ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #28 : บทที่ 10 สบายดีมั้ย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      63
      16 มี.ค. 63

    “แม่ยิน” (แม่รินทร์) “แมะยินอยู่ไหน”

    เสียงเล็กดังขึ้นแจ้วๆ ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาออกแบบตุ้มหู้อยู่ที่โต๊ะทำงาน

    “แม่ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะนั่นไง อูมิแกล้งไม่เห็นอีกแล้วนะ เดี๋ยวเถอะ!” ฟ่างทำเสียงดุปนหัวเราะใส่อูมิ ฉันเหลือบตาขึ้นมองในขณะที่มือก็วาดแบบตุ้มหูบนโต๊ะทำงานไปด้วย

    “อะไรกันน้าหลาน พาอูมิไปปั่นจักรยานมาแล้วเหรอ” ฉันถามฟ่างเมื่อเจ้าตัวอุ้มอูมิเดินมาทางฉัน

    “อื้ม อูมิบ่นหิวข้าว จะขอกินไอศกรีมลุงรถเข็น” ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องอูมิกับฟ่างสลับกันไปมา “มองแบบนี้หมายความว่าไง ฟ่างไม่ได้ให้อูมิกิน พ่อต่างหากที่ให้อูมิกินน่ะ” ฟ่างรีบแก้ตัว

    “อูมมิไม่โป่ย อูมมิกินได้ก่ะแม่ยิน” อูมิรีบแก้ตัวทันทีเมื่อฟ่างพูดจบ

    ลูกคนนี้นี่เถียงเก่งตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกเลยแฮะ

    “แต่อูมิเพิ่งหายป่วยนะคะ นี่คงใช้ลูกไม้เดิมๆ แกล้งงอนน้ารันดร์แล้วให้น้ารันดร์ซื้อไอศกรีมให้ใช่มั้ย สารภาพมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉันถามอูมิพร้อมกับทำหน้าดุๆ ใส่ แต่เด็กตัวน้อยวัยสองขวบเศษกลับยิ้มหัวเราะชอบใจจนฉันกับฟ่างได้แต่ส่ายหน้าไปมา กลัวเสียที่ไหนกันล่ะ ถูกตาทวด ยายทวด รวมถึงตาติณที่มักแทนตัวเองว่าเตี่ยตามใจจนเสียนิสัยไปแล้ว

    การที่พ่อติณ พ่อแท้ๆ ของฉันแทนตัวเองว่าเตี่ยกับอูมิเนื่องจากเลี่ยงการตอบคำถามจากลูกค้าและคนรู้จักที่เอารถมาซ่อม เคาะ พ่น ทำสี แต่งรถที่ร้านเป็นประจำ ในขณะที่เพื่อนของพ่อวัย 40 ปีบางคนเพิ่งแต่งงาน บางคนก็เพิ่งมีลูกเล็กเด็กแดงอายุพอๆ กับอูมิ เวลาไปกินข้าวกับเพื่อนของพ่อติณทีไรฉันล่ะขำเพื่อนของพ่อแซวพ่อทุกที

    ด้านฉันกับฟ่างยังคงแทนตัวเองเหมือนเดิมคือปุ้นและฟ่าง แต่คนอื่นๆ ในบ้านกลับชินที่จะเรียกเราแฝดพี่น้องเป็นชื่อจริงคือนิรินทร์ นิรันดร์ หากเป็นเมื่อก่อนฉันคงหัวดื้อไม่ให้ใครเรียก แต่ตอนนี้กลับใจอ่อนกับความใจดีของคนในบ้านพ่อ ที่ให้ทั้งความรักและความเอ็นดูเราสองคนพี่น้องมาโดยตลอดระยะเวลาที่ฉันย้ายเข้ามาอยู่

    ช่วงปีก่อนแม่ฉันกลับมาที่เมืองไทยเพื่อมาดูอูมิ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นครั้งแรกหลังจากที่พ่อติณไม่ได้เจอแม่มานาน 21 ปีเต็ม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ฉันขอละในฐานที่เข้าใจเนื่องจากว่าแม่ฉันพาสามีฝรั่งมาด้วย ฉันพอจะมองออกว่าพ่อยังคงมีใจให้แม่อยู่บ้าง แต่สำหรับแม่ ฉันก็พอจะดูออกว่าหมดใจรักพ่อติณไปนานมากแล้ว ในแววตาของแม่ค่อนข้างว่างเปล่า ทั้งสองคนคุยกันไม่เยอะ เป็นพ่อติณเองที่เดินเลี่ยงและยืนอยู่ห่างๆ

