ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love not bad] ฝากร้ายคืนรัก

    ลำดับตอนที่ #13 : ไม่มีสถานะ [ตัด] NC

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.52K
      73
      9 พ.ค. 63

    โซ่เอามือปัดผมฉันที่คลุมหน้าให้พาดไปข้างหลังก่อนที่เราสองคนจะจ้องสบตากันภายใต้แสงไฟสลัวๆ จากหัวเตียง

    “วันนี้ฉันเพิ่งกินยาคุมฉุกเฉินไป ถ้านายทำอีกฉันจะ...”

    ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดให้จบประโยคว่าฉันต้องกินยาเพิ่มเพราะว่าเขาไม่ได้ใช้ถุงยางในการป้องกัน แต่โซ่ก็ปิดปากฉันด้วยปากของเขา มือโอบรอบเอวฉันเอาไว้อย่างหลวมๆ การจูบในรอบนี้ถือว่าเป็นการจูบที่นุ่มนวลไม่ได้ดูดดื่มเหมือนก่อนหน้าเล่นเอาเคลิบเคลิ้มจนหวั่นไว

    ฉันเองก็ตามอารมณ์ของโซ่ไม่ทันเหมือนกัน จู่ๆเขาก็ดุเด็ดเผ็ดมัน แต่พอสักพักก็เริ่มทำตัวเป็นคนละมุนละม่อม ฉันออกแรงผละโซ่ออกให้แรงขึ้นเพื่อข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ กลัวว่าเขาจะได้ใจหาว่าฉันเป็นผู้หญิงง่ายๆ

    แรงผู้หญิงยังไงก็แพ้แรงผู้ชายอยู่แล้ว

    “พอแล้ว ฉันยอมแล้ว! นายต้องการอะไรว่ามาเลย” ฉันข่มน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะหอบหายใจจ้องหน้าคนที่หยุดการกระทำทุกอย่างลงเมื่อฉันพูดจบ

    ในที่สุดเขาก็ยอมหยุดเสียที สายตาเรียวคมจ้องหน้าฉันนิ่งกอรปกับมือที่จับเอวคอดฉันเอาไว้บีบเล่นอย่างนึกสนุก

    “พูดมาเลยดีกว่าว่านายจะเอาคืนฉันเรื่องอะไร ฉันไปทำอะไรให้ หรือว่าไม่พอใจฉันเรื่องอะไรกันแน่ เรื่องเมื่อเช้าฉันบอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่ไม่สบาย อย่าใช้วิธีแบบนี้เลย โตแล้วนะไม่ใช่เด็กอมมือ”

    “เด็กเค้าเอาคืนกันแบบนี้เหรอ ไม่ยักจะรู้นะ” โซ่ยิ้มเยาะใส่อย่างเจ้าเล่ห์

    หนอย! อีตาบ้านี่ ยังจะมีอารมณ์ยิ้มแบบนี้อยู่อีกเหรอ ใช่สิ! ก็นายเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ กำยำขนาดนี้ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะเอาตอนไหนก็ไม่เลือกสถานที่ เพื่อนจะอยู่ในบ้าน ในห้องก็ไม่สนใจ ฉันผู้หญิงบอบบางจะไปสู้อะไรนายได้ล่ะ

    “แล้วตกลงนายเอาคืนฉันเรื่องอะไร”

    ฉันทำน้ำเสียงหงุดหงิดใส่โซ่รู้สึกได้ว่าคิ้วของตัวเองนั้นเริ่มขมวดเข้าหากันจนจะผูกโบว์ได้แล้ว

    โมโหนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ จะกรี๊ดร้องให้พาร์ทที่อยู่ข้างนอกห้องนอนช่วยก็กลัวจะมาเห็นสภาพแย่ๆ ในตอนนี้ สภาพตอนนี้ พาร์ทคงจะเชื่อหรอกนะว่าโซ่บังคับขืนใจฉันน่ะ ดูเหมือนฉันเป็นคนร้องขอความสัมพันธ์เสียมากกว่าไม่ว่า

    "ถ้าเธอตอบทุกคำถาม และพูดความจริงทุกอย่าง เรื่องเอาคืนฉันจะเก็บพิจารณาทีหลัง"

    "เหอะ!" ฉันเชื่อเขาได้เหรอ? "ฉันจะตอบเท่าที่ตอบได้นะ"

    “เธอรู้จักเมสได้ยังไง” คำถามแรกที่โซ่เอ่ยขึ้นมาทำเอาฉันใจตกลงไปถึงตาตุ่ม เขารู้จักพี่เมสด้วยเหรอแต่ตอนหน้าเคาน์เตอร์ดูเหมือนทั้งสองคนจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำไป พี่เมสก็ไม่ได้ทักทายโซ่ด้วยนี่

    “พี่เมสเค้าเป็นรุ่นพี่ในคณะ เราก็เลยรู้จักและคบหากัน ว่าแต่นายรู้จักพี่เมสด้วยเหรอ” ฉันตัดสินใจย้อนถามโซ่กลับ

    “รู้จักผ่านๆ”

    “อ่าว! คืออะไรรู้จักผ่านๆ”

    “ทำท่าเซ้กซี่สิเดี๋ยวบอก”

    โซ่ยักคิ้วให้ฉันด้วยมาดกวนๆ ในขณะที่มือก็จับสะโพกฉันจิ้มเล่น พอมีสติฉันฟาดแขนโซ่แรงๆ ไปหนึ่งที พูดกันอยู่ดีๆ ก็เกิดหื่นกามขึ้นมาเสียดื้อๆ คนอะไรทำไมถึงได้ไม่รู้จักระงับอารมณ์ความหื่นของตัวเอง

    “หยุดหื่นก่อนได้ไหม? ตกลงนายรู้จักพี่เมสเหรอ แล้วยังไง? มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”

    “ก็บอกแล้วไงว่ารู้จักผ่านๆ” โซ่พูดพร้อมกับเอาหน้ามาชิดกับหน้าอกฉันอย่างคลอเคลีย

    “แล้วยังไงต่อ?”

