ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรักภูมะขาม [Search Love]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 งานส้ม...สีทอง

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 65


    “แลงนี้ไปแอ่วงานส้มสีทองก่? เขาจัดมะวาวันแรก”

    [เย็นนี้ไปเที่ยวงานส้มสีทองไหม เขาจัดเมื่อวานเป็นวันแรก]

    ขณะกำลังกินปิ้งย่างหมูกระทะบนเตาไฟฟ้าแม่ฉันที่อุ้มพะแพงก็เอ่ยถาม ส่วนพลับพลึงค่อนข้างกลัวคนเด็กตัวผอมร่างบางไม่ยอมให้ใครอุ้มนอกจากฉันและคุณภาค ทำให้เวลานี้ฉันต้องอุ้มพลับพลึงนั่งตักและนั่งกินปิ้งย่างที่คุณภาคปีศาจกลายร่างเป็นเทวดาใจดีคีบหมูสามชั้นและผักต้มมาวางในถ้วยของฉัน

    “แลงนี้เลยก๊ะ? ตอนนี้ก่หกโมงแล้วหนา กว่าจะกิ๋น กว่าจะล้างจ๋านแหม ท่าจะทุ่มป๋ายปู้นนะกว่าจะแล้ว ขับรถไปถึงก็แมะสองทุ่มละ คนท่าจะหายหมด”

    [เย็นนี้เลยเหรอ ตอนนี้ก็หกโมงแล้วนะ กว่าจะกิน กว่าจะล้างจาน น่าจะทุ่มกว่าถึงจะเสร็จ ขับรถไปถึงก็เกือบสองทุ่ม คนน่าจะหายหมดแล้ว]

    หลังพูดจบประโยคฉันตักผักต้มและหมูที่หั่นเป็นชิ้นป้อนใส่ปากพะแพงที่ใช้อุ้งมือหนากวักเรียก ส่งเสียงร้องโวยวายที่ฉันป้อนไม่ทันใจ ด้านพลับพลึงแม้ตัวเล็กแต่ก็กินเก่งไม่เบา พอฉันป้อนพะแพงเสร็จ พลับพลึงก็จะเงยหน้ามามองฉัน สาวน้อยใช้มือเล็กสัมผัสฉันที่อก นิ้วผอมเรียวสะกิดฉันเบา ๆ ปากบางยกขึ้นขมุบขมิบ เมื่อก้มมองแล้วก็น่าเอ็นดู

    “แลงเนี๊ยะก่า แม่เห็นเขาถ่ายรูปลงเฟซ งามโทะ แม่บ้านในหมู่บ้านเฮาก็ไปจัดซุ้มขายของกัน”

    [เย็นนี้เลยสิ แม่เห็นเขาถ่ายรูปลงเฟซ สวยมาก แม่บ้านในหมู่บ้านเราก็ไปจัดซุ้มขายของกัน]

    ฉันน่ะไปได้ เพราะใจเป็นวัยรุ่นอยากเที่ยวทุกที่ที่เคยไปตอนเด็ก แต่เด็กแฝดกับคุณภาคนี่สิจะเอายังไง จะไปกันหมดนี่เลยเหรอ แล้วใครจะอุ้ม ใครจะดูแล วันนี้คุณภาคเพิ่งขับรถจากเชียงรายมาน่าน ค่ำนี้ไปเที่ยวงานส้มสีทองที่จัดสนามกีฬาจังหวัด เขาอาจจะเหนื่อยจนไม่อยากเดินเลยก็ได้

    แม่เห็นฉันไม่ตอบรับหรือปฏิเสธจึงหันไปชวนคุณภาคบ้าง คุณภาคหันมามองฉัน ฉันเองก็มองเขาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะก้มหน้าวางหมูสามชั้นสี่แผ่นบนผักกาดหอม ใส่กระเทียมปิ้ง พริกหวานปิ้ง ราดด้วยน้ำจิ้มสุกี้ที่ผสมกับน้ำพริกหมาล่าจับห่อยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ เต็มแก้ม หูก็ฟังคำบรรยายบรรยากาศงานที่แม่เล่าให้คุณภาคฟัง มือก็ป้อนข้าวป้อนน้ำเด็ก ๆ พอป้อนไม่ทันใจก็โวยวายงอแง จนพ่อฉันต้องเอามันเทศที่ปลอกเปลือกสีม่วงแล้วยัดใส่มือคนละชิ้นถึงส่งยิ้มหวานออกมาแล้วเงียบเสียงลง

    ตั้งแต่มาถึงจังหวัดน่านประมาณสองโมงเกือบสามโมง ฉันตั้งใจจะนอนพักเพราะเหนื่อยกับการเดินทาง แต่ล้มตัวลงนอนได้ไม่นานก็เจอคุณภาคกวนประสาททักว่าฉันอ้วนขึ้น จึงต้องไล่เขาไปให้พ้นสายตา แต่ใครจะไปคิดว่าคุณภาคกลับไม่สนใจ เขาปัดฝุ่นออกจากหมอนจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนข้างกายฉัน ‘เบาเสียงหน่อย เด็ก ๆ นอนอยู่’

    กลายเป็นว่าฉันเสียงดังซะงั้น...