    หากพูดตามเนื้อผ้าถึงความสัมพันธ์ก็นับว่านานมากที่ทั้งสองคนจบคำว่าชีวิตคู่ลง แม่ฉันเองก็เริ่มต้นใหม่กับผู้ชายไปแล้วถึงสองคน ส่วนพ่อติณนั้นก็ไม่คบใครจริงๆ จังๆ ซักคน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเหมือนพ่อติณยังฝังใจกับเรื่องของแม่ไม่หายเลยไม่อยากจะเริ่มต้นกับใครใหม่สักที แต่ไม่ได้หมายความที่ผ่านมาพ่อติณจะไม่มีผู้หญิงมาแวะเวียนหรือข้องเกี่ยว ปกติเคยเห็นแต่ผู้ชายเริ่มต้นใหม่กับใครง่ายๆ ส่วนผู้หญิงจะเริ่มต้นใหม่ยาก กรณีพ่อแม่ฉันนั้นขอยกไว้เป็นกรณีพิเศษก็แล้วกันนะ

    แม่ฉันถึงแม้จะผ่านการมีลูกมาแล้วแต่ก็มีลูกตอนอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตายังคงคล้ายเดิม อีกทั้งแม่เป็นคนดูแลตัวเองค่อนข้างดี รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ตอนอยู่ไทยแม่ฉันเปลี่ยนอาชีพค่อนข้างบ่อย เคยทำงานเป็นพนักงานขายรถ รับงานเสริมถ่ายแบบบ้างแต่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร จึงต้องดูแลตัวเองตลอดเวลา ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิดที่พ่อติณยังมีแววตาความรักให้แม่อยู่ หากมองไปลึกๆ พ่อติณอาจจะรู้สึกผิดกับแม่ด้วยก็ได้ ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่มากนัก จนกระทั่งได้เจอคความสัมพันธ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกจนมีอูมิเด็กวุ่นวายจอมซน ถึงกับบางอ้อ!

    ‘บางครั้งความรักก็ไม่ต้องไปทำความเข้าใจมากนักหรอก แค่รักก็สุขใจแล้ว ความสัมพันธ์บางทีก็ไม่ต้องไปผูกมัดกันหรอก แค่เห็นอีกฝ่ายมีความสุขก็ยินดีมากแล้ว’ เหมือนตอนนี้ที่ฉันมีอูมิอยู่ข้างๆ จากก่อนหน้าที่อยากปลิดชีวิตเขา ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากมีภาระ แต่ตอนนี้กับรู้สึกว่าอูมิคือความสุขของฉัน อูมิคือทุกอย่างในชีวิต เป้นของขวัญที่โซ่มอบให้แม้เขาจะไม่รู้ตัวเองก็เถอะ

    ฉันไม่ได้บอกว่าความคิดของฉันดีที่สุดบนโลกใบนี้ แต่ฉันคิดแบบนี้แล้วมีความสุข ให้อภัยพ่อติณ ให้อภัยทุกอย่าง ฉันจึงเลือกที่จะคิดและดำรงชีวิตของตัวเองอย่างเงียบๆ ในเส้นทางที่ฉันเลือกเดิน ไม่ได้ไปเรียกร้องสิทธิ์ หรือโพสต์รูปลูกให้เพื่อนๆ หลายคนสงสัยจนเรื่องราวตีกลับไปหาโซ่ให้เขาเดือดร้อนใจ

    ฟ่างปล่อยอูมิลงก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งที่โซฟาแล้วกดรีโมตเปิดทีวี ส่วนอูมิพอลงจากฟ่างได้ก็วิ่งมาหาฉัน ปีนป่ายขอนั่งที่ตักเพื่อดูว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ ความจริงอูมิเป็นเด็กชอบเรียกร้องความสนใจเล็กๆ ด้วยแหละ หากไม่สนใจหรือมองหน้าเขาจะรีบวิ่งมาออดอ้อนขอดู ขอมองด้วยทันที

    “อันนี้อะไรก๊ะ” อูมิใช้นิ้วจิ้มที่กระดาษที่ฉันกำลังวาดอยู่

    “ตุ้มหูค่ะ” ฉันตอบอูมิไปพร้อมกับยิ้มให้กับลูกสาวจอมแก่น

    “แล้วอันนี้ล่ะคะ” อูมิชี้นิ้วไปยังกระดาษอีกแผ่น

    “อันนี้เหรอคะ เป็นสร้อยคอค่ะ”

    “อูมิก็มีช่อย” อูมิเอามือข้างซ้ายทาบที่อกของตัวเองหยิบสร้อยให้ฉันดู “เหมือนอูมิเยย”

