ปักษากับเมฆา
หัวใจ กับสมอง ที่ที่ใดคือที่อยู่อันสมควร ที่ที่อบอุ่นเพียงพอสำหรับสิ่งที่เรียกว่ารัก.....?
ผู้เข้าชมรวม
317
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
สวัสดีค่ะ ไอหมอกละอองแดดค่ะ
เพิ่งมาศึกษาว่าไอ้พื้นที่ตรงนี้มันควรจะใช้ทำอะไรก็วันนี้เองล่ะค่ะ ลงมาซะตั้งหลายเรื่องแล้ว เลยดูเป็นนักเขียนที่ห่างเหินกับคนอ่านน่าดู(มั้ง) ขอบคุณทุกๆคนนะคะที่ติดตามอ่าน ดีใจมากๆเลยที่ได้เห็นตัวเลขการอ่านและความคิดเห็นจากทุกคน จะพยายามต่อไปค่ะ!
เรื่องสั้นเรื่องนี้ หลักๆแล้วเกิดจากคำถามทีว่า:
สมองคือที่ที่ความคิดอาศัย แต่หัวใจคือที่ที่ความรู้สึกดำรงอยู่.... นี่คือภาษาของนิยาย แต่ในหลักการของวิทยาศาสตร์ มันกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ แต่แล้วทำไมนักเขียนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ยังคงพร่ำถึงเพียงหัวใจ ทั้งๆที่พวกเขา พวกเรา ต่างก็รู้ว่าสมองคือผู้บังคับบงการไปทุกอย่าง?
บางที เหตุผลนั้น อาจจะง่ายดาย และอยู่ใกล้ยิ่งกว่าระยะทางจากสมองไปถึงหัวใจก็ได้นะคะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เธอเดินตามเส้นทางพรมแดงไปด้วยท่วงท่าจังหวะอันเรียบนิ่ง สองฝั่งของบันไดประดับประดาด้วยกุหลาบขาว ชมพู และเหลืองอันอ่อนโยน ทุกกลีบดอกสวยสดบอบบางน่าถะนุถนอม เสียงดนตรีบรรเลงขับขานแผ่วๆมาแต่ไกล นี่คงใกล้จะถึงที่หมายแล้ว
แผ่นป้ายสีหวานชมพูปรากฏขึ้นพร้อมกับใบหน้าของคู่รักชายหญิงคู่หนึ่ง ใบหน้านั้นแม้จะถูกตัดแต่งให้ใสกระจ่างงดงามเหนือจริงเพียงใด รอยยิ้มอันชื่นบานทั้งคู่นั้นก็บริสุทธิ์เป็นของจริงไร้การแตะเปลี่ยน หญิงสาวสบกับดวงตาที่เรียบแบนทั้งคู่ ถูกสะกดอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่งก่อนจะย่างก้าวเข้าไปในห้องโถงโอ่อ่าที่ถูกโอบอุ้มด้วยเสียงดนตรีแห่งนั้น
ชื่อสีทองวาวบนป้ายสีหวานส่องประกายวับแวมล้อกับแสงไฟ ชื่อของผู้เชิญชวนให้เธอเข้าร่วมเป็นสักขีพยานส่งยิ้มทักทายมาให้เธออย่างสดใส เธอเดินเข้าไปเซ็นชื่อและบรรจงเขียนคำอวยพร คำอวยพรที่เหมือนๆกับของคนอื่นราวกับเป็นเพียงคำพูดสำเร็จรูป ดูเหมือนจะมีเพียงผู้เขียนเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งได้ว่า มันมีความหมายลึกซึ้งมากมายเพียงไร เมื่อผละจากหนังสือเล่มใหญ่ เธอก็รับของชำร่วยน่ารักๆมาเชยชมมาจากสาวน้อยบนโต๊ะรับแขก
ด้านหลังพวงกุญแจสลักชื่อของเขาไว้อย่างชัดเจน เคียงคู่อยู่กับหญิงสาวผู้เป็นที่รัก
นายเบญจพล สรรพนิมิตรชัย
“ปุย! เฮ้ย...ว่าไง เป็นไงบ้าง” หนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดสูทยกมือทักทาย และคงทำได้เพียงแค่นั้นเพราะดูเหมือนว่าช่วงขาจะต้องถูกตรึงแน่นอยู่เช่นนี้ไปอีกนานทีเดียว รอยยิ้มที่เผยฟันขาวผ่องกระทบกับดวงตาสีเข้มของเธอเข้าอย่างจัง เธอยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปหาเขา เจ้าบ่าวผู้สูงสง่ายิ่งกว่าใครต่อใครในงาน หากไม่นับเจ้าสาวผู้งามเลิศราวเทพธิดาที่กำลังกุมมือเขาไว้แน่น ชุดขาวส่องประกายเฉิดฉายไปพร้อมยิ้มอ่อนหวาน หญิงสาวสวัสดีเธออย่างนอบน้อม แม้จะมีช่อดอกไม้อีกสักกี่ช่อมาห้อมล้อม ก็ยากนักที่จะมาเปรียบเปรยให้เทียบเท่ากับความงามของผู้หญิงคนนี้ได้
“สวัสดีค่ะพี่ปุย”
เธอรู้จักกับเจ้าสาวผู้อ่อนวัยกว่าคนนี้มาตั้งแต่สามปีที่แล้ว นับตั้งแต่วันที่เบญจพลเพื่อนซี้เพื่อนตายวางแผนเข้าไปใกล้ชิดสนิทสนม เธอเองนี่แหละที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างพวกเขาทั้งสอง เธอจึงอดร่วมมีความสุขไปกับคนทั้งคู่ไม่ได้ มีความสุขราวกับว่าเป็นงานของน้องชายที่คลานตามกันมาเลยทีเดียว
หลังจากถ่ายภาพ หญิงสาวก็จำต้องผละจากคู่บ่าวสาว ที่จะต้องอดทนรับแขกอีกมากมายจนเหมือนไม่รู้จบ แสงแฟล็ชอีกหลายวาบกับรอยยิ้มที่ต้องฉีกตลอดเวลา ทั้งคู่คงเริ่มอ่อนล้าเต็มทีแล้ว แต่เธอผู้เป็นแขกก็คงไม่สามารถช่วยไอ้เพื่อนตายผู้มีความสุขได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคืนพิเศษๆแบบนี้
งานแต่งงานนี้เป็นแบบค็อกเทล เธอเดินไปเอื่อยๆทั่วงาน น่าแปลกที่อาหารปริมาณเท่าคำหนึ่งคำได้เข้าปากไปเพียงสองคำครั้งนั้น แต่กลับทำให้รู้สึกว่าท้องแน่นเสียเต็มประดา เธอหยิบแก้วเครื่องดื่มโดยไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าเป็นน้ำอะไรจากเด็กเสิร์ฟ จิบๆนิดหน่อยจึงได้รู้ว่ามันเป็นน้ำอัดลมสีดำ
ไม่แปลกหรอกที่แม้จะเดินทั้งงานแล้วจะไม่พบใครที่คุ้นหน้าคุ้นตา แพทย์สาวอย่างเธอจะไปคลุกคลีอะไรกับสถาปนิก อาชีพของเจ้าบ่าว หรือสนิทสนมกับคณะนักบัญชี อาชีพของเจ้าสาว ดูเหมือนจะมีเพียงเธอคนเดียวที่เดินเรื่อยๆอย่างสงบเสงี่ยมในบรรยากาศอันเริงรื่น
เธอเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของเจ้าบ่าวที่บังเอิญบ้านอยู่ใกล้กัน จึงไม่ขาดการติดต่อเท่าไร แต่การหวังที่จะได้เจอเพื่อนร่วมชั้นตอนม.ปลายในที่แห่งนี้คงจะริบหรี่ยิ่งกว่าแสงเทียนเสียกระมัง
นายเบญนะนายเบญ ใจร้ายเชิญฉันมานั่งแกร่วหรือไงนะ.... หญิงสาวถอนใจเบาๆขณะยืนจิบเครื่องดื่มเย็นๆที่มุมห้อง มองชาวสถาปนิกทั้งหลายหัวเราะกันตัวงอ หันไปมองอาหารที่วางเรียงรายสวยงาม มองเท่าไรก็ยังไม่นึกหิวเลยแม้แต่นิดเดียว
“ปุย.... โทษที ปลีกตัวมาได้แล้ว!” เบญจพลเดินก้าวยาวเข้ามาหาเธออย่างหอบๆ เหงื่อเกาะพราวเต็มใบหน้าที่โปะด้วยแป้งเนียนขาว แพทย์หญิงได้แต่เลิกคิ้วมองเขาแทนเปล่งคำถาม ริมฝีปากยังไม่ถอนจากปากแก้ว
“ท่าทางจะเหงานะ” เจ้าบ่าวหัวเราะ คู่สนทนายังไม่พูดอะไร เพียงแต่ยักไหล่แล้วเขย่าแก้วน้ำเบาๆ เสียงน้ำแข็งกระทบกันดังกรุ๊กกริ๊กใสกังวานอยู่ในน้ำ
“กินอะไรรึยัง เออๆ ตายละ....ป้ามาแล้ว โทษทีนะ ไว้จะพยายามปลีกมาใหม่”
“ไม่ต้องหรอกน่า เดี๋ยวงานมันพังแล้วจะหาอะไรมาโทษฉันอีก” หญิงสาวโต้เสียงกวน “ฉันไม่ใช่แกนะ ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ระวังเถอะแขกในงานจะเข้าใจอะไรฉันผิด ไปดูแลน้องหยกเถอะไป”
“คนเข้าอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นไม่ค่อยรู้จักใครในงาน” เจ้าบ่าวบ่นอุบอิบอย่างจงใจ ก่อนที่จะยิ้มแฉ่งแล้ววิ่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม เธอมองตามเขาไปสักพักก่อนจะหันเหสมาธิมาที่แก้วน้ำในมือ นายเบญจพล...ไอ้เพื่อนตายที่หักใจรักกันแบบอื่นไม่ลง คบกันมาสิบปี โดนเข้าใจผิดเป็นแสนครั้ง ในที่สุดมันก็ไปมีความสุขได้สักที
“คุณเป็นเพื่อนเบญจพลหรอครับ?”