    นอนได้ไม่เท่าไหร่ แม่ก็เอาส้มโอที่พ่อปลูกจากสวนไปตำกับน้ำพริกน้ำปูส่งกลิ่นโชยขึ้นมาถึงบนบ้าน ของชอบของโปรดมีเหรอที่ฉันจะอดใจไหว สุดท้ายก็ลุกออกจากเบาะแล้วไปนั่งกินตำส้มโอในครัว ส่วนคุณภาคก็รับหน้าที่พ่อนอนเฝ้าเด็กแฝดลูกของเขาไปตามระเบียบ

    กินท้องยังไม่หายอิ่ม แม่ก็ตั้งเตาหมูกระทะไฟฟ้าปิ้งย่างตามระเบียบ

    “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ครับ พราวน่าจะเหนื่อย”

    “พราวไม่เหนื่อย พี่ภาคเค้าขับรถนาน เหนื่อยไม่อยากเที่ยวก็เลยใช้พราวไปอ้างใช่ไหมล่ะ” จากเรียกคุณภาคเวลาอยู่กันสองต่อสอง เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ก็มีบ้างที่เรียกว่า ‘พี่’ หากไม่ใช้คำสรรพนามที่สนิทกันขึ้นเกรงว่าแม่ฉันจะเรียกไปอบรม ข้อหาทำตัวห่างเหินจากสามีมากไป กลัวลูกสาวโดนทิ้งน่ะสิ “ความจริงดึก ๆ คนน้อยก็ดีเหมือนกันนะคะ พราวไม่ได้ไปเที่ยวงานส้มสีทองในงานกาชาดนานแล้ว นานทีปีหนจังหวัดจะจัดด้วย เดินเล่นรับลมหนาวก็น่าจะดี ตอนวัยรุ่นถ้าไปงานนี้ชอบบังเอิญเจอรุ่นพี่ที่แอบชอบ ไม่ก็รุ่นน้องที่แอบปิ๊ง บางครั้งต้องให้เพื่อนไปสืบด้วยนะว่ารุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่ชอบไปงานไหม ถ้าไปก็ยกโขยงไปกันทั้งแก็งเลย แล้วก็โทรมาบอกพ่อกับแม่ว่าวันนี้กลับช้านะ เลิกเรียนพิเศษก็ไปแล้วจ้า...งานกาชาด”

    “โดดเรียนด้วยหรือเปล่า” คุณภาคถามด้วยน้ำเสียงกลั้นขำ ใบหน้ายิ้มเยาะคล้ายรู้ทัน

    “ไม่โดดเรียนหรอกภาค ปกติพราวเลิกเรียนพิเศษหกโมงเกือบทุ่ม ช่วงนั้นคนเลิกงานกำลังไปเดิน บ้างก็เพิ่งออกบ้านมาพร้อมครอบครัว อากาศเย็นกำลังพอดี เลิกเรียนเสร็จพราวก็ไปกินข้าวกับเพื่อนในงาน พ่อกับแม่ก็เดินเล่นในงานซื้อของรอพราว นัดเจอกันอีกทีก็ตอนคุณเธอแยกกับเพื่อน” แม่ฉันอุ้มพะแพงนั่งเก้าอี้ก่อนตัวเองจะนั่งลงข้าง ๆ สงสัยแม่จะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเพราะพะแพงตัวหนัก ฉันในวัยกลางคนยืนอุ้มพะแพงนาน ๆ ก็รู้สึกปวดหลังปวดแขน

    พูดคุยเรื่องงานส้มสีทองในงานกาชาดอยู่นานสองนาน หลังจากกินอิ่มก็พากันอาบน้ำแต่งตัวไปงานส้มสีทองโดยทิ้งเตาปิ้งย่าง จาน ชามเต็มกะละมัง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะตื่นมาจัดการล้าง