    “คล้ายๆ กัน แต่ไม่เหมือนค่ะ ที่แม่วาดเป็นคอลเลคชั่นรูปเต่าพันปี ใส่แล้วอายุยืนเหมือนเต่า แต่ว่าของอูมิเป็นห่วงโซ่ จี้ที่อูมิใส่เป็นรูปข้าวในถ้วยกาแฟ เม็ดข้าวก็หมุนที่ถ้วยกาแฟได้ แต่พี่เต่าเค้าหมุนไม่ได้ค่ะ แม่ออกแบบให้เองไม่ซ้ำใครอยู่แล้ว” ฉันบอกกับอูมิ เด็กน้อยยิ้มรับแล้วเอามือเล็กหมุนจี้สร้อยที่เป็นรูปข้าวในแก้วกาแฟไปมา

    “ของอูมิจ๋วย”

    “ใช่ค่ะ ของอูมิสวยที่สุดในโลกเลย แต่ตอนนี้อูมิต้องไปอาบน้ำได้แล้วนะคะ ไปปั่นจักรยานมาตัวเหม็นมากๆ เลย แม่กอดแล้วจะเป็นลมคาโต๊ะทำงานแล้วค่ะ” อูมิที่รักสวยรักงามตั้งแต่เด็กรีบไถตัวลงจากตักฉันเมื่อบอกว่ากลิ่นตัวเหม็น จากนั้นก็วิ่งนำไปยังห้องน้ำทันที

    “หลอกเด็กเก่ง” ฟ่างพูดขึ้นมาลอยๆ ทำเอาฉันปาปากกาใส่หัวทันทีเมื่อมันพูดจบ “เจ็บนะ!”

    “สมน้ำหน้า! ว่าแต่วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ” ฉันถามฟ่าง

    ตอนนี้ฟ่างก็ทำงานจับฉ่าย ไปช่วยพ่อที่อู่แต่งรถบ้าง พอเสาร์อาทิตย์ก็ไปเป็นคุณครูสอนดนตรีให้เด็ก และมีอาชีพเสริมเป็นนักแต่งเพลงให้กับค่ายเพลงของพาร์ทด้วย ซึ่งฉันก็ถามมันนะว่าทำไมไม่ออกเพลงทำวงกับพาร์ทเหมือนเมื่อก่อน ฟ่างก็บอกว่าไม่อยากให้สาวตามกรี๊ด ซึ่งฉันได้แต่ถอนหายใจกับคำตอบของมัน

    และได้รับรู้ความจริงเมื่อพาร์ทเล่าให้ฟังว่ามีแฟนคลับคนหนึ่งตามกรี๊ดฟ่าง ชนิดที่ว่าฟ่างไปไหนเขาก็ตามไปด้วย ตามมาส่งถึงที่พักเป็นเดือนๆ สืบเบอร์โทร ส่งของขวัญมาให้ แท็กไอจี ส่งข้อความมาหาทุกช่องทางการติดต่อ หลังจากนั้นมันก็กลัวจนต้องออกจากวงดนตรีและหันไปทำงานเบื้องหลังแทน ความจริงน่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีคนชอบเรา แต่ฉันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฟ่างแน่ๆ เพราะฟ่างเป็นคนชอบอิสระในชีวิต อารมณ์ศิลปิน ชอบอยู่แบบสันโดษ วันไหนคึกก็พูดมาก วันไหนติสก็ถามคำตอบคำ นี่ฉันก็ยังงงว่ามันสอนดนตรีให้เด็กๆ ได้ยังไง เขาจะรู้เรื่องกับมันหรือเปล่า

    ส่วนฉันเรียนจบปริญญาตรีเมื่อไม่นานมานี้เองหลังจากหยุดเรียนไปหนึ่งปี ตอนนี้ยังไม่คิดเรียนต่อใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากต้องดูแลอูมิ จึงทำธุรกิจขายเครื่องประดับออนไลน์อยู่ที่บ้าน มีทั้งตุ้มหู สร้อยคอ กำไร โดยมีอูมิเป็นนางแบบตัวน้อยช่วยขายของด้วย โชคดีที่ทำมาตั้งแต่ตอนเรียนจึงทำให้พอมีลูกค้าประจำบ้าง ในเพจมีคนกดไลค์ค่อนข้างเยอะ จึงทำให้เงินหมุนเวียนเรื่อยๆ โดยไม่ต้องขอพ่อเพิ่ม แต่ฉันก็มีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนเดิมอยู่ดี ยิ่งถ้าจับได้ว่าพ่อพาผู้หญิงมานอนค้างที่บ้านฉันจะโมโหมาก แม้พักหลังพ่อจะพาไปเสพสุขที่อื่นแล้ว แต่ถ้าฉันจับได้เมื่อไหร่บ้านก็แตกทุกที