    “ไม่รู้จะเล่าอะไร? ก็รู้จักแค่ผ่านๆ ถ้าเธอยอมเล่าเรื่องไอ้เมสกับเธอให้ฉันฟังอย่างละเอียดกว่านี้ บางทีฉันอาจจะใจอ่อนปล่อยเธอให้เป็นอิสระ นอนหลับดีๆ ก็ได้นะ”

    "แน่ใจเหรอว่านายจะทำตามสัญญา" ฉันทำหน้าชั่งใจ รู้สึกไม่ไว้ใจโซ่เลยซักนิด แววตาที่ดูเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าต่อให้อยากเชื่อก็ไม่อยากทำตามที่เขาเสนออยู่ดี แต่พอได้ยินเสียงที่ดุก็ต้องหลบตาลงอย่างรู้สึกหวาดกลัว กลัวจะทำให้โซ่โกรธไปมากกว่านี้แล้วเขาจะเผลอทำอะไรป่าเถื่อนรุนแรงขึ้นมา

    "เล่ามา! อย่าลีลา" โซ่ทำเสียงข่มขู่ฉัน มือเขากำที่ต้นแขนฉันบีบแน่นเหมือนบังคับให้ฉันพูดรายละเอียดเพิ่มเติม

    "จะให้เล่าอะไรล่ะ ในเมื่อมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ ที่เล่าไปก่อนหน้าก็มีอยู่แค่นั้นนั่นแหละ"

    "เริ่มตั้งแต่เธอรู้จักกับไอ้เมสจนถึงย้ายเข้ามาอยู่ห้องด้วยกัน เล่าจนกว่าฉันจะพอใจ ถ้าเล่าเหมือนขี้เกียจเล่า ฉันไม่รับรองความปลอดภัยของเธอนะ เผลอๆ ไอ้พาร์ทมันอาจจะลุกมาเห็นฉากสำคัญๆ ของเราสองคนก็ได้ ใครจะไปรู้"

    นับว่าเป็นคำพูดที่ยาวมากสำหรับโซ่ที่พูดกับฉัน ตั้งแต่ฉันเจอโซ่เขาก็พูดแค่ไม่กี่ประโยค พูดแต่ละครั้งก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดใส่ตลอด ก็ได้ในเมื่ออยากรู้ก็จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดขึ้น แต่เขาจะพอใจไหมก็อีกเรื่องนะ

    "ฉันรู้จักพี่เมสเพราะเราเรียนคณะเดียวกัน พี่เมสเค้าเป็นเพื่อนพี่รหัสฉัน เราสองคนก็เลยทำกิจกรรมที่มหาลัยด้วยกันบ่อย บางทีก็ไปกินข้าวด้วยกันบ้างแต่ก็ไปกันเป็นกลุ่มๆ รู้จักแล้วก็สนิทกันเรื่อยๆ จนความสัมพันธ์เริ่มพัฒนา พอตกลงเป็นแฟนกันก็ย้ายมาอยู่ที่คอนโดด้วยกัน อยู่ห้องนี้แหละ อยู่มาสามปีแล้ว" พอนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ภาพความทรงจำเมื่อสามปีก่อนยังอยู่ในสมองชัดเจน เหมือนเรื่องที่พูดนั้นเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน

    "ตอนนั้นเธอไม่รู้เหรอว่าเมสมีแฟน"

    "รู้สิ! แต่ว่าตอนที่ฉันคบกับพี่เมสพี่เมสเขาเลิกกับแฟนแล้ว ฉันยอมรับว่าชอบพี่เมสตั้งแต่แรกที่เจอ แต่พอรู้ว่าพี่เมสมีแฟนฉันก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรด้วย ก็อาจจะมีคุยแชทกันบ้างปกติทั่วไปเหมือนรุ่นพี่และเพื่อนคนอื่นๆ จนกระทั่งวันที่ไปกินชาบูกับสายรหัส พี่เมสก็บอกในกลุ่มว่าเลิกกับแฟนแล้ว"

    "เธอเชื่อ?"

    "เชื่อสิ ใครๆ ก็รู้ว่าพี่เมสเลิกกับแฟน คนทั้งวงชาบูเป็นพยานได้" ฉันจ้องหน้าโซ่เขม็งยืนยันในคำตอบของตัวเอง ก็ในเมื่อฉันเล่าความจริงให้ฟังแล้วทำไมเขาต้องทำสีหน้าเหมือนฉันโกหก

    "พอเป็นแฟนกันก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลย?"

    "ไม่ถึงขนาดนั้น เป็นแฟนกันได้สักพักใหญ่ๆ ถึงย้ายมาอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันทันทีซักหน่อย"

    "ง่ายดีนะ" โซ่มองหน้าฉันด้วยสีหน้าเหยียดๆ

    "ไม่ได้ง่าย ถึงอยู่ห้องด้วยกันเค้าก็ให้เกียรติฉันตลอด ช่วยกันทำมาหากิน ไม่ได้งอมืองอเท้าขอเงินพี่เมสซักหน่อย" ฉันทำหน้าค้อนใส่โซ่ "ว่าแต่นายอยากรู้ไปทำไม มีอะไรหรือเปล่า"

    "เวลาแย่งแฟนคนอื่นไปก็ไม่แปลกที่จะโดนแย่งแฟนกลับ อยู่ที่ว่าใครจะแย่งไปก็เท่านั้น มันเป็นเรื่องปกติของโลก ไม่รู้เหรอ?"

    "พูดแบบนี้หมายความว่าไง ฉันไม่ได้แย่งของของใครนะ! อย่ามากล่าวหากันถ้าคุณไม่รู้อะไร" ฉันเกือบจะวีนเสียงออกไปแล้ว ดีที่ยังยับยั้งชั่งใจเอาไว้บ้าง มีหวังได้ตบหน้าและกรี๊ดแตกใส่โซ่จนหูดับแน่

    "ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้แย่งมา เธอก็คงจะเป็นผู้หญิงง่ายๆ ที่ใครให้ทำอะไรก็ทำสินะ"

    "ฮ๊ะ!?" คำก็ง่าย สองคำก็หัวอ่อน เขาเคยมองฉันในแง่ดีบ้างไหมเนี่ย ฉันเลิกสนใจกับคำพูดของโซ่ ยิ่งเก็บมาคิดก็ยิ่งปวดสมองก็สู้ยิงคำถามที่อยากรู้ออกไปน่าจะดีกว่า “แล้วที่บอกเอาคืนฉันด้วยวิธีนี้ล่ะ มันคืออะไร?”

