ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 13 ลางร้ายมาเยือน [2]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      40
      22 มี.ค. 63


     

    error loaded


     


     

     


     

    “ฉันนอนห้องไหนได้บ้าง” โซ่ถามขึ้นเมื่อลากกระเป๋าเดินทางใบโตไปวางที่หน้าบันได

    “นอนไม่ได้ซักห้อง เพราะว่าเต็มหมดแล้ว” ฉันตอบกลับทั้งๆ ที่รู้ว่ายังเหลืออีกหนึ่งห้องซึ่งพ่อทำให้สำหรับอูมิตอนโต ในห้องมีเตียงขนาดห้าฟุต และตู้เสื้อผ้าที่จุไปด้วยเสื้อผ้าอูมิ ฉันเป็นคนพับและเก็บเสื้อผ้าของอูมิเอาไว้ในห้องนั้นด้วยตัวเอง ถ้าโซ่ไปพักห้องนั้นก็เท่ากับว่าไปพักห้องลูกน่ะสิ ฉันไม่ยอมหรอกนะ!

    “งั้นเหรอ? ไม่เป็นไร นอนหน้าทีวีก็ได้” ฉันที่เดินตามโซ่เข้ามาในบ้าน และวางตะกร้าผักลงที่โต๊ะกินข้าวถึงกับหงุดหงิดเมื่อได้ยินคำตอบที่ดื้อดึงจากโซ่

    “จะมานอนหน้าทีวีได้ยังไง?” ฉันย้อนถามโซ่กลับ

    “แล้วทำไมถึงนอนไม่ได้ ในเมื่อห้องนอนเต็ม ก็นอนหน้าทีวีแทนก็แล้วกัน หรือว่าเป็นห่วงฉัน กลัวยุงจะกัด” โซ่ทำหน้ากวนๆ ถามฉัน

    “ฉันห่วงลูกฉันต่างหาก นายไม่เห็นหรือไงว่าหน้าทีวีน่ะ มีแต่ของเล่นเด็กๆ แล้วก็ที่เล่นที่นอนของลูกฉัน นายควรจะกลับบ้านของนาย ไม่ก็ไปเช่าโรงแรมนอน ฉันไม่ให้นอนที่นี่เด็ดขาด”

    “แต่พ่อเธอให้ฉันนอน” โซ่พูดพร้อมกับทำหน้ายียวนเหมือนแกล้งให้ฉันประสาทเสียเล่นๆ

    “นั่นก็เรื่องของพ่อสิ! ฉันไม่ได้อยากให้คนอื่นเข้ามานอนในบ้านนี่” ฉันกอดอกตัวเองแน่น มองหน้าโซ่อย่างเอาแต่ใจ น่าแปลกที่หมอนั่นกลับยกยิ้มกลับเหมือนไม่โกรธ ไม่รู้สึกอะไร โคตรน่ารำคาญเลยกับรอยยิ้มแบบนั้นน่ะ

    กวนประสาทฉันอีกแล้ว!

    “คบกับไอ้พาร์ทแล้วนี่ คงไม่ได้อยากให้มันเข้าใจผิดใช่มั้ยล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้จะมาทำให้คู่รักข้าวใหม่ปลามันตีกันสักหน่อย ฉันมาฝึกงานที่อู่ ไม่ได้จะมาหาเรื่องเธอเรื่องเก่าๆ อย่าเข้าใจผิด”

    ฉันถึงกับอ้าปากค้างตกใจเมื่อได้ยินโซ่พูดสวนกลับ เดี๋ยวนะ! ฉันกับพาร์ทเพิ่งจะตกลงปลงใจคบกันเมื่อประมาณบ่ายสามโมงวันนี้เองนี่ ซึ่งก็ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่โซ่จะมาถึงบ้านช่วงเย็นด้วยซ้ำไป ทำไมเขาถึงรู้แล้วล่ะว่าฉันกับพาร์ทคบหาดูใจกันเป็นแฟน พ่อบอกอีกแล้วสินะ!

    “อ่อ แต่ถ้าเป็นเพราะเรื่องตอนบ่ายที่ทำให้เธอเข้าใจผิด คิดว่าฉันจะมากวนใจเธอ หรือว่ามารื้อฟื้นเรื่องของเรา แบบนั้นก็ขอโทษทีนะ พอดีว่าฉันก็แค่อยากทักทายเหมือนเมื่อก่อน แต่ฉันคงจะทำให้เธอตกใจและคิดมากไปจริงๆ”

    “นี่นาย” ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดต่อ พ่อก็เปิดประตูเข้าบ้านมาพอดี

    “โทษทีพี่ติดงานคุยกับลูกค้าเพิ่งเสร็จน่ะ ว่าแต่รินทร์ให้นอนห้องไหน?” พ่อฉันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันกับโซ่ยืนคุยกันอยู่