    ไม่ใช่ว่าฉันไม่เปิดใจให้พ่อมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาดูแลหรอกนะ แต่เพราะว่าพ่อฉันไม่ยอมสนใจผู้หญิงคนไหนจริงๆ จังๆ หรืออยากเริ่มต้นกับใครใหม่ซักทีน่ะสิ เดี๋ยวก็ควงคนนั้น เดี๋ยวก็ควงคนนี้ บางทีก็ซื้อบริการกับสาวๆ ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะบ่นหรอกนะแต่เพราะกลัวว่าพ่อจะติดโรคไม่พึงประสงค์ขึ้นมาน่ะสิ ถึงต้องย้ำพ่อแล้วย้ำพ่ออีกให้ป้องกันด้วย ซึ่งพ่อก็รับปาก แต่ลับหลังฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำได้หรือเปล่าหรือแค่รับปากไปส่งๆ แค่นั้น

    ฉันเดินตามอูมิไปยังห้องน้ำ เตรียมน้ำใส่กะละมังในขณะที่อูมิก็ถอดเสื้อผ้าเองโดยไม่ต้องบอกให้เสียเวลา

    “ไปปั่นจักรยานกับพ่อด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วพ่อไปไหน” ฉันตะโกนถามฟ่างจากในห้องน้ำ

    “พ่อไปอู่รถน่ะ เห็นบอกว่ามีนัดกับลูกค้าเก่า”

    “งั้นเหรอ แล้วแกไม่ไปด้วยล่ะ” ฉันถามฟ่าง

    “ไปด้วยอะไรล่ะ อูมิติดแจซะขนาดนี้ ไม่ยอมให้ไปไหนเลยเนี่ย”

    “แหม! อูมิติดหรือฟ่างติดอูมิ ก็เห็นไม่ยอมปล่อยหลานไปไหนเหมือนกันนั่นแหละ”

    “พูดมากรีบๆ อาบน้ำ เดี๋ยวก็ได้เวลานอนของอูมิแล้วนะ” ฟ่างบ่นฉัน

    “จ้าๆ”

    ฉันพูดเหมือนอู่ซ่อมรถไกลจากบ้านที่ฉันอยู่ใช่มั้ย แต่ความจริงแล้วไม่ได้ไกลกันมาก ห่างกันเพียงรั้วกั้น เมื่อก่อนพ่อฉันก็ใช้ชีวิตอยู่ในอู่คนเดียว กินนอนในอู่ เป็นทั้งออฟฟิศและบ้านในตัว แต่พอติดต่อฉันกับฟ่างได้และรู้ว่าฉันกำลังท้องพ่อจึงคิดจะสร้างบ้านในอู่เพื่อต้อนรับหลาน แต่ฉันไม่เห็นด้วยเนื่องกลัวควันจากอู่รถและมลภาวะจากเสียง ดังรบกวนอูมิ จึงจะย้ายไปอยู่กับปู่ย่าที่บ้านอีกหลังแทน พ่อไม่ยอม ส่วนฉันก็เอาแต่ใจพอพ่อตามกลับไปอยู่ด้วย ฉันก็เลยแอบออกจากบ้านไปอยู่ที่เชียงใหม่กับน้าใบบัว แต่ก็ไปได้ไม่นานพ่อก็ตามกลับให้มาพักอยู่กับปู่ย่า ฉันทะเลาะกับพ่อค่อนข้างบ่อยและปู่ย่าก็เข้าข้างฉันตลอด จนกระทั่งเจ้าของนาที่ติดกับอู่ร้อนเงินจึงนำที่ดินมาจำนอง แต่พ่อขอซื้อที่ดินแปลงนั้นแทนลุงแกก็ตกลงโดยง่าย พอบ้านสร้างเสร็จฉันก็ย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ติดกับอู่ ซึ่งก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานมากนัก

    หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวให้อูมิเสร็จแล้ว ฉันก็เดินไปชงนมให้กับอูมิที่นั่งเล่นของเล่นกับฟ่าง

    “ว่าไงวะพาร์ท เอออยู่ที่บ้าน อะไรของมึงวะ! มาไม่บอกไม่กล่าว พาหลานมาด้วยเหรอ อืมเข้ามาดิ หลานกูยังไม่นอน ไหนๆ ก็มาละ ฝากซื้อชานมร้านป้าตรงสี่แยกให้หน่อย เอากล้วยทอดด้วย” พอฉันได้ยินฟ่างสั่งของกินจึงรีบสั่งด้วย

    “ฝากพาร์ทซื้อด้วยสิ ปุ้นเอาโกโก้แล้วก็ขนมไข่นกกระทาให้อูมิ”