เสียงแว่วเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้าง ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากตัวสักเท่าไร ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเธอคือผู้ที่กำลังรอให้เธอหันมาสบตา หญิงสาวไม่โต้ตอบด้วยวาจา เพียงแต่พยักหน้าเบาๆเท่านั้น
“คุณคงสนิทกับเขามาก จนเขายอมปลีกตัวมาเป็นการส่วนตัวแบบนี้”
แพทย์หญิงอมยิ้มเพราะความขัน คำพูดแบบนี้ได้ฟังเป็นครั้งที่แสนหนึ่งแล้วไง แต่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะนะ เธอนึกในใจ
“ค่ะ สนิทมาก เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันเลยล่ะค่ะ”
“หรอครับ....”
ชายหนุ่มเงียบไป เธอเพิ่งสังเกตว่าตัวเขามือเปล่า ไม่ได้มีเครื่องดื่มหรือจานอาหารใดๆติดมือ และสายตาก็ดูไม่แยแสต่อเสียงหัวเราะรอบข้างเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มในชุดสูทเรียบๆยืนพิงกำแพงมองบรรยากาศรอบด้านด้วยสายตาที่เธอไม่สามารถจะอ่าน แต่ก็นั่นแหละ....เธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษนักหรอก
นานทีเดียวกว่าเขาจะเริ่มบทสนทนา ซึ่งเธอไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ากำลังเอ่ยกับเธอหรือเปล่า
“คุณเป็นสถาปนิกหรอครับ?”
“อ๋อ เปล่าค่ะ.... ฉันเป็นแพทย์”
เสียงผิวปากดังขึ้นมาหนึ่งหวือ เธอหันไปมองเขาตามคำสนทนา ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างฉงน “ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าเบญมีเพื่อนเป็นหมอ”
“แล้วคุณล่ะคะ.... สถาปนิก?”
“ครับ ร่วมกับเขาครั้งนึง และครั้งเดียวด้วยซ้ำ ไม่นึกเหมือนกันว่าเขาจะเชิญผมมาด้วย”
แพทย์หญิงหัวเราะเบาๆพอเป็นพิธี เธอรู้สึกว่าสมควรที่จะแนะนำตัวได้แล้ว อย่างน้อยเธอก็จะได้ไม่ต้องยืนแกร่วเงียบสนิทจนเจ้าบ่าวเจ้าสาวรู้สึกไม่ดี
“ฉันชื่อมโนชาค่ะ อันที่จริงฉันเป็นเพื่อนกับเบญตั้งแต่มัธยมน่ะ เลยสนิทกัน”
“ผมชื่ออัศวินครับ อัศวิน นิลรัตติกาล”
“ฉันต้องแนะนำนามสกุลตัวเองด้วยไหมคะ?” แพทย์หญิงมโนชาหัวเราะกิ๊ก
อัศวินหนุ่มยิ้มบางๆ “ก็แล้วแต่ครับ”
“คุณอัศวินทำงานที่ไหนคะ?”
“อ้าว.... นึกว่าจะแนะนำนามสกุล”
หญิงสาวถึงกับทำหน้าไม่ถูกทีเดียวที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มกว้างไว้ได้เพราะความรู้สึกขบขัน ในขณะที่กำลังจะเปิดเผยนามสกุลของตัวเอง เขาก็รีบชิงพูดขึ้นมาก่อนทันที
“ผมล้อเล่นครับคุณหมอ! ไม่ต้องจริงจังแบบนั้นก็ได้ ผมทำงานในบริษัทส่วนตัวน่ะครับ แล้วคุณหมอล่ะครับ เป็นหมออะไร”
“หมอเด็กน่ะค่ะ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน”
แล้วความเงียบก็โถมซัดเข้ามาอีกเป็นระลอกที่สอง มโนชาเขย่าเครื่องดื่มที่ชืดลงเพราะน้ำแข็งละลายสองสามครั้ง แล้วมองคู่บ่าวสาวผลัดกับคนในงาน ผลัดไปมองบนเวที แล้วมองที่เค้กแต่งงานที่สูงตระหง่าน ผ่านไปที่หงส์น้ำแข็งใสยะเยือกสวยงามสง่าราวกับอัญมณี สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่บุคคลข้างๆ สถาปนิกหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ขอโทษนะครับคุณมโนชา คุณพกกระดาษอะไรมาบ้างไหมครับ?” เขาถามขึ้น หญิงสาวสะดุ้งอย่างไร้เหตุผลเมื่อสบตาที่ดูเหมือนยังอยู่ในภวังค์ของเขา รีบสำรวจกระเป๋าถือใบเล็กในซอกแขนทันที
“ทิชชูหรอคะ?”
“ไม่ใช่ครับ กระดาษที่เขียนได้น่ะครับ”
เป็นคำขอที่น่างงงันอยู่นิดหน่อย เธอค้นหาอยู่สักพักก็เจอใบเสร็จจากร้านสะดวกซื้อ เมื่อถามว่าใช้ได้ไหม อัศวินก็รับไปทันทีพร้อมกับคำขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วเริ่มต้นหยิบปากกาจากกระเป๋าเสื้อออกมา
“ทำอะไรหรอคะ?”
“ผมโกหกคุณหมอน่ะครับ....” เขายิ้มแหยๆ แต่ก็ยังไม่ได้หันหน้าขึ้นมามอง “อันที่จริงสถาปนิกมันก็แค่อาชีพเสริม อาชีพหลักของผมคือนักเขียน”
“คุณเริ่มทำให้ฉันงงแล้วล่ะค่ะ” เธอโพล่งออกไปตามตรงโดยไม่ทันคิด
“แต่ก็ดีนะครับ คุณหมอไม่หลงกลบอกนามสกุลผม เพราะนั่นคงทำให้คุณหมอขาดทุนน่าดู”
มโนชาเอียงคอเพราะความไม่เข้าใจ อัศวินจึงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกของเธอ ช่างดูเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ถูกผู้ใหญ่แกล้งทายปัญหาจนหัวหมุนจริงๆ อดนึกไม่ได้ว่าสมควรแล้วที่เธอเป็นหมอเด็ก เขารำพึงพลางพับเก็บใบเสร็จลงใบกระเป๋าเสื้อพร้อมกับปากกา
“อัศวิน นิลรัตติกาลเป็นนามปากกาของผมครับ ไม่ใช่ชื่อจริง”
“อ้าว อะไรกัน?” แพทย์หญิงหัวเราะบ้าง
“เป็นธรรมเนียมของผมน่ะครับ เวลาทำความรู้จักกับใคร ชื่อจริง นามสกุลจริงของผมนับเป็นของสงวน สนิทกับผมจริงหรือไม่ ต้องถามว่าผมยอมบอกชื่อจริงกับเขารึเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาวสวยๆด้วยแล้ว”
มโนชายิ้มกวน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองจนเกือบจะกลายเป็นสำเนียงยียวนกวนประสาท
“แล้วการปากหวานเนี่ย เป็นคุณสมบัติของอาชีพอะไรคะ? สถาปนิกหรือนักเขียน?”
“ไม่หรอกครับ เป็นคุณสมบัติของคนมีมารยาทมากกว่า” ชายหนุ่มตอบเรียบๆด้วยสีหน้าที่เฉยไม่แพ้กัน มโนชาเลิกคิ้วขึ้น นึกขำแต่เพียงในใจ เพราะความไม่แน่ใจเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่
“คุณเป็นนักเขียน.... เขียนหนังสือประเภทไหนหรอคะ?”
“นิยายกับเรื่องสั้นครับ แต่อย่างคุณหมอคงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของผมหรอกมั้ง เพราะส่วนใหญ่แล้วมันเป็นนิยายรัก”
อัศวินหยิบเอาเครื่องดื่มจากเด็กเสิร์ฟบ้าง ดูๆแล้วคงเป็นเพียงน้ำเปล่าธรรมดา “รับน้ำแก้วใหม่ดีไหมครับ? ก่อนที่ผมจะทึกทักเข้าใจว่าคุณหมอชอบดื่มแต่น้ำหวานจืดๆ”
มโนชาหัวเราะเบาๆพลางหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาบ้าง แล้ววางแก้วเดิมที่เหลือเครื่องดื่มอยู่ครึ่งหนึ่งบนถาดของเด็กเสิร์ฟหนุ่ม แต่ก็ยังไม่อยากจะดื่มเข้าไปนัก จึงทำเพียงเขย่าแก้วเบาๆเหมือนเดิมเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเงียบเฉยเหมือนเมื่อสักครู่ จึงรอชายหนุ่มผู้กำลังซดน้ำในแก้วราวกับกระหายมานานหันหน้ากลับมาสบตา ก่อนที่จะเริ่มชวนคุยอีกครั้ง
“คุณอัศวินทานอะไรรึยังคะ?”
“ผม.....ไม่ยักหิวแฮะ” เขาตอบแล้วยิ้มเผยฟันขาว เขี้ยวคู่งามปรากฏเด่นออกมาให้เห็นชัดเจนเป็นครั้งแรก “แล้วคุณมโนชาล่ะครับ?”