    “เตี่ยจ๋า” อูมิที่นั่งเล่นของเล่นคนเดียวลุกขึ้นมาจากกองของเล่น วิ่งไปกอดขาพ่อฉันที่เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นและกลิ่นควันรถ พ่อฉันรับอูมิขึ้นไปอุ้มแล้วหันมารอฟังคำตอบจากฉัน

    “ผมไม่นอนที่บ้านดีกว่าครับเสี่ย กลับไปนอนที่อู่เหมือนเมื่อก่อนดีกว่าครับ ผมกลัวว่าปุ้นเค้าจะลำบากใจ ที่บ้านมีผู้หญิงกับเด็กด้วย เดี๋ยวจะพากันอึดอัดกันเปล่าๆ”

    “เฮ้ย! จะไปนอนที่อู่ทำไม นอนที่บ้านด้วยกันนี่แหละ” พ่อหันไปพูดกับโซ่ ก่อนจะหันมาพูดกับฉัน “ยังเหลือห้องว่างอีกห้องไม่ใช่เหรอรินทร์ ทำไมไม่ให้โซ่นอนห้องนั้นล่ะลูก”

    “แต่ห้องนั้นเป็นห้องอูมินะคะ ทำไมพ่อต้องยกให้คนอื่นนอนล่ะ ถ้าโซ่เค้าอยากนอนที่อู่ก็ให้เค้าไปนอนที่อู่เถอะค่ะ” ฉันเถียงพ่อกลับ

    “ที่อู่มันเหลือห้องนอนเสียที่ไหนกันล่ะ ไอ้โค้ก ไอ้ตั้ม ไอ้สนก็นอนเต็มหมดแล้ว ตอนนี้อูมิก็นอนกับรินทร์นี่ ยังไงห้องนั้นก็ว่างไม่ใช่เหรอไง อีกอย่างพ่อของโซ่เค้าก็มีพระคุณกับบ้านเราจะไปให้เค้านอนกับเด็กในอู่ได้ยังไง” พ่อหันมาพูดกับฉันเสร็จก็หันไปพูดกับโซ่บ้าง “นอนที่นี่แหละ ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวพี่พาไปดูห้องนอนเอง”

    เฮือก! ฉันโดนพ่อพูดตัดบทและพ่อก็ยังไม่สนใจว่าฉันจะทำสีหน้ายังไงด้วย พ่อเดินนำโซ่ขึ้นบันไดบ้านโดยอุ้มอูมิไว้ในอ้อมกอดไม่ยอมปล่อยเดิน โซ่ยกยิ้มที่มุมปากมองหน้าฉันอย่างมีชัย ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังเล่นละครตบตา เพราะพอพ่อหันหน้ากลับมาเรียกโซ่ให้เดินตาม โซ่ก็ทำหน้านิ่งนอบน้อมพ่ออย่างเคารพ ผิดกับสายตาที่มองมาทางฉัน คิ้วเข้มดกดำที่ยกขึ้นราวกับประกาศศึกกับฉันบอกกับฉันอย่างเป็นนัยน์ว่า "ต่อไประวังตัวให้ดีเถอะ" เล่นเอาใจฉันเต้นอยู่ไม่เป็นสุข ไม่รู้ว่าโซ่จะมาไม้ไหนของเขากันแน่

    ฉันได้แต่หงุดหงิด ระบายอารมณ์ไปกับการล้างผัก และทำอาหารมื้อเย็นสองสามอย่าง มีทั้งผัดถั่วงอกหมูสามชั้นใส่วุ้นเส้น ผัดกะหล่ำปลีน้ำปลา กะเพราหมูสับ และทำไข่ดาวแยกไว้สามฟองโดยไม่นับรวมโซ่ ผักก็นำมาจากแปลงผักหลังบ้านที่เก็บมาจากตอนเย็นนั่นล่ะ พอหกโมงครึ่งอาหารและสำรับต่างๆ ก็จัดวางไว้เต็มโต๊ะเหมือนทุกวัน ส่วนอูมิฉันทำอาหารแยกไว้ต่างหากเป็นถั่วงอกหัวโตลวกคลุกน้ำมันงาของโปรดอูมิ แล้วก็ไข่ตุ๋นใส่เห็ดสับโรยหน้าด้วยต้นหอมสับละเอียด เนื่องจากตอนเย็นกินค่อนข้างช้าสำหรับเด็กๆ จึงจัดเป็นอาหารอ่อนๆ ให้อูมิทานแทน

