ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรักภูมะขาม [Search Love]

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 ความหลังเราสอง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 65


    ณ บ้านฉันที่จังหวัดน่าน

    ฉันส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์บอกพ่อแม่แล้วว่าฉันจะกลับบ้านประมาณหนึ่งถึงสองอาทิตย์ ตอนแรกตั้งใจจะมาคนเดียว ไม่คิดว่าจะมีสามตัวแถมมาด้วย

    คุณภาค และลูกสาวฝาแฝดของเขา...พะแพงกับพลับพลึง

    เหตุการณ์เกิดขึ้นไวโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว คุณภาคขนกระเป๋าส่วนตัวที่จัดเตรียมก่อนหน้าและกระเป๋าของใช้สำหรับเด็กขึ้นหลังรถกระบะไว้เรียบร้อยแล้ว หลังเดินกลับมาจากบ้านหลังใหญ่กำนันปีศาจก็สตาร์ทรถทันที แม้กระทั่งบ้านเขาก็ปิดหน้าต่างประตูเรียบร้อยแล้ว

    จัดการเตรียมตัวตอนไหนเนี่ย ไวมากจริง ๆ

    พอรถกระบะสีขาวของคุณภาคเลื่อนเข้าประตูรั้วบ้านที่ปกคลุมไปด้วยต้นตีนตุ๊กแกเกาะ พ่อกับแม่ฉันที่กำลังเตรียมเตาถ่านและตั้งตัวยาวหน้าบ้านก็รีบเดินมาต้อนรับที่หน้าประตูรถ

    “เด็ก ๆ เป็นไงบ้าง งอแงบ้างไหม” เสียงแรกที่เอ่ยถามคือแม่ซึ่งรีบเดินมาเกาะประตูรถชะเง้อคอมองดูเด็กแฝด

    ลูกตัวจริงหมดความสำคัญไปแล้วสินะ...

    พะแพง พลับพลึงนอนหลับบนเบาะหลัง โดยฉันใช้ผ้าห่มหนาวางทับซ้อนป้องกันเด็ก ๆ เล่นซนชนขอบรถ โชคดีที่ตลอดระยะเวลาการเดินทางประมาณสามชั่วโมงครึ่งเด็กแฝดนอนหลับไม่มีตื่นขึ้นมางอแงกลางทางให้ปวดหัว

    “หลับตลอดทางเลย ไม่มีคำว่างอแง เลี้ยงดีก็แบบนี้แหละ”

    “ทำเป็นคุย” แม่ฉันหัวเราะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รีบสาวมืออุ้มพะแพงขึ้นมาพาดบ่า “ดูพะแพงสิ อ้วนจนยายจะอุ้มไม่ไหวแล้วเนี่ย หลังเดาะแน่”

    “รายนี้กินนมเก่ง” เมื่อแม่อุ้มพะแพง ฉันก็อุ้มพลับพลึง แม่ตะโกนบอกให้พ่อไปหาเบาะนอนมากางให้เด็กแฝดทั้งสอง พ่อทำทีท่ายืดหลังบิดขี้เกียจ บ่นแม่ว่า ‘ใช้เก่ง แทบไม่ได้พัก’ จากนั้นก็เดินไปล้างมือที่ก๊อกน้ำก่อนเดินขึ้นบ้านไปจัดเตรียมที่นอน หมอน มุ้งตามแม่สั่ง

    เด็ก ๆ ยังคงนอนหลับ ก่อนหน้านี้ทำท่าคล้ายจะตื่นนอนแต่ก็งัวเงียนอนต่อ

    ด้านคุณภาคหลังจากดับเครื่องยนต์เขาก็ลงรถ เดินไปสวัสดีพ่อแม่ฉัน ก้มงามอย่างกับหาเสียงเลือกตั้ง เขาคือลูกเขยคนโปรดประจำบ้าน แค่พนมมือวางไว้ที่อกยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับก้มหัวเล็กน้อย พ่อกับแม่ก็พากันชมเชยแย่งพูดแย่งถาม

    ‘มาดกั๋มนันนี่ตึงดูดีแต้ ๆ’ แปล ‘ท่าทางลักษณะกำนันนี่ดูดีจริง ๆ’

    ‘ตั้งแต่เป็นกั๋มนันหันน้าเอี้องบอกว่างานงานหลายกู่วันเลยก๊ะ แลงนี้แม่เตรียมปิ้งย่าง มันเผา เผือกเผา เดี๋ยวรอละอ่อน ตื่นก็ตั้งโต๊ะกิ๋นได้เลย’ แปล ‘ตั้งแต่เป็นกำนันเห็นน้าเอื้องบอกว่างานเยอะทุกวันเลยเหรอ เย็นนี้แม่เตรียมปิ้งย่าง มันเผา เผือกเผา เดี๋ยวรอเด็ก ๆ ตื่นก็ตั้งโต๊ะกินได้เลย’

    ‘งานหลายก่ลูกบ่าว’ แปล ‘งานเยอะไหมลูกเขย’

    ‘ป้อเตรียมน้ำหม่าป้าวหื้อ แจ๊อยู่ในตู้เย็น’ แปล ‘พ่อเตรียมน้ำมะพร้าวให้ แช่อยู่ในตู้เย็น’

    ‘แม่ทำขนมต้มตี้กั๋มนันภาคจ๊อบ แจ่ตู้เย็นเตรียมฮื๊อละหนา’ แปล ‘แม่ทำขนมต้มที่กำนันภาคชอบใส่ตู้เย็นเตรียมให้แล้วนะ’

    ‘แอ๊บอ่องออกับไส้หมูเอามาจี่กิ๋นมะแลงก่มีพร้อม’ แปล ‘แอ๊บอ่องออกับไส้หมูเอามาย่างกินตอนเย็นก็มีพร้อม’

    ‘กั๋มนันภาคลองจิมเหล้ายาดองสูตรใหม่ของป้อผ่อก่า กลิ่นเหมาะคั๊’ แปล ‘กำนันภาคลองชิมเหล้ายาดองสูตรใหม่ของพ่อสิ กลิ่นดีมาก’

    ตั้งแต่ฉันลงรถ ยังไม่ได้ยินพ่อกับแม่เอ่ยถามหรือบอกว่าเตรียมอาหารหรือขนมให้ฉันสักประโยค เท่าที่ได้ยินมีแต่กำนันภาค ลูกเขยภาค สลับกันไปมาวนเวียนจนน่าหมั่นไส้ จำได้ว่าหลังอาบน้ำก่อนคุณภาคเรียกไปคุยแม้จะดึกหน่อยแต่ฉันก็ส่งข้อความบอกพ่อแม่ว่าฉันจะกลับบ้าน ต่อมาหลังจากขึ้นรถออกจากบ้านสวนภูมะขามก็อัปเดตเหตุการณ์แบบ real time ว่าคุณภาคจะตามมาด้วย