“ก็เรื่อยๆล่ะมั้งคะ”
แพทย์หญิงสบตาสีเข้มของนักเขียนในคราบสถาปนิกจังๆเพียงแวบหนึ่ง เขาก็รีบหลบตาไปเสียดื้อๆราวกับอาการเขินอาย แต่สีหน้ากลับช่างห่างไกลกับอาการแบบนั้นเหลือเกิน ไม่รู้เพราะเหตุใด ดูเหมือนเพราะการชะงักงันแบบนั้นจะทำให้บทสนทนาถึงกับขาดสะบั้นไปด้วย
มโนชาทำอะไรไม่ถูก และเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะเอ่ยอะไรออกไปอีกรึเปล่า อันที่จริง...ต้องพูดว่าไม่รู้จะพูดอะไรดีต่างหาก เธอก้มหน้าลง ชำเลืองมองแวบๆไปที่ข้างกายนานๆครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน สายตาก็ไม่ได้ลอกแลกออกไปสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ ท่าทีของเขาดูราวกับกำลังชมวิวบนภูกระดึงมากกว่าอยู่ในห้องจัดเลี้ยงโรงแรม เขาเป็นคนแปลก..... เธอนึกในใจ ใช่ เธอไม่เคยเจอคนอย่างเขามาก่อน ทั้งแววตา คำพูด ท่าทาง และเหนือสิ่งอื่นใด รอยยิ้มของเขาที่ดูไม่ออกว่าเสแสร้งหรือใจจริง
ใจจริง.... ใจ?
“ขอโทษนะคะคุณอัศวิน ฉันขออนุญาตถามอะไรคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
“ครับ? อ๋อ.... ได้สิครับ แน่นอนครับ” อัศวินสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย คำพูดของเธอคงเป็นเสียงปลุกเขาให้หลุดออกจากห้วงคำนึงส่วนตัวของเขา
“ฉันขัดจังหวะอะไรคุณรึเปล่าคะ?”
“เปล่าครับ ผมก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเวลาว่างมากเกินไปหน่อย ต้องการถามอะไรจากผมหรือครับ?” น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นยังเรียบเฉย แต่ก็ฟังดูอบอุ่นเป็นกันเองมากขึ้นอย่างน่าประหลาด
“คุณเป็นนักเขียนนิยายรักใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเคยพรรณนาบทรักโรแมนติกอย่างเช่น รักสุดหัวใจ หรือหัวใจดวงนี้ร่ำร้องถึงแต่เธอ อะไรพวกนี้ใช่ไหมคะ?”
“ครับ ก็มีบ้าง.....” อัศวินกลอกตาช้าๆแสดงสีหน้าครุ่นคิด และคงยังไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของคำถาม ทำให้เขาเผลอสบตากับแพทย์สาวอีกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้กลับไม่มีท่าทีว่าจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
“ฉันคาใจมานานแล้วค่ะ อาจจะไร้สาระสักหน่อยแต่ก็ช่วยรับฟังหน่อยนะคะ” พูดถึงตรงนี้ สาวเจ้าก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นขึงขังขึ้นมาเสียเฉยๆ ร่างกายที่เคยเอนอิงกับกำแพงหน่อยๆยืดตัวขึ้นตรง แววตาแข็งเล็กน้อย ริมฝีปากสีกุหลาบไม่ปรากฏเป็นรอยยิ้ม ภาพตรงหน้านี้เองทำให้อัศวินอดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้
“เราต่างเรียนวิทยาศาสตร์มากันถ้วนหน้าว่าหัวใจมีไว้ทำไม ใช่ไหมคะ? และแน่นอนว่าหน้าที่ของอวัยวะชิ้นนี้ไม่เคยมีหลักสูตรไหนเคยระบุว่าสามารถกักเก็บความรู้สึกใดๆได้ สิ่งที่สั่งการ สิ่งที่รู้สึก สิ่งที่รับรู้ ไม่ใช่ตรงนี้ แต่เป็นตรงนี้”
มโนชาใช้มือข้างที่ว่างเปล่าประกบที่หัวใจของตัวเอง แล้วขยับขึ้นมาแตะที่ขมับ สายตายังสบแน่วแน่อยู่ที่ใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของอัศวิน ซึ่งดูท่าทางจะพอใจที่จะเป็นผู้ฟังของเธอต่อไป
“แม้แต่ฉันเองด้วยความเคยชิน ก็เคยใช้คำพูดอ้างอิงความรู้สึกกับหัวใจบ่อยๆ แต่น่าขำนะคะ ตัวเองเป็นแพทย์แท้ๆ เรียนรู้สรีระร่างกายมนุษย์ก็มาก แต่ก็ยังต้องมาใช้คำว่าหัวใจมาอ้างอยู่วันยังค่ำ ทำงานด้วยหัวใจบ้างล่ะ พูดออกมาจากใจบ้างล่ะ ถ้าลองมาใคร่ครวญตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันตลกสิ้นดีเลยว่าไหมคะ?
ฉันก็พอเข้าใจหรอกนะว่าสมัยก่อน คนเราฟังเสียงหัวใจสำหรับตรวจว่าคนตายหรือไม่ตาย เลยนึกเอาแต่ว่าหัวใจนี่แหละ คืออวัยวะที่สำคัญที่สุด มีคุณค่าที่สุด มีความหมายที่สุด มิหนำซ้ำยังมีตำแหน่งที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของร่างกายอีกต่างหาก แต่....อย่าหาว่าฉันขวางโลกหรืออวดรู้อะไรหรอกนะคะ เพราะสิ่งที่ฉันรู้ คุณก็รู้ และใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าศูนย์กลางความคิดความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลมาจากการประมวลผลของสมองทั้งนั้น! นักวิทยาศาสตร์เองก็เคยยืนยันว่าหากเราถูกยิงที่สมอง เราจะตายเร็วกว่าถูกยิงที่หัวใจด้วยซ้ำ ถ้าถูกยิงที่หัวใจ เราจะยังสามารถขยับตัวและคิดอะไรต่อมิอะไรได้อีกสี่วินาทีก่อนจะหมดสติ แต่ถ้าที่สมอง....แค่ตูมเดียวเท่านั้นแหละค่ะ”
เสียงผิวปากหวือๆดังแทรกขึ้นมาเบาๆ ริมฝีปากที่เคยเรียบนิ่งบัดนี้เริ่มเผยความโค้งเป็นรอยยิ้ม นายอัศวินไม่ได้ขัดจังหวะหรือดักคออะไรแพทย์หญิงคนนี้เลยแม้จังหวะเดียว ตรงกันข้าม กลับนิ่งฟังอย่างสนอกสนใจด้วยสายตาที่ฉายแววเอ็นดูแบบประหลาด
“ทำไมคะ? ถ้าพูดถึงความรักเราถึงต้องมุ่งไปที่หัวใจ หรือว่านักเขียนนักกวียังไม่สามารถคิดคำพูดที่ลึกซึ้งสละสลวยพอที่จะบรรยายออกมา? ก็รู้หรอกค่ะว่าคำว่า ‘รักคุณเต็มสมอง’ มันคงไม่โรแมนติกแถมยังน่าหัวเราะซะอีก ถึงอย่างนั้น...ฉันก็ยังอดคิดไม่ได้นะคะ เหตุผลที่คำว่า ‘รัก’ ไม่สิ ทุกความรู้สึกต้องไปกระจุกรวมอยู่ที่หัวใจ ในฐานะที่คุณเป็นนักเขียนคนหนึ่ง ฉันอยากจะรับฟังข้อเท็จจริง หรือไม่ก็ความเห็นจากคุณสักหน่อยน่ะค่ะ”
“คุณดูเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในความรักนะครับ?” อัศวินหัวเราะแล้วดื่มน้ำรวดเดียวหมด แต่ไม่ได้ขยับตัวไปวางแก้วไว้ที่ไหน ถือแก้วเปล่าไว้ข้างตัวอย่างนั้น
“ก็....คงจะใช่มั้งคะ” มโนชายังคงรับมือกับคำพูดของเขาได้ทันท่วงที ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถามสั้นๆอย่างคำว่า ทำไม? เธอจึงถอนใจออกมาน้อยๆพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฉันคงรู้มากเกินไปแล้วล่ะค่ะ วิชาชีพอย่างฉันต้องเรียนทุกอย่างทั้งในเรื่องพฤติกรรมมนุษย์เอย ฮอร์โมนเอย ประสาทเอย.... คุณก็คงจะเคยเรียนมาในวิชาชีวะนะคะ ฉันจึงได้แต่มองสิ่งที่เรียกว่าความรัก เป็นเพียงพฤติกรรมหนึ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ บางครั้งฉันก็คิดนะคะว่าบางทีความรู้สึกที่เรียกว่ารักเนี่ย มันอาจเป็นเพียงของแถมจากธรรมชาติก็ได้ ด้วยความที่สมองมีพัฒนาการสูงส่ง ความรักเลยถูกพ่วงเข้ามาในพฤติกรรมการสืบพันธุ์ของมนุษย์ เอ่อ...ง่า ในที่นี้คงไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมกับการคุยเรื่องนี้ล่ะมั้งคะ”
แพทย์หญิงมโนชาหันซ้ายหันขวาพลางลดเสียงลงแล้วห่อไหล่เล็กน้อย เผลอถอนหายใจพรืดใหญ่ ทำให้อัศวินนักเขียนเหลียวซ้ายแลขวาบ้าง แต่ยังคงสงวนท่าทีสบายๆเอาไว้ดังเดิม แล้วพูดออกมาหน้าตาเฉยว่า “จริงด้วยนะครับ.....”
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยนะคะ”
“อ๋อ...จริงด้วย ขอภัยครับ” ชายหนุ่มหันกลับมา ทำท่าเกาหัวแสดงการขอโทษขอโพยแวบหนึ่ง ก่อนที่จะนำท่านึกใคร่ครวญอีกเล็กน้อย “งั้นผมขอถามคุณหมออีกสักคำถามนะครับ เพราะความรู้ทางด้านชีววิทยาของผมเริ่มเลอะเลือนเต็มทีแล้ว คุณหมอบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้สึกล้วนมาจากการทำงานของสมอง ถ้าอย่างนั้น...หัวใจมีหน้าที่อะไรบ้างล่ะครับ?”
