คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 รับเลี้ยงเพราะความจำเป็น [1]
หลังจากพูดคุยกับพราวในห้องนอนเสร็จ เธอก็ขอตัวออกจากห้อง แววตาและท่าทางของพราวแสดงออกถึงความไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูด ผมเข้าใจว่าพราวอยากให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดกับส้มซึ่งเป็นแม่แท้ ๆ แต่สำหรับผมส้มไม่มีคุณสมบัติใดเหมาะแก่การเป็นแม่คน ผมเพียงแค่อยากให้เรื่องนี้จบ เด็กแฝดพะแพงกับพลับพลึงพักอาศัยอยู่ที่เชียงราย ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ผมสามารถออกแทนส้มได้ไม่มีปัญหา
ผมนั่งตัดสินใจสักพักใหญ่ ‘อย่างไรก็ต้องพูดความจริงให้พราวรับรู้’
จังหวะที่ผมตัดสินใจได้และกำลังจะเดินตามพราวออกไปนอกห้องเพื่อพาพราวไปหาที่นั่งเงียบ ๆ คุยกัน โทรศัพท์ของผมก็มีสายเรียกเข้าจากผู้ใหญ่บ้าน ทำให้ผมไม่สามารถเลี่ยงตัดสายหรือเพิกเฉยได้ ผู้ใหญ่บ้านโทรมาพูดคุยและปรึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมประกวดผลิตภัณฑ์ในชุมชนที่ทางจังหวัดให้แต่ละหมู่บ้านส่งสินค้าร่วมประกวดและวางขายในงานประจำจังหวัด
“พราวไปไหนเหรอครับ” ผมเปิดประตูออกจากห้องนอนแต่ไม่พบพราว แม่ของพราวกำลังยื่นขวดนมที่เพิ่งชงใหม่ส่งให้พะแพงกับพลับพลึงที่นั่งเล่นของเล่นบนพื้นหน้าโทรทัศน์
“พราวขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปบ้านญาติน่ะ เห็นบอกว่าพี่โรสชวนไปกินหมูกระทะ”
“ตอนนี้เหรอครับ” ผมมองดูเวลาจากนาฬิกาที่แขวนบนผนัง ‘ทุ่มครึ่ง’ ผมทิ้งสายตาทอดมองไปยังหน้าบ้านที่มีแสงไฟสลัวเปิดบริเวณถนนและโรงรถ ก่อนหน้านี้ก็กินข้าวไปตั้งเยอะ ตอนนี้ยังจะออกไปกินหมูกระทะอีกเหรอ พอน้ำหนักขึ้นก็บ่นอ้วน แล้วดูกินเข้าสิ…
“ใช่” แม่ของพราวผงกหัวรับ “สงสัยไม่ได้เจอพี่โรสนานมั้ง พอดีหลายเดือนก่อนโรสเพิ่งคลอดลูก แต่พราวมันไม่ได้มาเลยฝากเงินแม่ไปรับขวัญหลาน วันนี้มาน่านคงอยากเจอหลานน่ะ” พูดจบแม่ของพราวก็กวักมือเรียกให้ผมไปนั่งดูโทรทัศน์ร่วมกัน “ภาคมานั่งดูทีวี กินแตงโมด้วยกันสิ”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไปนั่งรอพราวหน้าบ้านดีกว่า”
“ไม่ต้องไปรอมันหรอกกำนันภาค เจอญาติพี่น้องทีไร ลูกสาวตัวดีก็คุยจ้อนาน อย่าไปหวังอะไรกับยัยคนนี้เลย สี่ห้าทุ่มนู้นล่ะกว่าจะกลับบ้าน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอพราวได้” พูดจบผมก็เดินไปหน้าบ้าน พ่อของพราวเห็นดังนั้นก็รีบพูดตามหลัง
“เวลานี้ยุงเยอะนะกำนันภาค เอายาจุดกันยุงไปด้วยไหม หรือว่าเอาสเปรย์ตะไคร้พ่นตัวสักหน่อยก็ดีนะ” พ่อของพราวเดินไปหยิบสเปรย์มายื่นให้ผม
ผมยื่นมือรับความปราถณาดีที่ได้รับจากผู้ใหญ่ “ขอบคุณครับพ่อ” ก่อนเดินไปนั่งรอพราวที่ซุ้มดอกพวงครามที่หน้าบ้าน
พ่อกับแม่พราวใจดี ท่านทั้งสองหาพัดลมมาเปิดให้กับผม ผมค่อนข้างเกรงใจ ปฏิเสธไปแล้วและบอกว่า 'ไม่เป็นไรครับ' เลือกที่จะนั่งรอนอกบ้าน หากจะนั่งรอพราวในบ้าน ผมก็คงร้อนใจเกินไปที่จะอยู่ในนั้น อย่างน้อยนั่งรับลมธรรมชาตินอกบ้าน มองดูทางจากถนนเพื่อรอฟังเสียงและแสงไฟที่มาจากรถมอเตอร์ไซค์ก็น่าจะสบายใจมากกว่า
“หรือว่ากำนันภาคจะขับรถไปหาพราวที่บ้านโรสล่ะ ไปกินหมูกระทะกับญาติ ๆ อากาศหนาวแบบนี้น่าอร่อย เดี๋ยวแม่บอกทางให้เอง” แม่พราวอุ้มพลับพลึงถามผม ด้านพะแพงนอนดูดนมหน้าโทรทัศน์ไม่ยอมให้ใครจับเนื้อต้องตัว
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอิ่มแล้ว ให้พราวเค้าได้พูดคุยกับญาติพี่น้องเถอะ ผมนั่งรอเธอที่บ้านดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
ผมผงกหัวรับคำและยืนยันคำตอบเดิม
“ตามใจ ถ้าเปลี่ยนใจก็มาถามทางจากแม่ได้นะ”
ผมนั่งตามลำพังที่ซุ้มดอกพวงคราม มีเพียงลมจากพัดลมที่พัดโชยบางเบาเพื่อไล่ยุง อีกทั้งอากาศที่น่านค่อนข้างหนาวเย็นจึงทำให้ตอนนี้หนาวกว่าเดิมมาก จนผมต้องเดินไปปิดพัดลมแล้วใช้สเปรย์ตะไคร้ฉีดกันยุง
เมื่อมีเวลานั่งคนเดียวตามลำพัง ความเงียบทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเอง 'ผมพูดแรงไปเหรอ?'
