คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 คุณภาคใจปีศาจ
ปกติฉันเป็นคนอยากรู้อะไรต้องรู้ทันที แต่เมื่อคืนแทบจะนอนไม่หลับ หลังจากคุณภาคบอกว่า ‘คุณส้มเกิดอุบัติเหตุ เป็นตายเท่ากัน’ ใครบ้างจะไม่อยากรู้รายละเอียดลึกถึงแก่นกลาง ฉันเป็นคนเยอะและอยากรู้อยากเห้นเรื่องของชาวบ้านตรงไหนไม่ทราบ
ฉันก็แค่อยากรู้ว่าคุณส้มเกิดอุบัติเหตุที่ไหน ตอนไหน ตอนเกิดอุบัติเหตุอยู่กับใคร ใครช่วยไว้ทัน แล้วทำอย่างไรจึงประสบอุบัติเหตุ ขับรถไว รถชนต้นไม้หรือมีคนขับรถชน หรือตกบันไดหัวฟาดพื้นคุณภาคก็น่าจะเล่ารายละเอียดเล็กน้อยพวกนี้ได้บ้าง แต่นี่อะไรกัน เขาไม่เพียงแต่ไม่เล่า ยังหาว่าฉันนิสัยเป็นมนุษย์ป้าอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน เช้ามายังเงียบปากเงียบเสียงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้สักคำ
ใครกันจะไม่หงุดหงิด?
“พะแพงตื่นเจ๊าก็ไปฮื่อข้าวไก่ละ” แม่เล่าให้ฉันฟังขณะที่ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำเสร็จ “เจ๊านี้แม่ต้มไข่กับทอดหมูยอ ป้อนข้าวไปตึงสองคนละเน้อ”
[พะแพงตื่นเช้าก็ไปให้อาหารไก่ เช้านี้แม่ต้มไข่กับทอดหมูยอ ป้อนข้าวไปทั้งสองคนแล้วนะ]
“จ้าว” ฉันผงกหัวตอบรับใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดหน้าก่อนจะเดินไปตากที่ราวตากผ้าหลังบ้าน จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเพื่อพูดคุยกับแม่ต่อ “แล้วพะแพงล่ะแม่”
ฉันเห็นแม่อุ้มพลับพลึงแต่เล่าเรื่องพะแพงจึงเกิดความสงสัย วันนี้ฉันตื่นสายเกือบเก้าโมงครึ่ง ตื่นมาก็ไม่พบเด็กแฝดพะแพง พลับพลึง รวมถึงคุณภาคในห้อง พอออกจากห้องก็พบว่าบ้านเงียบมาก ได้ยินแต่เสียงทำครัวของแม่ที่หลังบ้าน พอเดินมาดูก็พบว่าแม่กำลังทำอาหาร และให้พลับพลึงนั่งเล่นที่เสื่อ
“พะแพงไปเล้าไก่ไง ก็เพิ่งเล่าไปหยก ๆ” แม่พูดเสียงเขียวใช้นิ้วจิ้มหัวฉันจากนั้นก็หัวเราะ “ตื่นสาย พูดอะไรด้วยก็ไม่เข้าหัว ดีเท่าไหร่แล้วที่พี่ภาคเค้าแต่งเข้าบ้านน่ะ”
“พี่ภาคสิต้องดีใจที่แต่งพราวเข้าบ้าน พราวเลี้ยงลูกให้เขาอย่างดีเชียวนะ” ใครกันจะยอม ฉันมันยอมคนเสียที่ไหนกันล่ะ
“พะแพงกับพี่ภาคเค้าไปดูเล้าไก่ที่บ้านน้าบุญ พอดีพ่อเราเค้าจะเลี้ยงไก่ทำฟาร์มไข่เลียนแบบฟาร์มพี่ภาคน่ะสิ ก็เลยจะให้พี่ภาคเค้าสอนทำฟาร์ม พะแพงเค้าอยากไปด้วยเลยงอแงให้ปะป๊าอุ้ม พอจะอุ้มมานั่งเล่นของเล่นกับพลับพลึงก็ไม่ยอม เกาะติดคอปะป๊าอย่างกับตุ๊กแกแน่ะ รู้ทันผู้ใหญ่จริง ๆ”