    "พร้อมแล้วค่ะ ไปเที่ยวงานส้มสีทองกัน" ฉันกระโดดโลดเต้นเดินลงบันไดตรงไปหาคุณภาคที่นั่งเฝ้าพะแพงกับพลับพลึงเล่นของเล่นตรงโถงหน้าทีวี ฉันใส่เสื้อพื้นเมืองประยุกต์คู่กับกางเกงเอวสูงขาสั้นสีขาว แต่งตัวไม่กลัวหนาวอยากรับอากาศดี เย็นสบายที่บ้านเกิด หน้าที่ไร้เครื่องสำอางเป็นแม่บ้านเลี้ยงเด็กก่อนหน้านี้ถูกแต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอาง แต่งหน้าโทน ‘Orange Nude’ เบาบาง เรียบหรูดูแพงผิวดีมากเว่อร์

    แต่งงานเป็นแม่บ้านเลี้ยงดูเด็ก ทำอะไรต้องฉับไว แต่งตัวแต่งหน้าทุกอย่างต้องเสร็จสวยเป๊ะปังภายในสิบห้านาทีต้องเสกแม่บ้านหน้าโทรมให้กลายเป็นลูกคุณหนูร้อยล้านพันล้าน ดั่งนางเอกในซีรีส์หลุดออกมาเดินในเมืองน่านหน้าหนาวปล่อยผมยาวสลวยสวยเก๋

    "ใส่ถุงน่องเหรอ" ประโยคแรกที่คุณภาคปีศาจทักเมื่อหันหน้ามามองฉันที่ยืนไขว้ขา มือพิงกำแพงส่งสายตาให้สามีและคนในบ้านว่า ‘ฉันสวย พร้อมแล้วที่จะเดินงานส้มสีทอง’

    "ไม่นี่คะ” ฉันก้มลงมองขาตัวเอง “ไม่ได้ใส่ถุงน่อง ขาพราวเนียนสวยใช่ไหมล่ะ ใคร ๆ ก็..."

    ไม่ทันได้เอ่ยปากชมตัวเองว่า ‘ใคร ๆ ก็ชมว่าขาพราวยาว เรียวเล็ก เนื้อผิวเนียนขาวสวยเหมือนดาราเกาหลี มีแต่คนขอเคล็ดลับรักษาผิว’ คุณภาคก็รีบกลายร่างเป็นสามีปีศาจใช้วาจาเสียดสี คำพูดเขาแซวเหน็บแนมทำร้ายจิตใจฉันเป็นที่สุด

    "เห็นเป็นรอยช้ำ รอยแผลเต็มขา นึกว่าลายถุงน่อง"

    แรง!!! อีตากำนันปีศาจเป็นคนแรง! 

    ฉันก้มดูขาตัวเองอีกครั้งก็พบรอยช้ำและรอยแผลที่หัวเข่าซึ่งฉันล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อวาน ตรงหน้าแข้งก็มีรอยช้ำจากการล้มกลิ้งไปโดนตู้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แม้ตอนแรกฉันจะคิดแบบนั้นจึงเลือกใส่กางเกงขาสั้นยาวคืบมือครึ่งเพื่อโชว์ขาสวยที่ภูมิใจนักหนาแต่เมื่อโดนตำหนิติติงแซวร่างกายก็เริ่มไม่มีความมั่นใจ

    “เห็นชัดมากเลยเหรอคะ”

    “ไม่ชัดหรอก นั่งอยู่ตรงนี้ก็เห็น”

    โอ๊ย! นั่งไกลเกือบห้าเมตรก็เห็นเหรอ แบบนั้นเรียกชัดแล้วพ่อกำนัน

    “พะแพง พลับพลึงดูแม่สิ แต่งหน้าจะไปเล่นลิเกงานส้มสีทอง”

    “ลิเกตรงไหน พราวแต่งหน้าเบามือ เน้นงานผิวเลยนะ” ฉันยกมือขึ้นจับแก้มของตัวเอง หรือผู้ชายมองว่าฉันแต่งหน้าจัดมากเกินไป

    “คิดยังไงแต่งหน้า” คุณภาคเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากยื่นห่วงวงกลมที่กลิ้งให้กับพลับพลึงและพะแพงคนละชิ้น “ปกติหน้าสดยิ่งกว่าปลาในตลาดอีก”

    เทียบฉันกับปลาไปอี๊ก ขอบคุณนะคะปีศาจของน้องที่ชมทางอ้อมว่าเป็นสด น่ากิน น่าซื้อไปทำอาหาร

    “ไม่ต้องคิดยังไงหรอกค่ะ ลองหน้าสดไปเดินงานสิ เจอคนรู้จักเพียบ ยิ่งวันไหนสิวขึ้นนะ เจอคนที่ไม่ได้เจอกันมานานเก่ง! ดังนั้นไปไหนแล้วแต่งสวยไว้ก่อน ป้องกันการเจอคนขณะไม่พร้อมด้วย” กำลังอธิบายความยืดยาวยัยความรักตัวยุ่งก็มาก่อกวน

    “เปา เปา” พะแพงพยายามลุกขึ้นเดินก้าวสองก้าวอย่างช้า ๆ มาทางฉัน ฉันรีบเดินไปอุ้มยัยตัวยุ่งมาโอบอุ้มก่อนจะพาเดินเข้าไปในห้องเพื่อหลบสายตาขี้ตำหนิของคุณภาค

    ใส่กางเกงพื้นเมืองขายาวก็ได้ อีตากำนันปีศาจพูดซะเสีย Self เลย!