    “ก็...” โซ่จ้องหน้าฉันนิ่ง “ฉันไม่ชอบให้ผู้หญิงของฉันกลับไปกินของเก่าอีก”

    “ใครผู้หญิงของนาย?”

    “เธอไง?” โซ่ยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

    “ฉัน!?” ฉันชี้นิ้วไปที่ตัวเองราวกับตั้งคำถามในขณะที่เขาก็ผงกหัวยอมรับ “แล้วฉันไปเป็นผู้หญิงของนายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”

    โซ่เอามือชี้ไปยังจุดเชื่อมระหว่างเราสองคน ฉันก้มลงมองตามภาพแรกที่เห็นคือรอยซิกแพ็กหน้าท้องที่สะท้อนเป็นเงาสวยอย่างกับหลุดมาจากแม็คกาซีนเล่นเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกร้อนวูบวาบจนพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดใส่โซ่อย่างคนที่เถียงไม่ขึ้น

    “นายก็ทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน ไม่ว่าใครที่นอนกับนายก็คือผู้หญิงของนายหมดนั่นแหละโซ่ แล้วแบบนี้คุกกี้แฟนนายเค้าจะรู้สึกยังไงที่นายทำแบบนี้น่ะ เรื่องที่นายทำเนี่ยมันยิ่งกว่าเรื่องของฉันกับพี่เมสเสียอีก เพราะอย่างน้อยพี่เมสก็เลิกกับแฟนเก่าแล้วมาคบฉัน แม้จะเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวก็เถอะ แต่นาย! นายเป็นแฟนกับคุกกี้กลับมาทำเรื่องบ้าๆ กับผู้หญิงที่รู้จักมักจี่กันไม่กี่วัน ใครกันแน่ที่ร้ายกว่าใคร”

    “ฉันอยู่กับเธอ ทำไมต้องพูดถึงคนอื่น”

    “แต่เค้าก็เป็นแฟนนายไม่ใช่เหรอ?”

    “ไม่ใช่แฟน” โซ่ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่ฉันสัมผัสได้ว่าเขาไม่พอใจสักเท่าไหร่นักที่พูดถึงอีกฝ่าย

    “แต่เค้าบอกฉันว่าเค้าแฟนนายนะ”

    “แล้วฉันบอกเธอเหรอไงว่าคุกกี้เป็นแฟนฉัน”

    “แล้วถ้าไม่เป็นแฟนกัน ผู้หญิงคนไหนเขาจะกล้าพูดอย่างมั่นใจแบบนั้น”

    “ก็แค่ลองศึกษากันไปก่อนน่ะ แต่ก็ไม่ได้คบกันเป็นแฟน”

    ศึกษากันไปก่อนงั้นเหรอ? ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอได้ยินคำตอบถึงกับเอามือมากุมศีรษะทันที

    เชื่อเขาเลย! ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคนสินะ พอมีผู้หญิงหน้าใหม่ผ่านมาในชีวิตจะอ้างสถานะยังไงก็ได้ว่างั้นสิ เหมือนที่พี่เมสก็ทำกับฉัน ยอมเลิกกับฉันเพื่อให้ตัวเองมีสถานะที่โสดทั้งๆ ที่เรื่องของเราก็ยังไม่จบดี แต่ก็สามารถคบคนใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาอะไรมาก

    “หึ! เข้าใจแล้ว ต่อให้ฉันเสียตัวให้นายไปก็ไม่ได้หมายความว่านายจะหยุดแค่ฉันเหมือนกัน เพราะว่าฉันก็ไม่ได้เป็นแฟนของนาย แต่เป็นผู้หญิงของนายงั้นสิ”

    พูดแล้วก็เจ็บอยู่ในใจลึกๆ นี่ฉันกำลังเสียเวลากับเรื่องบ้าอะไรอยู่เนี่ย!

    โซ่เหมือนไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่ฉันพูดและตัดพ้อ เขาก้มลงมาไซ้ซอกคอฉันราวกับว่าเรื่องที่คุยกันก่อนหน้านั้นไม่มีความหมายพร้อมกับรัดเอวฉันเอาไว้แน่น

    “สรุปแล้วที่นายเอาคืนฉันก็เพราะว่าฉันเป็นผู้หญิงของนาย พอนายเห็นฉันอยู่กับพี่เมสหน้าเคาน์เตอร์นายเลยไม่พอใจตามมาถึงห้องเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างเข้าข้างตัวเอง

    “เข้าใจแบบนั้นก็ดี” โซ่ผละออกจากซอกคอฉันก่อนที่จะเอามือมาจับแก้มฉันเอาไว้และสบตาฉันด้วยแววตาที่นิ่งราวกับโดนต้องมนต์ด้วยคำพูดที่ทำให้ใจแอบเผลอคิดไปไกลว่าเขากำลังรู้สึกหวงฉันอยู่ “ถ้าเป็นผู้หญิงของฉันก็ต้องไม่ไปยุ่งกับไอ้เมสอีก เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการเธอให้หนักกว่าเดิม”

    “แต่เราพลาดกัน นายก็รู้นี่ว่ามันเพราะอะไร ฉันเข้าใจนายทุกอย่างเลยนะโซ่ เรื่องที่นายเล่นเกมแล้วคุมสติไม่ได้ อยากหาที่ระบาย ฉันเข้าใจทุกอย่างจริงๆ นะ” ฉันมองเข้าไปในตาที่เยือกเย็นของโซ่

    “ตอนนั้นอาจจะพลาด แต่ตอนนี้ตั้งใจ” โซ่พูดพร้อมกับประทับจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากก่อนย้ายไปที่เนินอก เล่นเอาตัวสั่นระริกขนลุกไปทั้งตัว มือสากลูบแขนฉันไปมาเหมือนเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายฉันอย่างมีชั้นเชิงก่อนจะระดมจูบไปที่ไหล่ของฉันอย่างแผ่วเบาจนทั่ว