“พะแพงนะใครนินทาอะไรก็รู้ พูดถึงไม่ได้เลย เค้าตามทันหมด”
“เด็กสมัยนี้เขาเรียนรู้ไว” ขณะพูดแม่ก็ลุกเดินไปหยิบยามาทาแผลให้กับพลับพลึง “ว่าแต่จู่ ๆ ทำไมพลับพลึงถึงมีแฝด โอ๊ย! ไม่ใช่ งงชื่อ...พะแพง จู่ ๆ ทำไมพะแพงมีแฝด แล้วดูเนื้อตัวมีแต่แผลฟกช้ำดำเขียวไปหมด ตุ่มแมลงกัดต่อยเต็มแขนขา อย่างกับโดนปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง ปากก็มีแผลขาดสารอาหาร ขี้มูกน้ำมูกเกาะติดเต็มจมูกเลย แม่ว่าพาไปอนามัยให้หมอดูสักหน่อยดีไหม”
“พราวก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ยังไม่ได้คุยกับคุณภาคเรื่องนี้เลย ว่าจะถามก็ลืม” วันที่คุณส้มมาที่บ้านฉันก็โกรธ น้อยใจคุณภาค หนีไปกินข้าวนอกบ้านกว่าจะกลับก็ค่ำมืด เจอหน้ากันก็ยังเคืองคุยกันไม่กี่คำ เช้ามาก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋ามาน่านพร้อมพาพะแพง พลับพลึงมาด้วย ระหว่างเดินทางก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ ถึงน่านก็กินเที่ยวเล่นมีความสุขกับเรื่องตรงหน้า ตกกลางคืนก่อนนอนคุณภาคก็พูดให้อยากรู้เรื่องคุณส้มเกิดอุบัติเหตุแล้วจากไปอย่างดื้อ ๆ ไม่มีโอกาสได้ถามสักคำ
“สงสัยจะเลิกกันแล้วก็ตกลงกันเรื่องลูกว่าแยกกันเลี้ยง สุดท้ายก็เลี้ยงไม่รอดก็เลยส่งกลับมาให้พ่อแท้ ๆ เลี้ยงล่ะมั้ง” แม่ฉันคาดเดา มือไม้อ่อนทาแผลให้พลับพลึงด้วยความเบามือ
“คงงั้น” ฉันใช้ข้าวเหนียวจ้ำน้ำพริกเข้าปาก สายตามองแม่ที่กำลังทายาให้กับพลับพลึง เด็กตัวเล็กร่างผอมบอบบางมองตามมือแม่ฉันที่ปาดยาสัมผัสผิวด้วยใบหน้านิ่ง ปากคว่ำตกเล็กน้อยหากโดนแผลแต่ก็ไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย มีเพียงเสียงเล็กที่หลุดรอดออกจากปาก ‘เจ็บ’ เพียงคำเดียวแล้วเงียบหายไป
“เห็นแผลตามเนื้อตัวแล้วใจคอไม่ดี ตอนอยู่กับแม่โดนทุบตีหรือไงลูกเอ๊ย” แม่ฉันยกมือลูบผมบางของพลับพลึง
“คุณภาค เอ่อ...พี่ภาคเค้าบอกว่าคุณส้ม แม่แท้ ๆ ของน้องเค้าไม่มีเวลาเลี้ยง เลยพาลูกไปฝากเลี้ยงที่เนอสเซอรี แล้วเหมือนพี่เลี้ยงในศุนย์จะเป็นคนทุบตีนะ”
“เหรอ? โอ๊ยตายละ เด็กตัวเล็กแค่นี้ไม่น่ามาเจออะไรแบบนี้เลย เลี้ยงเองที่บ้านเหนื่อยหน่อยแต่สบายใจกว่าเนอะ”