แม้จะไม่ได้ปักใจเชื่อจริงๆว่าคู่สนทนาจะสงสัยอย่างที่พูด แต่ก็ไม่อยากขัดคอขัดใจเพราะอยากฟังความคิดของผู้มีประสบการณ์ตรง มโนชาจึงตอบออกไปแต่โดยดี “ก็เป็นศูนย์กลางของระบบเลือด เป็นที่สูบฉีดเลือดแดงไปเลี้ยงร่างกาย และส่งเลือดดำไปฟอกที่ปอด เป็นอวัยวะที่ไม่มีวันหยุดพัก ต้องสูบฉีดทำงานไปตลอดชีวิต”
ผู้ฟังมองเท้าทั้งสองของตัวเอง ใช้นิ้วมือแตะริมฝีปาก ทำท่ากระสับกระส่าย มองทางโน้นทีทางนี้ที ราวกับไม่ได้คำนึงถึงหญิงสาวผู้รอฟังคำตอบด้วยสีหน้าที่ซ่อนอารมณ์แม้สักนิด ถึงอย่างนั้นแพทย์หญิงก็ยังคงยืนรออย่างอดทน นานทีเดียวกว่าเขาจะเริ่มเอ่ยความคิดของเขาออกมา
“เรื่องนี้คงจะไม่มีข้อเท็จจริงของใครคนใดคนหนึ่งหรอกครับ ขออภัยที่ผมเองก็คงไม่สามารถตอบคำถามด้วยความมั่นใจอะไรได้ เพราะผมก็ไม่ใช่นักเขียนที่ดีเด่อะไรนักหนา คำตอบที่จะให้คุณได้ก็คงมีแต่ข้อคิดเห็นของผมเท่านั้นล่ะครับ”
อัศวิน นิลรัตติกาลส่งยิ้มบางๆให้เธอก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอตรงๆอีกครั้ง
“ถ้าความรู้ที่ยังเหลือของผมไม่ผิด ประกอบความรู้ที่คุณหมอย้ำเตือนผมเมื่อครู่ ผมก็คิดว่าการที่เรายังต้องเชื่อมทุกความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลเอาไว้อยู่กับที่หัวใจอย่างนี้ ก็คงเป็นเพราะหัวใจ มีหน้าที่ส่งความรู้สึกเหล่านั้นไปให้กับเซลล์ทุกเซลล์ อณูทุกอณูให้ซึมซาบไปทั้งร่างล่ะมั้งครับ”
“คุณนี่พูดอะไรเป็นภาษานิยายดีจังนะคะ”
“ขอบคุณครับ ผมต้องเรียบเรียงคำพูดอยู่นานทีเดียว” อัศวินตอบ ก่อนจะขมวดคิ้วหน่อยๆ “แต่ส่วนในเรื่องของสมอง ผมคิดว่าแม้แต่สมองก็ยังต้องการเลือดไปหล่อเลี้ยง ถ้าหากความรู้สึกอยู่ที่สมอง ก็คงจะต้องถูกกระตุ้นหรือเร้าท่านั้นจึงจะตอบสนอง และเมื่อสมองได้พักผ่อน ก็เท่ากับว่าความรู้สึกพวกนั้นได้หยุดชะงัก แต่ถ้าหากความรู้สึกทั้งหลายอยู่ที่หัวใจล่ะก็ มันคงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองไปยังคู่บ่าวสาวครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าพิธีอื่นๆกำลังจะเริ่มในไม่ช้าแล้ว “ถ้าความรู้สึกอยู่ที่หัวใจ ในยามหลับ ยามตื่น หรือในยามที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกลายเป็นว่างเปล่า ความรู้สึกทั้งหลายก็จะยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวเราไม่เลือนหาย ไม่ต้องมีสิ่งเร้า ไม่ต้องมีโอกาส ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกทั้งหลายก็จะยังคงอยู่และหล่อเลี้ยงเราอยู่อย่างนั้น ทำให้เราคิดถึงได้ตลอดเวลา รักได้ตลอดเวลา หรือแม้แต่เกลียดได้ตลอดเวลาเช่นกัน ขออภัยนะครับถ้าจะฟังดูเลี่ยนหู ผมใช้ภาษาพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร
และอีกอย่างหนึ่งนะครับ เพิ่งนึกขึ้นมาได้ ทุกอย่างที่ละลายปะปนอยู่ในเลือด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล แร่ธาตุ หรือวิตามิน ทุกอย่างก็มีการควบคุมสมดุลตลอดเวลาใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นทุกความรู้สึกที่อยู่ในเลือด ทุกความรู้สึกที่หัวใจสูบฉีดออกไป จะไม่มีวันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป หากเรารู้สึกด้วยหัวใจจริงๆได้ล่ะก็ ความรู้สึกของเราของทำให้เรามีความสุขไม่น้อยเลย แต่ถ้าเกิดผิดปกติขึ้นมา มันก็คงจะเหมือนโรคน่ะครับ แบบเบาหวานอะไรพวกนั้น และในความคิดของผมนะครับ ถ้าเราป่วยที่หัวใจในเรื่องนี้จริงๆแล้ว.....มันคงจะหายยากยิ่งกว่าโรคทั้งหลายทั้งปวง และคงทรมานเหมือนตายทั้งเป็น”
“แต่สมองเป็นศูนย์รวมประสาทนะคะ และสมองก็เป็นอวัยวะที่ควบคุมการเต้นของหัวใจเหมือนกัน” มโนชาแย้ง
“และหัวใจก็เป็นอวัยวะที่ทำให้สมองมีชีวิตไม่ใช่หรือครับ?” อัศวินย้อนเรียบๆ ยิ้มบางๆเหมือนเดิม ดูท่าทางสนุกอยู่เลยทีเดียว “แต่ก็ถูกของคุณหมอนะครับ แท้ที่จริงอาจจะไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ที่เป็นศูนย์รวมของความรู้สึก ในเมื่อสมองกับหัวใจก็ยังต้องทำงานประสานกันอยู่อย่างนี้ ความรู้สึกก็อาจจะไปๆมาๆอยู่แถวๆนั้นก็ได้ เพราะความรู้สึกนั้นมองไม่เห็น แถมวัดไม่ได้ มีแต่สิ่งที่อ้างอิงถึงการมีอยู่ของมันเท่านั้น อย่างฮอร์โมน หรือการตอบสนองใช่ไหมครับ? วิชาชีพของผมเองก็สุดจะหาคำตอบจริงๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องใกล้ตัวแท้ๆ”
ไฟสีส้มหรี่แสงวูบลงในบัดนั้น ทุกคนเปลี่ยนสายตาที่เคยจับจุดสะเปะสะปะมารวมที่จุดจุดเดียว เวทีที่ประกาศชื่อคู่บ่าวสาวตั้งเด่นตระหง่านนั้น เป็นเพียงจุดจุดเดียวจริงๆที่ยังคงส่องแสงสว่างไสว เจ้าภาพในชุดสูทกำลังยืนถือไมโครโฟนประกาศก้อง คู่รักชายหญิงที่ค่อยๆย่างก้าวขึ้นเวทีนั้นช่างเป็นภาพที่น่าหลงใหลเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง เบญจพล เจ้าบ่าวผู้หล่อเหลาเบนสายตามาทางมโนชาและอัศวินแวบหนึ่ง แต่ก็ยาวนานพอที่จะขยิบตาให้ และมองเห็นรอยยิ้มของเพื่อนทั้งสอง เขาคงมีความสุขมากเกินกว่าจะสังเกตเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างเรื่องที่ว่า อัศวินกับมโนชาดูเหมือนคนสนิทกันทั้งๆที่เพิ่งพบกันไม่ถึงแม้เพียงหนึ่งราตรี
ไช.....โย! ไช...โย!
เสียงประสานของคนทั้งงานดังกระหึ่มทั้งห้องจัดเลี้ยงหลังเสร็จสิ้นคำพูดของเจ้าภาพ พ่อเจ้าบ่าว พ่อเจ้าสาว เจ้าสาว เจ้าบ่าว หลังจากนั้นภาพวีดีโอชีวิตรักของทั้งคู่ก็เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่ทั้งสองเป็นเด็กที่สูงไม่ถึงเข่ามาจนวันที่เนรมิตตนเองเป็นเช่นเจ้าชายเจ้าหญิงในนิยาย เวลาในภาพช่างดูผ่านไปรวดเร็วเสียจนน่าใจหาย
“คนที่ยืนกับเบญตรงนั้นใช่คุณรึเปล่าครับ?” อัศวินกระซิบถามแพทย์หญิง เธอสะดุ้งนิดๆจนน้ำในมือเกือบกระฉอก หลังจากสายตาได้จับจ้องบนหน้าจอขนาดใหญ่บนผนังและหลุดไปในห้วงอดีตอยู่พักหนึ่ง
“ค่ะ ใช่ค่ะ รูปนั้นเป็นรูปพวกเราตอนจะจบม.ปลาย ตอนนั้นฉันยังเป็นข่าวกุ๊กกิ๊กกับเขาอยู่เลย” มโนชาหัวเราะร่า หลังจากที่รูปเบญจพลกับมโนชากอดคอกันผ่านไป ภาพตอนที่ไปเที่ยวไหนต่อไหนก็มีเธอปรากฏให้เห็นอยู่ถี่ยิบ แม้แต่ในรูปที่เบญจพลยืนคู่กับแฟนสาว บางรูปก็ยังเป็นรูปถ่ายที่มีเธอรวมอยู่ด้วยเสียด้วยซ้ำ และใครในงานจะรู้ล่ะว่าบรรดารูปคู่ทั้งหลายที่ไม่มีเธอ ก็ล้วนเป็นเพราะเธออาสาจะเป็นคนกดชัตเตอร์ให้ทั้งนั้น
“ผมเชื่อแล้วว่าคุณสนิทกับเบญจพลมากจริงๆ สนิทจนอดอิจฉานิดๆไม่ได้” เสียงลอยๆของเขาแว่วเข้ามาอีก หญิงสาวถอนสาวตาจากหน้าจามาที่ใบหน้าของเขา เอียงคอถามเพราะความไม่เข้าใจในคำพูดนั้น
“อิจฉาหรอคะ? อิจฉาฉัน?”