    “ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย ฉันกลัวว่าเรื่องมันจะบานปลายซับซ้อนกันไปใหญ่ ถ้านายดูใจกับคุกกี้อยู่ก็ไม่ควรทำแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่อยากอยู่ในเกมของนายหรอกนะ ถ้าพลาดก็ขอให้พลาดแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว หากครั้งนี้ตั้งใจหยุดตอนนี้ก็ยังทัน อีกอย่างฉันก็เล่าให้นายฟังหมดแล้วนายก็ควรจะปล่อยฉันไปเป็นอิสระ” ฉันเตือนโซ่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจ และนั่นก็ทำให้โซ่หยุดการกระทำของเขาที่เล้าโลมฉันอยู่ ค่อยๆ เงยหน้ามาจ้องฉันกลับอย่างช้าๆ อีกครั้ง

    “ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนเลย คุกกี้ไม่ใช่แฟนก็เท่ากับว่าไม่มีสถานะอะไร ถ้าคุกกี้จะบอกคนอื่นว่าเป็นแฟนฉันก็เรื่องของคุกกี้สิ ฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ส่วนเธอเป็นผู้หญิงของฉัน ก็เท่ากับว่าไปยุ่งกับใครไม่ได้อีก และถ้าขืนไปยุ่งกับไอ้เมสอีกฉันไม่รับรองความปลอดภัยของเธอแล้วนะ เพราะฉันคงไม่ใจดีแบบวันนี้แน่”

    “นึกว่าฉันกลัวเหรอ”

    “ก็ลองดู”

    ไม่ทันที่ฉันจะเถียงกลับ โทรศัพท์ฉันก็สั่นดัง ครืด ครืด พอหันไปมองว่าใครโทรมาหน้าจอก็ปรากฏว่า ‘ข้าวฟ่าง’ ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะเลื่อนหน้าจอรับสายและข่มเสียงตัวเองให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่โซ่ก็ทำเหมือนไม่สนใจและสนุกกับเรือนร่างของฉันต่อ

    “ว่าไงฟ่าง ถึงไหนแล้ว”

    [อยู่หน้าคอนโด ลงมารับหน่อยสิ ยามไม่ให้เข้าไป]

    “อ๋อ ได้ๆ เดี๋ยวลงไปรับนะ รอแปบหนึ่ง”

    ฉันโยนมือถือไปที่เตียงและแสยะยิ้มเมื่อมีทางหนีทีไล่จะได้หาข้ออ้างให้ห่างจากโซ่

    “ปล่อยนะ! น้องชายฉันมา” ฉันผลักอกโซ่ให้ถอยห่าง

    “แล้วไง?”

    “แล้วไงอะไรล่ะ ฉันต้องลงไปรับน้องข้างล่าง”

    “น้องเธอเพื่อนพาร์ทนี่ ให้พาร์ทลงไปรับ”

    “จะบ้าเหรอ คีการ์ดเข้าตึกอยู่กับฉัน จะให้พาร์ทลงไปรับทำไม ปล่อยเขานอนไปเถอะ”

    “เดี๋ยวออกไปปลุกมันให้” โซ่ยังหาข้ออ้างไม่เลิก

    “ไม่ต้องเลยนะ นายควรออกห้องฉันไปได้ละ ก่อนที่น้องฉันมาแล้วจะเป็นเรื่อง น้องฉันมันโหดนะจะบอกให้”

    ฉันขู่โซ่แม้รู้ดีว่าข้าวฟ่างไม่ได้เป็นคนโหดอะไร ตัวก็บอบบาง มีดีก็แค่สูงเพรียวเท่านั้น ฉันทำท่าจะลุกออกจากตักของโซ่แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมรีบกดฉันให้นั่งตักลงทันที

    ให้ตายเถอะ!

    “นี่นายจะบ้าหรือไง! ปล่อยนะ น้องฉันมาแล้วเดี๋ยวพาร์ทก็คงจะตื่นถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนก็ได้รู้กันพอดีว่าฉันมีอะไรกับนายน่ะ” ฉันเริ่มหงุดหงิดกับความนิ่งเฉยของโซ่จนแทบจะตะเบ็งเสียงกลับไปอยู่แล้ว

    “ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ในเมื่อเรามีอะไรกันจริงๆ”

    “นี่โซ่! หัดมีจิตสำนึกบ้างเถอะ”

    “ต่อเถอะ เริ่มทนไม่ไหวแล้ว ทนได้ขนาดนี้ก็ดีเท่าไหร่ละ” เขาทำเสียงแหบพร่ากัดกรามแน่นจนเป็นสันนูนขึ้นมาในขณะที่ยังคงคลอเคลียจูบฉันไม่เลิก

    จะบ้าตายอยู่แล้ว! ผู้ชายอะไรวะเนี่ย เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ ไร้จิตสำนึก ไร้มารยาท ไร้ยางอายสุดๆ

    “ไม่! ฉันจะลงไปรับน้อง น้องฉันรออยู่”

    ฉันยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมือก็ผลักตัวโซ่ให้ออกห่างด้วยแรงที่มีเท่าไหร่ก็งัดมาใช้ทั้งหมด แต่ก็สู้แรงผู้ชายอย่างโซ่ไม่ได้อยู่ดี โซ่ถอนหายใจใส่ฉัน สายตาดุจ้องมาเหมือนหมดความอดทนจนฉันไม่กล้าแข็งใส่ เขาเอื้อมมือไปหยิบกางเกงยีนส์ของตัวเองที่หล่นพื้นแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ในกางเกงขึ้นมากดอะไรสักอย่าง

    “คีการ์ดอยู่ไหน” โซ่ถามฉันเสียงกระซิบ

    “อยู่หน้าทีวีมั้ง ไม่รู้สิ เหมือนจะวางไว้ตรงโต๊ะหน้าทีวี เดี๋ยวฉันขอไปดูหน่อย”

    ได้ทีก็ต้องหาโอกาสหนีสิ แต่...