“ที่บ้านก็ใช่ว่าจะดีหรอกแม่ สมัยนี้เชื่อใจใครไม่ได้หรอก บางบ้านก็โดนคนในครอบครัวทำร้าย ลุงแท้ น้า ป้า แท้ ๆ ทุบตี ข่มขืนเยอะไป”
“บ้านนั้นก็มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ” แม่ฉันหันมาพูดด้วยใบหน้าที่ตกใจ
“เล่าให้ฟังเฉย ๆ ดูมาจากข่าว สังคมไทยเปลี่ยนไปเยอะ คนไม่ได้มีจิตใจดีเหมือนเมื่อก่อนที่ฝากคนข้างบ้านหรือญาติดูแลได้ แม่ก็อย่าไปมองโลกแง่ดีมาก”
“ทำเป็นพูด...แกก็ดูลูกให้คนอื่นอยู่ไม่ใช่เหรอไง” แม่ฉันหัวเราะเยาะฉัน แต่นั่นฉันเต็มใจต่างหากล่ะ ได้ทั้งเงินและเพื่อนสนิทต่างวัย มีเรื่องราวของเด็ก ๆ นำไปเขียนในนิยายสนุกจะตายไป แล้วฉันก็ชอบช่วงเวลาที่พะแพงอ้อนฉัน ทำเหมือนฉันเป้นที่หนึ่งในใจแล้วถีบคุณภาคออกให้ห่างตัว รู้สึกสะใจที่สามารถเอาชนะคุณภาคได้ “ต่อให้โลกนี้จะเปลี่ยนไป สังคมเราจะแย่ลง แต่เราก็อย่าไปแย่ตามเลย อย่างน้อยเราก็เป็นโลกที่ดี สังคมที่ดีให้กับเด็กสองคนได้พักพิง”
“อืม พราวก็คิดแบบนั้นแหละ โตขึ้นเด็ก ๆ ก็คงมีชีวิตเป็นของตัวเอง อนาคตก็อาจจะเดินตามฝัน ไปเรียนต่อไม่ก็ไปตามหาแม่ที่กรุงเทพฯ เมื่อวานพี่ภาคก็เพิ่งบอกว่าแม่ของเด็กแฝดประสบอุบัติเหตุ เป็นตายเท่ากัน ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง”
“ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดเยอะ แม่ใช้ชีวิตมาจวนจะหกสิบแล้ว ทำบุญคนเท่าไรก็ใช่ว่าจะขึ้น แต่สบายใจที่ได้ทำก็ทำไป ดีกว่ามานั่งเสียใจว่าตอนนั้นทำไมเราไม่ทำ ไม่ช่วยเขา ต่อให้วันหนึ่งเขากลับมาทำร้ายเราก็ถือว่าได้รู้จักนิสัยกัน”
“บาดลึกเสียจริง...พราวก็คิดแบบนั้นแหละ ไม่เราก็เขาที่เคยทำร้ายกันมาก่อน เราก็คงเป็นเรื่องเล่าที่ไม่ดีของใครสักคน บางทีก็อาจจะทำร้ายจิตใจคนอื่นไม่รู้ตัว ในขณะที่ยังเข้าข้างตัวเองอยู่ว่าไม่เคยทำร้ายใครก่อน”
“เออดี! ลูกแม่ก็เจริญรอยตามกัน”
ฉันกับแม่หัวเราะพร้อมกัน รู้สึกนานทีปีหนได้คุยกับแม่จะมีสาระกว่าการเจอหน้ากันทุกวัน เหมือนมีช่องว่างของระยะทางและเวลาที่ทำให้ต่างฝ่ายต่างคิดถึงกัน จึงทำให้ไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกันเหมือนตอนอยู่บ้านหลังเดียวกันและเจอหน้ากันทุกวันเช้าเย็น
การแต่งงานกับคุณภาคนับว่าคุ้ม อย่างน้อยฉันก็ไม่โดนแม่บ่นทุกวัน ความสัมพันธ์ของฉันกับแม่ก็ดีขึ้น แต่ฉันกลับโดนคุณภาคบ่นแซะทุกวันแทนนี่สิ...