    ฉันไม่ได้เลี้ยงลูกกินข้าวแบบแยกมื้ออาหารกับคนในบ้าน ฉันเลือกเลี้ยงลูกในแบบที่ฉันถนัดและสะดวกคือให้ลูกกินพร้อมกับผู้ใหญ่ อาจจะเพราะฉันสังเกตพฤติกรรมของอูมิพบว่าตอนที่อูมิกินข้าวคนเดียวจะกินไม่หมดจาน กินนิดหน่อยก็คายทิ้ง และจะปีนเก้าอี้มาแย่งกินข้าวกับมื้ออาหารของผู้ใหญ่แทน พอฉันปรับเวลาการกินข้าวของอูมิมากินพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในบ้านปรากฏว่าอูมิกินข้าวเกลี้ยงจานและเยอะจึ้นมาก ยิ่งเป็นผักที่อูมิช่วยปลูก อูมิจะทานมากกว่าปกติ ดังนั้นมื้อเย็นฉันก็จะเลือกทำอาหารอ่อนๆ ให้อูมิทาน จะได้ย่อยง่ายๆ หรือถ้าอูมิงอแงอยากกินอาหารของผู้ใหญ่ก็จะตักให้อูมิกินเสมอ

    ทั้งนี้ทั้งนั้นฉันไม่ได้บอกว่าวิธีของฉันคือสิ่งที่ถูกต้องตามหลักอนามัยของเด็กที่ควรจะเป็นหรอกนะ อย่างที่บอกไปข้างต้นคือฉันเลือกตามที่ฉันสะดวกและลูกก็ทานข้าวได้มากขึ้นกว่าเดิมมาก คนเป็นแม่ยังไงก็ต้องดีใจอยู่แล้วเมื่อเห็นว่าลูกของตัวเองกินข้าวเอร็ดอร่อยอย่างมีความสุข

    พ่อกับอูมิเล่นกันเสียงดังลั่นบ้าน ส่วนโซ่ยังอยู่บนบ้านไม่ลงมาข้างล่าง ด้านฟ่างที่ออกไปสอนพิเศษดนตรีให้กับเด็กๆ ตอนบ่ายสามโมงครึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์กลับเข้ามากินข้าวที่บ้าน ส่วนใหญ่เราจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาให้ครบแล้วค่อยกินข้าวพร้อมกัน พอฟ่างมาถึงบ้านฉันจึงตักข้าวใส่จานให้กับทุกคน และอุ้มอูมินั่งในเก้าอี้กินข้าวสำหรับเด็ก

    “โซ่ยังไม่ลงมาอีกเหรอ รินทร์ขึ้นไปตามหน่อยสิลูก” พ่อบอกกับฉันเมื่อฉันตักข้าวใส่จานยื่นให้

    “ทำไมต้องเป็นหนูล่ะคะ ในเมื่อพ่อให้เขามาพักบ้านเรา พ่อก็ไปตามเองสิ” ฉันพูดประชดพ่อ

    “โซ่มาพักบ้านเราเหรอ”

    ฟ่างที่เพิ่งล้างมือเดินกลับมาได้ยินก็เอ่ยถามขึ้นและมองหน้าฉันกับพ่อสลับไปมาเพื่อรอคำตอบ

    “ก็ใช่น่ะสิฟ่าง พ่อน่ะให้โซ่มาพักที่บ้านเรา แถมยังเป็นห้องของอูมิอีกนะ” ฉันฟ้องฟ่างทันทีเมื่อได้ยินประโยคคำถามนั้น ฉันว่าฟ่างต้องเข้าข้างฉันแล้วบ่นพ่อแน่ๆ

    “ก็ดีแล้วนี่ให้นอนห้องอูมิ หรือจะให้นอนห้องเดียวกับปุ้นล่ะ” ฟ่างพูดพร้อมกับหัวเราะราวกับว่าเป็นเรื่องตลกขบขันที่ได้ล้อฉันเล่น

    “ไม่ตลก!” ฉันพูดสั้นๆ พร้อมกับมองค้อนฟ่างอย่างหงุดหงิด

    “ล้อเล่นน่า! ว่าแต่ว่าโซ่มานอนบ้านเราทำไม หรือว่าจะตามมาง้อใครบางคน” ฉันรีบเตะขาน้องชายตัวเองจากใต้โต๊ะ และทำตาดุใส่ทันทีเมื่อฟ่างพูดจบประโยค

    โอ๊ย! ไอ้บ้าฟ่าง ไอ้น้องชายฝาแฝดนรก แกจะพูดทุกเรื่องที่แกรู้มาให้คนอื่นเขาสงสัยและรับฟังไม่ได้นะ ก็ไหนบอกว่าจะช่วยปิดเรื่องนี้กับพ่อไง พูดแบบนี้ออกไปพ่อก็สงสัยเรื่องของฉันกับโซ่พอดีเซ้