“....ไม่แน่ใจครับ ก่อนหน้าที่จะได้พบกับคุณ ก็อาจจะอิจฉาคุณที่สนิทกับคนดีๆอย่างเบญขนาดนั้น แต่พอได้รู้จัก ได้พูดคุยกับคุณเมื่อกี้ ผมชักลังเลแล้วว่าผมอิจฉาใครมากกว่ากัน ระหว่างเบญ...กับคุณ?”
“นี่คุณตามมารยาทรึเปล่าคะ?” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ชำเลืองมองเขาเล็กน้อย เห็นหางตาที่มองตอบกลับมาเป็นประกายขบขันเล็กๆ เขายังคงเก็บอารมณ์ต่างๆไว้ลึกอย่างดีเยี่ยมเสียจริงๆ ชายลึกลับผู้ไม่ยอมเปิดเผยแม้แต่ชื่อของตัวเองคนนี้
“ขออภัยครับที่ผมเป็นคนไม่ค่อยมีมารยาท” น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำสุภาพและแผ่วเบาราวกับเป็นเสียงกระซิบข้างๆหู ทำเอามโนชาเผลอปล่อยใจให้ไหววูบๆไปวินาทีหนึ่ง น่าแปลกที่อาการนี้ดูไม่เหมือนว่าจะไปเกิดที่สมอง แต่กลับกระแทกอยู่ ณ ที่หัวใจอย่างไรพิกล
วีดีโอยังดำเนินต่อไปตามจังหวะของเสียงเพลง สุดท้ายก็จบลงด้วยภาพของบ่าวสาวหน้าใสสว่าง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องออกมาอย่างพร้อมเพรียง พิธีดำเนินต่อไปโดยปราศจากบทสนทนาของแพทย์หญิงและนักเขียนหนุ่ม ตั้งแต่การตัดเค้กและการร่วมไชโยแสดงความยินดีกับบ่าวสาวอีกสองสามครั้ง แล้วพิธีก็มาถึงที่ประตูทางออก
มโนชาไม่ได้สนใจที่จะลิ้มรสความหวานของก้อนเค้กที่ตั้งสง่าอยู่กลางงานสักเท่าไร จึงดื่มน้ำในแก้วไปอีกจนเกือบหมด มองดูเพื่อนสนิทและแฟนสาวเดินไปทักทายถ่ายรูปกับแขกในงานด้วยอารมณ์อันชื่นบาน เธอจ้องมองเจ้าชายเจ้าหญิงในราตรีนี้ไม่วางตา โดยเฉพาะเจ้าหญิงในชุดขาวตรงนั้น.... เธอช่างสวยเสียเหลือเกิน สวยจนดูราวกับไม่อาจจะสัมผัสถึง ในวันอื่นๆเธอคนนั้นอาจเป็นเพียงแสงเทียนธรรมดาสามัญ แต่ทำไมในราตรีนี้ เพียงแค่เธอสวมชุดขาวชุดนั้น เธอจึงสุกสกาวยิ่งกว่าแสงดาวและแสงจันทร์มารวมกัน ทำไมนะ? เพราะอะไร? ความรู้สึกนี้มันเป็นความจริง หรือว่า.....แค่อะไรบางอย่างที่หลอกตา?
“ทำไมตาค้างแบบนั้นล่ะครับ?”
เสียงของเขาปลุกเธอออกจากภวังค์ ปากร้องว่าเปล่าออกมาเสียงดังกว่าปกตินิดหน่อย อัศวินยิ้มอ่อนโยนพลางมองไปที่จุดจุดเดิมที่มโนชาเคยถอนสายตาทั้งหมดทิ้งไว้
“พวกเขาเหมาะสมกันดีจริงๆ”
“ค่ะ ใช่ค่ะ เบญพยายามมากทีเดียวกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ เบญรักเธอมาก และฉันก็เชื่อว่าเธอรักเบญมากเช่นกัน เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะมีความสุข”
“เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าออกมาจากปากคุณ คนที่ไม่ค่อยจะศรัทธาในความรัก” อัศวินเลิกคิ้วอย่างฉงน “ผมนึกว่าคุณจะพูดถึงทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่คุณศรัทธาเสียอีก”
“ฉันยังไม่ได้บอกสักคำนะคะว่าสิ่งที่พูดไป มันจะเป็นนิรันดร์”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเต็มปากเต็มคำ “โอโห....สุดยอดจริงๆ เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะครับ ผมนี่ตามคุณไม่ทันเลย”
แพทย์หญิงไม่ได้โต้ตอบ เพียงแต่ยิ้มรับคำพูดนั้นไว้อย่างสงบเท่านั้น ตอนนั้นเองที่คู่บ่าวสาวได้วนมาถึงพวกเขาทั้งสอง เบญจพลยิ้มแฉ่งออกมาทันทีที่เห็นใบหน้าของเพื่อนทั้งหญิงชาย และดูจะมองข้ามแขกคนอื่นๆไปในทันใดนั้นเอง เขาและแฟนสาวจูงมือกันเข้ามา สาวร่างบางรีบยกมือไหว้ขอบคุณทันทีที่สบตา
“ปุย! ว่าไง.... ท่าทางจะรู้จักกับปักษ์หรอ ดีจริงๆ กำลังกลัวอยู่ว่าปุยจะมายืนแกร่วคนเดียวในงาน” เบญจพลตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆแล้วหันไปทางอัศวินที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ“เฮ้ย ไม่เห็นบอกกันมั่งเลยว่าไปสนิทอะไรกันตอนไหน”
“ก็ไม่ได้รู้จักกันอะไรมาก่อนนี่หว่า เพิ่งเจอกันในงานนี่แหละ” อัศวินหัวเราะแล้วตบไหล่ตอบพลางกล่าวแสดงความยินดีสั้นๆอีกครั้ง
“อะไรนะ! ไอ้เราแอบมองอยู่ เห็นคุยกันท่าทางจะสนิทปาก อย่าบอกนะว่าแกจะรับงานแต่งต่อจากฉันน่ะปุย เดี๋ยวเถอะ...มาใช้งานฉันมาเป็นช่องทางได้ยังไง”
“มายืมชุดของหยกก่อนก็ได้นะคะพี่ปุย ตัวพี่กับหยกน่ะใส่กันได้อยู่แล้ว” เจ้าสาวพลอยหัวเราะคิกคักไปด้วย ฝ่ายอัศวินเองก็ปล่อยเสียงหัวเราะคลอไปกับเจ้าบ่าวผู้อารมณ์ดี เหลือเพียงแต่มโนชาเท่านั้นที่ยิ้มกว้างๆอย่างเบิกบาน มองหน้าไอ้เพื่อนตัวดีด้วยหางตาเงียบๆ
“เอ้าๆๆ ถ่ายรูปๆ ทั้งปักษ์ทั้งปุยนั่นแหละ มาถ่ายพร้อมกันเลยแล้วกัน” เบญจพลบอกตากล้องแล้วดึงเอาทั้งมโนชาและอัศวินมายืนอยู่ด้วยกัน มโนชาปฏิเสธอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง
“ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันซะหน่อย จะให้ฉันไปติดในรูปของคนอื่นได้ยังไง”
ดูเหมือนทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะไม่ได้ยินเสียงแผ่วๆของเธอเลย แต่คนที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะได้ยินกลับเป็นผู้รับสารอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาส่งยิ้มมาให้เธอก่อนจะเดินไปยืนทางเจ้าบ่าว วินาทีที่ไหล่กว้างๆนั้นอยู่ในระนาบเดียวกับไหล่บางของมโนชา เธอก็ได้ยินเสียงเบาๆลอดมากระแทกไปทั้งโสตประสาท
“ผมไม่ถือสาหรอกครับ แต่ถ้าคุณเห็นว่าไม่สมควรก็อีกเรื่องหนึ่ง”
แสงขาววาบสาดเข้ามาเต็มเปา เสียงชัตเตอร์ได้หายไปแล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มีรอยยิ้มร่วมกันจารึกบนแผ่นฟิล์มเสียจนได้
“ปุย กลับแล้วหรอ? งานยังไม่เลิกเลยนะ”
เบญจพลร้องออกมาขณะกำลังคุยสังสรรค์อยู่กับเพื่อนชาวสถาปนิก โดยแยกกับเจ้าสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับเพื่อนนักบัญชีของเธอที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกัน
“ไม่ล่ะ แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่ถนัดเรื่องนอนดึก อีกอย่าง.... พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำธุระแต่เช้าด้วย นี่ก็ห้าทุ่มแล้วด้วย”
“แหม วันเดียวเองน่า.....”
“แล้วจะให้ฉันอยู่ทำอะไรไม่ทราบล่ะนายเบญ”
“ปักษ์ล่ะ ไม่อยู่หรอ?”