    หลังจากเปลี่ยนกางเกงเป็นขายาวพวกเราก็มุ่งหน้าสู่งานส้มสีทอง กว่าจะหาที่จอดได้ก็วนรถอยู่นานสองนานและจอดไกลมาก ต้องพากันอุ้มเด็ก ๆ เดินเข้าไปในงาน โดยคุณภาคอุ้มพะแพงเด็กแฝดอ้วน ส่วนฉันอุ้มพลับพลึงแฝดตัวเล็ก

    ภายในงานคนค่อนข้างเยอะ ตกแต่งด้วยหลอดไฟหลากสีทำให้พะแพง พลับพลึงตื่นตาตื่นใจ พะแพงใช้นิ้วหนอนด้วงสาคูชี้ไปยังหลอดไฟที่ประดับข้างทางเดินแล้วหัวเราะชอบใจเสียงดังมาก ส่วนพลับพลึงยกนิ้วชี้ตามพะแพงส่งสายตาหวานและรอยยิ้มละมุนให้กับฉัน ฉันบีบแก้มของพลับพลึงเบามือ เห็นรอยผกช้ำบนใบหน้าและแผลมุมปากก็อดสงสารไม่ได้ ก่อนกลับบ้านคงต้องแวะร้านขายยาซื้อยาทาแผล ยาลดรอยฟกช้ำ รอยตุ่มคันจากแมลงกัดต่อย และวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันสักหน่อยแล้ว

    พลับพลึงผู้น่าสงสาร ก่อนหน้านี้โดนจับแยกกับแฝดพี่ก็คิดว่าผู้ใหญ่ใจร้ายแล้วนะ พอเห็นสภาพที่มาอยู่กับฉันในเช้าวันนี้ก็รู้สึกหดหู่เหมือนเห็นพะแพง แฝดพี่ที่ฉันเลี้ยงโดนรังแก ปล่อยทิ้งปล่อยขว้างเด็กไม่สนใจใยดี เขาจะมีแผล จะเจ็บ จะป่วย ก็ปล่อยปะละเลยจนเนื้อตัวผอมแห้ง ดูก็รู้ว่าพลับพลึงเป็นเด็กกินง่าย เขาไม่เลือกกิน หยิบยื่นอะไรให้ก็จับเข้าปากทานหมดไม่ปฏิเสธเอกเยอะเหมือนพะแพง เพียงแต่เป็นเด็กขี้กลัว คล้ายกับว่าพอหยิบจับอะไรคนเลี้ยงดูก่อนหน้าก็ดุด่าจนทุบตีลงไม้ลงมือให้ตัวเขียวช้ำ แค่ฉันยกมือหรือทำเสียงดัง พลับพลึงจะมีอาการตกใจ ถอยหลังหนีหรือไม่ก็หาที่หลบบังตัว บางครั้งหากไม่มีสิ่งของข้างกายพลับพลึงก็จะยกมือขึ้นมาป้องกันตัวเอง

    หากพลับพลึงจะทำอะไรจะหันมามองฉันหรือผู้ใหญ่รอบข้างเสียก่อน แล้วค่อยหยิบจับอย่างช้าเบามือ ส่วนพะแพงที่ถูกเลี้ยงโดยการฝึกให้ตัดสินใจด้วยตัวเองแต่อยู่ในขอบเขตที่ตกลงกันไว้ เขาจะหยิบจับสิ่งของด้วยความมั่นใจ กล้าแสดงออก พูดคุยหัวเราะเสียงดัง แม้จะเลือกกินแต่หากชอบหรือกินได้ก็จะกินเยอะกว่าเด็กทั่วไปสองถึงสามเท่า

    “มีโรตีสายไหมมาขายด้วย ซื้อไปกินที่บ้านดีกว่า” ฉันเดินนำคุณภาคไปยังร้านขนมโรตีสายไหมห่อแป้ง ส่วนพ่อแม่ฉันหยุดเดินอยู่ที่ร้านขายแว่นสายตา

    “ขายยังไงบ้างคะ”

    “ถุงนี้ 25 บาท 50 บาท 100 บาท แล้วก็ถุงใหญ่ Big Size 200 บาทค่ะ”

