คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กรงขัง
ประตูถูกเปิดออก ร่างของชายชุดขาวหลายคนเดินตรงเข้ามา ฉันมองพวกเขาอย่างเฉยชา ถึงเวลาที่ฉันจะได้ออกไปเสียที อย่างน้อยก็สักสิบนาทีเพื่อไปทำอะไรๆที่พวกเขาต้องการแล้วค่อยกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในห้องปิดตายอีกครั้ง กับหนังสือ เปียโน ตุ๊กตา และความเงียบเหงา
วันนี้ฉันถูกสูบเลือดออกไปอีกแล้ว.... พวกเขาต้องการวิเคราะห์สิ่งที่เรียกว่าดีเอ็นเอหรือรหัสพันธุกรรมของฉันอยู่เป็นรอบที่สิบ จนข้อพับของฉันใกล้จะมีรูพรุนเป็นฝักบัวแล้วกระมัง หลังจากที่เขาพยายามศึกษาสมองของฉันอยู่นานเกือบสิบปี พวกเขาก็เปลี่ยนแผนการใหม่
ฉันไม่เจ็บเวลาถูกเข็มเจาะอีกแล้ว
ไม่มีใครพูดกับฉันสักคน บุคคลที่เรียกว่าหมอกับนักวิทยาศาสตร์รายล้อมฉันเต็มไปหมด เขาพูดภาษาวิชาการมากมายที่ฉันไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร มันก็แค่การพูดซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งชีวิตนี้ฉันคงไม่มีวันได้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
ฉันเคยเฝ้ามองไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้าและเมฆขาว เฝ้าคิดแต่อิสรภาพและโลกกว้างเบื้องหลังกำแพงนี้จะสามารถมอบให้ มองตะวันค่อยๆโผล่ขึ้นมาตอนเช้า แล้วค่อยๆย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีแดงในตอนเย็น เวลาก็ค่อยๆผ่านไปโดยที่ไม่มีอะไรที่สานต่อความหวังโง่ๆนั้นของฉัน ความฝันที่จะได้สัมผัสแสงแดด สายลมหรือสายฝนเริ่มหายไปจากหัวใจอย่างช้าๆ ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะนำอิสรภาพไปเพื่ออะไร....
แล้วฉันก็ถูกพากลับห้องไปเงียบๆอย่างนั้น
“ออก....ไป” ฉันพึมพำใส่เด็กผู้หญิงแปลกหน้ารุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ไม่รู้ว่าเธอเป็นคนที่เท่าไรที่เดินเข้ามาด้วยเหตุผลเดิมๆของวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา พวกหมอที่ว่าฉลาดๆนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ พวกเขายังไม่รู้อีกหรือว่าวิธีนี้มันไม่ได้ผล..... น้ำเสียงทักทายเดิมๆหวานลื่นหูนั้นทำให้ฉันอยากเกิดมาหูหนวก เธอถามชื่อฉันทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว เธอถามถึงงานอดิเรกของฉัน เธอถามวันเกิดของฉัน เธอถามความฝันของฉัน เธอถามสีที่ฉันชอบ ถามถึงสัตว์ที่ฉันชอบ ถามว่าทำไมฉันจึงเงียบ เธอบอกว่าเธอเข้าใจฉัน เธอบอกให้ฉันเปิดใจ เธอบอกให้ฉันยอมรับเธอ เธอบอกว่าเธอรู้ว่าฉันเหงา
แต่สิ่งเดียวที่ฉันอยากตะโกนใส่เธอคือ “ออกไปให้พ้น!”
ฉันกรีดเสียงร้อง คว้าทุกอย่างที่อยู่รอบตัวปาใส่เธอไม่ยั้ง ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้มีกล้องวงจรปิดกี่ตัวทำไมฉันจะไม่รู้ ฉันแผดเสียงซ้ำๆไล่เธอให้ออกไป อาละวาดจนเธอหวาดกลัว เห็นรึยังไอ้พวกคนบ้าวิทยาศาสตร์! เลิกใช้ความเหงาของฉันเป็นเครื่องมือสักที! พวกแกจับฉันขังตั้งแต่หกขวบ....แกไม่ได้อยากให้ฉันออกไปเจอใคร แล้วคราวนี้แกพาใครที่ไหนมาให้ฉันทำไมล่ะ พอการทดลองเกี่ยวกับฉันไม่คืบหน้าแกก็เริ่มใช้สิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพเข้ามาหลอกล่อฉันอีก แผนนี้โง่เสียฉันอยากจะหัวเราะให้หายบ้า พวกแกจำไว้ใส่กะโหลกไว้เลยว่าฉันไม่ได้ต้องการใคร ฉันอยากอยู่คนเดียว!! ออกไป! ออกไป! ต่อไปนี้....ใครที่ไหนมันเข้าใกล้ฉัน ฉันจะฆ่ามันให้หมด ไปให้พ้น!!!!
เสียงของเธอตอนนี้ดังกว่าฉันแล้ว ฉันทุบตีเธออย่างคลุ้มคลั่งแม้ฉันมีสติดีอยู่ ฉันแผดเสียงซ้ำๆจนเสียงแปร่ง มือจิกผมสีดำของเธอขึ้นมา ฉันไม่มีความรู้สึกผิด ไม่เลย..... พวกเขาส่งเครื่องมืออย่างเธอมาเยอะแยะหลายสิบคน แต่ตอนนี้แหละฉันจะใช้เครื่องมือของพวกแกเป็นตัวบอกแกบ้าง แกเห็นนี่....ผ่านทางเลนส์กล้องแปดตัวทุกมุมห้องนี้ไง เห็นรึยังว่ามันไม่ได้ผล.....อย่าส่งใครมาอีก! เข้าใจรึยัง!