    แค่ไม่กี่ชั่วโมงพ่อแม่ฉันก็เตรียมของกินให้คุณภาคเยอะขนาดนี้เลยเหรอ นี่ถ้ารวยหน่อยคงจ้างกองยาวมาตีหน้าบ้านและคนโห่ฮิ้วต้อนรับคุณภาคแล้วมั้ง ตกลงใครเป็นลูกแท้ ๆ กันแน่ ขอตรวจ DNA ด่วนค่ะ

    พอกลับมาบ้านก็อดนึกย้อนไปถึงวันที่ฉันกับคุณภาคบังเอิญเจอกัน เริ่มรู้จักกันเพราะมีผู้ใหญ่แนะนำ ก่อนจะได้เรียนรู้นิสัยใจคอและตกลงแต่งงานกันในเวลาอันสั้นไม่ได้จริง ๆ เราสองคนใช้เวลาสั้นมากในการรู้จักกัน แต่กลับตกลงปลงใจอยู่กินด้วยกันจนหลายคนเข้าใจว่าฉันท้องก่อนแต่ง

    เหตุสืบเนื่องมาจากฉันกับแฟนเก่านัดกันไปกินข้าว ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

    เรื่องมันมีอยู่ว่า...

    ณ ร้านอาหาร

    “เดี๋ยวมานะไปเข้าห้องน้ำแป๊บ เหมือนจะปวดท้อง” ฉันบอก ‘เวฟ’ แฟนของฉันที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือเล่นเกมรอพนักงานมาบริการที่โต๊ะอาหาร

    “อะไรกัน...เพิ่งจะมานั่งไม่ถึงห้านาทีเลยนะ ปวดขี้แล้วเหรอ อาหารก็ยังไม่ได้สั่งเลย” เวฟเงยหน้าขึ้นมายิ้มเยาะมองฉันด้วยสายตาขำขัน

    “งั้นเอาส้มตำปูปลาร้า เอ็นไก่ทอด ปากเป็ด แล้วก็ต้มแซ่บกระดูกหมู ส่วนตัวเองจะกินอะไรเลือกเลย ตอนนี้เค้าไม่ไหวแล้ว! ข้าศึกบุก” ฉันขมวดคิ้วหยีตาเล็กลงจนหน้าตาดูไม่ได้ อาการปวดท้องเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกคล้ายว่าฉันกำลังจะปลดปล่อยมันออกมาตรงโต๊ะตอนนี้หากเวฟยังยื๊อไม่ให้ฉันไปเข้าห้องน้ำ

    ฉันปลอบใจตัวเองโดยการลูบท้องเพื่อลดอาการปวด พยายามให้ใจเข้าปอดให้ลึกเพื่อเพิ่มลมปราณ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเจ็บทุเลาลงแต่อย่างใด  ณ จุดนี้บอกเลยว่าต้องไปปลดทุกข์ ณ ห้องสุขาโดยด่วน

    ฉันวิ่งไปห้องน้ำด้วยความไวแสงทำให้ชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง เขามีรูปร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย ดูจากของใช้และการแต่งตัว เรียกได้ว่ามีฐานะพอสมควร แต่ที่ฉันรู้สึกหงุดหงิดและไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนักคือเขาไว้หนวดเคราเต็มคราง ดูท่าทางเจ้าชู้และเฒ่าหัวงูมาก

    “ขอโทษค่ะ”

    ฉันไม่ได้ยืนรอฟังคำให้อภัยจากเขา ข้าศึกบุกใกล้จะรอดปากถวารหนักขนาดนี้ ใครจะมีกะจิตกะใจยืนรอฟังคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ อยู่ล่ะ

    เดี๊ยนไม่สามารถหยุดเครื่องได้จริง ๆ ต้องไปต่อแล้วจ้าพี่จ๋า

    ขาที่สั้นที่เริ่มสั่นวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ เลือกห้องด้านในสุดติดฝาผนังเพื่อป้องกันคนอื่นเข้าห้องน้ำห้องข้าง ๆ ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกเสียสมาธิในการขับถ่าย ก่อนฉันจะเข้าห้องน้ำ ฉันดูซ้ายทีขวาทีว่าไม่มีคนอยู่ พอปิดประตูลงกลอนฉันก็รีบปลดกางเกงเพื่อปลดปล่อยสิ่งปฏิกูลที่คั่งค้างจากอาการท้องอืดเมื่อสามวันก่อนออกมาอย่างไม่ต้องทำการเบ่งเร่งเร้าทำอารมณ์ให้เสียเวลา

    ปู๊ด! ป๊าด โป๊น เป๊น ปึ๊ด

    แอ๊ด!!

    นั่งขับถ่ายได้ไม่นานเสียงประตูห้องน้ำใหญ่ก็เปิดออก ทำให้ฉันขมิบรูทวารแทบไม่ทันเพราะสะดุ้ง พอเสียงประตูดังขึ้น ฉันจึงต้องเตือนใจตัวเองว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องน้ำส่วนตัวที่บ้าน จะปลดปล่อยทั้งเสียงและกลิ่นตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้

    “นี่อีส้ม กูถามจริง มึงไม่คิดจะถามไอ้ภาคมันบ้างเหรอวะ ว่าจะแต่งงานตอนไหน นี่เพื่อนก็เริ่มมีลูกคนที่สองกันจะหมดทั้งกลุ่มแล้วนะ บางคนคือจูงลูกเข้าโรงเรียนประถมกันแล้ว ชีวิตแกตอนนี้คืออะไร จะคบกันไปเรื่อย ๆ ไม่คิดแต่งงาน มีลูกแล้วจริงหรอวะ มดลูกมีอายุนะมึง รีบใช้ก่อนจะฝ่อ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นทันทีหลังเสียงประตูห้องน้ำปิดลง

     ฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเรื่องของคนอื่น แต่หูฉันไม่ได้หนวกและห้องน้ำก็ไม่ได้กว้างมาก ฉันจึงสามารถได้ยินคำบ่นพวกนี้ชัดเจน และสมองฉันก็ดีมากที่จะจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่นเพื่อนำมาปรับใช้ต่อยอดงานเขียนนิยายของตัวเอง

    “แล้วจะให้ฉันทำยังไง เอาปืนไปขู่มันให้แต่งงานด้วยเลยไหมล่ะ อีกอย่างตอนนั้นฉันเคยถามภาคไปแล้วว่าจะแต่งงานตอนไหนดี ภาคมันก็ตอบว่าตอนที่พร้อม ภาคไม่อยากให้ลูกเกิดมาแล้วพ่อแม่ยังจัดสรรตัวเองไม่ได้ ภาคก็เลยบอกว่าถ้าถึงตอนนั้นหากคนข้าง ๆ ยังเป็นฉันก็แต่งด้วยแน่นอน ไม่ต้องกังวล”