    “ปุ้นเอาน้ำโกโก้ แล้วก็ขนมไข่นกกระทา เอออย่าบ่น! รีบๆ มา”

    ฟ่างพูดก่อนกดวางสาย

    “ใครโทรมาก๊ะ” อูมิถามฟ่าง

    “น้าพาร์ทโทรมา”

    “ขออูมมิคุยโหน่ย” (เวลาอ่านเสียงของอูมิต้องอ่านตามที่ไรท์พิมพ์นะ ไม่ได้พิมพ์อูมิผิด ทำเสียงแบ๊วๆ ด้วย)

    “น้าพาร์ทวางสายไปแล้วลูก เดี๋ยวน้าพาร์ทก็มาค่ะ อูมิกินนมรอน้าพาร์ทดีกว่านะ” ฉันพูดพร้อมกับยื่นขวดนมให้อูมิ เจ้าตัวเล็กรับไปคาบในปากแต่มือก็ยังห่วงเล่น ฟ่างจึงอุ้มอูมิไปนอนที่ตักจากนั้นก็เล่นของเล่นให้อูมิดูแทน อูมินอนนิ่ง สายตาจ้องไปยังของเล่นที่ฟ่างหมุนไปมาให้เป็นรูปทรงต่างๆ ปากเล็กดูดขวดนม ฉันยังให้นมจากเต้าอูมิอยู่ เพียงแต่จะให้ตอนอูมิจะนอนเท่านั้น ส่วนเวลาอื่นๆ ก็จะให้นมชงสลับไปมา

    ฉันหันไปมองดูนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาใกล้ 11 โมงแล้ว จึงหันไปถามฟ่าง

    “พาร์ทกินข้าวมาหรือยังน่ะ” ฉันถามฟ่าง

    “จะไปรู้มันเหรอ คงยังไม่ได้ทานมั้ง ไม่ก็ซื้อข้าวซื้อขนมมาทานที่นี่เหมือนทุกทีนั่นแหละ”

    “เหรอ” ฉันผงกหัวรับ “งั้นเดี๋ยวไปทำกับข้าวดีกว่าเที่ยงน่าจะได้ทานพอดี”

    ฉันเดินออกจากบ้านตั้งใจว่าจะไปเก็บผักสวนครัวหลังบ้าน ที่พ่อ ฟ่าง และอูมิ ช่วยกันปลูก แต่จำได้ว่าตอนเช้าพ่อยังไม่ได้กินข้าวเป็นจานเลยเนื่องจากลูกค้ามาหาตั้งแต่เช้า เห็นดื่มแต่กาแฟแล้วก็ขนมปัง ป่านนี้น่าจะหิวแล้ว จึงเดินไปถามแกที่อู่เพื่อจะถามพ่อว่าจะกลับมากินข้าวที่บ้านหรือถ้าไม่ว่างฉันจะได้ทำกับข้าวมาส่งที่อู่

    แต่ยังไม่ทันได้เดินข้ามรั้วไปหาพ่อ พ่อก็เดินมาหาพอดี

    “อ่าว จะไปไหนรินทร์”

    “อ๋อ พอดีพาร์ทจะมากินข้าวด้วยน่ะค่ะ ก็เลยจะถามพ่อติณว่าจะกินข้าวด้วยกันที่บ้านหรือให้หนูใส่กล่องมาส่งที่อู่”

    “เดี๋ยวมากินที่บ้านก็ได้ คุยกับลูกค้าใกล้เสร็จแล้ว พอดีลืมเอกสารก็เลยจะกลับมาเอาน่ะ”

    “อ๋อค่ะ” ฉันหันหลังกลับโดยมีพ่อติณเดินตาม “เดี๋ยวหนูไปเก็บผักนะหลังบ้านนะ จะกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

    “รินทร์ทำอะไรก็อร่อย พ่อกินได้หมดนั่นแหละ”

    “แหมๆ ปากหวานเชียวนะ ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า” ฉันย้อนถาม “เมื่อคืนกลับบ้านตีสอง อย่านึกนะว่าหนูไม่รู้ว่าไปทำอะไรมาน่ะ” ฉันแกล้งแซวพ่อเล่นๆ ใครจะไปคิดว่าพ่อจะรับง่ายๆ

    “ก็มีบ้างสิ วัยนี้เตะปี๊บยังดังนะ”

    “รีบเข้าไปหยิบเอกสารเถอะค่ะ ฟังแล้วจะอ้วก” พ่อฉันหัวเราะลั่นก่อนเดินแยกตัวไปเอาเอกสารในบ้าน ส่วนฉันก็เดินไปเก็บผักที่หลังบ้านใส่ตะกร้า ก่อนจะไปทำอาหารในครัว ทำได้ไม่นานนักพาร์ทและหลานชายก็มาถึง

