ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #30 : บทที่ 12 หมากของเอสเปรส(โซ่) [1]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.36K
      50
      18 มี.ค. 63

    ผมเอสเปรสโซ่

    ณ บ้านริมทะเล

    สองอาทิตย์ก่อนที่ผมจะไปเจอข้าวปุ้น

    “ไอ้โซ่จะไปงานแข่งรถที่บุรีรัมย์มั้ย ปีนี้บริษัทเยอรมันมาเป็นเจ้าภาพนะ” ไอ้มาร์คถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเดินกลับมาจากการสูบบุหรี่ก่อนหน้า

    “ช่วงนี้ว่าง ตกงาน ไปได้หมด” ผมบอกพวกมันก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเอง

    “แหม ตกงานแต่ก็มีเงินใช้ ดีจริงๆ ว่าแต่มึงทำไมทำหน้าเครียดจังวะ มีอะไรเล่าได้นะ”

    “ก็เรื่องเดิมๆ อยากล้มงานแต่งพี่น่ะ” ผมตอบเพื่อนไป ทั้งๆ ที่เรื่องนี้แทบไม่ได้คิดอยู่ในหัว แต่ก็อ้างให้เหมือนมีประเด็นขึ้นมา ความจริงผมกำลังคิดถึงใครบางคนที่ได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์แต่ไม่เห็นหน้าต่างหาก ยิ่งรู้ว่าเค้ามีลูกก็ยิ่งใจหาย

    “นี่มึงยังคิดจะขวางงานแต่งพี่สาวตัวเองอีกเหรอ ปล่อยเค้าไปเถอะ กูว่าไอ้พี่เมสอะไรนั่นก็ไม่ได้แย่นะ แม้ว่าแม่มันจะโกงเงินและใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายก็เถอะ” ไอ้มาร์คพูดพร้อมกับหยิบขนมเข้าปาก

    “ก็เพราะแบบนั้นไง กูถึงต้องขวาง เข้ามาทำให้ครอบครัวคนอื่นพังไม่พอยังจะล้างผลาญเงินที่ไม่รู้จักหามาเพิ่มอีก” ผมบอกกับมาร์ค เนื่องจากพี่ซีพี่สาวของผมคบกับไอ้เมสมาได้หลายปีแล้วจนตอนนี้ตัดสินใจจะแต่งงานกัน พ่อผมก็ไม่ได้ติดขัดอะไรยิ่งแม่ไอ้เมสไม่ต้องพูดถึง สนับสนุนทุกอย่างจนผมเริ่มหมั่นไส้ อยากจะล้มงานแต่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

    “หรือเราจะใช้แผนนี้” บาสที่เอาแต่นั่งกินข้าวเสนอความคิดเห็น ผมเหลือบตาไปมองบาสในขณะที่มันรีบเคี้ยวข้าวในปากก่อนจะเอ่ยปากเสนอแผนการของมัน “พอดีกูรู้ความลับไอ้เมส”

    “ความลับอะไรของมึง” ผมถามไอ้บาส เริ่มสนใจในแผนการของมันและจ้องมันเขม็งเพื่อรอฟังคำตอบ

    “ความลับที่ว่ามันทำข้าวปุ้นท้องแล้วไม่รับผิดชอบน่ะสิ นี่ก็ผ่านมาสองสามปีแล้ว ลูกข้าวปุ้นโตจนเดินได้แล้วนะ ไอ้เมสก็ยังไม่รู้เรื่องลูกของมันเลย เพราะข้าวปุ้นไม่ยอมบอก แต่ถ้าเราใช้แผนนี้ก็เท่ากับว่าเราไปหักหน้าปุ้นอีกนั่นดิ” ไอ้บาสพูดเองแล้วก็ตอบคำถามตัวเองไปพร้อมกัน

    แต่เดี๋ยวนะ! ข้าวปุ้นที่ไอ้บาสมันพูดถึงก็คือแฟนเก่าไอ้เมส นั่นหมายความว่าคือข้าวปุ้นที่ผมเคยคิดจะสานสัมพันธ์น่ะสิ ว่าแต่ข้าวปุ้นท้องเหรอ ผมจำได้ว่าข้าวปุ้นไม่เคยมีอะไรกับไอ้บาสนี่ เพราะผมคือคนแรกของเธอ

    “มึงเอาอะไรมามั่นใจ เท่าที่กูรู้แฟนเก่าไอ้เมสมีเสี่ยเลี้ยงไปแล้วนี่ เธออาจจะท้องกับเสี่ยหรือเปล่า” ผมยกเบียร์ขึ้นมาดื่ม แกล้งพูดทีเล่นทีจริงกับไอ้บาสบนโต๊ะริมสระ