    “ง้อใคร?” พ่อถาม

    “เปล่าค่ะ ฟ่างมันก็พูดมโน ล้อคนนั้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยนั่นแหละ พ่ออย่าไปสนใจมันเลย” ฉันรีบแก้ตัวขึ้นมาก่อนที่พ่อจะสงสัยไปมากกว่านี้ ดูจากสายตาพ่อแล้วฉันเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้สิ ฉันหันหน้าไปสนใจอูมิที่ตักกินไข่ตุ๋นและหยิบถั่วงอกเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

    “เออจริงสิ ถั่วงอกที่เอามาผัดทำอาหารวันนี้ เป็นถั่วงอกที่อูมิปลูกเองด้วยนะ” ฉันบอกกับพ่อและฟ่าง

    “จริงเหรอ อูมิปลูกถั่วงอกเองเหรอคะ” พ่อก้มหน้าไปถามอูมิที่นั่งข้างๆ อูมิใช้มือเล็กหยิบถั่วงอกหัวโตคลุกงาเข้าปากก่อนจะตอบพ่อกลับ

    “อูมมิปุกเอง ยดน้ำด้วย” อูมิพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบถั่วงอกที่อยู่ในถ้วยเล็กยื่นป้อนพ่อฉันบ้าง

    พ่อฉันอ้าปากงับถั่วงอกในมือเล็กของหลานสาวตัวน้อยที่แววตากลมแป๋วอย่างเอ็นดูด้วยหน้าตาทะเล้น อูมิดีใจยิ้มจนตาหยีแล้วหยิบถั่วงอกชิ้นต่อไปป้อนเข้าปากให้ฉันต่อ

    “กินได้หรือยังอะ” ฟ่างถามขึ้นและจ้องไปที่อาหารอย่างตะกละตะกลาม

    “กินเลย” ฉันตอบ

    ในขณะที่ฟ่างกำลังจะเอื้อมมือไปตักอาหารตรงหน้าอยู่นั้นเอง พ่อก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “เดี๋ยวสิ! โซ่ยังไม่ลงมาเลยนะ โซ่อาจจะไม่รู้มั้งว่าเรากำลังจะกินข้าว ถ้ายังไงไปตามโซ่มากินข้าวก่อนสิ”

    ฉันได้แต่เงียบไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ พ่อจึงส่งสายตาไปมองฟ่างให้ไปตามโซ่แทนซึ่งแน่นอนว่าคนที่ได้รับภารกิจนี้ก็ต้องเป็นฟ่างแน่นอน ฟ่างทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน พอกำลังจะหมุนตัวไปเรียกโซ่ ปรากฏว่าคุณชายสายเสมอเค้าก็ลงมาจากบันไดพอดี

    “อ่าวโซ่! มาพอดีเลย พี่กำลังจะให้ฟ่างขึ้นไปเรียกให้ลงมากินข้าวพอดี”

    “อ๋อ ขอโทษทีครับ พอดีผมจัดของแล้วก็อาบน้ำก็เลยนานไปหน่อย” โซ่ตอบกลับอย่างนอบน้อม ฉันเดาทางเขาไม่ถูกเลยทีเดียว แม้แต่ฟ่างเองยังทำหน้าตาเลิ่กลักมองมาทางฉัน ฉันจะทำยังไงได้ล่ะนอกจากส่ายหัวไปมาไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น

    “ไม่เป็นไร มานั่งๆ ทานข้าวด้วยกัน”

    พ่อกวักมือเรียกโซ่มานั่งข้างๆ ด้วยความที่เป็นโต๊ะกลมๆ จึงทำให้ฉันกับโซ่นั่งเยื้องๆ เกือบจะตรงข้ามกันอยู่แล้ว

    “เดี๋ยวโซ่เค้าจะมานอนที่บ้านเราสามสี่เดือนนะ มาฝึกงานที่อู่น่ะ” พ่อพูดกลางวงกินข้าว

    “ฝึกงานอะไรน่ะ” ฟ่างถามขึ้นในขณะที่ยัดข้าวเต็มปากอย่างไร้มารยาท

    “ก็พวกเคาะ พ่น สีรถ แล้วก็แต่งรถนั่นแหละ” พ่อตอบ “เมื่อก่อนโซ่เค้าก็มากินนอนอยู่ที่อู่เราประจำ พ่อไม่มีเงินก็ได้เงินจากพ่อของโซ่นี่แหละที่มาช่วยขยายร้านของเรา สมัยนั้นจะไปกู้ธนาคารก็ไม่ได้ เป็นเด็กอายุยี่สิบปีเครดิตก็ไม่มี มีแต่ความฝัน แล้วก็ที่ดินของย่ากับบ้านไม้หลังเก่าๆ ก็เอามาต่อเติมเป็นอู่ซ่อมรถเล็กๆ พ่อโซ่เค้าเอารถมาซ่อมที่ร้านเราประจำ พ่อเลยกู้เงินเค้ามาลงทุน ผ่อนส่งทุกเดือนๆ เดือนไหนขาดก็บอกเสี่ยเสือได้ตลอด เดือนไหนรายได้ดีหน่อยก็กลบหนี้ไป” พ่อพูดอย่างภาคภูมิใจก่อนเล่าเรื่องของโซ่ต่อ “เมื่อก่อนโซ่เขามาอู่ซ่อมรถกับเสี่ยเสือบ่อย ก็เลยได้รู้จักมักจี่กัน สมัยมัธยมก็หนีออกจากบ้านมากินนอนอยู่ที่อู่นี้ด้วยนะ”

