คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : วันที่สองร้อย
“อีกไม่กี่เดือนเราก็เป็นนักเรียนม.ปลายกันแล้วนะ”
เสียงคุ้นหูดังมาจากข้างๆตัว ผมส่งเสียงอือๆออๆพลางยัดเอาแท่งก้อนน้ำแข็งหวานเย็นเข้าปากไปทั้งคำ ในขณะที่เจ้าของเสียงพูดเอาแต่ละเลียดเลียของหวานอย่างใจเย็นราวกับว่ามันจะไม่มีวันละลาย
“จะได้ไว้ผมยาวแล้ว ดีใจจังเลย!”
“เธอได้ไว้ผมยาว ฉันต้องเกรียนเรียนร.ด.”
ผมรูดเอาแผ่นไม้บางๆออกจากปาก รสชาติของช็อคโกแลตยังหวานอยู่ทั่วลิ้น พลิกไปพลิกมาเพื่อหาคำว่า ฟรีหนึ่งแท่ง แต่เมื่อมันไม่มี ผมจึงได้แต่ตัดใจโยนมันลงขยะ
“กินไม่คุ้มเลย” เธอพูดแบบนี้ทุกครั้งที่เห็นท่าทางในการกินขนมที่รวดเร็วเหนือมนุษย์ธรรมดาของผม
“กินหมดเร็วกับละลายหมด อันไหนไม่คุ้มกว่ากันล่ะ”
เด็กที่เพิ่งได้รับคำว่านางสาวมาประดับหน้าชื่อมาหมาดๆแลบลิ้นใส่ แต่ก็ไม่ได้ไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อ ตรงกันข้าม เสียงอันร่าเริงของเธอกลับเปลี่ยนเรื่องคุยต่ออย่างคล่องปาก
“เราอาจจะได้อยู่ห้องเดียวกันก็ได้นะ”
“ให้อยู่กับเธออีกสามปีเต็มน่ะหรอ ไม่ไหวมั้ง” ผมแกล้งทำหน้าเหยเกแสดงอาการสยองเสียเต็มประดา ปฏิกิริยาของเธอก็คือ การเตะเข้าที่ข้อเท้าเบาๆหนึ่งทีแสดงอาการฉุน ‘หลอกๆ’
“พูดดีๆอีกทีซิ!”
“เปล่านี่ .อะไรหรอ?”
ผมหัวเราะกวนประสาท เพื่อนสนิทเพศตรงข้ามของผมเองก็หัวเราะในลำคอ ไอติมแท่งที่ยังเหลือเริ่มหยดแหมะๆ ก่อนที่ผมจะทักท้วงเรื่องนี้ เธอก็เอ่ยในสิ่งที่ผมไม่มีวันลืม
“ถ้าวันไหนฉันหายไป เธอจะรู้สึก.....”
.........................................................
เป็นวันที่สองร้อยพอดีนับตั้งแต่เธอจากไป.....
ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องของนักเรียนชั้นม.ปลาย รายล้อมด้วยเพื่อนเก่าเพื่อนใหม่รวมกว่าสี่สิบชีวิต แต่นับตั้งแต่ชีวิตในเครื่องแบบที่มีเข็มประดับอกเริ่มต้น ก็ไม่เคยมีเลยสักวันที่ผมจะรู้สึกว่าเวลาไหลผ่านไปในอัตราเร็วเท่าเดิม
ผมเลิกที่จะนับวัน เดือน หรือปี สิ่งเดียวที่ผมมองในปฏิทิน มีแค่กากบาทสีแดงที่ขีดฆ่าตัวเลขหลักหรือสองหลักบนนั้นเท่านั้น เพื่อที่จะได้รับรู้ว่าผมอยู่เพียงลำพังมานานเท่าไรแล้ว
ราวกับน้ำตาไม่เคยเหือดแห้งไป หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ต้องการให้มันแห้งเหือด ภาพจินตนาการถึงเธอที่ไว้ผมยาวจะเป็นอย่างไร ผมพยายามย้อนนึกไปถึงเธอในวัยประถมที่ผมยาวจนถึงกลางหลัง ผสมกับใบหน้าที่ราวกับเพิ่งพบกันเมื่อวันวานเข้าด้วยกัน เธออยากใส่โบสีขาว เธออยากตัดหน้าม้า เธออยากลองเรียนฟิสิกส์ เธออยากเจอเพื่อนใหม่ เธออยากเรียนกับอาจารย์อนันตศักดิ์ เธออยากลองเป็นดรัมเมเยอร์ เธออยากอยู่สีแดง เธอ....เธอ.....
ถ้าวันไหนฉันหายไป เธอจะรู้สึก.....
เธอพูดไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว ผมนึก รูปถ่ายแผ่นบางๆในมือที่มีใบหน้าของคนที่ผมเฝ้าคิดถึงชั่ววันชั่วคืนเล็กนิดเดียว ผมไม่มีรูปของเธอแบบเดี่ยวหรือคู่ มีก็แค่รูปที่เคยไปถ่ายด้วยเกือบทั้งห้องวันสอบเสร็จเมื่อสองปีก่อนโน้นเท่านั้น ผมพยายามสบตาที่แบนราบ โหยหาคำว่า ‘ชีวิต’ อยู่ในนั้น
“เฮ้!”
ผมสะดุ้งจนเกือบทำรูปถ่ายหลุดออกจากมือ ผมรีบเก็บมันลงกระเป๋าอย่างร้อนรนก่อนที่จะสบตากับเจ้าของเสียงเรียกพร้อมกับหัวใจที่เริ่มค่อยๆกลับมาทำงานเป็นปกติ
“ขวัญอ่อนจริงๆ จะส่งไม่ส่ง สมุดเลขน่ะ” มือขาวๆแบออกแทนคำขอสมุดสีน้ำเงินตรงหน้า ผมสบตากับเพื่อนใหม่ เพื่อนที่ต้องมานั่งอยู่ข้างๆผมด้วยดวงชะตาการเสี่ยงโชค ซึ่งนี่เป็นการพูดคุยครั้งแรกระหว่างผมกับเธอ(หากไม่นับคำหยิบยืมสิ่งของจากเธอที่มักจะลืมโน่นลืมนี่อยู่ได้ทุกวัน)
“มีอะไรรึเปล่า....?”
“เปล่าๆ ขอบใจนะ” ผมยื่นสมุดให้พร้อมกับคำพูดสั้นๆ เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อ ขมิ้น ผมไม่ได้รู้จักเธอมากไปกว่าที่เธอรู้จักผม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเคยอยู่ที่ไหน เคยอยู่ห้องอะไร ไม่แม้แต่คิดจะถามเรื่องเหล่านี้กับเธอ ไม่สิ กับใครเลยด้วยซ้ำ
“หลุนนี่พูดน้อยเนอะ....” เธอนั่งลงหลังจากส่งสมุดเรียบร้อย ผมไม่โต้ตอบอะไร เธอพูดถูก ผมพูดน้อย....น้อยจนแทบจะลืมเสียงตัวเอง เสียงที่เคยกรีดดังเสียราวกับจะสามารถแหวกทุกสิ่งแม้กระทั่งสายฟ้า ในตอนนี้มันหายไปอยู่ไหน? ผมไม่รู้และไร้แรงที่จะตามหา มันยากเกินไป.....และไร้ประโยชน์
“นี่ เย็นนี้ไปตีเทนนิสกันไหม? เลิกแค่บ่ายสองห้าสิบเอง หลุนตีเก่งไม่ใช่หรอ พวกเฟิร์นกับมิ่งก็จะไป”
เป็นคำชวนที่เกือบจะลอยทะลุสติผมไป ผมนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงบอกปัดๆไปว่าไว้คิดดูก่อน เหมือนทุกครั้งที่มีคนชวน ซึ่งทุกคนทั้งห้องก็คงจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าการคิดดูก่อนของผม 99.99999%นั้นหมายความว่า ‘ไม่’ ซึ่งแทนที่จะปล่อยให้บทสนทนานั้นจบๆไปเหมือนที่คนปกติเขาทำกัน ขมิ้นกลับหัวเราะแห้งๆขึ้นมา
“มีอะไรให้คิดเยอะจริงนะ เดี๋ยวก็ได้ใจแตกก่อนเอนท์หรอก”
“มันเกี่ยวอะไรกับใจแตก” ผมกลืนคำลงท้ายที่เกือบหลุดออกมาแทบไม่ทัน
“ก็....ไม่รู้สิ คิดมาก คิดโน่นคิดนี่ เดี๋ยวก็บ้ากันพอดี มีอะไรให้คิดนักหนาล่ะหา ไหนว่ามาเป็นข้อๆสิ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ”
“คิดซะว่ามันเป็นสอบปากเปล่าก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย”
สิ้นประโยค ขมิ้นเลิกคิ้วขึ้นพลางตบมือถี่ยิบ ดวงตาส่อแววกวนประสาทจนผมรู้สึกเหนื่อยหน่าย จนไม่อาจสะกดความในใจเอาไว้อีกต่อไปได้ “เธอเป็นอะไรมากไหมเนี่ย”
“อ้าว ไม่รู้หรอนี่เป็นทำลายสถิติครั้งสำคัญเชียวนะ”
“สถิติ...?”