ฉันกินข้าวไป ป้อนข้าวให้พลับพลึงกินไปด้วย เด็กคนนี้ทานเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม ให้อะไรก็ทานหมด แต่ทำไมถึงได้ผอมแห้งขนาดนี้กันนะ ระหว่างที่คุณภาคกับพ่อไม่อยู่บ้าน ฉันกับแม่ก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือเมื่อก่อนเรียกกันว่า ‘อนามัย’ เพื่อพาพลับพลึงไปหาหมอ
คุณหมอตรวจร่างกายพลับพลึงเบื้องต้นพบว่าเป็นไข้หวัดสำหรับเด็กทั่วไป มีอาการเริ่มต้นของมือเท้าปาก และขาดวิตามิน หมอจึงฉีดยาหนึ่งเข็มและให้ยามาทานเสริม ส่วนรอยแผลฟกช้ำที่เนื้อตัวและใบหน้าอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุจากการที่เด็กเล่นซนปีนป่าย ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับวัยของพลับพลึง
ฉันกับแม่จึงให้ข้อมูลหมอเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่พลับพลึงโดนทำร้ายร่างกายจากสถานเลี้ยงเด็ก พอหมอสังเกตอาการก็พบว่าเด็กมีปฏิกิริยาดังกล่าวจริง ๆ พลับพลึงจะค่อนข้างกลัวเวลาผู้ใหญ่ทำเสียงดังและยกมือขึ้น เด็กจะรีบมองหน้าแล้วถอยตัวหลบหาของบังร่างกาย จุดที่เด็กเลือกอยู่คือซอกเล็ก ๆ ของห้องที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด
คุณหมอจึงให้คำแนะนำว่าค่อย ๆ ให้เด็กปรับตัว บอกและสอนเขาทีละเรื่อง เหมือนเริ่มให้เด็กจดจำและเรียนรู้ใหม่ อนาคตเด็กจะค่อย ๆ ลืมเรื่องในอดีต ฉันไม่รู้ว่าจะจริงแบบที่หมอพูดและนำนำหรือไม่ เราจะสามารถทดแทนบาดแผลในใจของเด็กวัยหนึ่งขวบได้จริงเหรอ พัฒนาของพลับพลึงก็ไม่ค่อยดี พูดช้าหรือแทบไม่พูด จนฉันเกือบเข้าใจว่าพลับพลึงเป็นไบ้ แต่พอฟังจากคุณหมอก็ค่อยโล่งอกและสบายใจบ้าง
นี่ขนาดไม่ใช่ลูกตัวเองก็รู้สึกกังวลวิตกไปเสียหมด...
หลังจากกลับมาถึงบ้าน คุณภาคกับพ่อก็นั่งคุยกันอยู่ตรงซุ้มดอกพวงครามพอดี ทั้งสองคนมองมาทางฉันกับแม่ที่เพิ่งขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด จากนั้นพ่อก็ตะโกนมาถามทั้งที่ฉันกับแม่ยังไม่ทันจะลงรถ
“ไปไหนมา!” ใกล้แค่นี้แต่ตะโกนดังราวกับห่างไกลสามร้อยเมตรแน่ะพ่อ
“พาพลับพลึงไปหาหมอ รพ.สต หมอบอกเป็นไข้หวัดกับโรคมือเท้าปาก”
ฉันอุ้มพลับพลึงเดินไปให้คุณภาคดูแลต่อ ก่อนจะเดินไปดูพะแพงที่นั่งเล่นกองทรายด้วยใบหน้ามีความสุข แก้มสีแดงระเรื่อของพะแพงทำให้ฉันอดเอื้อมมือไปบีบเล่นไม่ได้จริง ๆ
เวลาร่วงเลยผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ รู้เพียงว่าคุณภาคก็ยังคุยกับพ่อเรื่องฟาร์มไก่ พ่อกับคุณภาคจริงจังถึงขนาดวาดแบบ แล้วไปซื้อของทันทีทันใดหลังจากตกลงแบบกันเสร็จ จากนั้นก็ช่วยกันทำฟาร์มไก่ที่สวนโดยเรียกญาติข้างบ้านมาช่วย หลังจากฟาร์มแล้วเสร็จจะโทรให้ฟาร์มที่ขายพันธุ์ไก่ไข่มาส่งในสวน ซึ่งเจ้าของฟาร์มคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น คุณภาคนั่นล่ะ...เขาโทรบอกลูกน้องให้เตรียมลูกไก่และไก่ไข่ให้พ่อห้าสิบตัว นำมาส่งที่จังหวัดน่าน
ลูกเขยดีเด่น จะไม่ให้พ่อแม่ฉันรักและหลงได้อย่างไร...