    พ่อเล่าจบก็เอามือไปตบไหล่โซ่เบาๆ “อยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ต้องกังวลอะไรมาก ทำตัวสบายๆ เหมือนบ้านตัวเองนั่นแหละ ส่วนอาหารการกินเดี๋ยวรินทร์เขาจัดการเอง แต่ที่นี่ไม่มีแม่บ้าน นายอาจจะต้องซักผ้าตากผ้าเองนะ”

    “ได้ครับไม่มีปัญหา” โซ่ตอบกลับ

    “พ่อพูดซะเหมือนบ้านเราไม่มีเครื่องซักผ้าใช้” ฟ่างพูดแทรก

    “ก็บอกโซ่ไว้ก่อนไง จะได้เข้าใจตรงกัน” พ่อหันไปพูดกับฟ่าง ก่อนสายตาจะจ้องไปที่อาหารบนโต๊ะ “ว่าแต่ทำไมไข่ดาวมีแค่สามฟองล่ะรินทร์” พ่อบุ้ยปากไปที่จานไข่ดาวที่ฉันทอดใส่จานแยกเอาไว้ต่างหากเพื่อที่จะไว้ตักใส่จานกินคู่กับกะเพรา

    “ก็คนละฟองไงคะ” ฉันตอบพ่อ "ปกติก็ทอดไข่ดาวแค่สามฟองนี่" ฉันไม่เข้าใจทำไมพ่อจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่กับแค่โซ่ย้ายมาอยู่ด้วย เรื่องไข่ก็ยังมีปัญหากับฉันอีกเหรอไง

    “สงสัยจะลืมนับโซ่สินะ ไม่เป็นไรเพิ่งมาอยู่วันแรกรินทร์น่าจะจำไม่ได้ รอบหน้าก็ทอดไข่เผื่อโซ่เค้าด้วยล่ะ” พ่อบอกกับฉัน แล้วใช้ช้อนส้อมหั่นไข่ดาวแยกออกจากกัน ครึ่งหนึ่งหยิบยื่นใส่จานให้กับโซ่ อีกครึ่งใส่จานของพ่อ “แบ่งไข่ดาวของพี่ไปกินก็ได้”

    ฉันได้แต่มองการกระทำของพ่อตาปริบๆ นี่พ่อจะปฏิบัติกับโซ่มากไปแล้วนะ กับอีแค่ไข่ดาวถึงกับต้องแบ่งกันกินแล้วก็หันมาออกคำสั่งฉันเลยเหรอ น่าน้อยใจชะมัด

    “ความจริงไม่ต้องตัดแบ่งให้ผมก็ได้ครับเสี่ย ผมไม่กินไข่ดาวก็ได้นะ”

    “ได้ยังไงกันล่ะ อยู่บ้านเสี่ยติณทั้งที จะมาอดมื้อกินมื้อไม่ได้นะ อาหารการกินก็ต้องกินกันอย่างเท่าเทียม” พ่อบอกกับโซ่

    “แล้วแบบนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าที่พักก็ต้องจ่ายด้วยสิคะ จะได้เท่าเทียมกันหมด เพราะว่าทุกวันนี้รินทร์เป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน” ฉันบอกกับพ่อและจ้องพ่ออย่างหาเรื่อง

    “จริงด้วย พ่อก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย มัวแต่รับงานลูกค้าวุ่นไปหมดเลยวันนี้ ตอนบ่ายโซ่โอนเงินมาให้พ่อแล้วหนึ่งแสนบาท ไว้ให้รินทร์ใช้จ่ายในบ้าน แล้วก็ค่าที่พักน่ะ” อะไรนะ? สามเดือนหนึ่งแสนเชียวเหรอ ไปเช่าหอพักหรือคอนโดหรูอยู่ เผลอๆ อาจจะถูกกว่านี้ด้วยซ้ำไป โซ่ท่าทางจะสมองกลับไปแล้วแน่ๆ “เดี๋ยวพ่อโอนเงินให้รินทร์นะ”