    “โอ๊ย! ไอ้ภาคมันผู้ชาย พูดยังไงก็ได้ นี่แกคบกับมันมานาน 13 ปีแล้วนะส้ม บอกมันไปเลยว่าถ้าไม่แต่งตอนนี้ก็เลิกกันไป อย่ามากั๊ก มันเสียเวลาชีวิต อายุพวกเราก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วนะมึง จะมานั่งเสียเวลารอมดลูกฝ่อไปทำไมกัน แกไม่ใช่ไม่สวย ชีวิตเลือกได้อีกเยอะก็เลือกไปเถอะ”

    “พูดเหมือนผู้ชายสมัยนี้หากันง่ายเพียงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วพิมพ์ ‘เนื้อคู่’ กดเซิร์ชอากู๋รายชื่อก็ปรากฏพร้อมประวัติ การันตีการศึกษาและวงศ์ตระกูลงั้นแหละ คนดี ๆ ก็แต่งงานมีลูกมีเมียซะครึ่งค่อนประเทศแล้ว ส่วนผู้ชายที่โสดหากไม่เจ้าชู้ รักสนุก ก็หัวล้าน อ้วนลงพุง หรือไม่ก็มีภาระทางบ้านไม่พร้อมมีแฟน ไหนผู้ชายเปลี่ยนเพศสภาพกลายเป็นตุ๊ด แต๋ว กระเทย เก้ง กวางอีกล่ะ สู้ฉันรอภาคพร้อมไม่ดีกว่าเหรอ คบกันไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร พ่อแม่ของเราสองคนก็เข้ากันได้ดี ฉันกับภาคไม่ได้มีเรื่องทะเลาะบาดหมางกัน จะยกเหตุผลแค่ว่าเขายังไม่พร้อมแต่งมาเป็นข้ออ้างของการเลิกกันมันก็แปลกอยู่นะแก” ผูเสียงหวานเถียงกลับอธิบายเหตุผลยืดยาวให้อีกคนฟัง ฉันผงกหัวรับคล้อยตามอย่างเห็นด้วย เธอช่างจิตใจดีงามมีเหตุผล

    “รอภาค ฮึ! รอจนตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะเพื่อนส้ม!! สามสิบสี่ย่างสามสิบห้าแล้วนะ ไม่ใช่ยี่สิบต้น ๆ ให้ฉันแนะนำ...ทางที่ดีแกพูดกับมันให้รู้เรื่องไปเลยจะดีกว่า เดี๋ยวกลับไปนั่งที่โต๊ะฉันจะชงเรื่องให้เอง หรือแกจะแกล้งเมาโวยวายระบายความในใจก็ได้”

    “เอาจริงนะฝ้าย...พอนึกถึงเรื่องแต่งงาน ฉันไม่ได้อยากแต่งกับภาคนักหรอก”

    “สรุปคือที่แกไม่รีบร้อนเพราะแกไม่ได้อยากแต่งงานเหรอ”

    “ก็ไม่เชิงว่ะ ฉันรู้สึกว่า ฉันกับภาคมีมุมมองการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน คบแล้วเบื่อว่ะ เริ่มอิ่มตัว”

    “หรือว่าภาคมันไม่หวาน ซื่อบื้อ แข็งทื่อ ไม่ค่อยพูดใช่ไหม?”

    “เปล่า...ไม่ใช่แบบนั้น ภาคอยู่กับฉันเขาก็น่ารัก แต่เพราะภาคคงดีมากไปมั้ง เหมือนที่คนอื่น ๆ ชอบพูดกันว่า ผู้หญิงไม่ได้ชอบคนดีอาจจะจริง มันต้อง Bad Boy นิด ๆ ถึงรู้สึกอยากครอบครอง ภาคทำแต่งาน ของแบรนด์เนมที่มีก็ใช้ต่อจากพ่อหรือไม่ก็น้องชาย รถที่ขับก็ยืมพ่อมาขับ เป็นคนรวยที่ขาดเงินพ่อไม่ได้ ต้องใช้เงินพ่อมาหมุน...แกเข้าใจความหมายฉันไหม? อีกเรื่องที่ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีคือภาคเป็นคนญาติเยอะ ปู่ ย่า ตา ยาย อา น้า รวมตัวกันทีฉันแทบจำชื่อไม่ได้ สารพัดญาติที่มาวอแววุ่นวายมาก โคตรอึดอัดเลย”

    “ดูเหมือนแกมีคนคุยใหม่มากกว่านะอีส้ม”

    ไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย

    หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นต่อเพราะมัวแต่สนใจธุระตัวเอง มือกดน้ำให้ก้อนเหม็นลงไปในโถ ท้องไส้ปั่นป่วนต้องกดน้ำค้างเพื่อให้ส่งเสียงดังกลบเสียงตด วินาทีนั้นบอกเลยว่าเสียงพูดคุยของคนนอกห้องน้ำฉันฟังไม่ได้ศัพท์ เพราะเอาจิตสนใจกิจของตัวเองมากกว่า พอเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็พบว่ามีผู้หญิงสองคนกำลังแต่งหน้าทาปากหน้ากระจกขนาดใหญ่

    นี่คนอายุสามสิบกว่าจริงเหรอเนี่ย สวย สูง ขาว หุ่นเป๊ะ มีอก เอว ก้นครบสูตรแบบที่ผู้หญิงใฝ่ฝัน เป็นผู้หญิงเหมือนกันยังรู้สึกหลง ถ้าผู้ชายคนใดได้เจอได้คบคงอยากได้เป็นแม่ของลูกแน่นอน

    ฉันเดินไปล้างมือข้าง ๆ ทั้งสองคนเหลือบตามองเพียงเสี้ยววิแต่จำทั้งสองคนได้ติดตาก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะและเวฟก็แซวว่าฉันเข้าห้องน้ำนาน เวลาผ่านไปสักพัก อาหารที่สั่งไปก่อนหน้าก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ฉันติดถ่ายรูปก่อนกินจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพอาหารและคลิปวิดิโอ

    “เราเลิกกันเถอะ”

    กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพอาหาร หูฉันก็กระดิกได้ยินเสียงที่น่าเผือกดังลอยมา จะบอกว่าเสียงดังก็ได้ ความขี้เสือกเรื่องชาวบ้านทำให้ฉันหันไปมองทันทีทันใด

    ผู้หญิงคนสวย ตัวสูง หุ่นเพรียวคนนั้นกำลังบอกเลิกแฟน...ไอ้หน้าหนวดที่ฉันเดินชนก่อนจะไปเข้าห้องน้ำ ไอ้ร่างหมี

    “ใจเย็นส้ม มีอะไรก็ค่อย ๆ คุยกัน”