    “ไม่ต้อง นั่งอยู่นี่แหละ! เดี๋ยวจัดการเอง” โซ่จับต้นขาฉันเอาไว้ไม่ให้ฉันลุกหนี

    อะไรของเขาเนี่ย จู่ๆ ก็มาหงุดหงิดใส่อีกแล้ว

    ครืด ครืด ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์ที่สั่นกับโต๊ะหน้าทีวีดังขึ้น ดังสักพักใหญ่ก่อนที่เจ้าของเครื่องจะกดรับสาย

    “ฮัลโหล ว่าไงวะโซ่” เสียงพาร์ทดังขึ้นมาจากนอกห้อง เสียงที่ว่านี่คืองัวเงียสุดๆ จนฉันเริ่มใจคอไม่ดีกลัวว่าพาร์ทจะเปิดผ้าม่านห้องนอนเข้ามาดูว่าฉันอยู่ในห้องทำอะไรอยู่เสียจริงๆ

    [กูเจอเพื่อนมึงอยู่ข้างล่างอะ]

    “ใคร? ไอ้ฟ่างเหรอ”

    [อืม ยัยนั่นเข้าไปนอนอยู่ในห้องสงสัยกินยาไปแล้วคงน็อค คีการ์ดกูเห็นวางอยู่แถวๆ หน้าทีวี ถ้ามึงว่างก็ลงมารับเพื่อนมึงด้วยก็แล้วกัน]

    “เออ ขอบใจ”

    พาร์ทกดตัดสายก่อนที่โซ่จะพูดอะไรกลับออกไปเสียอีก ฉันจ้องหน้าเขาเขม็งเห็นทุกการกระทำของโซ่ นี่เขาหลอกเพื่อนตัวเองว่าอยู่นอกคอนโดงั้นเหรอ บ้าไปแล้ว! คนอะไรหลอกได้หน้าตายสุดๆ แต่โซ่กลับไม่รู้สึกอะไร ตรงกันข้ามเขากลับยักไหล่และยิ้มเยาะใส่ฉันอย่างผู้ชนะเสียอีก

    ทำไมผู้ชายที่อยู่หน้าฉันเขาถึงเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้วะเนี่ย เห็นแล้วรู้สึกกลัวขึ้นมาทันทีเลย

    “นาย...” โซ่ปิดปากฉันด้วยปากนุ่มๆ ของเขาในขณะเดียวกันเสียงของประตูห้องก็ถูกเปิดและปิดลง ปั๊ง!

    ฉันดิ้นขลุกไปมาภายใต้อ้อมกอดของโซ่ก่อนที่เขาจะปล่อยฉันเป็นอิสระ

    จังหวะนั้นฉันจึงลุกออกจากตักโซ่หยิบเสื้อผ้าของตัวเองตั้งใจจะวิ่งออกจากห้องนอนหนีไปยังห้องน้ำ แต่อะไรที่คิดไว้มักตรงกันข้ามเสมอ โซ่เหวี่ยงฉันไปที่เตียงเขารีบสาวเท้าเดินไปปิดประตูประจกและล็อคไว้แน่น พอฉันลุกจะไปเปิดก็โดนเขาเหวี่ยงกลับให้ไปนอนที่เตียงอีกครั้ง ผ้าม่านที่อยู่ในห้องนอนถูกปิดสนิทโดยมีโซ่สำรวจช่องว่างระหว่างผ้าม่านเพื่อมั่นใจว่ามันจะไม่มีรูให้คนข้างนอกมองเห็น

    ระหว่างที่โซ่เผลอฉันก็ได้จังหวะแต่งตัวให้เหมือนเดิม พอโซ่หันมาเห็นเขาก็รีบแย่งเสื้อผ้าฉันและโยนออกไปอย่างไร้ทิศทาง

    “อย่าบอกนะว่านายจะทำในห้องนี้จริงๆ อย่าแม้แต่จะคิด เพราะฉันจะไม่ให้มันเกิดขึ้นแน่ ถ้าน้องฉันกับพาร์ทกลับมาฉันจะตะโกนให้สองคนนั้นมาช่วย”

    "ก็ลองดูสิ ตะโกนให้สองคนนั้นรู้ไปเลยว่าเราสองคนสนุกกันขนาดไหน"

    "ไอ้บ้า! ไอ้โรคจิต หน้าตาก็ดีทำไมถึงได้เลวขนาดนี้"

    “ขอบใจนะที่ชม แต่เพื่อความมั่นใจว่าเธอจะไม่กลับไปหาไอ้เมส เธอต้องเป็นผู้หญิงของฉันและไม่ขัดคำสั่ง นี่เป็นบทเรียนแรกที่เธอจะได้รับ”

    โซ่จับขาฉันแล้วลากให้ไปใกล้เขากว่าเดิมก่อนที่โซ่จะขึ้นมาทับร่างของฉันเอาไว้

    “นี่นายไม่อยากให้ฉันไปยุ่งกับพี่เมสถึงขนาดจะต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองเลยเหรอ บอกดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ฉันไม่กลับไปหาพี่เมสอีกแล้วก็ได้”

    “ไม่ใช่แค่ข้อต่อรอง เพราะฉันรู้ว่าเธอทำไม่ได้แน่ๆ สู้มาเป็นผู้หญิงของฉันดีกว่า แล้วลืมมันซะ! ถ้าฉันรู้หรือเห็นว่าเธอไปวุ่นวายกับไอ้เมสเมื่อไหร่ ฉันจะมาทวงสิทธิ์ของฉันคืน”

    ฉันคว้าหมอนและตุ๊กตาปาใส่โซ่ไม่ยั้งมือเพื่อระบายอารมณ์โกรธเมื่อคำพูดข่มขู่ของโซ่ทำให้ฉันรู้สึกจนมุมอย่างไม่มีทางเลือก โซ่ไม่มีทีท่าว่าจะหลบตรงกันข้ามเขากลับยิ้มอย่างกวนประสาทใส่ฉันเสียอีก

    “ไอ้บ้า! ไอ้คนชั่ว ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฉันตะโกนออกไปสุดเสียงเท่่าที่จะทำได้

    “อุตส่าห์ออมแรงกลัวจะเจ็บ ที่แท้ก็ชอบแรงๆ ทำไมไม่บอกแต่แรก”

    บอกตามตรงว่าหัวใจของฉันตกวูบลงไปราวกับตกจากที่สูงเมื่อรู้สึกและสัมผัสได้ว่าเขากำลังจะจู่โจมเข้ามาหาฉันแล้ว สายตาที่มองมานั้นทำเอาฉันรู้สึกกลัวจนต้องถดตัวถอยหนี โซ่จับข้อมือของฉันทั้งสองข้างกดตึงไว้ที่เตียง ก่อนจะใช้สายตาลวนลามไปทุกซอกทุกมุมของร่างกายฉันที่อยู่ใต้ร่างเขา