    “ทำอะไรน่ะ กลิ่นหอมไปทั้งบ้านแล้ว” พาร์ทเดินเข้ามาในครัว

    “โทษทีลืมเปิดที่ดูดกลิ่น” ฉันพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปกดสวิตซ์เครื่องดูดควัน

    “วันนี้พาเจ้าหมูโปรแกรมมาด้วยเหรอ” ฉันย้อนถาม

    “อื้ม มาทั้งพี่ทั้งน้องเลย โบนัสก็มาด้วย” พาร์ทบอกกับฉัน

    “แสดงว่าพี่สาวนายไม่ว่างสินะ”

    “อื้ม หวานกับสามีอยู่น่ะสิ ก็เลยให้เด็กๆ มากับเราแทน วันนี้วันครบรอบเจอกันครั้งแรกของเค้าน่ะ” พาร์ทพูดพร้อมกับล้างมือที่ซิงค์น้ำ “ให้ช่วยอะไรมั้ย”

    “ปลอกผลไม้เป็นมั้ยล่ะ มีสับปะรดแล้วก็แตงโม ฝากปลอกแล้วก็ใส่จานให้ทีสิ”

    “อื้มได้”

    “ฉันนึกออกละ ที่นายมาที่บ้านฉันเนี่ย ไม่ใช่เพราะมาหาฟ่างหรอก แต่เพราะว่าไม่รู้จะเลี้ยงเด็กๆ ยังไงเลยพามาเล่นกับอูมิ แล้วก็ให้ฉันช่วยเลี้ยงสินะ” ฉันพูดอย่างรู้ทันพาร์ท เจ้าตัวหัวเราะออกมาก่อนจะยอมรับว่าเป็ฯความจริงอย่างที่ฉันคาดเดา

    “ใช่! ปกติยังพี่พอร์ชจะช่วยสลับกันดู วันนี้ก็ดันมีประชุม ส่วนตอนบ่ายก็จะเข้าห้องประดิษฐ์ มืดๆ ค่ำๆ นู่นแหละถึงจะออกมาจากห้อง เราก็ไม่อยากจะไปกวนพี่แกเห็นช่วงนี้เครียดๆ ก็เลยต้องพาสองแสบมาแทน”

    “ก็ไม่ค่อยแสบเท่าไหร่นี่นา โปรแกรมก็โตขึ้นเยอะเลย โบนัสก็แก่นซนน่ารักออก”

    “รับไปเลี้ยงซักวันสองวันมั้ย” พาร์ททำเสียงทีเล่นทีจริง

    “ถ้าพามา ก็ช่วยเลี้ยงได้” ฉันตอบรับ

    “ปุ้น พ่อโทรมาบอกว่าเดี๋ยวเพื่อนจะมากินข้าวด้วยนะ” ฟ่างเปิดกระตูห้องครัวพร้อมกับเสียงเด็กๆ ที่เสียงดังลอดเข้ามาเจี๊ยวจ๊าว

    “มากี่คน” ฉันถามกลับในขณะที่มือก็หั่นผักอยู่ที่เคาน์เตอร์

    “พ่อไม่ได้บอก”

    ฉันละเบื่อฟ่างจริงๆ เลย แทนที่จะถามจำนวนด้วยแต่ก็ได้แต่รับคำสั่งเท่านั้น ฉันจึงทำอาหารประมาณสี่ห้าอย่างเพราะเห็นว่าวันนี้คนเยอะ ทำไปคุยกับพาร์ทไปด้วยจนกระทั่งอาหารทุกอย่างเสร็จก็ยกไปวางที่โต๊ะกินข้าว

    “จะทานหมดเหรอเนี่ย” ฟ่างถาม

    “กูจะคอยดูไอ้คนถาม เดี๋ยวก็เกลี้ยง” พาร์ทตอบ ฟ่างน่ะขี้บ่น แต่พอกินจริงๆ กลับกินเยอะกว่าเพื่อนฝูง จนตอนนี้น้ำหนักเริ่มขึ้น พุงก็เริ่มมาแล้วล่ะ ส่วนผมของฟ่างที่เคยยาวจนถึงกลางหลังตอนนี้ถูกตัดเป็นรองทรงแบบพวกฝรั่งไปแล้วเพราะตั้งแต่อูมิเริ่มพูดได้ อูมิก็สับสนเรียกฟ่างว่าแม่ยินหลายครั้ง เจ้าตัวเลยเครียดตัดปัญหาโดยการตัดผมเอาใจหลาน แถมยังไถสกินเป็นรูปทรงต่างๆ ด้วย นี่ยังไม่นับรวมที่ฟ่างไปสักกลางหลังเป็นรูปเสือโคร่งเหยียบผาแต่ได้มาเพียงลูกตาและฟันสีขาว เห็นแผ่นหลังมันทีไรขำทุกที ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะไปสักเพิ่มอีกตอนไหน แต่เท่าที่รู้คือมันยังไม่กล้าไปสักเพราะกลัวเจ็บ