    “ภาค! ส้มใจเย็นมานานขนาดไหนแล้ว ถ้าภาคยังไม่พร้อมเราสองคนก็อย่าเดินต่อ ส้มไม่เคยอยู่ในอนาคตของภาคเลย ส้มไม่เคยว่าหากภาคทำแต่งานและไม่มีเวลาให้ แต่การที่ภาคไม่วางแผนอนาคตของเราสองคน ส้มว่า...เราเลิกกันเถอะ”

    ณ เวลานั้นฉันไม่รู้อนาคตว่าไอ้หน้าหนวดร่างยักษ์ตัวอ้วนเหมือนหมีจะกลายเป็นสามีกำนันภาคปีศาจที่ฉันแต่งงานด้วย แม้ไม่รู้อนาคตแต่กลับหันหลังไปจ้องมองเหตุการณ์อย่างสอดรู้สอดเห็น นิสัยเหมือนป้าข้างบ้านไม่มีผิด

    “พราวอย่าหันไปมองคนอื่นแบบนั้นสิ จ้องเขาซะน่าเกลียดเชียว” เวฟแฟนหนุ่มของฉันพูดขึ้น เขาสะกิดแขนฉันให้หันกลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะ

    “ทะเลาะกันที่ร้านอาหารน่าอายจะตาย” ฉันหันกลับมาคุยกับเวฟและหันหลังกลับไปมองอีกหน “แต่ก็อยากรู้อยากเห็นอยู่ดี”

    “พอได้แล้วพราว เติมน้ำใส่แก้วให้เวฟดีกว่า ปล่อยเขาไป อย่าไปยุ่ง เธอชักจะเหมือนมนุษย์ป้าเข้าไปทุกทีแล้วนะ” ฉันถอนหายใจจ้องหน้าเวฟก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะออกมาอย่างรู้ใจกัน

    ขณะที่ฉันกำลังเทน้ำใส่แก้ว...

    เปี๊ยะ! น้ำที่ฉันเพิ่งเทใส่เต็มแก้วถูกผู้หญิงใบหน้าสวย ผมยาว หุ่นดี จับสาดใส่หน้าผู้ชายร่างหมี

    “เลิกก็คือเลิก แล้วภาคก็ไม่ต้องตามมา” เสียงผู้หญิงคนนั้นตะโกนแข็งกร้าว น้ำตาอาบหน้า ผู้ชายคนที่ถูกเรียกชื่อว่าภาคมีท่าทางนิ่งเฉย ถอนหายใจจนอกหนายกขึ้นและยุบตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อุ้งมือหนาใหญ่ลูบน้ำออกจากหน้าของตัวเองด้วยหน้าตาเรียบตึง จากนั้นก็ยกมือและก้มหัวขอโทษฉันกับแฟนที่นั่งอึ้งกิมกี่

    “ขอโทษแทนแฟนผมด้วยนะครับ ขอโทษครับ”

    เรื่องจบลงด้วยดีโดยคุณภาคเดินมาขอโทษ ส่วนฉันที่กำลังจะนั่งกินข้าวอย่างสงบกลับโดนเพื่อนสาวของผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเจอกันในห้องน้ำกระชากผมให้เงยหน้าขึ้นแล้วตบหน้าฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันถูกกล่าวหาว่าแย่งแฟนชาวบ้านกลางร้านอาหาร

    “นี่มันอะไรเวฟ ผู้หญิงคนนี้คือใคร”

    ใครกันจะยอม...

    “คุณนั่นแหละเป็นใคร?” แม้ฉันจะตัวสูงตามมาตรฐานหญิงไทยโบราณ หนึ่งร้อยหกสิบแต่ฉันก็มีเลือดนักสู้ มือของยัยนั่นยังจิกผมฉันไม่ปล่อย “มาตบฉันทำไมไม่ทราบ”

    “ฉันแฟนเวฟ จะตบมึงอีกสักหนก็ได้” ก่อนที่ยัยนั่นจะง้างมือมาตบฉันอีกรอบฉันก็คว้าจานส้มตำที่อยู่บนโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ได้หันไปมองปาใส่หน้าผู้หญิงคนนั้นเต็มแรง จนยัยนั่นร้องกรี๊ดขอส่วนบุญเหมือนเปรตเมื่อฉันอุทิศส่วนกุศลสาดน้ำปลาร้าไปให้ เมื่อมือของมารร้ายออกจากหัว ฉันก็หันไปมองเวฟ แฟนของตัวเองที่คบหาดูใจกันมาสิบปีตั้งแต่สมัยเรียนด้วยสายตาดุดัน

    “เธอรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ”

    ไม่ทันจะได้คำตอบ ยัยผู้หญิงเปรตที่ร้องหวีดกรี๊ดวีนเต็มร้านอย่างไม่อายชาวบ้าน หล่อนก็ทำท่าจะตบคืนฉันอีกหนแต่ผู้ชายร่างหมีหรือคุณภาคที่โดนน้ำสาดหน้ากลับคว้าตัวเพื่อนเขาเอาไว้ก่อน ได้จังหวะดี ศัตรูคู่ต่อสู้ถูกล็อกตัว ฉันจึงรีบถลาตัวยกเข่าอัดท้องยัยนั่นไปหนึ่งจุกตามด้วยตบหน้าผู้หญิงคนนั้นด้วยหลังมือหนึ่งฉาด

    “กูไม่ใช่เพื่อนมึงที่จะมาทำสถุนยังไงก็ได้”

    ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ฉันแค่ป้องกันตัวเองจากภัยอันตราย แม้กระทั่งเวฟยังปรี่ตัวเข้ามาห้ามฉันไม่ทัน

    “พอแล้วพราว พอ!”

    “มึงสิพอ!” ฉันหันไปตะคอกเวฟด้วยน้ำเสียงแหลมสูงก่อนยกมือชี้หน้าด่า “หยุดตอแหลสักที”

    “ไปคุยกันในรถ”

    เวฟกระชากแขนฉันให้เดินตาม แต่ฉันเลือกที่จะสะบัดออกแล้วยกขาเตะเขาไปสองหนจนเซล้ม จากนั้นก็หันมากระชากผู้หญิงคนนั้นต่อ “ไปโรงพัก! ฉันจะไปแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น และทำให้เกิดความอับอาย” ขณะพูดฉันหันไปจ้องผู้หญิงคนนั้นที่ใช้มือกุมท้องงอเข่าด้วยสายตาดุชิงชัง “คนสันดานต่ำตบคนอื่นกลางร้านอาหารต้องเจอฉัน”

    ฉันจับยัยนั่นลากให้เดินตาม แต่ผู้ชายร่างหมีกลับเข้ามาห้าม ขณะเดียวกันเพื่อนฝูงของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาห้ามศึกด้วย “ใครไม่เกี่ยวถอยไป ก่อนที่ฉันจะแจ้งข้อหาว่ามีส่วนร่วมทำร้ายร่างกายฉันให้หมด”