    ฉันผงกหัวรับได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้หนุ่มๆ เขาคุยกันต่อในระหว่างมื้ออาหารจนกระทั่งทุกคนทานข้าวหมดจานและอาหารบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง ฟ่างอุ้มอูมิลงจากโต๊ะและพาอูมิไปปั่นจักรยานเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้านเหมือนทุกครั้ง ช่วงเวลานี้ที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน ชาวบ้านกำลังออกกำลังกายกันเต็มสวน มีทั้งเต้นแอโรบิค เครื่องเล่นออกกำลังกายกลางแจ้ง วิ่ง ตีแบท สารพัดกิจกรรม ซึ่งอูมิจะชอบมากที่ไปเล่นของเล่นกับเด็กๆ ในชุมชน

    ฉันยังทำหน้าที่เดิมๆ คือเก็บกวาดเศษอาหารและล้างจาน พอทำงานบ้านเสร็จก็ต่อด้วยปั่นจักรยานไปตามสมทบฟ่างและอูมิที่สวนสาธารณะเป็นแบบนี้ประจำเกือบทุกวัน หากฟ่างไม่ว่างช่วงเย็นหรือติดงานก็จะเป็นฉันที่พาอูมิไปวิ่งเล่นแต่ก็ต้องหลังจากที่งานบ้านแล้วเสร็จ

    แกร๊ก!

    เสียงจานกองโตวางลงข้างๆ ฉันหันไปดูเพราะรู้ว่าไม่ใช่ฟ่างแน่ๆ โซ่เดินมาขนาบข้างแล้วพูดว่า “ให้ช่วยอะไรมั้ย”

    “ไม่ต้อง วางไว้อย่างนั้นนั่นแหละ เดี๋ยวฉันล้างเอง” ฉันตอบโดยไม่หันไปมองโซ่อีก ก้มหน้าล้างจานต่อไป แต่ใครจะไปคิดว่าโซ่จะรับจานที่มีฟองที่แันวางเอาไว้ที่ซิงก์น้ำอีกอัน หมุนก๊อกน้ำไปยังซิงก์น้ำดังกล่าวแล้วเปิดน้ำล้างจานต่อจากฉันอีกทอด ฉันมองดูการกระทำของโซ่อย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

    “ช่วยกันจะได้เสร็จไวๆ” โซ่พูดขึ้น เขาคงแอบเห็นสายตาของฉันที่ไม่ไว้ใจเขาสินะ

    “แล้วนี่นายไม่ไปอู่กับพ่อฉันหรือไง ไหนบอกว่าจะมาฝึกงาน”

    “อู่จะปิดแล้วนี่จะไปอู่อีกทำไม พ่อเธอไปดูความเรียบร้อยเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ว่าแต่ล้างเสร็จแล้วให้เอาจานวางไว้ที่ไหน” โซ่ถามกลับ ฉันว่ารอบนี้เขามาแปลกๆ หรือว่าฉันคิดมากจนทำให้กังวลไปนะ

    “เอาวางซ้อนๆ ไว้ตรงนี้แหละ” ฉันชี้ไปที่ชั้นวางจานสแตนเลสที่อยู่ตรงหน้า โซ่รับจานต่อจากฉันไปล้างและจัดเรียงจานที่ชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ

    เกินคาดไปมาก โซ่ทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนที่ทำอาหารด้วยกันที่ทะเลฉันแทบจะสอนเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะล้างจาน โขลกพริกกระเทียม หรือแม้แต่จะปิ้งกุ้ง แกะกุ้งก็ต้องสอนหมด ฉันมองดูโซ่อย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเขาแต่อย่างใด คนเราก็คงมีพัฒนาการเป็นของตัวเองบ้างตามกาลเวลาสินะ

    หลังจากล้างจานเช็ดถูเคาน์เตอร์และพื้นที่เปียกเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ฉันจะไปปั่นจักรยานออกกำลังกายที่สวนสาธารณะตามฟ่างและอูมิ ระหว่างที่ฉันกำลังเตรียมตัวจะออกไปปั่นจักรยานเล่น พ่อก็กลับเข้าบ้านมาพอดีหลังจากไปตรวจดูความเรียบร้อยที่อู่ พอเห็นฉันเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้าออกกำลังกายก็พูดขึ้นมาว่า

    “รินทร์ไปออกกำลังกายเหรอ พาโซ่ไปด้วยสิ” ฉันที่กำลังก้มลงพื้นและผูกเชือกอยู่หน้าบ้านถึงกับต้องหันควับไปมองพ่ออย่างรวดเร็ว สายตาเหลือบมองไปยังโซ่ที่นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาอย่างนึกหงุดหงิด

    นายมันตัวปัญหาอีกแล้วนะ!