หรือแท้ที่จริงแล้วผมควรบอกความจริงและปรึกษาพราวเกี่ยวกับเรื่องพะแพงกับพลับพลึง
ปีก่อน...ส้มอุ้มพะแพงวัยหนึ่งเดือนมาที่บ้านสวนภูมะขามเพื่อขอพบผม แม้ตอนนั้นผมจะค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดคนที่บอกเลิกผมอย่างไร้เยื่อใยถึงขั้นสาดน้ำใส่หน้าและขนข้าวของออกจากคอนโดที่เราพักอาศัยร่วมกันตั้งแต่สมัยเรียนออกไปภายในหนึ่งคืนจึงติดต่อกลับมาหาผมอีกครั้ง
เวลานั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น รู้คร่าว ๆ จากน้าเอื้องว่า ‘ส้มมาหาภาคที่บ้าน อุ้มเด็กมาด้วยหนึ่งคน ส้มบอกว่าเป็นลูกของภาค ตอนนี้ยายโกรธมากที่ภาคทำแกเสียหน้า ถ้ายังไงก็รีบกลับมาที่บ้านนะ’ เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงฝากงานไว้กับผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะขับรถจากศาลาประชุมประจำหมู่บ้านกลับมาบ้านเพื่อจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อขับรถมาถึงบ้านหลังใหญ่ ส้มก็ใช้ความสนิทสนมกับญาติผู้ใหญ่ของผมกดดันให้ผมพบและพูดคุยกับเธอ
พ่อส้มเป็นทนายความและนักการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ความอาวุโสน้อยกว่าตาผมแต่อิทธิพลค่อนข้างมาก ท่านเคยช่วยเหลือเรื่องที่ดินในไร่มะขามให้ตายายไม่โดนข่มขู่จากพวกนายทุน ทำให้ครอบครัวผมค่อนข้างเคารพและเกรงใจครอบครัวของส้มมาก แม้ปัจจุบันพ่อของส้มจะเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและแม่ของส้มก็ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ทิ้งบ้านที่จังหวัดเชียงรายให้ญาติพี่น้องพักอาศัย แต่บุญคุณที่เคยช่วยเหลือค้ำชูกันในยามทุกข์ยากก็ยังอยู่ อีกทั้งส้มเข้าออกบ้านผมตั้งแต่เด็กและเรียนมัธยมร่วมกันจึงไม่แปลกที่ส้มสามารถพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ผมได้ง่าย
ผมลงรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก เดินยังไม่ถึงจุดที่ทุกคนนั่ง ยายเล็กก็พูดว่า “ภาค! ส้มอุ้มลูกสาวมาหาน่ะ ไปคุยและตกลงกันให้เรียบร้อยนะ อย่าให้มันเป็นเรื่องใหญ่จนกระทบมาถึงบ้านเราล่ะ”
กระทบมาถึงบ้านเรา...ที่หมายถึงเรื่องส่วนตัวของผมตกลงกันให้ดี อย่าให้อื้อฉาวจนกระทบมาถึงชื่อเสียงของครอบครัว
ผมไม่ได้สนใจคำพูดของยายที่ทักผมตั้งแต่แรกที่เจอหน้า หลังจากก้าวขาเดินไปยังบริเวณลานหลังบ้านคนแรกที่ผมมองคือพราว เธอนั่งถือสากจับครกมองดูทุกคนในบ้านนั่งคุยกัน
วินาทีนั้นผมรู้ตัวดีว่ากำลังทำให้เธอลำบากใจ...