    “พอเถอะคุณ! ผมขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย เรื่องแค่นี้เองอย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ” เสียงนุ่มทุ้มต่ำเอ่ยบอกฉันอย่างใจเย็น

    คนหัวร้อนอย่างฉันมีเหรอจะยอม “ฉันไม่ใช่คุณ ที่จะยืนนิ่งให้คนอื่นที่ไม่ใช่แม่สาดน้ำใส่หน้าแล้วเดินมาขอโทษแทนอย่างเสียศักดิ์ศรี ผิดก็คือผิด ถ้าคำว่าขอโทษมันใช้ได้ผล ตำรวจจะมีไว้ทำไม”

    วันนั้นจบลงด้วยการที่ฉันให้ทางร้านโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาไกล่เกลี่ยที่ร้านอาหารเพราะฉันไม่ยอมความจับยัยนั่นกดหน้าแนบเสามือไขว้หลังไม่ยอมปล่อย โชคดีที่สถานีตำรวจอยู่ใกล้ห่างเพียงหนึ่งร้อยเมตร ไม่นานตำรวจก็มาถึง ส่วนฉันกลัวเรื่องไม่คืบหน้าเลยโทรหาลูกค้าที่เคยจ้างฉันออกแบบงานให้ภรรยา เขาเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่จึงเร่งเรื่องและดำเนินการให้ทันควัน เมื่อตำรวจตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดของร้าน เขาก็ดำเนินการโดยลงบันทึกประจำวัน เสียค่าปรับตามระเบียบ

    ฉันยังแสบโทรขอคลิปจากทางร้านนำคลิปไปปล่อยลงโซเชียลเพื่อให้เป็นข่าวดัง คนจะได้ประณามการกระทำ ไม่คิดว่าจะมีคนชื่นชมความมือไว เท้าไวของฉัน

    หลังจากวันนั้นฉันก็เลิกกับเวฟอย่างถาวร เวฟเรียนต่อปริญญาเอกและได้รู้จักกับผู้หญิงคนดังกล่าวในคลาสเรียน คนมีการศึกษาไม่ได้หมายความว่าจะมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ทุกคนหรอกนะ เดินมาคุยกับฉันดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องลงไม้ลงมือจิกหัวตบฉันเลย

    เวฟเขามีโลกสองใบ หากฉันไม่เลิกและให้โอกาสต่อก็คงโง่เต็มที

    ฉันมันพวกไม่แคร์ชาวบ้านด้วยสิ...เครียดก็แต่งนิยาย มีความสุขก็แต่งนิยาย ชีวิตฉันมีแค่นี้ พระเอกของฉันมีหลายคน เขาอยู่ในโลกจินตนาการ ชีวิตจริงไม่ต้องมีก็ได้

    ชีวิตหลังจากฉันเลิกกับเวฟ...

    ฉันขายคอนโดและนำเงินใช้หนี้จนหมด จากนั้นก็ย้ายข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านจังหวัดน่าน ยึดอาชีพเขียนนิยายออนไลน์เป็นอาชีพหลัก ละทิ้งชีวิตมนุษย์เงินเดือนไว้เป็นเพียงประวัติการทำงานที่อยู่ในความทรงจำ

    หลังจากกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดน่านได้ไม่นาน แม่ก็มีนัดไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่จังหวัดเชียงราย ฉันที่นั่งแต่งนิยายเรื่อยเปื่อยอยู่บ้าน ไม่เข้าสังคม ไม่สุงสิงกับใครและไม่สนใจทำงานบ้านงานเรือนเพราะไม่ถนัด จึงถูกแม่ลากไปเที่ยวด้วยโดยให้ฉันเป็นสารถีขับรถ แต่ใครจะไปคิดว่าการมาเที่ยวในครั้งนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ฉันเจอสามีคนปัจจุบัน ‘กำนันภาคปีศาจ’

    ฉันแต่งงานกับ ‘ภาคภิรมย์ ร่มตระกูล’ หรือ ‘คุณภาค’ ผู้ชายร่างหมีหน้าหนวด คนที่โดนแฟนสาดน้ำใส่หน้าและห้ามศึกทะเลาะวิวาทกับเพื่อนของเขา

    ฉันเองก็ตกใจมึนงงที่เจอคุณภาค ณ จังหวัดเชียงรายกับแก๊งเพื่อนคุณแม่ ตอนนั้นเขายังร่างหมีและมีหนวดเครา แม่ฉันเล่าว่าพ่อแม่ของคุณภาคเลิกกันตั้งแต่คุณภาควัยรุ่น คุณภาคจึงย้ายจากกรุงเทพฯ มาเรียนที่จังหวัดเชียงรายตอนสมัยมัธยมต้น ก่อนจะกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯ เมื่อเข้าสู่มหาลัยฯ จากนั้นก็ไปเรียนต่อต่างประเทศและกลับมาช่วยพ่อทำงาน ก่อนจะย้ายกลับไปอยู่ที่จังหวัดเชียงรายหลังจากแม่เสียชีวิต

    แม่ฉันรู้ลึกรู้จริงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกับน้าเอื้องหรือน้าของคุณภาค ทั้งสองคนเคยเรียนวิทยาลัยและคณะเดียวกัน

    คุณภาคเป็นสารถีขับรถให้กับน้าของเขา เหมือนที่ฉันก็เป็นสารถีขับรถให้กับแม่และผองเพื่อนสามคน

    การไปเที่ยวจังหวัดเชียงรายเป็นไปอย่างราบรื่น เบิกบานถึงขั้นมีความสุข ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นตามฤดูกาล โดยในทริปมีคุณภาคมาดนิ่งอยู่ด้วยตลอดเวลา เขายังอาสาเป็นตากล้องให้กับผองเพื่อนคุณแม่ คอยแนะนำแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ฉันจึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณภาคอย่างเป็นทางการ คุณภาคเป็นคนพูดไม่เก่ง ส่วนใหญ่จะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ฉายาที่ฉันแอบตั้งให้เขาตอนนั้นคือหมียิ้มยาก

    แก็งแม่ ๆ เที่ยวกันสี่วันสามคืน ขณะกำลังนั่งกินปิ้งย่างล้อมวงผิงไฟ พวกผู้ใหญ่ต่างก็ยุยงส่งเสริมให้ฉันกับคุณภาคลองเปิดใจพูดคุยกันดูเนื่องจากสถานะตอนนั้นของฉันกับคุณภาคโสด เราสองคนต่างก็เพิ่งเลิกกับแฟนกันทั้งคู่

    นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว คำว่า ‘อยู่กินกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’ กลับถูกพูดถึงไม่ขาดปาก