    “เอา Big Size หนึ่งถุง แล้วก็ถุง 100 บาท 2 ถุงค่ะ” แม้หยิบจับถุงที่ฉันชี้ใส่ถุง “เอาแบบห่อแล้วสองชิ้นค่ะ”

    “ซื้อไปทำไมเยอะแยะ” คุณภาคอุ้มพะแพงเดินเข้ามาใกล้ฉัน ก่อนที่พะแพงจะเอี้ยวตัวอยากให้ฉันอุ้ม

    “ซื้อไปกินที่บ้านหนึ่งถุง แล้วก็ซื้อไปฝากบ้านน้าเอื้อง ป้าเอื้อยอย่างละถุงค่ะ” เมื่อหันไปบอกคุณภาคพะแพงก็เริ่มดึงเสื้อฉันด้วยหน้าตาบู้บี้

    “เปา เปา” มืออ้วนกลมใช้นิ้วหนอนด้วงสาคูดึงทึ้งเสื้อฉันจนเปิดเห็นพุงที่เพิ่งกินอิ่ม มืออีกข้างพยายามผลักและตีพลับพลึง

    “อ๊ะ ๆ ไม่ได้นะคะพะแพง ตีน้องพลับพลึงไม่ดี ไม่น่ารักเลย น้องเจ็บนะ” ฉันยกมืออีกข้างที่ไม่ได้อุ้มพลับพลึงขึ้นห้าม ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบมือของพะแพง ด้านคุณภาคก็ไม่ยอมอุ้มพะแพงหลบออกห่างปล่อยให้ลูกตีกันเองแล้วหัวเราะชอบใจ

    “ตัวแค่นี้ก็หวงแล้วเหรอ” จังหวะที่คุณภาคพูดแม่ค้าที่เพิ่งห่อโรตีสายไหมเสร็จก็ยื่นขนมมาให้พะแพงพอดี พอพะแพงเห็นขนมก็รีบปล่อยเสื้อฉัน เอี้ยวตัวไปคว้าขนมจากมือคุณภาคที่เพิ่งรับขนมโรตีสายไหมมาจากแม่ค้า

    “ของกินนี่ไวมาก” ฉันหัวเราะ “ที่จะให้แม่อุ้มเพราะคิดว่าแม่จะซื้อขนมให้น้อง กลัวตัวเองไม่ได้กินใช่ไหม ร้ายไม่เบา” ฉันใช้นิ้วจิ้มแก้มพะแพงซึ่งกำลังยัดขนมโรตีสายไหมเนื้อแป้งนุ่มเข้าปาก

    แม่ค้ายื่นขนมโรตีสายไหมที่ม้วนแล้วอีกชิ้นให้ฉัน ฉันรับมาถือแล้วยื่นให้พลับพลึง “ขอบคุณก่อนค่ะ ขอบคุณค่ะ”

    มารยาทดีของไทยมีไว้ก็รักษา ใครเห็นก็มองว่าน่ารัก เอ็นดูและรักใคร่โดยไม่รู้จัก ฉันสอนเด็ก ๆ ให้ยกมือไหว้แม่ค้าเพื่อขอบคุณหลังจากรับขนมคนละชิ้น แม้ฉันจะเป็นคนซื้อและจ่ายเงินให้แม่ค้า แต่ว่าการขอบคุณกันในเรื่องเล็ก ๆ ก็เป็นเรื่องดีที่สามารถปลูกฝังให้เด็กตัวน้อยได้ซึมซับรับรู้ ย้อนมาที่ตัวฉันเมื่อได้เงินทอนจากแม่ค้าฉันก็พูด ‘ขอบคุณค่ะ’ จนติดเป็นนิสัย หากอยากให้เหตุผลสนับสนุนการกระทำ ฉันคงขอบคุณแม่ค้าที่ขายของให้และไม่คดโกงเงินฉันขณะทอนเงิน

    แบงค์สีเทายื่นส่งไปให้แม่ค้า เป็นใครไปไม่ได้หากไม่ใช่คุณภาคที่ยืนเงียบแต่ออกเงินจ่ายให้ ส่วนฉันเป็นคนไม่พกเงิน ใช้แต่โทรศัพท์มือถือโอนเงินสแกนจ่าย จึงหันไปมองการกระทำของคุณภาค

    “เลี้ยงเหรอคะ” สายตาส่งไปถาม กระพริบตาถี่หวังว่ากลิตเตอร์สีขาวมุกระยิบระยับที่หัวตาและถุงใต้ตาจะเปล่งประกายความใสซื่อบริสุทธิ์ของตัวเองออกไป ถามว่าเลี้ยงเหรอที่หมายความว่า ‘เลี้ยงขนมด้วยเหรอ ดีใจจัง ดีแล้ว ทำดีมาก’