ว่ายังไม่ทันจะขาดคำ เพื่อนใหม่ก็ลุกพรวดยืนขึ้น เอามือป้องปากเล็กน้อยพร้อมกับประกาศเสียงดังให้ทุกคนในห้องรู้ทั่วกันด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ “วุธ ฉันชนะเธอแล้วนะ! หลุนพูดได้เกินสามประโยคแล้ว!”
แทนที่ทุกคนในห้องจะทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายไปกับความไร้สาระเหมือนผม ทุกคนกลับส่งเสียงไชโยโห่ร้องกันจนออกนอกหน้า โดยเฉพาะวุธ ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าได้ปริปากไปคุยกับมันตอนไหน กำลังทำท่าเจ็บใจสุดชีวิต นี่ผมกลายเป็น(ตัว)อะไรในห้องนี้กันเนี่ย.....
“แสดงความยินดีกับฉันหน่อยสิ” ขมิ้นหัวเราะหลังจากทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตามเดิม
“เก่งมาก”
“นี่ๆๆ เอาให้มันจริงใจกว่านี้หน่อยสิ กว่าจะหลอกล่อเธอให้ลั่นวาจาออกมานี่มันไม่ใช่ง่ายๆนะ”
“หรอ” เสียงที่แข็งเป็นท่อนไม้ยังราบเรียบ ห้วน ไร้ไมตรีจิต ทำให้เธอถอนหายใจยาว เธอจึงทำท่าอ้าปากจะพูดอะไรอีก แต่ก็เปลี่ยนใจ แล้วหยิบเอาการบ้านวิชาอื่นขึ้นมาทำเงียบๆตามใจที่ผมต้องการแทน
ช่างน่าขำอะไรอย่างนี้ ถ้าเธอรู้เธอคงจะขำเหมือนกัน ความจริงที่ว่าเมื่อไร้สิ่งใดรบกวน จิตใจก็ไม่อาจหยุดนิ่งไม่ให้คิดถึงเธอได้แม้แต่วินาทีเดียว ถ้าฉันพูดคำโอเวอร์ๆที่เธอชอบอย่างนั้นแล้วเธอได้ยินมัน เธอจะกลับหัวเราะให้ฉันฟังไหม?
นิ้ม....... ตอนนี้เธออยู่ไหน?
ม้าหินตัวเดิม ไอติมแท่งรสเดิม แต่ความรู้สึก....ไม่มีวันเหมือนเดิม
“หลุน พรุ่งนี้มาตีแบดอีกนะ” นิ้มพูดขึ้นขณะลิ้มรสไอติมแท่งสีสดใสในมือ ใบหน้าของเธอจะแดงและเปื้อนรอยเหงื่อ ริมฝีปากบางนั้นก็เหยียดยิ้มกว้างรับกับน้ำเสียงอันร่าเริงสดใส
“อืม เอาสิ....”
“วันนี้กินรสนี้อีกละ ไม่เบื่อบ้างหรอช็อคโกแลตเนี่ย”
“แล้วเธอไม่เบื่อถามรึไง”
“จ้าๆๆ โอเคจ้า”
ผมจะหัวเราะ พลางใช้ไม้แบดเบาหวิวเคาะไปที่เส้นผมดำขลับเบาๆที่อยู่ตรงนั้น เธอจะใช้มือลูบจุดที่โดนเคาะซ้ำไปซ้ำมาอยู่พักหนึ่งด้วยสีหน้าบึ้งๆ บางครั้งอาจจะแลบลิ้นออกมาด้วย หรือบางครั้งก็จะพยายามใช้กำปั้นของตัวเองเอาคืนอย่างสาสม แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน ผมจะจบบทด้วยรอยยิ้ม ส่วนเธอก็จะจบบทลงด้วยเสียงหัวเราะ
กลับกันเถอะ.....คือคำสุดท้าย เมื่อเราทั้งคู่ถือแผ่นไม้เรียบมนที่ว่างเปล่า
“กลับกันเถอะ.....” ผมพึมพำ สายตาจับจ้องก้อนน้ำแข็งสีชมพูหวานที่ค่อยๆเปลี่ยนสภาพเป็นหยดน้ำ ผิวที่ดูเย็นฉ่ำกำลังหลอมละลายไร้กำลัง นี่มันกี่หยดเข้าไปแล้ว? น้ำแข็งรสหวานอมเปรี้ยวอันอ่อนล้ากำลังตะเกียกตะกายเกาะเกี่ยวไม้สีอ่อนสุดชีวิตอย่างสิ้นหวัง ในตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟายแทบขาดใจ.......ไม่รู้ว่ามาจากไหน จากเจ้าน้ำแข็งใกล้ตาย หรือจากหัวใจของผม
ผมไม่อาจทำใจหันสายตาไปมองม้าหินข้างๆที่ตอนนี้ ว่างเปล่า ...... ไม่แม้แต่จะสัมผัสโดน แต่ผมกลับไม่อาจจะตัดใจให้ไม่หวนมานั่งที่ตรงนี้เช่นกัน ผมเชื่อว่าไออุ่นของชีวิตอันบางเบาของเธออาจจะยังอยู่ที่นี่ เชื่อว่าที่นี่จะทำให้ผมรู้สึกจริงๆว่าเธอกลับมาแล้ว
“หลุน!”
เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ๆก็โผล่พรวดเข้ามาขวางมุมมองของสายตา ความกะทันหันนั้นราวกับว่าเธอปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ ผมผงะถอยเพราะความตกใจเสียจนความคิดหลายล้านอณูหลุดกระเจิงหายไปกับสายลม
“ขมิ้น....ตกใจหมด”
“ดูหน้าก็รู้แล้ว พ่อคนขวัญอ่อน” ขมิ้นยิ้มที่มุมปาก ในมือถือไม้เทนนิสเอ็นสีเหลืองสะท้อนแสง กระตุ้นความจำจุดบางๆบางอย่างให้ออกมาก ....คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าเคยได้ยินถึงเสียงชวน ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อวานมั้ง หรือวันนี้ หรือตอนพัก หรือตอนเช้า แล้วใครเป็นใครนะ? ไม่รู้.......
“ว่างนี่ ไปเล่นด้วยกันเหอะ มิ่งรออยู่ ได้คอร์ดแล้วด้วยนะ!”
“มิ่ง.....?”
“ไม่ต้องถามมากแล้ว ไปเหอะ! เธอสอบคู่มิ่งนี่ เธอไม่ซ้อมไปทำเขาสอบตกล่ะจะโดนดีเอานา”
“ขมิ้น ไม่ต้องไปคะยั้นคะยอไอ้หลุนมันหรอก”
มิ่งเดินเข้ามา ถือไม้เทนนิสของตัวเองพาดไหล่ มือซ้ายถือลูกกลมสีเขียวเหมาะมือ ผมสั้นเกรียนทรงเดียวกันกับผม ความสูงเองโย่งไม่หนีกัน ใบหน้าโค้งคมคล้ำแดด เขาเรียนร่วมห้องกับผมสมัยม.ต้น แน่นอนว่าเขาย่อมรู้เรื่องทุกอย่างดี ไม่เหมือนขมิ้น
“ไม่เอาน่า หลุนเอาแต่นั่งเงียบนั่งเหม่อ มาออกกำลังซะบ้างสิ ฟิตหน่อยๆ”
ผมไม่โต้ตอบ เพียงแต่สบตากับเพื่อนเก่าสลับกับเพื่อนใหม่ แววตาที่ไร้ชีวิตของผมคงทำให้พวกเขาเข้าใจว่าผมอยากอยู่เพียงลำพัง
“ขมิ้น....ไปเถอะ”
“หลุน....”
“อย่าไปรบกวนมันเลย เข้าใจมันเหอะ มันก็เป็นงี้มาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว”
ขมิ้นยังดูมีท่าทางไม่ยอมแพ้ แต่มิ่งส่ายหน้าแล้วพยายามดันไหล่ของเธอให้เดินต่อด้วยแรงที่กึ่งเบากึ่งแรง สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยพอใจนัก สายตายังไม่ยอมละไปจากผม แต่เธอก็ไม่เปล่งเสียงใดๆออกมาอีกเลย ผมก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตา มองกองศพของน้ำแข็งก้อนสีชมพู มองเงารางๆของตัวเองที่กำลังตอกย้ำว่าผมไม่เหลือใคร
เจ้าไม้แผ่นบางก็หล่นออกจากมือ สัมผัสกับน้ำใสรสหวานที่เคยอยู่ด้วยกัน มันคงตั้งใจโผลงไปเพราะความถวิลหา เพื่อที่จะได้กอดร่างน้ำแข็งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แม้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไปแล้วก็ตาม.... ดูสินิ้ม ในตอนนี้ฉันอิจฉาได้แม้ไม้ไอติม มันสามารถกลับไปหาคนที่มันรักได้ แต่ฉันสิ.....ฉันจะกลับไปหาเธอได้ยังไง?
สายตาเลื่อนไปมองแผ่นหลังของเพื่อนชายหญิงที่ได้พานพบเมื่อสักครู่ แล้วหลับตา..... ขอบคุณมากนะ ไอ้มิ่ง
ความคิดเห็น