    “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ที่บ้านดีกว่า”

    “เฮ้ยอะไรกันโซ่ มาอยู่บ้านเฉยๆ เหงาแย่เลย ไปเปิดหูเปิดตา ปั่นจักรยานออกกำลังกายเล่นที่สวนสิ รินทร์เค้าไปทุกเย็นแหละ ฟ่างกับอูมินำไปก่อนแล้ว นายก็อย่าเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ก็ไปออกกำลังกายแต่ในฟิตเนส ไปปั่นจักรยานเดินเล่นย่อยอาหารมื้อเย็นสิ รุ่นราวคราวเดียวกันทั้งนั้นเลยนี่” พอพ่อพูดกับโซ่จบก็หันมาออกคำสั่งกับฉันต่อ “รินทร์! ชวนโซ่ไปปั่นจักรยานเดินเล่นด้วยสิ เค้าจ่ายเงินมาตั้งหนึ่งแสนนะ เป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อยสิลูก”

    “พ่อยังไม่เห็นโอนเงินมาให้รินทร์เลย สั่งรินทร์อยู่นั่นล่ะ” ฉันบ่น

    “โอนไปให้แล้ว ยังไม่เช็คอีกเหรอไง” พ่อพูดจบฉันก็รีบเปิดมือถือดูทันที ปรากฏว่าพ่อโอนเงินให้ฉันจริงๆ เป็นจำนวนเงินหนึ่งแสนบาท “ทีนี้พาโซ่ไปด้วยได้ยัง” พ่อถามกลับ

    ฉันได้แต่มองหน้าโซ่อย่างเบื่อหน่าย โซ่ยกยิ้มอย่างมีเลศนัยน์อยู่หลังพ่อ ฉันรู้สึกได้ว่าโซ่กำลังมีแผนการชั่วร้ายบางอย่างที่แฝงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนกันแน่

    ไอ้ตัวเจ้าปัญหา ไอ้ก้างขวางคอ ฉันได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรมผงกหัวรับคำพ่อไป ขืนฟึดฟัดขัดคอพ่อขึ้นมา โดนจับได้เรื่องความสัมพันธ์กับโซ่ในอดีตมีหวังซวยทั้งขึ้นทั้งร่องแน่ๆ

    อยากจะบ้าตาย ฉันควรทำยังไงดีกับสถานการณ์ที่จะได้รอดพ้นจากโซ่ในแต่ละวัน สามเดือนจ๋า รีบๆ หมดไปไวๆ เถอะ แค่หนึ่งวันก็ทำให้เลือดในตัวสูบฉีดจนหงุดหงิดอยากปาข้าวของระบายอารมณ์อยู่แล้ว

    “แต่จักรยานเหลือคันเดียวนะพ่อ” ฉันย้อนพ่อกลับเมื่อนึกขึ้นได้ และพ่ออาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้โซ่ตามฉันไป โชคดีนะที่แันฉลาด ยังไงซะพ่อก็น่าจะเปลี่ยนใจ

    “จักรยานคันนั้นมันมีที่ซ้อนไม่ใช่เหรอไง หรือโซ่เอารถจักรยานพี่ไปปั่นก็ได้นะ พี่ไม่ว่า” โซ่หันไปมองจักรยานที่พ่อชี้นั่นก็คือจักรยานเสือภูเขาที่ยกเบาะขึ้นสูงที่พ่อหวงนักหวงหนา ปกติพ่อจะเอาไว้ปั่นออกกำลังกายกับเพื่อนฝูงเวลาออกทริปเท่านั้น

    “เอ่อคือ...ผมปั่นจักรยานไม่เป็น” โซ่ตอบแบบเก้ๆ กังๆ

    “อ่าวเหรอ” พ่อทำหน้าตกใจ แต่ก็แอบขำโซ่ ฉันได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบของโซ่ที่บอกกับพ่อ โกหกหรือเปล่าเนี่ย ตัวก็สูงอย่างกับเสาไฟฟ้า รถยนต์คันหรูก็ขับคล่อง จะปั่นจักรยานไม่เป็นได้ยังไง “จริงด้วย พี่ลืมไปว่าแกเคยปั่นจักรยานหัวแตกตอนเด็ก ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้าปั่นอีกเลย งั้นเอางี้ ซ้อนจักรยานรินทร์ไปก็แล้วกัน”

    ฉันได้แต่กระพริบตาถี่ๆ มองหน้าพ่อตัวเองเพื่อขอร้องให้เขาพูดใหม่ “พ่อ! รินทร์เป็นผู้หญิงนะ จะให้ผู้ชายมาซ้อนจักรยานได้ยังไงกัน ผู้ชายควรปั่นแล้วให้รินทร์ซ้อนสิ พ่อยอมเหรอให้ผู้ชายจับเอวลูกสาวตัวเองน่ะ อีกอย่างโซ่ก็สูงกว่ารินทร์ ขาก็ยาวกว่ารินทร์ รินทร์ปั่นไม่ไหวหรอก น่องสวยๆ ปูดกันพอดี”