    “เสี่ยอะไรของมึงวะครับเพื่อนโซ่! กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย กูพูดแบบนั้นเมื่อไหร่”

    “ตอนนั้นมึงเป็นคนบอกกูเองว่ามีเสี่ยมารับ กูจำได้” ผมเถียงกลับ พร้อมกับวางแก้วเบียร์ที่โต๊ะเสียงดังอย่างลืมตัว ไอ้บาสทำหน้าตกใจเล็กน้อย มันขมวดคิ้วบางเข้าหากันมองผมอย่างครุ่นคิด

    “กูพูดแบบนั้นเหรอ?”

    “ใช่ มึงเป็นคนบอกกูที่ใต้ตึกนิเทศศิลป์”

    “โห... นานสัส” ไอ้บาสโวยวายลั่น ผมได้แต่จ้องหน้ามันเขม็งอย่างหงุดหงิด “อ๋อ! ถ้างั้นกูนึกออกแล้วล่ะ ใช่ตอนที่มึงคุยกับเสี่ยติณใต้ตึกเรื่องมึงจะไปฝึกงานกับเขาที่อู่ปะ” ผมยักคิ้วขึ้นเพื่อเป็นการตอบรับ “ก็กูเห็นว่ามึงพูดคุยกับเสี่ยอยู่ แล้วจู่ๆ มึงก็ถามถึงเรื่องข้าวปุ้น กูก็เลยบอกว่าเสี่ยมารับ ปกติมึงเอารถไปแต่งที่ร้านเสี่ยติณนี่ กูก็นึกว่ามึงเข้าใจ แต่จะว่าไปก็ขำมึงนะ มีครั้งหนึ่งที่มึงหนีออกจากบ้านตอนมัธยม มึงก็บอกกูว่ามึงไปอยู่บ้านเสี่ย จำได้ว่าตอนนั้นกูเข้าใจว่ามึงเป็นเกย์มีเสี่ยใจดีรับเลี้ยงเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์จนแม่มึงต้องมาตามที่โรงเรียนซะอีก ที่ไหนได้ไปนอนดูรถที่อู่”

    ผมนั่งมองหน้าไอ้บาสจนแทบอยากจะหักคอมันทิ้ง ทำไมตอนนั้นมันไม่พูดชัดๆ ขยายความแบบวันนี้วะ

    “เสี่ยที่มึงพูดถึงในตอนนั้น ก็คือเสี่ยติณเหรอ”

    “อืมใช่ เสี่ยติณเจ้าของอู่ดับเบิลอาร์ที่มึงเคยเอารถไปแต่ง แล้วก็ให้ที่ซุกหัวนอนมึงตอนมึงหนีออกจากบ้านนั่นแหละ เขาเป็นพ่อจริงๆ ของข้าวปุ้น” พ่อเหรอ? ไม่ทันที่ผมได้นึกอะไรต่อ ไอ้บาสก็ถามผมถึงเรื่องราวในอดีต “ว่าแต่ตอนนั้นมึงไปฝึกงานที่อู่ของเสี่ยเขาปะวะ?”

    “เปล่า กูไม่ได้ไปฝึกงานที่นั่น เพราะอู่เสี่ยไม่ได้รับประเมินนักศึกษาฝึกงาน เสี่ยก็เลยแนะนำเพื่อนเค้าที่ชื่อปราบเป็นเจ้าของโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์ แล้วก็มีอู่ขนาดใหญ่สำหรับรถไฟฟ้า รถยุโรป ที่นั่นเค้ารับนักศึกษาฝึกงาน กูก็เลยไปฝึกงานที่นั่นแทน”

    “อ๋อ กูจำได้ละ! ที่จู่ๆ มึงก็หายหน้าหายตาไปจากเพื่อนฝูง คนบ้าอะไรอยู่ได้เป็นวันๆ ที่อู่ซ่อมรถ ถ้าเป็นสนามแข่งรถไม่ก็รถแต่งก็ว่าไปอย่าง”

    “กูอยากมีอู่ซ่อมรถเป็นของตัวเอง” ผมตอบสั้นๆ พร้อมกับหยิบทาโร่อบที่พวกผู้หญิงในกลุ่มทำมาวางให้

    “เดี๋ยว! แต่บ้านมึงนำเข้าส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำเชียวนะ มีแต่รวยกับรวย มึงจะเปิดอู่ทำไม กูว่ามึงไปช่วยพ่อมึงจัดการเรื่องที่บริษัทไม่ดีกว่าเหรอ จะปล่อยให้แม่เลี้ยงมึงใช้เงินออกหน้าออกตาสังคมไปวันๆ หรือไง”