“ได้ค่าจ้างมาเท่าไรเล่า! พันนึง สองพันหรือสามพัน” ฉันพูดใส่หน้าผู้หญิงคนนั้น มือจิกหน้าของเธอขึ้นมา เพื่อบังคับให้สบตา น้ำตาอาบหน้าอย่างน่าสมเพช เธอพยายามขยับปากที่ดีแต่สั่นหงึกๆเป็นคำแต่ฉันไม่สนใจที่จะฟัง “อย่ามาโกหก เธอไม่ใช่คนแรกที่มาที่นี่ ฉันเจอมาเยอะแล้ว..... คนที่โตกว่านี้ก็มาแล้ว ทั้งผู้หญิงผู้ชาย จิตแพทย์ พี่เลี้ยงเด็ก ผู้เชี่ยวชาญสาขาบ้าบออะไรไม่รู้ ว่าไงเล่า....ออกไปรับเงินสิ เฮ้ย! พวกแกดูอยู่ใช่มั้ย!? พาผู้หญิงคนนี้ออกไปได้แล้ว แกเห็นแล้วนี่ ฉันเล่นเบื่อแล้วนะ แกมีตัวสำรองคนไหนอีกมั้ย!!”
ริมฝีปากสวยๆของเธอเลือดซิบ ฉันผลักเธอจนร่างร่างนั้นเซถลา ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮ บรรดาคนชุดขาวเข้าไปปลอบโยนและขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ฉันทิ้งตัวลงนอนแผ่ลงบนพื้น
แล้วเมื่อฉันร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน เคยมีใครสนใจฉันบ้างไหม? ตอนที่ฉันต้องเจ็บปวด มีใครขอโทษฉันบ้างไหม? ฉันเป็นสิ่งไร้ชีวิตหรืออย่างไร? ตอบฉันสิ!
“คุณศุภาพิชญ์ คุณได้ยินไหม” เสียงเสียงหนึ่งลอดออกมาจากไมโครโฟนที่อยู่สูงเกินกว่าฉันจะเอื้อมถึง ไม่เช่นนั้นฉันคงจะเอื้อมไปกระชากขยำมันทิ้งไปนานแล้ว ฉันขานรับห้วนๆ “ได้ยิน”
“นี่คุณทำอะไรน่ะ คุณไม่เข้าใจเลยหรือว่าคุณอาจเป็นตัวแปรสำคัญของมนุษยชาติเชียวนะ!” ประโยคเดิมอีกแล้ว และประโยคต่อมาก็ตามมาอย่างที่ฉันคิด “ความสามารถของคุณนั้นสำคัญมาก ถ้าหากว่าเราสามารถวิเคราะห์จนเข้าใจที่มาที่ไปของมันแล้วล่ะก็ พวกเราทุกคนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
“อะไรนั่นมันก็เป็นหน้าที่ของพวกคุณไม่ใช่รึไง!” ฉันตอบบทสนทนานั้นไปแบบเดิม เหมือนกับบทละครที่เปิดการแสดงเป็นรอบที่ร้อย เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรรอบสุดท้ายที่รอคอยจะมาถึง “และอย่ามาใช้คำว่าพวกเราจะได้ไหม? พวกคุณหรือคนข้างนอกจะเป็นยังไง จะอยู่ดีขึ้นรึเปล่ามันไม่ใช่เรื่องของฉัน....ชีวิตฉันแย่พอจนคิดถึงเรื่องดีๆไม่ออกแล้ว”
“คุณศุภาพิชญ์ เราจะทำยังไงให้คุณร่วมมือกับเรา เราฝากความหวังไว้กับคุณ คนทั้งโลกจะหันกลับมามองเราใหม่หากเราทำสำเร็จ คุณไม่คิดจะทำอะไรเพื่อยกระดับประเทศชาติบ้างหรือ?”
“อะไรคือประเทศชาติ แผ่นดินถิ่นเกิดตัวเองฉันก็ได้เหยียบย่ำอย่างอิสระแค่หกปี ยังจะโลภเอาอะไรจากฉันอีก”
“ได้โปรดเถอะ บอกพวกเราว่าคุณต้องการอะไร ทำอย่างไรให้คุณร่วมมือ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
ฉันตัดบทอย่างรำคาญ ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ฉันอยากตาย! ทำไมพวกเขาต้องเอาแต่ของเปราะบางมาให้ฉันนะ ฉันอยากได้เชือก อยากได้ปืน อยากได้มีด อยากได้ยานอนหลับ ฉันอยากตาย! เข้าใจไหม! ชีวิตฉันที่แกว่ามันมีประโยชน์อะไรนักหนา ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีค่าเกินไปกว่าไอ้หนูทดลองที่แกคอยฉีดเชื้อโรคใส่ให้มันทุกวันๆเพื่อการทดลองของแกหรอก! เพื่อมนุษยชาติ..... อยากให้การหัวเราะมันฆ่าตัวเองได้ซะจริง!
วันต่อมาแล้วก็ตามมาด้วยวันถัดไป ผู้ถูกจ้างด้วยเงินตรารายต่อไปเดินเข้ามา แล้วบทละครในห้องเวิ้งว้างก็วกวนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนกระทั่งวันที่ฝนตกหนักดั่งฟ้ารั่ว วันที่คนคนนั้นเดินเข้ามา.....
ความคิดเห็น