    “ทำบุญทำทานน่ะ”

    เขาบนหัวคุณภาคเริ่มงอกออกมาเป็นปีศาจแล้ว

    “กรวดน้ำด้วยเลยไหม ร้านข้าง ๆ ขายน้ำอยู่นะคะ” อยากแซะมากนัก ฉันก็จะส่งเสริมด้วยการต่อยอดมุก

    “พอดีไม่ได้สวดมนต์ทำสมาธิส่งบุญก่อนกรวดน้ำน่ะสิ ทำทานเลี้ยงเด็กอดอยากปากแห้งหิวขนมแถวนี้ดีกว่า”

    “หมายถึงแฝดลูกคุณภาคนี่เอง”

    ใครเขาจะยอม ฉันก็สู้นะ! ใครอดอยากปากแห้งไม่ทราบ ฉันไม่ได้อดอยากปากแห้งสักหน่อย ที่ซื้อเพราะว่าไม่ได้กินนานแล้วและที่บ้านก็คนเยอะด้วยเลยเลือกขนาดใหญ่ที่สุดในร้านต่างหากล่ะ

    เมื่อคุณภาคจ่ายเงินและรับถุงขนมไปถือ พ่อแม่ฉันก็เดินมาสมทบแล้วบ่นว่าฉันไม่ทันเดินเข้าไปในงานแต่ก็ซื้อขนมเยอะเต็มไม้เต็มมือ ฉันหันไปมองพ่อแม่ที่สวมแว่นสายตาใหม่ ในมือก็ยังถือถุงที่ข้างในบรรจุแว่นสองสามชิ้น

    “ว่าแต่พราว พ่อกับแม่ก็แว่นใหม่คนละสองสามอันเลยนะ ซื้อไปทำไมเยอะแยะ ตาก็มีอยู่แค่นี้”

    “มันไม่แพงห้าสิบบาทเอง เอาไปวางหน้าทีวี หลังบ้าน แล้วก็เอาไปไว้ที่สวน” พ่อเป็นคนเริ่มพูดต่อด้วยแม่อธิบายความ

    “พ่อเค้าขี้ลืมแล้วก็ทำหายบ่อยน่ะสิ อาทิตย์ก่อนเพิ่งนั่งทับแว่นขาหัก ก็เลยซื้อเยอะ ๆ วางมันทุกจุดเลย จะได้ไม่ต้องหา”

    “แล้วทำไมไม่ไปตัดแว่นสายตาที่ร้าน มาซื้อตามตลาดนัดทำไม”

    “ก็เพิ่งเล่าว่าหายบ่อย ก็เลยซื้อถูก ๆ แต่มองชัด จะได้ไม่เสียดาย” พ่อทำน้ำเสียงเขียวเกรี้ยวกราดใส่ฉันที่ทำให้พูดย้ำซ้ำสอง “ซื้อแพงไปเดี๋ยวก็ทำหายอีกอยู่ดี”

    “ซื้อแพงพ่ออาจจะมีสติไม่ทำหายก็ได้นะ” ฉันยังอยากเอาชนะพ่อ ไหน ๆ จะเสียเงินแล้วก็ลงทุนไปเลยสิ

    “ลองทำหมดแล้ว” พ่อหันมามองฉันพร้อมกับแม่แล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่แก่ให้รู้ไป”

    ฉันไม่เข้าใจพ่อแม่ตัวเองเท่าไร เกี่ยวอะไรกับแก่...ทำไมแก่ถึงรู้ ถ้าไม่แก่รู้ไม่ได้เหรอ

    ขณะที่ฉันเดินทำหน้างุนงงคุณภาคกลับหัวเราะไม่มีปี่มีขลุ่ย จนฉันที่อุ้มพลับพลึงเดินข้าง ๆ ต้องหันไปมอง “หัวเราะอะไรคะ”

    “ขำคนบางคนไง ไม่แก่แต่ก็ลืมบ่อย ทำของหายของพังประจำ”

    ตอนนั้นฉันกำลังคิดวิเคราะห์ว่าคุณภาคหมายถึงใครจึงไม่ได้เถียงกลับไปทันที แต่พอรู้ว่าคุณภาคหมายถึงฉัน ฉันก็ถึงกลับลมออกหู

    วันนี้หลายดอกแล้วนะอีตาคุณภาค!