    “ปล่อยนะ! ฉันบอกให้ปล่อยฉันไงไอ้โซ่ ไอ้บ้า ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ เป็นโซ่ล่ามหมาหรือไงฮ๊ะ ถึงได้บ้าบอคอแตกทำเรื่องชั่วๆ แบบนี้”

    “ใช่! ฉันเป็นโซ่ล่ามหมาอย่างเธอไง โดนแฟนเก่าทิ้งแล้วมีฉันดามใจแบบนี้ไม่ดีเหรอ ว่าแต่คนอย่างเธอล่ะเรียกว่าอะไรดี ใจแตก ผู้หญิงง่ายๆ หรือว่าแรด เป็นผู้หญิงบ้าผู้ชาย แค่ผู้ชายเข้าหานิดหน่อยก็ย้ายข้าวย้ายของมาอยู่กับเขาแล้ว ถ้าไม่เรียกว่าง่ายแล้วจะเรียกว่าอะไร ”

    “เลว! นายรู้แค่หางอึ่งแต่กลับมาด่าคนอื่นว่าแรดและบ้าผู้ชาย นายมันก็คงหน้าตัวเมียนั่นแหละ” ฉันเถียงกลับอย่างเหลือทน

    “เรื่องของเธอน่ะเหรอ รู้ไม่มาก แต่ก็รู้ และเรื่องที่รู้ก็เป็นเรื่องจริงตรงกับที่เธอเล่าทุกประการ เผลอๆ อาจจะรู้มากกว่าเธอด้วยซ้ำ”

    “หึ! นั่นไง ฉันว่าแล้วเชียวว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล สรุปคือนายรู้จักฉันแล้วก็แกล้งทำเหมือนว่ามันคือเรื่องบังเอิญสินะ”

    “เฮ้! อย่ากล่าวหากันแบบนี้สิ เรื่องของเราน่ะมันบังเอิญจริงๆ จะว่าไปตอนแรกก็ไม่เชื่อที่ใครเขาพูดมาหรอก แต่ตอนนี้เชื่อละ! ผู้ชายรอบตัวเยอะดีนี่ อ่อยเก่งใช้ได้ แต่ต่อไปคงอ่อยใครไม่ได้แล้ว เพราะการเป็นผู้หญิงของฉันต้องไม่ดื้อ ขืนอ่อยอีกเธอโดนหนักกว่านี้แน่”

    “ไอ้บ้า ปล่อยนะ ปล่อย!!”

    ฉันดิ้นพร่านภายใต้ร่างกำยำของโซ่ที่ก้มลงมาซุกไซ้ซอกคออย่างคนเอาแต่ใจ ก่อนจะกดเม้มริมฝีปากฉันบดขยี้ ความรู้สึกมันขยะแขยงที่ได้รับรสสัมผัส น้ำตามันไหลออกมาไม่รู้ตัว ยิ่งดิ้นก็เหมือนยิ่งแย่ ไม่นานนักเสียงประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับเสียงฟ่างและโซ่พูดคุยกันทำให้ฉันต้องเงียบเสียงลงอัตโนมัติ และนั่นก็เข้าทางโซ่ที่ยิ้มเยาะฉันราวกับว่าฉันไม่มีทางเลือก

    “แม่งเอ๊ย! ลืมมือถืออีก ง่วงฉิบหายหลับเป็นตายเลยกู” ฉันเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงพาร์ทบ่นขึ้นมาเป็นคนแรก

    “หรือมึงจะนอนต่ออีกซักหน่อยล่ะ ขับรถง่วงๆ อันตรายนะเว้ย กูยังไม่อยากกินกระเพาะปลา ช่วงนี้ยิ่งจนๆ อยู่ขืนเจียดเงินจ่ายค่างานศพมึงมีหวังกัดก้อนเกลือกิน”

    “ไอ้ฟ่าง มึงนี่ปากหมาเสมอต้นเสมอปลายเลยนะ เออ! ขอนอนต่ออีกซักชั่วโมงก็แล้วกัน ยังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร กลัวเพื่อนเงินหมดบัญชี”

    “เมื่อคืนกูบอกให้นอนไม่นอน นั่งเล่นเกมส์ยันตีห้า เช้ามาเป็นไงโดนเจ๊พิชโทรมาปลุกแต่เช้า”

    “บ่นยิ่งกว่าพี่กูก็มึงเนี่ยแหละไอ้ฟ่าง”

    “หรือมึงอยากเจอพี่มึงบ่น”

    “เออ! มึงบ่นก็ดีกว่าพี่กูบ่น เพราะรายนั้นเถียงกลับไม่ได้”

    แกร๊กๆ เสียงใครสักคนพยายามจะเปิดประตูห้องนอนฉันเข้ามา แต่ว่าถูกปิดล็อคเอาไว้

    “อ่าว! ปุ้นล็อคห้องนอนเหรอ”

    “สงสัยกลัวกูกับไอ้โซ่ลวนลามมั้ง” พาร์ทตอบ แต่หารู้ไม่ว่าไอ้โซ่ที่พาร์ทหมายถึงเนี่ย กำลังจะกินตับฉันอยู่รอมล่อแล้ว

    “เออดีละรอบคอบดี ว่าแต่...ใครวะโซ่ กูไม่เห็นคุ้นชื่อนี้เลย”

    “มึงไม่รู้จักหรอก”

    “กูไม่รู้จัก แล้วมึงไปรู้จักได้ไง”

    “กูรู้จักมันแต่เด็กแล้ว พ่อมันทำธุรกิจกับพี่กู”

    “อ๋อ เรื่องของคนรวยกูจะไม่ยุ่ง ดูหนังดีกว่า”

    เสียงพาร์ทและฟ่างเงียบลงกลายเป็นเสียงโทรทัศน์เข้ามาแทนที่ ส่วนสภาพฉันตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับนางบำเรอผู้ชายกระหายและหื่นกามไปแล้ว ทั้งรู้สึกเจ็บใจ รู้สึกโมโหคนที่เอาแต่ได้อย่างโซ่อย่างบอกไม่ถูกแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกวาบหวามปั่นป่วนจนบางทีก็เผลอเคลิ้มไปด้วย