“ใครนะ? อ๋อ....อัศวินน่ะหรอ เขาจะมาเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ บอกแล้วไงว่าเพิ่งมาเจอกันในงาน”
“โธ่! ฉันอุตส่าห์คิดว่าเธอจะมีข่าวดีมาบอกฉันซะอีก เอาเถอะๆ จะกลับแล้วจริงๆหรอ..... เออ” ชายหนุ่มเกาหัวอย่างยุ่งยากใจพลางร้องเรียกเจ้าสาวคนงาม บอกว่าเธอจะกลับแล้ว ซึ่งสาวน้อยร่างบางก็พูดคำพูดเดียวกันกับแฟนหนุ่มไม่ผิดเพี้ยน
“พี่ปุยจะกลับแล้วหรอคะ? อยู่ต่ออีกหน่อยเถอะ”
“น่า....เชื่อฟังคุณหมอเขาหน่อยละกัน”
มโนชาร่วมหัวเราะกับทั้งคู่ ก่อนจะพูดอะไรกันอีกสองสามประโยค จนวนเวียนมาถึงคำล่ำลา
“หวังว่าแกจะมีข่าวดี อุ้มลูกมาให้ฉันฉีดวัคซีนเร็วๆนะเบญ”
พรมแดงผืนเดิมทอดยาวไปถึงประตู มโนชาเดินไปอย่างแผ่วเบา แม้จะดึกแล้วแต่ภายในโรงแรมก็ยังไม่มีเค้าว่าจะเงียบเหงา แต่เมื่อถึงทางเลี้ยวไปถึงลิพท์ ความเงียบก็ดูจะแฝงเข้ามาเป็นเงาตามตัวโดยไม่รู้ตัว นิ้วเรียวออกแรงเบาๆไปที่ปุ่มลง มันเรืองแสงเป็นสีส้ม และหลังจากนั้นเธอก็ได้แต่รอ
เธอมองตัวเลขเหนือประตู ยี่สิบห้า ยี่สิบสี่ ยี่สิบสาม ยี่สิบสอง......
ประตูสีเงินเปิดออกเมื่อตัวเลขหยุดลงที่ชั้นสิบเก้า ภายในนั้นว่างเปล่าเช่นเดียวกับรอบๆตัวของเธอ แผงปุ่มที่เรียงยาวเป็นระเบียบปรากฏอยู่ข้างๆหญิงสาวเมื่อก้าวผ่านเข้าไป ชั้นB2 คือปุ่มปุ่มเดียวที่เธอต้องการจะให้ฉายแสง
ตัวเลขเริ่มนับถอยหลังอีกครั้ง กล่องสี่เหลี่ยมอันเปล่าเปลี่ยวจมดิ่งลงสู่ผืนดินอย่างสม่ำเสมอ ชั้นแล้วชั้นเล่า มีบ้างที่หยุดลงอย่างประปราย แต่สุดท้าย ก็มีเพียงเธอเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในนั้น
ประตูถูกเปิดออก พร้อมกับร่างของชายคนหนึ่ง
อัศวิน นิลรัตติกาล!
“คุณมโนชา.....”
เขาพึมพำ มองประตูลิฟท์ที่ค่อยๆประสานปิดสลับกับสายตาที่แสนตื่นบนใบหน้าของแพทย์สาว รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นแบบแผ่วๆ สองมือซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงสีดำสนิท “ดีจริงๆ ผมนึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว”
“มีอะไรหรอคะ?” เธอสบตาเขานิ่ง ไม่แปลกหรอกที่เธอจะรู้สึกระวังในภัยเสียบ้าง แต่แล้วความคิดก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเหงื่อเม็ดใสที่เกาะพราวอยู่ประปรายทั้งๆที่ยังอยู่ในห้องปรับอากาศ
“ก็.....” เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาในสภาวะที่ทำอะไรไม่ถูก เสียงไม่ได้ดังฉะฉาน ประกายตาไม่ได้สุขุมลึก ทั้งสองมือยังไม่ยอมออกจากที่กำบัง
“ขออภัยนะครับที่ผมอาจจะไม่มีมารยาทไปสักหน่อย แต่.....ผมจะรบกวนขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของคุณได้ไหมครับ?”
“อะไรนะคะ?” มโนชาหัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้เหตุ จึงเผลอโพล่งออกไปเสียงดังเกินความจำเป็น แต่ดูเหมือนคู่สนทนาจะไม่ได้ถือสาหรือแสดงอาการแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ขออภัยครับ ไม่แปลกหรอกครับที่คุณจะ....เอ่อ ไม่พอใจและลำบากใจกับคำขอของผม แต่ผมยืนยันนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาทำอะไรไม่ดีเลยแม้แต่นิดเดียว ผมแค่คิดว่า....ไม่สิ ก็แค่หวังว่า ผมคงอยากจะได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณอีกสักครั้งเท่านั้นเอง”
“คุยกับฉัน?”
“อ่า ครับ....” เขาดูยิ่งลำบากใจยิ่งขึ้น สังเกตได้จากแววตาที่แสนกระสับกระส่าย “ถ้าหากว่ามันไม่เหมาะสม ไม่สมควร ผมก็ต้องขออภัยอีกครั้งครับ และถือซะว่าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นก็แล้วกัน ขอโทษนะครับ...”
“เดี๋ยวค่ะ คือ.....” แพทย์หญิงร้องออกมาในตอนนั้นเอง “มันไม่ใช่แบบนั้น.....”
แต่แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี การให้เบอร์โทรศัพท์กับชายแปลกหน้าเพียงชั่วคืนเดียวดูจะเป็นอะไรที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเสียไม่งาม แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจอะไรผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว และบางที แค่บางที..... เธอเองก็หวังเช่นกันว่าจะได้พูดคุยกับเขาอีกสักครั้ง เธอชอบแววตาของเขา คำพูดที่ฟังราวกับถอดมาจากวรรณกรรมของเขา ชอบรอยยิ้มของเขา และไม่อยากให้การพบกันของเขากับเธอต้องหยุดชะงักไปแต่เพียงค่ำคืนเดียว
เพราะอะไร อารมณ์ที่หวั่นไหวไปกับแสงสีในงานแต่งค่ำคืนเดียวน่ะหรือ? เธอมองตาเขา เขาสบตาเธอ ไม่มีคำพูดออกมาจากฝ่ายใด แต่ก็แน่นอน....เธอต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูด เขารอเธออยู่ แล้วทำไมไม่รีบพูดอะไรออกไปสักอย่างเล่า ก่อนที่เขาจะเข้าใจอะไรผิดไป มโนชาที่แทบไม่ได้ทานอะไรในงานเริ่มเวียนหัวนิดๆ
ความสับสนทำให้เธอไม่รู้สึกตัวไปวูบหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีเธอก็พูดอะไรบางอย่างออกไปแล้ว
“คุณรีบกลับบ้านรึเปล่าคะ คุณอัศวิน?”
ชายหนุ่มดูงงงันกับคำชวนที่ดูไม่สัมพันธ์อะไรเลยกับบทสนทนาเมื่อสักครู่ มโนชาเองก็งงงันไปเช่นกันกับคำพูดของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร อารมณ์ ความรู้สึก หรือฮอร์โมนอะไรก็ตามแต่ เธอไม่มีเวลามานั่งวิเคราะห์หรอก เพราะคำพูดถัดไปก็หลุดออกจากปากของเธอไปแล้ว
“อันที่จริงฉันไม่ค่อยจะถูกใจกับอาหารในงานสักเท่าไร คุณพอจะไปดื่มกาแฟกับฉันสักแก้วหนึ่งก่อน จะเป็นการรบกวนเกินไปรึเปล่าคะ?”
“......ครับ?” เขาขึ้นเสียงสูงขึ้นแทนคำถาม กะพริบตาปริบๆสองสามครั้ง ก่อนจะส่งรอยยิ้มเดิมมาให้ “ก็คงไม่มีปัญหาครับ.....”
มโนชารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนเมาที่ตัวเบาหวิวๆ ทำอะไรไม่ได้สติ แต่เธอก็เปล่า..... สติสัมปชัญญะของเธอยังสมบูรณ์ครบถ้วน แอลกอฮอล์ไม่ได้แตะถึงริมฝีปากของเธอเลย จะมีก็แต่น้ำอัดลมและน้ำเปล่าเท่านั้นและที่จะสามารถออกฤทธิ์กล่อมอะไรสักอย่างในตัวเธอได้ เขาวางยาอะไรในน้ำเปล่าหรือยังไง? จะบ้าหรอ..... มโนชา คิดอะไรของเธอน่ะ!?
ทั้งคู่แยกย้ายกันไปยังรถของตัวเองหลังจากนัดแนะอะไรกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาออกรถคู่กันไป มุ่งไปยังร้านอาหารที่ยังเปิดในเวลาวิกาลเช่นนี้ อัศวินปล่อยให้มโนชาเป็นผู้นำรถออกไป เธอจอดที่ไหนเขาก็จะจอด เพื่อยืนยันว่าเขาจะไม่หิ้วเธอไปไหนต่อไหน ย่านนี้มโนชาไม่คุ้นชินนัก แต่แล้วก็จอดอยู่ที่ร้านขนมเล็กๆที่ยังมีคนอยู่เนืองแน่น ใบหน้าแต่ละคนนั้นยังอ่อนวัยแรกรุ่น
พวกเขาสั่งกาแฟแล้วนำไปวางกันที่โต๊ะ หันหน้าเข้าหากัน
“อัศวินรัตติกาลอย่างคุณคงไม่มีปัญหาในเวลานี้ใช่ไหมคะ?” มโนชาหัวเราะพลางเป่ากาแฟควันฉุยในมือก่อนจะประคองขึ้นมาจิบอย่างระมัดระวัง
“ครับ.... ผมอดหลับอดนอนจนเคยชิน ใครเรียนสถาปัตย์ผมว่าก็ต้องชินกันทั้งนั้นนั่นแหละครับ โดยเฉพาะช่วงที่ต้องทำวิทยานิพนธ์ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะชอบหรอกครับ”
“ฉันก็เหมือนกัน ใครเป็นหมอก็คงจะต้องชิน ทั้งตอนอ่านหนังสือหรือตอนเข้าเวรเฝ้าคนไข้” ว่าแล้วหญิงสาวก็เอามือป้องปากหาว “กลิ่นกาแฟเลยเป็นกลิ่นที่เคยชินกับฉันไปด้วย”
อัศวินยิ้ม ก่อนจะลงมือยกกาแฟขึ้นมาดื่มบ้าง ดูเหมือนความร้อนในถ้วยจะไม่เป็นปัญหากับลิ้นของเขาเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะ....ร่างกายของเขากำลังร้อนยิ่งกว่าก็เป็นได้กระมัง
“คุณปัก?” หญิงสาวเริ่มพูดขึ้นอีก มองลึกเข้าไปในแววตาของเขา มองเข้าไปในแบบที่ในงานแต่งงานคงไม่มีโอกาสได้ทำ “ชื่อส่วนไหนของคุณหรือคะ? หรือเป็นอีกหนึ่งนามปากกา?”