    เดินเล่นภายในงานทำให้หวนนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่เดินกับเพื่อนฝูง ตอนนั้นชอบแวะร้านของกินยังไง ปัจจุบันก็ยังแวะร้านของกินเหมือนเดิม สมัยเรียนพ่อแม่ให้เงินไม่เยอะ อาทิตย์ละสามร้อยบาทรวมค่าเดินทางแล้วจัดการบริหารเอง ดังนั้นช่วงที่มีงานส้มสีทองหรืองานกาชาด หากอยากได้อะไรเป็นพิเศษจะหมายตาเอาไว้แล้วชวนพ่อแม่มาเที่ยวและคะยั้นคะยอขอซื้อทีหลัง

    ส่วนปัจจุบันวัยเปลี่ยน สถานะเปลี่ยน แม้หาเงินได้เงินที่หามาก็ถูกเทจ่ายไปกับของใช้ในบ้านและคนในครอบครัว ฉันซื้อเสื้อผ้าเด็ก รองเท้าเด็ก เครื่องประดับ โบว์ กิ๊บติดผมให้กับเด็กแฝดทั้งสองคนเยอะมาก คุณภาคเดินตามจ่ายเงิน ส่วนฉันก็หยิบลงตะกร้าอย่างเพลิดเพลิน

    อยากทำทานดีนัก ก็ทำทานให้ลูกเมียในบ้านนี่แหละพ่อกำนัน ได้โอกาสฉันก็ซื้อเทกระจาดให้หมด

    ซื้อของใช้ของกินเยอะจนต้องซื้อถุงล้อลากเพื่อบรรจุของ ลำพังจะอุ้มเด็กไปด้วย ถือของไปด้วยก็ลำบากมากพอมีเครื่องทุ่นแรงก็เบาสายไปเยอะ หลังจากเดินจับจ่ายซื้อของที่แทบไม่มีของตัวเองเสร็จก็เดินไปยังซุ้มกิจกรรมตักปลา ปาโป่ง

    “คุณภาคยิงให้โดนเป้าเลยนะ พราวอยากได้ตุ๊กตามิกกี้ตัวนั้น” น้ำเสียงฉันแสดงออกถึงความตื่นเต้นผิดกับอีกคนที่เฉยชาทำหน้าไร้อารมณ์เหมือนไม่สนุกกับงานส้มสีทอง

    “ซื้อที่ห้างไม่ง่ายกว่าเหรอ แถมยังได้ตุ๊กตาหน้าตาดีกว่านี้ ถูกลิขสิทธิ์ด้วย” โชคดีที่คุณภาคพูดไม่ดังมากอีกทั้งเพลงในงานก็กลบเสียงเขา ไม่เช่นนั้นพ่อค้าที่เฝ้าซุ้มคงได้ใช้ปืนลมอัดใส่เขาแน่

    “เล่นแบบนี้มันลุ้น และตื่นเต้นกว่านะคะ”

    “ลุ้นยังไง ผมก็เห็นคุณชี้นิ้วจิ้มสั่ง”

    พูดแล้วยังจะเถียงอีก!

    “ก็ลุ้นว่าที่จิ้มสั่ง คุณภาคจะยิงได้ไหมไง”

    ไอ้เราก็อยากจะมีโมเม้นเหมือนคู่รักคนอื่นบ้างที่แฟนเล่นให้แล้วได้ตุ๊กตาตัวใหญ่ไปกอด ฉันก็ลืมตัวไปว่าเราสองคนไม่รักกัน ฉันแค่เผลอแอบชอบสามีข้างเดียวเท่านั้น จะมามีโมเม้นที่สามียิงโป่ง ปาโป่งได้ตุ๊กตาเหมือนคนอื่นได้ยังไง

     

    กำลังจะถอดใจว่าคุณภาคไม่ยอมเล่น ฉันจะเป็นคนเล่นแทน คุณภาคก็อุ้มพะแพงกับพลับพลึงไปฝากพ่อแม่ฉันที่นั่งพักขา ณ จุดนั่งพักซึ่งทางเทศบาลจัดเตรียมไว้ จากนั้นเขาก็ยิงปืน ปาโป่ง

    รอบแรกไม่ผ่าน รอบที่สองก็ไม่ผ่าน แต่คุณภาคกลับไม่ยอมหยุดเล่น ปีศาจกำนันทำหน้าตาหงุดหงิดเหมือนอยากเอาชนะ เขาเล่นไปทั้งหมดสิบสองรอบจนฉันได้ตุ๊กตาที่หมายตามาครอบครอง ส่วนรางวัลปลอบใจก็ใส่ถุงยกให้กับเด็กน้อยฝาแฝดไปโดยปริยาย

    “เราซื้อปลาไปเลี้ยงที่บ้านเพิ่มดีไหมคะ” สายตาฉันมองไปยังบ่อปลาที่กำลังเดินผ่าน

    “เลี้ยงที่บ้านยังดูแลไม่ดีเลย จะซื้อเพิ่มไปทำไม”