    ฉันกับคุณภาคอายุห่างกันหลายปี จึงส่ายหัวเลือกที่จะปฏิเสธ และให้เหตุผลขำขันบอกว่า ‘ไม่ชอบกินเนื้อหมีแก่ หนังเหนียว เคี้ยวไม่อร่อยเหมือนวัยใกล้กัน ปล่อยพี่ภาคได้เจอคนที่ดีและคู่ควรกับเขาน่าจะดีกว่า’

    แต่แม่ฉันนี่น่ะสิเหมือนยกพานถวายลูกมาก ‘ยัยลูกคนนี้นี่ เล่นตัวมากเดี๋ยวก็ได้ขึ้นคานกันพอดี ถ้าพี่ภาคเค้ายังไม่มีใครก็ลองศึกษาดูใจกันไปก่อนก็ได้ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่โดนใจก็แค่หยุดคุย’

    ฉันอยากตอบกลับแม่เหมือนกันว่า...ฉันไม่ชอบคนหน้าหนวดตัวใหญ่ลงพุงเป็นหมี ฉันผู้หญิงร่างบอบบางชอบผู้ชายสูงใหญ่ก็จริง แต่ต้องหุ่นแซ่บ กล้ามแน่น หันไปมองทีไรก็อารมณ์ดี ไม่ใช่เจอหมีหน้ามุ่ย

    ฉันล่ะงงใจแม่จริง ๆ ก่อนหน้านี้แม่เคยบอกฉันว่า ‘คบคนสามีอายุมากกว่าดีเฉพาะตอนเรายังเป็นสาว แต่พอถึงช่วงหนึ่งของชีวิตเขาจะแก่ไวมาก ดูพ่อสิ! ห่างแม่หกปี ทุกวันนี้ไปไหนก็บ่นปวดแข้งปวดขา เดินเยอะทีไรโรคเก๊าก็กำเริบทุกที’

    ฉันนึกถึงประโยคแม่ทีไร ก็ได้แต่ส่ายหน้า เหมือนเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงอย่างไรอย่างนั้น

    สุดท้ายฉันกับคุณภาคก็เริ่มติดต่อคุยกัน เนื่องจากฉันต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับฟาร์มที่คุณภาคทำและชอบโพสต์ขายในเพจ เพื่อนำข้อมูลที่ฉันไม่ทราบมาแต่งนิยายจึงทำให้ฉันทักข้อความหาคุณภาคผ่านเฟซบุ๊ก จากนั้นก็ติดต่อคุยกันมาโดยตลอด มีอยู่วันหนึ่งเขาก็ส่งรูปมาให้และบอกว่า “ผมได้หมาตัวใหม่มา ตั้งชื่อว่าอะไรดี”

    คุณภาคส่งรูปเขากำลังอุ้มโกลเด้น ฉันไม่ได้ให้ความสนใจแค่ลูกหมา แต่กลับตกใจที่คุณภาคไม่มีหนวดเคราและผอมลงมาก ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หน้าเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนที่เคยเจอกัน ส่วนน้องหมาฉันก็ตั้งชื่อให้ว่า “พี่เบิ้ม”

    ฉันกับคุณภาคพูดคุยกันผ่านโซเชียลเป็นหลัก ไม่นานนีกคุณภาคก็ให้ญาติผู้ใหญ่มาสู่ขอฉันแต่งงานถึงบ้าน เล่นเอาฉันทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเอ่ยปากตอบรับหรือปฏิเสธอย่างไร คุณภาคไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แม้จะกะทันหันแต่พ่อแม่ฉันก็ตอบรับทันทีเพราะเข้าใจว่าฉันคบหาดูใจกับคุณภาค

    วันนั้นฉันกำลังนั่งล้างจานในกะละมัง ณ บริเวณลานหน้าบ้าน คุณภาคเดินเข้าหาและขอคุยกับฉันส่วนตัวเรื่องแต่งงาน  

    “ผมเคยคบกับแฟนสิบสามปี สุดท้ายก็เลิกกันเพราะผมไม่พร้อมแต่งงาน”

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เราจะแต่งงานกันเหรอคะ” ฉันไม่ได้ถามกวนตีน ก็แค่สงสัย

    เจอตัวจริงนับครั้งได้ แต่คุยวิดีโอคอลช่วงเย็นบ่อยเนื่องจากคุณภาคจะวิดิโอคอลให้ฉันดูพระอาทิตย์ตกดินที่ภูมะขาม หากช่วงไหนฉันสงสัยเรื่องฟาร์มและต้องการความรู้สำหรับเขียนนิยาย ฉันก็จะวิดิโอคอลหาเพื่อให้คุณภาคพาชมและอธิบายฟาร์ม คุณภาคจะไม่เปิดกล้องหน้า เขาจะเปิดกล้องหลังฉายให้เห็นวิวสวนภูมะขามและฟาร์มสัตว์

    คุณภาคนึกอย่างไรถึงได้พาญาติผู้ใหญ่มาขอฉันถึงที่บ้าน หรือว่า...ตุณภาคจะชอบคารมฉันเข้าแล้ว

    “ผมไม่อยากใช้เวลาศึกษาดูใจนานเหมือนเดิม มันเสียเวลา”

    “แต่เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานนะคะ คุณภาคเอาอะไรมามั่นใจความสัมพันธ์ เรื่องแต่งงานมันเรื่องใหญ่นะคะ ไหนจะเรื่องบนเตียงอีก พราวไม่พร้อม”

    ขนาดแฟนคบกันสิบปี มันยังนอกใจไปคบคนอื่น นี่เพิ่งเจอและรู้จักกันไม่ถึงปีจากผู้ใหญ่แนะนำ มีเหรอจะยั่งยืนยาวนานรักกันจนแก่เฒ่า แค่คิดก็ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้

    “ผมก็ไม่ได้ให้คุณแต่งงานกับผมเพราะเรื่องบนเตียงนี่”

    “พูดแบบนี้หมายความว่าไงคะ”

    “ให้ผมพูดตรง ๆ คุณเคยระบายให้ผมฟังว่า คุณทะเลาะกับแม่บ่อย แม่คุณอยากให้คุณเจอคนที่ดูแลคุณได้ เป็นผู้ใหญ่กว่า ไม่อยากให้คุณใช้ชีวิตไปวัน ๆ โดยไม่เข้าสังคมแบบนี้ แม่คุณมักพาคุณไปนั่นไปนี่ หรือไม่ก็พาไปแนะนำกับลูกของเพื่อน ซึ่งคุณไม่ชอบ ใช่ไหม?”

    ฉันผงกหัวรับเพราะสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงทุกประการ ฉันทะเลาะกับแม่บ่อยมากเพราะอาชีพการเป็นนักเขียนนิยายนั้นต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์และพิมพ์งานทั้งวันทั้งคืน บางครั้งฉันก็ลืมกินข้าว ลืมทำงานบ้าน เป็นเหตุให้ทะเลาะกับแม่บ่อย ดังนั้นคนที่ฉันสามารถระบายให้ฟังได้บ้างก็คือคุณภาค ส่วนเพื่อนที่สนิทกันก็มีไม่กี่คน แต่ละคนก็เป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ กว่าจะตอบข้อความก็ใช้เวลานาน เพื่อนบางคนก็มีลูกและสามีแล้วจึงไม่สะดวกฟังฉันบ่นชีวิตน่าเบื่อของตัวเอง พอคุณภาคเข้ามาในจังหวะชีวิตที่ฉันกำลังเบื่อหน่าย ฉันก็เหมือนมีที่ระบายเพิ่มและเขาก็รับฟัง เป็นที่ปรึกษาที่ดีให้มาโดยตลอด

    “ผมเป็นคนนั้นให้คุณได้” คุณภาคยักไหล่พร้อมทำหน้ากวน ๆ รอยยิ้มนั่นฉันจำได้ดี เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็สัมผัสได้ถึงความละมุนชวนฝัน

    ฉันเพิ่งสังเกตเห็นเต็มตาว่าคุณภาคผอมลงจากวันที่เจอกันวันแรกมาก หุ่นเข้ารูปคล้ายคนเล่นกล้ามแต่ฉันคิดว่าน่าจะเกิดจากการที่เขาโหมงานในฟาร์มหนักด้วยตัวเอง การแต่งตัวดูดี สะอาดสะอ้านไม่มีหนวดเครารุงรัง

    พิจารณาคุณภาคด้วยสายตาสักพัก คุณภาคก็พูดต่อว่า “ผมรู้ว่าคุณอยากมีชีวิตอิสระ เรื่องนั้นผมก็ให้คุณได้เช่นกัน ผมให้อิสระคุณใช้ชีวิตเต็มที่ ให้แบบที่คุณต้องการเลยล่ะ ส่วนเรื่องของผม ผมแค่อยากได้ที่ดินในส่วนของสวนมะขามที่ผมวิดิโอคอลพาคุณดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่ยายเล็กบอกว่าผมต้องแต่งงาน ยายถึงจะยกที่ดินนั้นเป็นของขวัญและใช้เป็นสินสมรส”

    ขณะฟังคุณภาคพูดฉันก็ล้างจานไปด้วย ครอบครัวคุณภาคมาที่บ้าน แม่จึงให้ฉันล้างจานเตรียมทำหมูกระทะปิ้งย่างกินตอนเย็น งานที่ฉันทำตั้งแต่เด็กยันอายุย่างเลขสามจึงเป็นงานบ้านที่แม่ชี้สั่ง

    “ผมจึงมาขอความร่วมมือคุณ เราสองคนต่างก็มีผลประโยชน์และความต้องการเหมือนกันทั้งคู่ แม้จะคนละเรื่อง แต่ผมก็ไว้ใจคุณ” คุณภาคยิ้มอย่างคนใจเย็น

    “พราวขอถามหน่อย คุณภาคมีญาติพี่น้องอีกไหม ถ้าอนาคตแย่งที่ดินกันจากนั้นก็ยิงกันตายเหมือนในข่าว ถ้าเป็นแบบนั้นพราวไม่ตกลงด้วยหรอกนะ”

    “ผมมีพี่สาวช่วยพ่อทำงานอยู่กรุงเทพฯ ส่วนน้องชายเรียนต่อต่างประเทศกำลังจะกลับไทยเดือนหน้าและแต่งงานกับแฟน ผมไม่แน่ใจว่าน้องชายจะกลับไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศต่อหรือว่าอยู่ที่ไทยทำงานสายอาชีพที่ถนัด แต่คงไม่กลับมาทำไร่ ทำสวน ทำฟาร์มเล้าไก่ จับกบ รีดนมวัวที่เชียงรายหรอก” น้ำเสียงคุณภาคหนักแน่นมั่นใจ

    “คุณแน่ใจได้ยังไงคะว่าเขาไม่อยากได้ที่ดินของคุณยายคุณเอาไปทำธุรกิจอย่างอื่น เช่น โรงแรม ไม่ก็สวนสนุก”

    “เอาเป็นว่าทั้งพี่สาวแล้วก็น้องชายผมไม่มีทางกลับมาอยู่ที่เชียงรายแน่นอน อาจจะมา...แต่ก็มาแค่เยี่ยมตายายตามวาระโอกาสสำคัญ คงไม่มาอยู่ที่เชียงรายถาวรหรอก เพราะเขาไม่คุ้นชินภาษาและวัฒนธรรมน่ะ”

    “เราแต่งงานกันแค่ในนามหรือต้องจดทะเบียนด้วย แล้วถ้าสมมุติว่าฉันเกิดไปตกหลุมรักใครสักคนขึ้นมาล่ะ หรือจู่ ๆ ก็เจอคนที่ใช่หลังจากที่แต่งงานไปแล้ว ถึงตอนนั้นแม้เราไม่ได้มีเรื่องบนเตียงกัน แต่พราวจะไปคบกับใครคนนั้นได้ยังไง อีกอย่างคงไม่มีใครอยากเอาหญิงหม้ายอย่างพราวเป็นเมียแน่ ผ่านการแต่งงานมาแล้ว คนก็ต้องคิดว่าเคยมีอะไรกับสามีอย่างดุเดือดแน่นอน”

    “เรารู้ว่าเราทำอะไรก็พอแล้ว คุณเคยพูดแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

    “ใช่...พราวเคยพูด แต่ว่าเราไม่ควรเอามาใช้กับเหตุการณ์นี้ แล้วถ้าคุณเกิดเจอคนที่คุณถูกใจขึ้นมาล่ะ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าต้องหย่ากันหรอกเหรอ”

    “ไม่คิดว่าเราจะรักกันบ้างเหรอ”

    “ไม่คิด” ฉันส่ายหัวด้วยใบหน้าเลื่อนลอย อย่างไรก็ไม่รักอยู่แล้ว “ไม่น่าจะรักได้ พราวเข็ดกับความรัก คุณก็รู้”

    “สมมุติว่าคุณเจอคนที่ใช่ คุณบอกผมได้ ผมพร้อมหย่าและจะไปพูดกับผู้ชายคนนั้นให้ด้วยว่าเราสองคนแต่งงานกันเพราะอะไร ยืนยันให้ด้วยว่าคุณไม่เคยมีอะไรกับผม และถ้าวันนั้นผมเจอคนที่ผมถูกใจ ผมจะบอกคุณด้วยตัวผมเอง”

    “คุณก็จะหย่ากับฉันใช่ไหม”

    “ผมให้คุณหนึ่งล้าน”