    บนโต๊ะอาหารวงกลมที่ตอนนี้มี ไข่ลูกเขย น่องไก่ทอด แตงกวาผัดไข่ แกงจืดตำลึงเต้าหู้หมูสับ ปลาทูทอด แล้วก็หมูสามชั้นทอดน้ำปลาของโปรดพ่อติณ ทำอาหารรสอ่อนๆ ไม่มีรสเผ็ดจัดจ้านเพราะมีเด็กๆ อีกสามคน ที่ตักไว้ในถาดข้าวเล็กๆ แยกไว้ต่างหาก ส่วนผลไม้สำหรับผู้ใหญ่ฉันแช่เก็บไว้ในตู้เย็น ระหว่างที่รอพ่อและเพื่อนพ่อมานั้นฉันจึงเดินกลับไปที่ครัวล้างกระทะเก็บเครื่องครัวให้เรียบร้อย

    “กลิ่นอาหารลอยไปถึงอู่เลย ได้กลิ่นแล้วก็หิวมาก” พ่อเดินเข้ามาบ้านพร้อมกับเสียงที่นำมาก่อนตัว ฉันเหลือบไปมองก่อนจะเก็บกระทะที่ล้างและเช็ดให้แห้งแล้วไปห้อยไว้ที่ข้างฝา

    “สวัสดีครับพี่ติณ” เสียงพาร์ททักทายพ่อฉันเมื่อเดินออกจากห้องครัว ก่อนที่ฉันจะเดินตามหลังไปตักข้าวในหม้อหุงข้าวใส่จาน

    “เฮ้ย! หวัดดีลูกเขย มาแต่เช้าเลยนะ พาเด็กๆ มาด้วยเหรอ ดีๆ บ้านจะได้ไม่เงียบ”

    พ่อฉันก็มาแนวนี้ตลอด ยุให้ฉันคบกับพาร์ทแล้วก็เรียกพาร์ทเป็นลูกเขยประจำบ้าน ฉันล่ะสงสารพาร์ทชะมัดถ้าได้ฉันเป็นเมียเนี่ย ผู้หญิงมีลูกติดใครเขาจะสนใจ พาร์ทกับฉันก็เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด ไม่ได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวแต่อย่างใด พ่อนะพ่อ! ด้านพาร์ทก็ไม่เคยเถียงกลับหรือแก้ตัวอะไรด้วย ยิ้มหัวเราะไปเรื่อยเปื่อย น่าหมั่นไส้ชะมัด

    “ไม่ต้องเรียกพาร์ทให้เสียเวลาหรอก วันนี้มีไข่ลูกเขยกินพอดีเลยนะ” ฉันพูดไปก็ตักข้าวใส่จานไปด้วย “แล้วเพื่อนพ่อล่ะ ไหนบอกว่าจะมาทานข้าวด้วยไม่ใช่เหรอ”

    “เข้าห้องน้ำน่ะ”

    แกร๊ก! โช่ววว ฉันได้ยินเสียงคนกดน้ำในห้องน้ำ ต่อด้วยล้างมือจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนักตักข้าวใส่จานต่อ

    “ฟ่างไปหยิบจานกับข้าวเด็กๆ หลังบ้านให้ทีสิ ลืมเด็กๆ ไปเลย” ฉันพูดขึ้นเมื่อนึกได้ว่าเด็กๆ ที่ตอนนี้กำลังนั่งเล่นของเล่นกันอยู่ยังไม่มีใครได้กินข้าว

    “ครับ คุณนาย” ฟ่างตอบรับก่อนจะลุกจากโซฟาไปยังห้องครัว

    “ให้ช่วยอะไรมั้ย” เสียงเข้มดังขึ้นจากทางข้างหลังฉันซึ่งเป็นห้องน้ำ ฉันหันไปมองเพียงหางตาและก้มหน้าตักข้าวใส่จานต่อ พร้อมกับเตรียมช้อนส้อมใส่จาน เพื่อนพ่อสินะ

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเอง”

    “แทนตัวว่าหนูแบบนี้ก็น่ารักดีนะ” ฉันหันหน้าไปมองตามเสียงที่กระซิบพูดเบาๆ ข้างๆ ก่อนที่มือใหญ่สองข้างจะวางทาบที่เคาน์เตอร์เล็ก

    โซ่!