“ไปคุยกันที่บ้านนู้นเถอะ” ผมหันไปบอกส้ม เธอลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มเด็กที่ร้องไห้ไม่หยุดด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ คล้ายคนอุ้มเด็กไม่ถนัด ท่าทางเหมือนอุ้มกระเป๋าเดินทางใบหนักเสียมากกว่า “ส่วนเด็กอยู่บ้านนี้กับผู้ใหญ่”
“ส้มไปคุยกับภาคเถอะ เดี๋ยวป้ากับน้าเอื้องดูลูกให้เอง” ป้าเอื้อยอุ้มเด็กออกจากอ้อมแขนของส้ม เด็กร้องไห้งอแงไม่ยอมเงียบเสียง ผมสังเกตท่าทางการอุ้มเด็กของส้มเพียงเสี้ยววินาทีก็รู้ว่าเธออุ้มเด็กไม่เป็น ผมเดินนำหน้าส้มเพื่อนำทางไปยังบ้านหลังเล็ก
“ปรับปรุงบ้านใหม่เหรอ สวยจัง” ส้มพูดตามหลังผมที่เดินนำไปนั่งโต๊ะม้าหิน ณ ลานซุ้มกล้วยไม้ “เมื่อก่อนมาที่นี่บ่อย จำได้ว่าเราสองคนชอบนั่งทำการบ้านแถวนี้ แต่ตอนนั้นกล้วยไม้ไม่เยอะขนาดนี้ จะว่าไปก็คิดถึงแม่อ้อยเนอะ”
“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ” ผมตัดบท ไม่ได้รำคาญ แต่รู้สึกว่าพูดเรื่องเก่าไปก็เสียเวลา แม่ผมท่านก็เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งบ้านหลังนี้ก็ปรับปรุงจนไม่เหลือเค้าเดิม การมาพูดเรื่องในอดีตที่ถูกกาลเวลาทับถมไปในขณะที่ผมไม่อยากเสียเวลาก็ทำให้ผมรู้สึกรำคาญและหงุดหงิดไม่น้อย
“ภาคแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ” ผมนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนมองส้มที่นั่งลงตรงข้าม “คนที่เราเจอร้านอาหาร”
“ใช่”
“แล้วไปรู้จักหรือเจอกันได้ยังไง จู่ ๆ ภาคก็เงียบหายไป โซเชียลก็ไม่อัปเดต และยังไม่ติดต่อเพื่อนด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ส้มรู้ข่าวภาคจากตุลาว่าภาคแต่งงานแล้ว เครียดเรื่องส้มจนน้หนักลงเลยเหรอหรือว่ายังไงทำไมถึงผอมลงไวขนาดนี้ อ่อ หรือที่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นทั้งที่เราสองคนเลิกกันไม่ถึงปีเพราะประชดส้ม”
ผมหายใจเข้าและหายใจออกเสียงดัง ก้มมองดูมือของตัวเองที่วางบนโต๊ะในใจไม่อยากตอบคำถามหรืออธิบายอะไรให้ส้มฟัง ผมหรี่สายตามองดูเธอคาดหวังให้ส้มพูดจุดประสงค์ที่มาบ้านสวนภูมะขามสักที ผมจะได้กลับไปทำงานและหน้าที่ของตัวเอง อีกทั้ง ‘พราว’ ภรรยาของผมที่เพิ่งแต่งงานไม่ถึงหนึ่งเดือนคงคิดมากเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนแล้ว หากคุยกับส้มนั้นเกรงว่าเรื่องเล็กจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ที่มาวันนี้เพื่อจะพูดเรื่องเด็กคนนั้นที่อุ้มมาด้วยไม่ใช่เหรอ”
ส้มส่งยิ้มบางให้ผมก่อนผงกหัวรับ
“ลูกของเราชื่อพะแพง อายุตอนนี้หนึ่งเดือน ส้มน่าจะบอกภาคตั้งแต่วันที่ส้มรู้ว่าส้มท้อง แต่ว่าตอนนั้นส้มติดต่อภาคไม่ได้เลย อย่างที่บอก...ส้มเพิ่งรู้ข่าวภาคจากตุลาว่าภาคแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่เชียงราย”
“ภาคย้ายมาอยู่เชียงรายก่อนถึงแต่งงาน” ผมเรียงลำดับเหตุการณ์ให้ส้มเข้าใจ
“อ่อ...ใช่ โทษทีเราไม่รู้น่ะ ฟังมาจากคนอื่นอีกที”
“แล้วไง”
“แล้วไงอะไรล่ะภาค ลูกของเรา”
“ลูกของส้ม ไม่ใช่ลูกของเรา” ผมปฏิเสธ
“ภาคพูดแบบนี้ได้ยังไง ตอนนั้นส้มคบกับภาคนะ เด็กคนนั้น...พะแพงคือลูกของเราสองคน” ส้มยืนกรานคำพูดของตัวเอง เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นและพยายามข่มให้ผมเชื่อในเรื่องที่พยายามปั้นน้ำเป็นตัว
ขออภัยที่มาช้าและน้อย...ถ้ารอพิมพ์ยาวกว่านี้น่าจะหายเงียบไปเลย 55+
ความคิดเห็น