ฉันอุ้มพะแพงกับพลับพลึงไปนอนเปลสานซึ่งวางเบารองไว้อย่างแน่นหนา หาเชือกมามัดแล้วไกวเบา ๆ เพื่อกล่อมเด็กแฝดที่นอนหันเท้าชนกัน ความจริงก็อยากแยกเลี้ยงเพราะพลับพลึงเป็นโรคมือเท้าปากแต่ว่าจะแยกอย่างไรได้ ในเมื่อคนเลี้ยงก็มีแค่นี้ ทำได้เพียงให้พะแพงกินยาวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน ก่อนหน้านี้ก็นอนด้วยกัน กินด้วยกัน หากพะแพงจะติดก็คงติดตั้งนานแล้ว
คุณภาคเดินมานั่งที่แคร่ไม้ไผ่ที่ฉันนั่ง เขาเปิดกระติกน้ำหยิบแก้วพลาสติกที่มีหูแล้วตักดื่ม ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัย วันนี้ทั้งวันแทบไม่ได้คุยกัน และไม่ได้ยินเขาพูดถึงคุณส้มเรื่องอุบัติเหตุสักคำ หรือกลัวฉันถามเยอะก็เลยปิดปากเงียบเสียงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
ก็ได้...งั้นฉันเริ่ม
"คุณส้มประสบอุบัติเหตุ เราจะไม่ไปเยี่ยมเขาหน่อยเหรอคะ" ในที่สุดฉันก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้ก่อน
"ไปทำไม ไปก็ช่วยไรไม่ได้ อยู่กับหมอ หมอยังช่วยไม่ได้เลย" แต่ไม่คิดว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นความเฉยชา ไร้ความรู้สึกเวทนาสงสาร อาธรณ์ แม้แต่ท่าทางก็เรียบเฉยคล้ายคนไร้พะวงในชีวิต
นั่นแฟนเก่าคบกันสิบสามปีเชียวนะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ อย่างน้อยก็น่าจะวิตกกังวลหรือไม่ก็โทรตามข่าวสักหน่อยก็ได้นี่ หรือผู้ชายหากมีเมียใหม่จะเป็นแบบนี้...เดี๋ยวก่อน เมียใหม่ที่ว่าก็ฉันไม่ใช่เหรอ
"ไปให้กำลังใจก็ยังดี มีเด็ก ๆ ไปเยี่ยมแม่ ก็น่าจะมีกำลังใจสู้" คุณภาคตักน้ำจากกระติกยกขึ้นดื่มเป็นครั้งที่สองก่อนเทเศษน้ำที่เหลือก้นแก้วลงบนต้นพริกที่ปลูกข้างแคร่แล้ววางแก้วน้ำบนฝาจุกพลาสติก
"ถ้าเค้าคิดว่าเด็กคือกำลังใจ คงไม่เอามาให้เราเลี้ยงหรอก"
ลืมไปว่าคุณภาคใจยักษ์ใจปีศาจ เขาโกรธแฟนเก่าที่ทิ้งลูกให้เขาดูแลนี่เอง
“ที่แท้คุณก็โกรธคุณส้มที่ทิ้งลูกใช่ไหม” ฉันหันไปหาคุณภาคเต็มตัว “แต่ว่า...ตอนนี้คุณส้มเกิดอุบัติเหตุนะคะ คุณไม่น่าจะเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทำให้ลูกของคุณเสียโอกาสในการเจอแม่”
คุณภาคหันมามองฉันด้วยสายตาปีศาจ ฉันคล้ายว่าจะเห็นแสงสีแดงประกายวิบวับอยู่นัยน์ตาเรียวดุ
มองแบบนั้นหมายความว่าไง...ฉันจุ้นจ้านเกินไปเหรอ
“เสียโอกาสมาทั้งชีวิตแล้วนี่ แล้วก็ได้โอกาสมาตลอด เขาทำตัวเอง จะให้ผมทำยังไง”
ใจร้าย ใจทราม ใจปีศาจสุด
“คุณนี่มัน...สุด ๆ ไปเลย”
ฉันได้แต่ขยับตัวออกห่างคุณภาค หันหน้าไปมองเปลสานสายตามองดูเด็ก ๆ ด้วยความสงสาร
ไม่น่าเกิดมามีพ่อเป็นปีศาจเลยลูกเอ๊ย!
คนอะไรหน้าตาก็ดี จิตใจดั่งปีศาจเข้าสิง เนื้อตัวก็ไม่มีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งเหมือนผู้ชายคนอื่น นี่ถ้าฉันไม่ใช้น้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นหอมสะอาด คุณภาคก็คงมีแต่กลิ่นสาบเหงื่อแน่
เดี๋ยวมาต่อน้า...ทำงานบ้านทั้งวัน เพิ่งว่างทำนิยาย
ความคิดเห็น