“เป็นชื่อเล่นของชื่อเล่นครับ ชื่อเล่นผมคือปักษา แต่ดูเหมือนมันจะเป็นภาษาที่สวยงามเกินไป ใครๆเลยเรียกผมว่าปักษ์ แล้วคุณล่ะครับ.... ปุย ชื่อเล่นหรอครับ?”
“ตอบผิดค่ะ” เธอใช้ช้อนคนผิวน้ำสีน้ำตาลเบาๆ “เป็นชื่อเล่น ของชื่อเล่นค่ะ.... ฉันชื่อปุยเมฆค่ะคุณปักษา แต่ใครๆก็เรียกฉันแค่ปุย”
“คุณนี่ชอบยอกย้อนคำพูดของผมจังนะครับ”
“งั้นหรอคะ.....” มโนชาหัวเราะ “ฉันไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย.....”
อัศวินมองภาพหญิงสาวที่ค่อยๆจรดริมฝีปากชมพูกุหลาบบนแก้วช้าๆ และเผลอไปสบตากับผู้คนที่เนืองแน่นทางด้านหลัง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่ ดูเหมือนตำแหน่งเจ้าชาย เจ้าหญิงจะตกเป็นของเธอกับเขาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตัวเขาเองก็อยู่ในชุดสูท และมโนชาก็สวมชุดกระโปรงสีฟ้าสวยที่มองผ่านๆอาจเข้าใจผิดเป็นชุดราตรี แต่เขายังไม่รู้สึกจะพูดกับเธอเรื่องนี้นัก
อัศวินเริ่มถามเรื่องทั่วไป เอ่ยชมร้านไปพลางๆขณะที่มโนชายังคงง่วนกับการเป่าผิวกาแฟ เธอตอบแล้วพูดต่อ เขาพูดต่อแล้วก็ถาม วนเวียนไปมาจนดูเหมือนไม่มีทางจบ พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่าไม่ควรจะปล่อยมือให้อยู่ห่างถ้วยกาแฟเป็นอย่างยิ่ง สายตาทั้งคู่ประสานกันไม่วางตา โต้ตอบสนทนากันสลับกับเสียงหัวเราะ ท้ายที่สุดแล้ว กาแฟที่กลายเป็นเพียงข้ออ้างของค่ำคืนนี้ก็ได้แต่เย็นชืดลง ควันและไอร้อนได้ละลายหายไปกับความชื่นบานของทั้งคู่ไปเสียแล้ว
ถ้วยสีขาวมีหูสองใบกำลังจ้องหน้ากัน..... หญิงชายสองคนกำลังนั่งหัวเราะร่วมกัน.... เวลานั้นช่างค้างอยู่ที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝัน และเส้นแบ่งระหว่างวันนี้กับพรุ่งนี้
นาฬิกายังหมุนไปจนในที่สุดเวลาอันแสนสั้นก็สูญสลาย เมื่อวันใหม่มาเยือนอีกวัน พนักงานก็มาแจ้งอย่างสุภาพว่าทางร้านปิดบริการแล้ว
“ผมสนุกมากเลยครับ” อัศวินเปิดประตูให้หญิงสาว เธอเอ่ยขอบคุณเบาๆพร้อมกับรอยยิ้ม ดูเหมือนวันนี้เธอแทบจะไม่ได้ทานหรือดื่มอะไรหมดสักอย่าง แต่ไม่รู้ทำไม....เธอไม่มีความรู้สึกหิวกระหายอะไรอยู่เลย
“การที่ได้พบกับคุณเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากค่ะสำหรับฉัน” แพทย์สาวเอ่ย มองแววตาที่อบอุ่นของเขาด้วยความรู้สึกที่ไร้คำอธิบาย พินิจพิเคราะห์สายตาคู่นั้นอย่างถ้วนถี่ “แต่เป็นความแปลกที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ”
“ผิดไหมครับที่ผมจะทึกทักเอาเองว่าสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็นคำชม?” เขาหัวเราะ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาช้าๆ แม้กลางวันจะร้อนสักเพียงไหน ยามดึกยามวิกาลเช่นนี้กลับสามารถแฝงอณูของไอยะเยือกได้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง ชุดที่เปิดไหล่เล็กน้อยของมโนชาทำให้เธอรับความรู้สึกหนาวเย็นนี้ได้เป็นอย่างดี อัศวิน นิลรัตติกาลขยับข้อมือน้อยๆก่อนที่จะส่งยิ้มกว้างมาให้อีกครั้ง
“รีบกลับบ้านดีกว่าครับคุณหมอ นี่ก็ดึกมากแล้ว.....”
มโนชามองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองบ้าง แม้จะเร็วไปประมาณห้านาทีเศษๆของเวลาจริง เธอก็รู้ดีว่าเขาก็พูดถูกต้องทุกประการ ขณะนี้ล่วงเลยเที่ยงคืนมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว.....
ถึงจะไม่ง่วงสักนิด แต่ก็รู้ดีว่าถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันไป
“กลับบ้านดีๆนะครับ” เขาโบกมือน้อยๆแล้วเคลื่อนตัวไปที่รถวีออสสีดำของตัวเองที่จอดอยู่ข้างๆรถของเธอ ภาพภาพนั้นทำให้มโนชาถึงกับใจหายวาบ รู้สึกหนาวยิ่งกว่าห้องปรับอากาศในงานแต่งงานเป็นไหนๆ หนาวเยือกจนขาทั้งสองข้างไม่อาจขยับไปไหนได้ นี่เขาจะไปแล้วจริงๆหรือ? เธอจะได้พบกับเขาอีกไหม? และเมื่อไร? หัวใจที่เริ่มระรัวเร่งจังหวะดูเหมือนจะตั้งคำถามกับเธอว่าอย่างนั้น แต่ก็นั้นแหละ....มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลใดๆที่เธอจะต้องดึงรั้งเขาไว้ เดิมทีเธอควรจะแยกกับเขาตั้งแต่ตัดสินใจออกจากงานแต่งเสียด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้จะมาอาลัยอาวรณ์อะไร เขา....อัศวิน นิลรัตติกาล ก็แค่คนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้แม้แต่ชื่อจริงเท่านั้น คนแปลกหน้าที่บังเอิญหมุนวนมาเจอกันเพียงช่วงชั่วโมงที่ข้ามวัน และตอนนี้ก็หมดเวลาของเธอกับเขาแล้ว
มโนชากัดริมฝีปาก เผลอกัดแรงจนสะดุ้ง หันหลังกลับ..... หยิบกุญแจออกจากกระเป๋าถือ ในจังหวะเดียวกันที่รถสี่ล้อสีดำคันข้างๆถอยออกไป เตรียมตัวหันเหไปยังถนนใหญ่ เตรียมตัวกลับไปสู่ห้วงเวลาของตัวเอง
เสียงกริ๊กจากกุญแจที่ร่วงหล่นแผ่วกลืนไปกับความมืดมิดของรัตติกาลผืนนั้น ดูเหมือนการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเธอจะสายไปแล้ว....
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
อัศวิน นิลรัตติกาลนั่งใช้นิ้วเคาะกระจกข้างๆตัวอย่างเลื่อนลอย มองไปยังไฟแดงที่ฉาดฉายเด่นอยู่กลางถนน ความเงียบภายในรถนั้นช่างแสนหดหู่ชวนเหงาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมมือไปเปิดวิทยุข้างๆตัวเพื่อฟังเพลงรอบดึก แต่ดูเหมือนความเงียบสนิทนั้นจะอยู่ลึกเกินกว่าที่เสียงของบทเพลงจะบรรเทา
เธอไปแล้ว.... แพทย์หญิงมโนชา ชื่อเล่นชื่อปุยเมฆ ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน หญิงสาวผู้ไม่มีศรัทธาในความรัก เพื่อนสนิทของเบญจพล สรรพนิมิตชัย
ก็แน่นอน เส้นทางของเธอเดินทางด้วยสมอง แต่เส้นทางของเขาดำเนินต่อเพียงเพราะหัวใจ ไม่มีสิ่งใดที่เธอจะสนใจมองมาที่เขาอีกหากปราศจากปัญหาข้อใดที่สงสัย ความบังเอิญอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เขากับเธอได้มาพบกัน แต่ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาและเธอแยกจากกัน เธอคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่แล้ว.... พรุ่งนี้เธอก็คงจะลืมเขา เช่นเดียวกับที่เขามีสิทธิจะลืมเธอ เขาเองรู้ซึมซาบอยู่เต็มอก เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่มีเพียงบทสนทนาผิวๆ จะไปช่วยยืดเยื้อความสัมพันธ์ใดๆได้ จะไปช่วยยกระดับคนแปลกหน้าคนหนึ่งในกลายเป็นคนรู้จักได้หรือเปล่า ยังไม่รู้เลย....