    “ช่างเถอะ กูขี้เกียจยุ่ง ปัญหาของพ่อ สร้างมาก็รับผิดชอบเอง กูไม่อยากสนใจแล้ว” ผมตอบปัดๆ

    “บาสมึงก็ไปยุ่งกับมันจังวะ แค่มันหนีจากคุกกี้ได้ก็นับว่าบุญแล้ว” มาร์คพูดอย่างขำๆ ก่อนที่จะยกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่ม “ว่าแต่มึงไปจับผิดคุกกี้ได้ยังไง”

    “กูไม่ได้จับผิด กูก็อยู่ของกู เที่ยวเล่นเรียนของกูปกติ คุกกี้มันก็คงเบื่อกูนั่นแหละมั้งที่กูไม่ได้สนใจ ก็ไม่ได้แปลกอะไรที่จะไปมีคนอื่น” ผมพูดไปพร้อมกับกอดอกตัวเองไปด้วย ไม่ได้อยากปลอบใจตัวเองหรอก แต่แค่รู้สึกว่าผมไม่น่าเสียเวลาลองใจตัวเองแล้วใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเลย

    “ถามจริงมึงคบกับคุกกี้เพราะมึงชอบจริงๆ หรือว่าพ่อแม่รู้จักกัน ก็เลยแนะนำให้คุยกันตั้งแต่เด็กๆ”

    “มึงคิดว่าไงล่ะ สังคมกูก็มีแค่นี้ ถ้าพวกมึงไม่ชวนกูเที่ยว เล่นบอล กูก็ไม่รู้จะทำอะไร”

    ผมตอบกลับไปตามความจริง ผมมองย้อนกลับไป ผมแทบไม่ค่อยรู้จักใครเลยนอกจากลูกของเพื่อนแม่ ลูกของเพื่อนพ่อที่ มักพามาทำความรู้จักกันจากการที่ผู้ใหญ่นัดกันเที่ยว จึงพาลูกๆ ตามติดมาด้วย นัดเจอกันตามร้านอาหาร งานเลี้ยง ไม่ก็ตามงานสังคมต่างๆ

    ส่วนโรงเรียนส่วนใหญ่ก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย ทำกิจกรรมลุยๆ เพื่อนผู้หญิงก็มีบ้าง เข้ามาสนิทกันเมื่อไหร่ก็มีแต่เรื่องอย่างว่าทุกที เอาจริงๆ เรื่องแฟนหรือเรื่องความรักไม่ได้เป็นจุดที่ผมสนใจ ผมก็เลยไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจอใครแล้วคบหาดูใจกันยาวๆ ผมรู้แค่ว่าความรักที่แท้จริงของผมก็คือครอบครัว แต่อาจเพราะผมมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการมีครอบครัวนัก จากการเห็นพ่อกับแม่ไปกันไม่รอดด้วยมั้ง ผมก็เลยไม่อยากเดินรอยตามโดยไม่มีแผนประกอบ

    ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือการได้ทำในสิ่งที่ชอบ การเห็นรถของเล่น การได้เห็นรถวิ่ง การได้ดูชิ้นส่วนรถ การได้ประกอบรถ ซึ่งบอกตามตรงว่าที่บ้านไม่ได้สนับสนุน แต่ผมเองนั่นแหละที่ดื้อรั้น

    จะว่าไปผมก็เป็นคนเข้าใจยากใช่ไหมล่ะ แต่ก็นั่นแหละ บางทีชีวิตก็ไม่มีเหตุผลประกอบกับความรู้สึกคนเท่าไรหรอก

    “ตกลงข้าวปุ้นท้องกับไอ้เมสแน่ใช่มั้ย” ผมถามย้ำไอ้บาส

    “เออ น่าจะใช่นะ! เท่าที่รู้จักปุ้นมาก็เห็นคบแต่กับไอ้พี่เมส แล้วหลังจากที่เลิกกันปุ้นก็ไม่ได้คบกับใครแล้วนี่ ก็น่าจะเป็นไอ้พี่เมสนั่นแหละ แต่มึงอย่าไปใช้แผนนี้ทำลายงานแต่งพี่มึงเลย สงสารข้าวปุ้นอย่าลากเธอมาเกี่ยว เพราะเอาจริงๆ เสี่ยติณเค้าก็ไม่รู้ว่าข้าวปุ้นน่ะท้องกับใคร”