    “งั้นก็เดินไปแทนก็แล้วกัน ไม่ต้องปั่น” พ่อยังคงหาเรื่องให้โซ่ไปกับฉันให้ได้

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ไปก็ได้ครับเสี่ย ดูทีวีอยู่ที่บ้านดีกว่า รินทร์เค้าคงลำบากใจ” โซ่บอกพ่อฉันอย่างสุภาพ เออไม่ไปก็ดี ลำบากคนอื่นเขา

    “อย่าพูดแบบนั้นสิโซ่ ไปเถอะ! จะมานั่งอุดอู้อยู่บ้านคนเดียวทำไม” พ่อหันไปบอกกับโซ่ “รินทร์! ไหนๆ ก็ออกกำลังกายแล้ว พาโซ่ซ้อนไปด้วยจะเป็นอะไรไป ถือว่าเพิ่มน้ำหนักทำให้ออกแรงมากขึ้น อีกอย่างมีแฟนแล้วไม่ใช่หรือไงจะกลัวอะไรกันล่ะ โซ่คงไม่จับเอวจนหักหรอก โซ่แต๊ะอั๋งก็มาบอกพ่อได้ เดี๋ยวพ่อจัดการเอง ใช่ว่าจะไม่รู้จักกันซะหน่อย”

    โอ๊ย! พ่อนะพ่อ ฉันจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย

    “ค่าให้ซ้อนจักรยานโว่ควรจ่ายรินทร์เพิ่ม 100 บาท จ่ายเพิ่มมาด้วยล่ะ” ฉันบอกกับโซ่ด้วยเสียงประชดพร้อมกับเดินไปจูงรถจักรยานแม่บ้านออกมาจากที่จอด

    “ยัยรินทร์ เดี๋ยวเถอะ!” พ่อทำเสียงดุใส่ฉันและยืนกอดอกดูฉันกับโซ่ปั่นจักรยานออกจากบ้าน สุดท้ายฉันก็ต้องปั่นจักรยานโดยมีโซ่นั่งซ้อนหลังเหมือนมีผีเกาะไหล่ขี่คอยังไงยังงั้น

    “ไม่ได้จับเอวนะ จับไหล่แทน แบบนี้ก็ไม่ต้องจ่าย 100 บาทใช่มั้ย” เสียงโซ่พูดขึ้นเมื่อนั่งลงเบาะจักรยานข้างหลัง

    “ไม่ต้องจับ อย่าจับไหล่ฉัน! ฉันไม่ชอบ”

    ฉันสะบัดมือโซ่ออกจากไหล่ พ่อจึงเดินมาจัดท่าให้กับโซ่ หมอนี่น่าจะกลัวจักรยานจริงๆ นั่นล่ะ เพราะแค่นั่งซ้อนยังตัวเกร็งแข็งทื่ออย่างกับไม้กระดานแน่ะ ยิ่งพ่อเดินมาจัดท่านั่งให้ โซ่ยิ่งตัวแข็ง สุดท้ายมือของโซ่ก็จับไปที่เบาะจักรยานแทน ตอนแรกฉันก็เกร็งที่มีคนซ้อนท้าย บังคับคอรถจักรยานโยกย้ายส่ายไปมา แต่พอเริ่มทรงตัวได้ก็ปั่นรอดปลอดภัย

    “หึ! คิดจะหนีก็หนีไม่รอดหรอกนะ”

    โซ่หัวเราะและพูดเบาๆ พร้อมกับดึงผมที่ฉันมัดขึ้นสูงเล่นจนหัวฉันโยกไปข้างหลัง

    “นายนี่มัน! แผนของนายใช่มั้ย”

    “เปล่าเลย ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น เธอก็เห็นว่าฉันปฏิเสธพ่อเธอไปตั้งหลายครั้ง จะบอกว่าแผนฉันได้ยังไงในเมื่อพ่อเธอเป็นคนพูดเองทั้งหมด” คำตอบโซ่ เล่นเอาฉันพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

    เออ! โซ่ก็ปฏิเสธพ่อจริงๆ นั่นแหละ แต่พ่อฉันนี่สิ อะไรกันนักกันหนานะ ตัวปัญหาไม่น่าจะอยู่ที่โซ่แล้วล่ะ แต่น่าจะเป็นพ่อมากกว่า เห็นทีฉันจะต้องทำอะไรซักอย่างกับพ่อแล้วล่ะ จะได้เลิกวุ่นวายสั่งฉันทำนั่นทำนี่ซักที ฉันก็เป็นพวกปฏิเสธไม่เก่งด้วยสิ โอ๊ย! อยากจะบ้าตาย

     


     


     


     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×