    “นาย! มาได้ไงน่ะ” มือไม้ฉันอ่อนไปหมดเมื่อเห็นโซ่ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกวนประสาทเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

    “มาเป็นลูกค้ารายใหญ่ครอบครัวเธอไง”

    ทรงผมที่ถูกจัดแต่งและเซ็ตผมอย่างดี สายตาเรียวคมที่จ้องมาที่ฉันทำให้ฉันสติหลุดมือไม้อ่อนจนจานข้าวร่วงแตกลงไปที่พื้น

    เพล้ง!!

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” พ่อฉันที่นั่งเล่นกับเด็กๆ ที่พื้นตะโกนถาม

    “เสียงอะไรก๊ะ” อูมิถามขึ้น

    “ไม่มีอะไรครับลูก แม่รินทร์ทำจานแตก” เสียงฟ่างตอบคำถามแทน

    ฉันหันไปดูฟ่างที่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานหลุมถาดข้าวเด็กๆ ที่อยู่ในมือ ฟ่างเองก็มีสีหน้าที่ตกใจไม่ต่างจากฉันแต่เก็บอาการได้ดีกว่าฉันมาก ฉันก้มลงเก็บเศษจานที่แตกกระจายที่พื้น ส่วนพาร์ทลุกขึ้นมาดูฉันแทบจะทันทีเขาเองก็มองดูสถานการณ์ระหว่างฉันกับโซ่ไปมา บอกตามตรงว่าทุกคนพยายามเก็บอาการของตัวเองเอาไว้เท่าที่จำทำได้ แต่มันก็ยากมากที่จะทำให้พ่อไม่สามารถที่จะจับพวกเรา

    “รอแปบ พาร์ทไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงมาให้นะ”

    “ไม่เป็นไรพาร์ท เดี๋ยวปุ้นไปหยิบเอง” ฉันตอบพาร์ท

    “ปุ้นไม่ต้องเดินออกมาหรอก ระวังเท้าจะเหยียบเศษจานที่แตกนะ พาร์ทไปหยิบมาให้เอง อยู่ตรงไหน”

    “อยู่ตรงประตูทางออกหลังบ้าน”

    ฉันหันไปมองพ่อที่ตอนนี้นั่งหัวเราะเล่นกับเด็กๆ และรับจานข้าวจากฟ่างยื่นให้เด็กๆ ทั้งสามคน พ่อฉันยังไม่รู้ว่าพ่อของอูมิคือใคร และตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าโซ่มาได้ยังไง เขารู้เกี่ยวกับเรื่องอูมิหรือเปล่า แล้วทำไมโซ่ถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฉันมีแต่คำถามที่ไร้คำตอบอยู่ในใจเต็มไปหมด

    “เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย” โซ่ถามฉันแต่มือก็ก้มเก็บจานช่วย

    “อืม สบายดี”

    เราสองคนจบบทสนทนาแค่นั้นก่อนที่พาร์ทจะช่วยเก็บเศษจานและเศษข้าวที่แตกกระจายที่พื้นให้ ทั้งฟ่างและพาร์ทต่างพากันแซวฉันว่าซุ่มซ่ามเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ส่วนนั่งทานข้าวที่โต๊ะเนื่องจากโต๊ะเป็นโต๊ะวงกลมแบบคนจีน แม้ฉันจะพยายามเลี่ยงไม่นักข้างโซ่แต่ใครจะไปคิดว่าจะได้นั่งตรงข้ามและสบตากัน

    บอกตามตรงว่าโคตรอึดอัด

    “ทานข้าวเยอะๆ เลยนะโซ่ ฝีมือรินทร์อร่อยมากเลยนะ” พ่อฉันบอกกับโซ่

    “ครับ ผมจะทานเยอะๆ”

    “พาร์ทมันมาบ้านพี่บ่อยมาก ช่วงก่อนที่มันเรียนต่อก็มาแวะกินข้าวมื้อเย็นแทบทุกวัน จนกลายเป็นลูกเขยพี่ไปละ”

    โซ่มองฉันนิ่งเหมือนอยากพูดอะไรออกมาอีก ฉันได้แต่หลบตาแล้วหันไปหาอูมิเพื่อดูอูมิกินข้าว บ้าจริง ทำไมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วยนะ เจอกันที่อื่นไม่ได้เหรอไง ทำไมต้องมาเจอที่บ้านด้วย

    “ทานข้าวเถอะค่ะพ่อ กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

    “ทำไม เขินหรือไง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×