะอะไปนะ....เดี๋ยวพวกเขาจะรู้ตัวกันหมด!”
ทันใดนั้นเอง รถเข็นก็กระชากตัวออกสุดแรง สายลมเข้าปะทะหน้าจนเย็นวาบ ฉันร้องไม่ออก หรือไม่ก็เพราะคำพูดของเขา ความเร็วที่ฉันไม่เคยได้สัมผัสกำลังไหลผ่านตัวฉันไป ริมฝีปากของฉันกำลังส่งเสียงอะไรบางอย่าง แต่มันไม่ใช่เสียงร้อง มันเป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน จนนึกว่าจะลืมวิธีส่งเสียงนั้นไปนานแล้ว ใช่....ฉันคิดว่ามันคือเสียงหัวเราะ และฉันได้ยินเสียงแบบเดียวกันมาจากด้านหลังเช่นกัน
“เร็วอีกหน่อยไหวมั้ย!?”
“เอาเลยสิ!” ฉันตอบโดยไม่ต้องคิด เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก ฉันไม่สนใจว่าฉันอยู่ที่ไหน ทุกสิ่งไหลผ่านไปเรื่อยๆเหมือนสายน้ำ และฉันไม่ต้องการให้มันไหลกลับ ฝนที่เทลงมาทำไมถึงได้เงียบเสียงลง เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องนั้นหายไปไหน ทำไมฉันจึงได้ยินแต่เสียงหัวเราะ ของฉัน ของเขา.....
ความคิดเห็น