    ไหนบอกว่าเล่าเรื่องพี่เมสให้ฟังแล้วจะปล่อยฉันไง แม้จะรู้สึกเคียดแค้นในใจแต่ทำไมร่างกายกลับตอบสนองและตอบรับทุกสิ่งเร้าที่โซ่สัมผัส

    "ไม่เรียกให้พาร์ทกับน้องช่วยแล้วเหรอ" โซ่ยกยิ้มแซวฉัน ฉันส่ายหัวปฏิเสธและให้ความร่วมมือโซ่

    มือฉันเผลอไผลไปลูบคลำหน้าท้องรอนสวยของโซ่

    “น่ารักมาก”

    โซ่พูดกระซิบข้างหูฉันอย่างแผ่วเบา

     

    โซ่พลิกตัวลงมานอนข้างๆ ด้วยลมหายใจที่หืดหอบ ฉันหันหลังให้โซ่ทันทีเมื่อเขานอนแผ่ร่างข้างกาย ฉันนอนนิ่งแต่หายใจเหนื่อยหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อยไม่ต่างจากโซ่นัก

    พอได้สติก็เลื่อนมือไปหยิบผ้าห่มเช็ดคราบสกปรกของโซ่ที่เปรอะเปื้อนที่ท้องออกอย่างนึกรังเกียจจงชัง พอทำท่าจะลุกขึ้นแต่งตัวโซ่ก็รั้งเอวฉันเอาไว้ไปแนบตัว มือสากใหญ่ยกขึ้นมาแนบหน้าผากฉัน อะไรของเค้ากันเนี่ย!?

    “อะไรอีก” ฉันถามเสียงฉุน

    “ตัวไม่ร้อนแล้วนี่”

    “ฮ๊ะ!?” ฉันเอามือทาบไว้ที่หน้าผากของตัวเองบ้างเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิ

    “จริงด้วยแฮะ”

    “ฉีดยาแต่แรกก็จบ ทำลีลากลัวไปได้” เสียงโซ่อ่อนลง แววตาดูอบอุ่นต่างจากก่อนหน้าที่ดุใส่ฉันตลอดเวลา

    ฉันไม่ได้ตอบโต้หรือเถียงโซ่กลับเพราะเรื่องเข็มฉีดยานั้นฉันกลัวจริงๆ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเถียงไปให้ได้อะไรขึ้นมา

    ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้บรรยากาศนอกห้องนอนเป็นอย่างไรบ้างเพราะว่าไม่ได้ยินเสียงสนทนาของฟ่างและพาร์ทเลยสักนิด มีเพียงเสียงโทรทัศน์ที่ดังอยู่ตลอดเวลา ส่วนในห้องนอนตอนนี้โซ่กอดเอวฉันเอาไว้อย่างหลวมๆ ในขณะที่ฉันหันหลังให้กับเขาแล้วก็เผลอนอนหลับไปพร้อมๆ กันด้วยความเหนื่อยจากกิจกรรมก่อนหน้า

     

    ครืด ครืด

    เสียงสั่นของมือถือดังขึ้นฉันสะดุ้งตื่น แต่ก็เลือกที่จะแกล้งหลับต่อเพราะรู้ว่าไม่ใช่มือถือของตัวเองเนื่องจากมือถือของฉันนั้นวางอยู่ที่เตียงข้างลำตัว ในขณะที่โซ่เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

    “อืม” โซ่กรอกเสียงสั้นๆ

    [อยู่ไหนคะที่รัก?]

    เสียงผู้หญิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ฟังดูแล้วโคตรน่าหมั่นไส้ ฉันไม่ได้จะแอบฟังนะ พอดีว่าห้องมันเงียบจึงทำให้พอได้ยินเสียงจากปลายสายเบาๆ

    “มีไร” โซ่พูดเสียงกระซิบกระซาบ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวขึ้นนั่ง หลังพิงกับหัวเตียง

    [ก็เห็นบอกว่าจะรอที่ห้อง กลับมาแล้วไม่เจอก็เลยโทรหาไงคะที่รัก]

    คำก็ที่รักสองคำก็ที่รักได้ยินแล้วอยากจะอ้วก สงสัยจะเป็นคุกกี้ไม่ก็ผู้หญิงของโซ่ ผู้หญิงของฉันในความหมายของโซ่นี่มันกี่คนวะเนี่ย สงสัยเก็บเอาไว้เป็นโหลๆ ไอ้คนเจ้าชู้ วายร้ายสุดๆ

    “ไม่อ่านไลน์เหรอ”

    [จริงด้วย หนูลืม! อ่านแล้วค่ะ แล้วเพื่อนหายป่วยหรือยัง?]

    เพื่อนเหรอ? เพื่อนที่ว่านี่หมายถึงฉันหรือเปล่านะ

    “ดีขึ้น”

    [แล้วที่บอกว่าออกไปซื้อโจ๊กให้เพื่อนนี่คือจะอยู่กับเพื่อนยาวเลยหรือเปล่า จะมาหาหนูอีกไหม? ถ้าไม่มาหนูจะอาบน้ำนอนแล้วนะ]

    “อยากทำไรก็ทำจ๊ะ”

    [ใจร้าย]

    ฉันได้ยินการสนทนาแค่นั้นแม้จะเงี่ยหูฟังต่อก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าโซ่ชะโงกหน้ามาดูฉันที่หันหลังให้ ดูเหมือนว่าเขาจะกดวางสายไปแล้ว ซักพักฉันก็ได้ยินเสียงเกมแต่เป็นเสียงที่ค่อนข้างเบา เรียกได้ว่าเบามากๆ เลยล่ะ ฉันขยับตัวนิดหน่อยเพราะเมื่อยกะว่าจะจัดท่าทางให้เข้าที่สักหน่อยจู่ๆ โซ่ก็เอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบาเหมือนเล่นหัวลูกแมวตัวน้อยยังไงยังงั้น น่าแปลกที่ต่อมาเขาใช้นิ้วม้วนผมฉันเล่นจนฉันเริ่มเคลิ้มไม่นานนักจากอาการแกล้งหลับก็หลับไปจริงๆ

     