    “พูดแบบนี้หมายความว่าไง” ผมย้อนถามไอ้บาส

    “ก็” ไม่ทันบาสจะพูดตอบผม ปุยฝ้ายแฟนมาร์คก็เดินมาพอดี

    “ใครก็ได้ไปดูท่อน้ำหลังบ้านให้หน่อยดิ เหมือนท่อจะแตกอะ น้ำไหลมาจากไหนไม่รู้เต็มเลย” พวกเราสามคนจึงจบบทสนทนากันแค่นั้น และไม่ได้คุยกันต่อ เพราะต้องไปดูท่อน้ำหลังบ้านแทน

    แต่ผมนี่สิ! รู้สึกแครงใจแปลกๆ ปุ้นจะท้องกับไอ้เมสจริงเหรอ ยิ่งได้เห็นหน้าเด็กและได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ที่แอบฟังจากปุยฝ้าย ผมก็รู้สึกหวั่นใจกลัวจะเป็นลูกของตัวเองขึ้นมาเสียดื้อๆ

    ผมชอบเด็กเสียที่ไหนกันล่ะ ออกจะรำคาญเด็กด้วยซ้ำไป แล้วถ้าเด็กคนนั้นคือลูกของผมขึ้นมาจริงๆ

    ผมควรทำยังไงล่ะทีนี้? นี่ไม่เท่ากับว่าทิ้งเด็กให้ไร้พ่อไปสองปีกว่าเลยเหรอ


     

    สนามแข่งรถ

    หลังจากดูการแข่งขันรถรอบสามจบ พอดีว่าปวดท้องจึงแยกตัวจากเพื่อนๆ ไปเข้าห้องน้ำ และบังเอิญเจอกับรุ่นพี่ที่เคยฝึกงานด้วยกันพอดีจึงมีโอกาสได้คุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน รุ่นพี่จึงพาผมไปดูรถโซนที่จัดแสดงโชว์

    ปึก!

    เด็กผู้หญิงกระโปรงขาวสะอาดตัวเล็ก มัดผมจุกสองข้างพร้อมกับโบว์สีชมพู ชนเข้ากับขาของผมจนล้มก้นกระแทกพื้น พอผมจะยื่นมือเข้าไปช่วยกลับลุกขึ้นเองโดยที่ผมไม่ทันได้ตอบหรือถามอะไรด้วยซ้ำ เด็กตัวเล็กก็หัวเราะชอบใจแล้ววิ่งไปอย่างอารมณ์ดี

    ผมได้ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะอย่างที่บอกผมไม่ได้ชอบเด็ก ทั้งชีวิตยังไม่เคยอุ้มเด็กด้วยซ้ำ แค่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยก็นับว่าเด็กคนนั้นมีบุญเท่าไรแล้วที่คนอย่างผมจะช่วย แต่ไม่ร้องไห้ก็ดีแล้วล่ะ ผมปลอบใครเป็นที่ไหน ยิ่งกับเด็กตัวกระเปี๊ยกยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ ถ้าร้องไห้จะเอาผ้าอุดปากให้

    “เด็กคนนี้เต้นเก่งจริงๆ เลย”

    ขณะที่ผมกำลังยืนดูรถอยู่นั้นเอง พี่เบียร์รุ่นพี่ผมก็พูดขึ้นมาแล้วก็เอาแต่หัวเราะ ด้วยความที่ผมไม่ชอบเด็กจึงไม่ได้สนใจมากนัก จนกระทั่งพี่แกตบมือตามจังหวะและหัวเราะ จึงหันไปแซวแกซักหน่อย

    “มีเพิ่มอีกซักคนสิพี่” พูดจบผมก็หันไปมองตามสายตาพี่เบียร์

    “ไม่ไหวแล้วว่ะโซ่ สามคนก็หาเงินให้ใช้ไม่ทันแล้ว” พี่เบียร์ตอบกลับพร้อมกับส่ายหัวไปมา

    เด็กตัวน้อยที่เพิ่งชนผมล้มก่อนหน้านั้นเต้นตามจังหวะเพลงที่เปิดในงาน โยกย้ายไปมา หัวเราะเอิ้กอ้ากเสียงดังลั่น จนสามารถเรียกสายตาและกล้องมือถือของผู้ใหญ่หลายคนยกขึ้นมาถ่ายรูปและคลิปวิดิโอ

    “อารมณ์ดีจริงๆ เลย”

    เสียงชมและเสียงหัวเราะของคนรอบข้างต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน จนกระทั่งชายที่ผมคุ้นหน้าแต่ไม่ได้เจอมานานก็เดินเข้ามากลางวงและอุ้มเด็กตัวน้อยขึ้นบ่า

    เสี่ยติณ!!