ไฟแดงนี้นานสักเท่าไรกันนะ เขาจึงสามารถฟุ้งซ่านได้ถึงเพียงนี้..... อัศวินหัวเราะเยาะตัวเองในลำคอ มโนชา...มโนชา.... นกน้อยคงจะโง่งมเต็มทีที่จะเฝ้าบินไล่ตามไปที่กลีบเมฆ เพียงสายลมแห่งกาลเวลาพักผ่านเท่านั้น เมฆาขาวก็มีแต่จะล่องลอยไป เปลี่ยนรูปร่างออกไป จนสุดท้ายแม้จะตามหาไปทั่วทั้งผืนฟ้า อนิจจา....จะมีหลักประกันอะไรที่เจ้าปักษาจะพบเธอ ก็คงมีแต่ต้องหันหลังกลับออกมาเสมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเท่านั้น จึงจะสามารถเยียวยาความเพ้อระทมของเจ้านกน้อยตัวนั้นได้
เอาเข้าแล้วไง..... อัศวินหลับตาครู่หนึ่งหลังจากเหลือบมองตัวเลขสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง ยิ้มกับตัวเอง นี่กูเริ่มเพ้อเริ่มบ้าอะไรง่ายๆแบบนี้ไปแล้วหรอเนี่ย แค่นิดเดียวก็นึกพล็อตออกขึ้นมาอีกแล้ว
สามสิบวินาทีทันเหลือแหล่สำหรับจดความคิดของเขา ชายหนุ่มหยิบปากกาออกจากกระเป๋ากางเกง และควานหากระดาษที่บรรจุอยู่ในตัว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบแต่เพียงใบเสร็จของมโนชาในกระเป๋าเสื้อเท่านั้น
เรื่องของดอกเด็กเสิร์ฟประจำงานแต่ง คอยสังเกตแขก เจ้าบ่าวเจ้าสาว
เขาถอนใจอีกครั้ง ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะเริ่มจดความคิดใหม่ของเขาเป็นคำสั้นๆใต้ข้อความนั้น แข่งกับเลขวินาทีที่กำลังหันหลังกลับไปเรื่อยๆ ไม่ว่าใครอ่านเจอ ก็คงไม่สามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งเปี่ยมความรู้สึกของเขาได้เลย
ปักษา กับเมฆา.....
ไฟเขียวส่องสว่างวาบขึ้นมาในทันใด ไม่มีความคิดเห็นอื่นใดเกี่ยวกับกระดาษแผ่นนั้น สี่ล้อทะยานต่อออกไปบนเส้นทางคอนกรีตอันทอดยาว รถไม่ติด ความคิดไม่ติด และความคิดถึงก็ไม่มีติด อัศวินยังคงรักษาสมาธิที่มีอยู่บนท้องถนนควบคู่ไปกับความรู้สึกถวิลหาอยู่ลึกๆในหัวใจ
หัวใจ กับสมอง ที่ที่ใดคือที่อยู่อันสมควร ที่ที่อบอุ่นเพียงพอสำหรับสิ่งที่เรียกว่ารัก.....?
ปี๊นนนน ปี๊นน!
สายตาเปลี่ยนไปเหลือบมองกระจกข้างทันทีที่ได้ยินเสียงแตร ทันใดนั้นเอง หัวใจที่ดูเหมือนจะเย็นยวบไปแล้วกลับพลันถาโถมเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งราวกับเป็นการเต้นครั้งสุดท้าย มือที่กุมพวงมาลัยไว้หลวมๆพลันเย็นเฉียบและชุ่มเหงื่อ เลขทะเบียนที่แม้จะเห็นเพียงครั้งเดียว แถมยังกลับซ้ายไปขวา อัศวินก็กลับจำได้ทันทีว่าเจ้าของรถสีเงินคันนี้คือใคร เขาสลับสายตาระหว่างกระจกหน้ากับกระจกข้างไปมาด้วยความเร่งร้อนเพื่อหาที่ทางสำหรับจอดรถอย่างร้อนรน
ชายหนุ่มเปิดประตูรถออกมา หัวใจเริ่มร้อนเช่นเดียวกับอวัยวะภายในที่คงกำลังบิดงอขดเกี่ยวกันไปมาให้มวนไปทั่วท้อง เขารู้สึกแบบนั้น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เหงื่อเริ่มผุดมาจากกาย รอมองรถสีเงินคันนั้นค่อยๆหยุดมาทางด้านหลัง สะกดกลั้นลมหายใจที่ตึงเครียดจนกระทั่งร่างร่างนั้นโผล่พ้นขอบประตูออกมา
“คุณมโนชา......” เขาไม่อาจสะกดชื่อของเธอได้ดังลมหายใจของเขา แต่ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดพ้นริมฝีปาก เขากลับพบว่าลมหายใจที่เคยติดขัดกลับคล่องโปร่งสบาย
“อัศวิน นิลรัตติกาล” แพทย์หญิงมองตาเขาด้วยแววสดใส สายตาคู่นั้นถึงจะเห็นแค่รางเลือนสะท้อนกับแสงไฟบางๆข้างทาง ก็ยังคงน่าดูน่าสบไม่เปลี่ยนแปลง ขนตาเรียวงามดำขลับขยับขึ้นลงถี่ขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากขยับยิ้มแหยๆ มโนชาห่อไหล่ลงเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันตามคุณมา....เพราะคิดว่าฉันคงลืมให้อะไรบางอย่างกับคุณ”
อัศวินยิ้มอย่างสุภาพ “ขออภัยครับ ผมจำไม่ได้ซะแล้วว่าคุณลืมอะไร?”
เสียงตอบนุ่มนวลจากเธอ คือตัวเลขเก้าหลักที่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินถึง เธอย้ำตัวเลขทีละตัวอีกครั้งช้าๆด้วยน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำเมื่อมองเห็นว่าเขาตีสีหน้างงงันตอบกลับมาอีกที
สีหน้านั้นพลันกลายเป็นรอยยิ้ม หยุดชะงักไม่ให้หญิงสาวเอ่ยย้ำซ้ำขึ้นมาเป็นครั้งที่สาม ชายหนุ่มทำทีเป็นเตะอะไรไปข้างทางบ้าง เหม่อมองผืนฟ้าสีหมึกบ้าง หลับตาพริ้มอีกพักหนึ่ง
“คุณขี้โกงมากจริงๆครับ แบบนี้ผมจะไปจำได้ยังไง”
เสียงหัวเราะเบาๆแว่วมากระทบหู มันอ่อนโยนและสดใสจนทำลายเสียงอื่นใดที่โอบอุ้มบรรยากาศสีดำนี้จนหมดสิ้น
“ผิดไหมคะที่ฉันจะบอกว่า ฉันก็ไม่รู้ตัวเช่นเดิมค่ะ”
“แล้วคุณหมอรู้ตัวรึเปล่าครับ ว่าที่คุณหมอให้เบอร์โทรศัพท์ผม.... ตัวเลขที่คุณหมอพูดไปเมื่อครู่ คุณพูดจากสมอง หรือว่าจากหัวใจ....”
“ฉันจะพูดกับคุณด้วยหัวใจได้ยังไงกันคะ ในเมื่อคุณยังชอบใช้คำพูดที่ชวนให้ยอกย้อนแบบนี้” มโนชาตอบในแบบฉบับของเธอไม่ผิดเพี้ยน ขยิบตางามๆข้างหนึ่ง ยิ้มกว้างกวนๆอีกเล็กน้อย ทำให้ชายหนุ่มตอบอะไรไม่ถูกไปอีกพักใหญ่ ได้แต่ยิ้มอย่างหมดท่า
“ขออภัยครับ ผมไม่รู้ตัวเลย......”
ก่อนที่แพทย์หญิงจะพูดอะไรออกมายอกย้อนเขาอีก เขาก็ท่องหมายเลขทั้งเก้าหลักออกมาเองเป็นครั้งแรก ชัดถ้อยชัดคำ คำต่อคำ ในแบบที่ไม่ต้องมีปากกา กระดาษ หรือสิ่งใดไว้บันทึก ในที่สุด น้ำเสียงนั้นก็เรียบนิ่งและสงบได้ดังเดิมแล้ว
เสียงตบมือเปาะแปะดังขึ้นมา เขากล่าวขอบคุณเธอเบาๆ
มโนชาเอียงคอ ยิ้มละไมอยู่เหมือนเคย ก่อนจะพึมพำคำพูดอะไรบางอย่างที่เบาแสนเบา เบาเสียจนตัวเขาชั่งใจไม่ถูกว่าตัวเองฟังถูกหรือไม่ อัศวิน นิลรัตติกาลมองรถเก๋งสีเงินขับทะยานออกจนหายไปจากสายตา จึงขึ้นรถ แต่ก็ยังไม่อยากจะออกรถไปในทันที
เขาเอนศีรษะลงบนพวงมาลัย กุญแจอาจเสียบไว้ แต่ก็ยังไม่มีจิตใจจะสตาร์ทเครื่อง พึมพำตัวเลขเก้าหลักอีกครั้ง ก่อนจะบันทึกเบอร์โทรศัพท์เบอร์นั้นลงบนกระดาษแผ่นเดิม ในตอนนั้น.....เสียงแผ่วๆจากสายลมก็ยังกระซิบอยู่ไม่ห่างเลือน
“อัศวินจะต้องไม่ปล่อยให้หญิงสาวรอเก้อนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัศวินที่สามารถโผบินได้เหมือนปักษา.....เช่นคุณ”
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไอหมอก ละอองแดด
ความคิดเห็น