    เวลาเกือบๆ หกโมงเช้าฉันตื่นมาในสภาพที่ปวดเนื้อปวดตัวระบมไปหมด โซ่กอดเอวฉันเอาไว้อย่างหลวมๆ ฉันไม่รู้ว่าเขานอนเมื่อไหร่หลังจากที่นั่งเล่นเกม ฉันรู้แต่ว่าตอนนี้หน้าฉันซุกอยู่กับอกกำยำที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ แต่พอได้สติเห็นว่าเป็นโซ่ก็รีบผละออกแทบจะทันที จนเจ้าตัวทำสีหน้าหงุดหงิดตกใจตื่นหรี่ตามองฉันอย่างงุนงง

    “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนะ นี่ห้องฉัน”

    “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

    "นายควรกลับ ตอนนี้เช้าแล้ว" ฉันเตือนสติโซ่

    "อื้ม จะกลับแล้วแต่ขอนอนต่ออีกซักหน่อย" โซ่เอาหน้าซุกมาที่ซอกคอฉัน

    "นี่" ฉันตีกล้ามแขนของโซ่ ในขณะที่ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอก "ออกจากห้องได้แล้วก่อนที่สองคนนั้นจะตื่น"

    ฉันก็พูดไปแบบนั้นแหละ เพราะไม่รู้ว่าใครอยู่นอกห้อง พาร์ทอาจจะกลับไปแล้วก็ได้

    "อืม กลับก็ได้...ถ้าโทรมาก็รับสายด้วย"

    "นายรู้เบอร์ฉันเหรอ"

    "ไม่รู้หรอก เดี๋ยวเสิร์ชกูเกิลหา"

    กวนประสาทชะมัดเลยตาบ้านี่! โซ่ลุกขึ้นมาแต่งตัว ฉันเองก็เช่นกัน ฉันค่อยๆ เปิดประตูชะโงกหน้าไปดูก็พบว่าฟ่างอยู่ในห้องน้ำ ส่วนพาร์ทนึกว่าเขากลับไปแล้วเสียอีกที่ไหนได้ นอนอยู่ที่โซฟาโดยหันหน้าไปทางพนัก

    ทางสะดวก โล่งแล้ว! ฉันจึงเปิดประตูกว้างให้โซ่ออกมาจากห้องนอน

    แต่...ระหว่างที่โซ่กำลังใส่รองเท้านั้น

    "ตื่นแล้วเหรอ" ประตูห้องน้ำเปิดออก ฟ่างที่ยืนทำท่ากะเล้อกะลังปล่อยผมยาวพริ้วสไวเหมือนผู้หญิงหน้าหนวดยืนมองฉันอยู่

    "เออะ เออ! ตื่นแล้ว"

    "แล้วนั่นใครน่ะ" ฟ่างชี้ไปยังโซ่ที่ก้มหน้าใส่รองเท้าอยู่

    "เออคือ..."

    "โซ่เพื่อนพาร์ทน่ะ พอดีเมื่อคืนรีบไปหาน้อง ก็เลยลืมรองเท้าไว้ที่ห้องเช้าจะกลับบ้านนึกขึ้นได้เลยมาเอา" โซ่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผิดกับฉันเสียอีกที่ร้อนใจ ทำตัวผิดปกติ

    "อ๋อ! สงสัยรีบจริง เดินออกไปเท้าเปล่าเลย" ฟ่างเดินไปล้มตัวลงนอนที่พื้นข้างโซฟา

    "นั่นสิ สงสัยจะรีบมากๆ" ฉันยิ้มแหยๆ ชี้ไปที่รองเท้าของโซ่ "กลับดีๆ นะแก วันหลังอย่าไปลืมรองเท้าที่ไหนอีกล่ะ" ฉันเดินไปเปิดประตูกว้างแล้วทำมือไล่ให้โซ่ออกไปจากห้องนอน แต่โซ่ก็ดึงมือฉันออกไปด้วยและปิดประตูลง

    "ลืมหรือยังเรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน"

    "เรื่องอะไร"

    "หรือจะต้องเตือนหน้าห้องตรงนี้ถึงจะจำได้" โซ่ทำท่าจะโน้มตัวลงมาใกล้ฉัน จนฉันต้องขยับตัวไปชิดกับกำแพงหน้าห้องตัวเอง

    "อืมไม่ลืม ฉันจะไม่ไปยุ่งกับพี่เมสอีก"

    "ถ้าฉันรู้ว่าเธอยุ่งกับไอ้เมสอีก รู้ใช่ไหมว่าจะเจออะไร"

    "อืม" ฉันผงกหัวรับอย่างจำยอม "แล้วเรื่องเงินล่ะ ตกลงค่ารักษาแล้วก็ค่าโจ๊กเท่าไหร่เดี๋ยวเข้าไปเอาเงินมาจ่ายให้"

    "คิดบัญชีรวบไปหมดเมื่อคืนแล้วไง"

    "ฮ๊ะ?"

    "ก็ดีกว่าไปซื้อบริการ"

    "นายนี่มัน! ซื้อบ่อยเหรอ?"

    "เธอคนแรก"

    "ทุเรศ"

    "ก็ถามเอง"

    "อืมๆ กลับไปได้ละ ฉันจะเข้าห้องแล้ว" ฉันยกมือขึ้นไล่ก่อนจะกดรหัสเข้าห้องของตัวเองเพราะว่าลืมเอาบัตรแสกนเข้าห้องออกมาด้วย โซ่ก็ดันดึงออกจากห้องไม่บอกไม่กล่าวอีก ใครจะตั้งตัวทันกันล่ะ

    "นี่!" โซ่สะกิดแขนฉัน

    "อะไร?" ฉันหันไปมองหน้าโซ่อย่างนึกรำคาญมือหยุดกดรหัสเข้าห้องแล้วหันไปมองหน้าโซ่

    จุ๊บ!

    โซ่โน้มตัวลงมาจุ๊บปากฉันพร้อมกับพูดว่า "อย่าคิดมาก" มือใหญ่สัมผัสที่หัวฉันเบาๆ ก่อนที่จะล้วงกางเกงแล้วเดินจากไป ฉันยืนนิ่งมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำที่อ่อนโยนของโซ่แต่ใจตัวเองกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ

    ใจสั่นยิ่งกว่าตอนพี่เมสจุ๊บฉันเสียอีก

    ให้ตายเถอะ! เราจะรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชายที่เจอกันไม่กี่วัน ไม่สนิท แถมยังฉวยโอกาสแบบนี้ไม่ได้นะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×