    “สินสอดฉันเหรอ” ฉันตาลุกวาวเมื่อได้ยินยอดเงิน

    “ไม่ใช่เงินสินสอด แต่เป็นเงินให้เปล่าเพื่อขอบคุณที่คุณให้ความร่วมมือผม หากผมเป็นฝ่ายขอหย่าหรือยกเลิกสัญญาของเราสองคนไปแต่งงานกับคนอื่นผมยินดีให้ค่าชดเชยอีกสองเท่า แต่ถ้าคุณยกเลิกสัญญาของเราไปแต่งงานกับคนอื่น คุณไม่ต้องเสียเงินให้ผม ผมให้อิสระคุณเต็มที่ในการจัดการชีวิตของตัวเอง คุณมีแต่ได้กับได้นะ เรื่องหม้ายก็ไม่ต้องกลัวเพราะยังไงผมก็ชดเชยให้อยู่แล้ว” คุณภาคยักคิ้วเจ้าเล่ห์ให้ฉัน

    จะว่าไปข้อเสนอนี้น่าสนใจใช่เล่น น้ำหน้าอย่างฉันเงินแสนยังไม่มีเก็บจะเอาปัญญาไหนไปหาเงินล้านได้ล่ะ

    “ลงทุนจัง...หรือความจริงแล้วคุณแอบชอบพราว ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ แต่ใช้เรื่องที่ดินเป็นข้ออ้าง”

    อืมใช่ ฉันพูดเข้าข้างตัวเอง ใครกันจะไม่คิด ทำเป็นมาอ้างเรื่องที่ดิน ตกหลุมรักฉันก็พูดมาตรง ๆ เลยสิ

    “ฮึ!” คุณภาคหัวเราะเสียงดัง

    ทำไม? ฉันพูดอะไรผิด

    “หลงตัวเองไม่เบาเลยนะคุณพราว แล้วถ้าผมชอบคุณ คุณจะแต่งงานกับผมไหม”

    ฉันไม่ได้ตอบคำถามแต่รีบยื่นขอเสนอเพิ่ม “หลังจากเราสองคนแต่งงานกันไปแล้ว ฉันไม่ขอนอนร่วมห้องกับคุณ หรือถ้ามีแค่ห้องเดียวก็ขอนอนแยกเตียง และเราสองคนจะไม่มีอะไรกันเด็ดขาด ส่วนถ้าใครถามถึงเรื่องลูกก็ตอบกลับไปว่าคุณน้ำเชื้อไม่แข็งแรง มีลูกยาก”

    “แค่นี้เองเหรอที่อยากขอ” ฉันไม่พูดอะไรต่อได้แต่ยักคิ้วให้แทนคำตอบ “ได้สิ! สบายมาก แต่มีข้อแม้ว่าต้องจดทะเบียนนะ ไม่งั้นยายผมคงไม่ยอมแน่”

    “ได้หมดถ้าสดชื่น ฉันได้อิสระจากที่บ้าน ไม่ต้องโดนแม่บังคับทำนั่นทำนี่ แล้วก็ได้เงินจากคุณ ส่วนคุณก็ได้ที่ดิน วินกันทั้งคู่”

    นั่งคิดเรื่องความหลังเพลิน ๆ ตาก็เริ่มหย่อนคล้อยตกลง มือที่กล่อมเด็กแฝดก็เริ่มหยุดนิ่ง ก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย แล้วเจอคุณภาคนั่งก้มดูไอแพดอยู่ข้าง ๆ

    “มาถึงก็จะนอนเลยเหรอ” คุณภาคหันหน้ามามองฉัน เขาวางไอแพดลงบนตัก

    “พราวเหนื่อย” ฉันนอนแผ่ร่างกายอย่างไม่ห่วงสวย

    “เหนื่อยอะไร? รถก็ไม่ได้ขับ”

    “พราวต้องดูแลเด็กตั้งสองคนนะคะ เหนื่อยมาก” ฉันถอนหายใจเสียงดังแล้วปิดตาลงหลบหน้ากำนันปีศาจที่ชอบพูดจาแขวะเหน็บแนมอย่างรู้ทัน

    “เอาเวลาไหนไปเลี้ยงเด็ก ผมไม่เห็นว่าพะแพงกับพลับพลึงจะดื้อเลย ขึ้นรถก็นอนหลับยาวยันน่าน มีแต่คุณนั้งก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่ก็ร้องเพลงเพี้ยนไร้เพราะ”

    ปีศาจกำลังทำงานอีกแล้ว จับผิดเก่งมาก

    “เล่นมือถือเพราะตอบข้อความนักอ่าน ส่วนร้องเพลงก็เพราะว่าต้องสร้างสีสันในรถ อยู่เป็นเพื่อนคุณภาค กลัวคุณภาคง่วงนอนแล้วหลับในเกิดอุบัติเหตุ ถึงจะร้องไม่เพราะแต่ก็ต้องใช้พลังงานเยอะนะคะ”

    คุณภาคหัวเราะ แล้วยื่นมือไปหยิบขวดน้ำแก้วซึ่งพ่อฉันสั่งยกลังมาจากร้านค้าในชุมชน

    “พราวนอนละ คุณภาคห้ามกวน”

    “ผมให้รางวัล” ฉันเปิดเปลือกตาอย่างเชื่องช้าเมื่อคุณภาคจับมือและรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังขยับเลื่อนเข้ามาในนิ้วนางข้างซ้าย เมื่อตาปรับโฟกัสได้ก็พบว่าคือฝาขวดน้ำแก้ว “รางวัลวงเล็กไป หรือนิ้วมันอวบอ้วนขึ้นนะ”

     

    ------------------------

    ไรท์ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเรื่อง จากชื่อเดิม...คนนั้นเหมือนพระเอกที่ฉันแต่งเลยนะ เป็น 'ตามรักภูมะขาม'

     

     ภาพประกอบฝาขวดน้ำแก้ว

     

    นางเอกไรท์คิดไม่ตกเลยจะให้ใครเป็นนางเอก เพราะวางบทให้นางเอกมั่นใจในตัวเอง ขี้มโน หลงตัวเอง แต่ก็จิตใจดี รักเด็ก ยึดมั่นในคุณธรรม เด็ดเดี่ยว จนนึกถึง suzy ว่าชอบถ่ายรูปไม่หวงสวย พอสวยก็สวยน่ารักธรรมชาติ ชอบสุดก็ตรงมีแก้มไม่เน้นวีเชฟนี่ล่ะ

     

     

    เลี้ยงลูกให้คุณกำนันมันเหนื่อยนะ

     

     

    ความฝันของฉันคือนักเขียนออนไลน์ ที่มีหนังสือเป้นของตัวเอง แล้ววันหนึ่งก็มีผู้จัดนำไปทำละครค่ะ

     

     

     

    ฉันสวยจะตาย คุณภาคตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกเจอ...แก้มน่ารักมาก

     

     

    ว่าไงนะ!!! ไม่ใช่เหรอ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×