    “เต้นแค่นี้ก็พอแล้วอูมิ เดี๋ยวเป็นลม” พูดจบก็ยื่นขวดน้ำขนาดเล็กให้กับเด็กน้อยในอ้อมกอด

    “อูมมิจ้อบเต้น”

    เด็กตัวน้อยพูดจบก็ใช้ปากเล็กคาบหลอดดูดเพื่อดูดน้ำ หยาดเหงื่อติดตามไรผมแสดงออกถึงความร้อนจากอากาศว่าตอนนี้ร้อนขนาดไหน สายตาบ้องแบ๊วไร้เดียงสาเงยหน้าจากขวดน้ำจับจ้องมาที่ผม ก่อนจะส่งสายตาหวานและยิ้มกินใจมาให้ เมื่อรู้ว่าผมกำลังจับจ้องอยู่

    ในหัวผมตอนนี้บอกตามตรงว่าคิดประติดประต่อเรื่องที่รับรู้มาในระยะเวลาสั้นๆ ค่อนข้างไว เสี่ยติณมากับเด็กผู้หญิงแม้ไม่ได้ยินชื่อชัดมากนักเพราะเสียงเพลงในงานค่อนข้างดัง แต่ก็พอจะเดาออกได้ว่าน่าจะคือหลานของเสี่ย

    ผมไม่รอช้ารีบสาวเท้าเดินไปสวัสดีเสี่ยติณอย่างเสนอหน้า

    “สวัสดีครับเสี่ย” ผมยกมือไหว้สวัสดีเสี่ยพร้อมกับมองดูเด็กตัวเล็กในอ้อมกอดของเสี่ยติณ

    “โซ่เหรอ? เฮ้ย! เป็นยังไงมายังไงวะ ไม่เจอกันนานเลย”

    “พอดีผมไปเรียนต่อน่ะครับ ก็เลยหายหน้าหายตาไปสักพัก ว่าแต่เราสองคนไม่เจอกันนานเลยนะครับ เผลอแป๊บเดียวมีสาวน้อยมาเพิ่มหนึ่งคนแล้วเหรอครับเนี่ย น่ารักเชียว” ผมแกล้งหลอกถามตามนิสัยส่วนตัว

    “พูดไปนั่น พี่ยังไม่มี นี่หลานสาว ลูกของลูกสาวน่ะ”

    “ลูกสาว?” ผมย้อนถามสั้นๆ

    “ใช่แล้วล่ะ! รินทร์ลูกสาวที่เคยตามหาน่ะ ตอนนี้เจอแล้ว เจอลูกทีก็เป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดละ แถมมีเจ้าตัวเล็กจอมซนมาให้เลี้ยงเพิ่มอีก” ผมผงกหัวรับ ชื่อรินทร์เหรอ?

    “ลูกสาวเสี่ยชื่อเล่นข้าวปุ้นหรือเปล่า” ผมถามกลับแม้รู้ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเสี่ยติณเขาก็ตาม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามานึกคิดเรื่องส่วนตัวอะไรแล้ว ผมแค่อยากได้ยินจากปากเสี่ยมากกว่าได้ยินจากปากของคนอื่น

    “เฮ้ย! นายรู้ได้ไง รู้จักนิรินทร์เหรอ” เสี่ยติณย้อนถามผม

    “นิยิน แม่อูมมิก๊า” เด็กตัวเล็กยกมือขึ้นสูงและมองหน้าผมด้วยสายตาหวานเหมือนปุ้นไม่มีผิด แต่ผมว่าส่วนประกอบหน้าตาอื่นๆ ไม่ใช่ไอ้เมสแบบที่ไอ้บาสพูดเลยสักนิด พอมองชัดๆ ดีๆ เหมือนเห็นตัวเองในร่างเด็กผู้หญิงที่มีดวงตาของปุ้นทับอยู่ไม่ผิดแน่

    “จ้องขนาดนี้ อุ้มมั้ย?” เสี่ยติณพูดพร้อมกับทำท่าทางยักไหล่จะโยกตัวเด็กตัวเล็กส่งให้ผม ผมหลบตัวถอยหนี

    “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่เคยอุ้มเด็ก กลัวจะทำลูกคนอื่นตก”

    “เออ! ถามไปงั้นแหละ ดูท่าทางแกก็ไม่น่าจะเป็นมิตรกับเด็กเท่าไร”


     

     

     

     

    error loaded


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×