    ขัดเก่ง...ชาติก่อนเกิดเป็นสก็อตไบร์ทหรือไง ขัดมันทุกเรื่อง

    ขณะฉันกับคุณภาคกำลังเดินไปหาพ่อแม่ที่นั่งเล่นกับพะแพงและพลับพลึงอยู่นั้นเอง คุณภาคก็หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าของเขาออกมาจากกระเป๋าหนังที่ห้อยเหน็บเข็มขัด หลังจากรับสายเขาก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแล้ววางสายไป 

    การไปเที่ยวงานส้มสีทองในงานกาชาดนั้น นอกจากจะไม่ได้โฟกัสเรื่องส้มและได้ของกินที่ไม่ใช่ส้มแล้ว พวกเรายังซื้อต้นไม้กลับไปปลูกที่บ้านซึ่งก็ไม่ใช่ส้มอีกเช่นกัน เมื่อแม่เพิ่งนึกได้ว่ามางานส้มสีทอง พวกเราจึงแวะซื้อส้มตามร้านที่มาขายข้างทางระหว่างเดินไปรถ

    นั่นทำให้ฉันคิดได้ว่า...บางครั้งจุดหมายปลายทางก็ไม่สำคัญและสนุกเท่าระหว่างทาง

    เมื่อพวกเรากลับถึงบ้าน พะแพงกับพลับพลึงก็นอนหลับทับแขนจนฉันแขนชาตัวชาไปครึ่งซีก เด็กตัวน้อยสองคนมารุมมาตู้มแย่งกันนั่งตัก แย่งกันให้ฉันกอด เมื่อเด็กนอนหลับฉันกับคุณภาคก็อุ้มพาไปนอนบนเตียงใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายทำธุระส่วนตัว ฉันนั่งกินและดูของที่ซื้อมาจากงานด้วยใจที่เบิกบานมีความสุข การได้ Shopping คือความสุขอย่างหนึ่งของฉัน และการไม่ได้เสียเงินมีคนจ่ายให้ทั้งหมดคือความโชคดีที่นาน ๆ ครั้งคุณภาคสามีดีเด่นจะเลิกกลายร่างเป็นปีศาจ เงินกระเด็นออกจากกระเป๋า 

    หลังจากกลับมาจากการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันก่อนเข้านอน จู่ ๆ คุณภาคก็ลุกจากเบาะนอนที่ปูเสริมเดินมาคุยกับฉันซึ่งกำลังจะเป่าผมหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

    “ส้มเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล โอกาสรอดน้อยมาก เป็นตายเท่ากัน”

    “คะ?” ไม่ทันที่ฉันจะได้กดเครื่องเป่าผมก็ต้องตกใจกับคำบอกกล่าวของคุณภาค มองเขาผ่านกระจกแล้วหันไปมอง “ตอนไหนคะ ที่ไหน แล้วแบบนี้เราต้องไปไหม แล้วเด็ก ๆ จะอยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่” มีคำถามมากมายเกิดขึ้นเต็มหัวของฉัน

    คุณส้มเกิดอุบัติเหตุได้ยังไง ที่ไหน ตอนไหน แล้วฉันกับคุณภาคต้องพาเด็กแฝดไปเยี่ยมแม่แท้ ๆ ด้วยหรือเปล่า ฉันเพิ่งจะมาถึงบ้าน ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย จะต้องกลับไปเชียงรายแล้วเหรอ หรือว่าคุณส้มเกิดอุบัติเหตุที่กรุงเทพฯ แบบนี้ไม่ต้องนั่งรถไปถึงกรุงเทพฯ เลยหรือไง

    “บางทีคุณก็ต้องมีสตินะ” พูดสั้นแต่บาดลึก ยังไม่เจ็บเท่าคุณภาคปีศาจพูดจบแล้วเดินกลับไปนอนที่เดิมโดยไม่อธิบายหรือเล่าอะไรให้ฟังต่อ “ผมรู้เท่าที่เล่า”

    ความเป็นห่วงของฉัน...จบลงด้วยความสงสัยร้อยแปดพันเก้า ต่อให้คะยั้นคะยอถามต่อกำนันภาคปีศาจก็หันหลังให้แล้วทิ้งคำให้ฉันอยากลุกไปอัดท้องสักมัดสองมัด

    “เรื่องชาวบ้านยุ่งให้น้อย ๆ หน่อยก็ได้มั้ง”

    ก็ใครกันล่ะที่มาพูดให้อยากรู้แล้วก็จากไป เล่าทิ้งเล่าขว้างพอถามก็ไม่มีคำตอบให้ น่าตบน่าตี น่าเอาไปทิ้งให้หมากัดวัวขวิดตัวเงินตัวทองแดกลงท้อง

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×