คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 เก็บของไปบ้านแม่ยาย
ตะวันสาดส่องเข้ามาในห้องแผดเผาแผ่นหลังฉันจนร้อนผ่าว ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความมึนและปวดหัว พลิกตัวแผ่มือกว้างลงบนเตียงพยายามเปิดตาสู้แข่งกับแสงอาทิตย์
สงสัยเมื่อคืนดื่มเยอะไปหน่อย...
เมื่อตาเปิดโพรงมือก็ยกขึ้นแคะขี้ตาออกอย่างคุ้นชินก่อนหันไปมองข้าง ๆ พบว่าบนเตียงว่างเปล่า ไม่มีน้องพะแพง ไม่มีน้องพลับพลึง และไม่พบเจอคุณภาคนอนบนเตียงเหมือนเมื่อคืน แม้กระทั่งตุ๊กตาและของเล่นที่อยู่บนเตียงนอนก็ไม่มีเช่นกัน
ว่างเปล่า...
กำนันภาคปีศาจใจร้ายเหลือเกิน จะพาลูกไปให้แฟนเก่าก็ไม่คิดจะปลุกฉันตื่นขึ้นมากอดลาลูกสักหน่อยเหรอ
คุณภาคนะคุณภาค ใจร้ายเกินมนุษย์ไปแล้ว ไอ้คนใจจืดใจดำ ไม่เห็นใจคนอื่นบ้างเลย ถึงฉันไม่ใช่แม่แท้ ๆ ก็น่าจะรักษาน้ำใจกันบ้าง ปลุกฉันตื่นขึ้นมากอดจูบลาลูกสักหน่อยจะทำให้ปากเขาเน่าแฉะมือเน่าเปื่อยหรือไง
ฉันลุกออกจากห้องไปดูรอบบ้านอย่างร้อนใจ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะทันกอดพะแพงก็ได้ เมื่อผลักประตูบ้านที่ปิดแง้มเอาไว้เดินออกมายังระเบียงหน้าบ้าน พบว่าโรงจอดรถเหลือเพียงรถเก๋งสีขาวของฉัน แม้กระทั่งถังของเล่นของน้องพะแพงที่อยู่โซนนั่งเล่นหน้าทีวีก็หายไปทั้งหมด
พะแพงลูกแม่ไปแล้วจริง ๆ เหรอ...
เออดี! กำนันภาคปีศาจอยากตัดสินใจยังไงก็ตัดสินใจไปเลย เขาเป็นพ่อนี่ ฉันก็แค่แม่เลี้ยงจะทำอะไรได้ล่ะ พะแพงไปอยู่กับแม่แท้ ๆ ที่กรุงเทพฯ ฉันก็จะไปอยู่กับแม่ที่น่านเหมือนกัน
พอตัดสินใจได้ก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องนอนแล้วเดินตรงไปห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำเสร็จก็กลับเข้าห้องไปแต่งตัวเป็นเสื้อชุดกระโปรงยาวแขนสั้นปิดบังแผลและรอยช้ำที่เข่า เปิดเพลงเสียงดัง จัดข้าวของที่จำเป็นพร้อมกับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็ก
กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ที่จังหวัดน่านให้ใจชินกับการไม่มีน้องพะแพง หายอกหักเพราะรักลูกคนอื่นเมื่อไรค่อยกลับมาที่เชียงรายก็แล้วกัน ระหว่างที่ฉันอยู่ในช่วงทำใจ ฉันน่าจะพิมพ์นิยายจบหนึ่งเรื่องพอดี เรื่องที่แต่งน่าจะเศร้าสักหน่อยนะ นักอ่านคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้งที่นักเขียนซึมเศร้า เบื่อ เหงา เซ็ง
ปกติไม่ว่าจะทำงานบ้านหรือจัดของก็จะมีเด็กขี้อ้อนมานั่งซบ นั่งอิง เล่นตุ๊กตาอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้ตัวคนเดียวแล้วลุยให้เต็มที่ กำนันปีศาจไม่อยู่บ้านเปิดเพลงดังยังไงก็ได้ไม่โดนด่าแน่นอน ถ้าฉันชินกับการอยู่คนเดียวเมื่อใด หนึ่งล้านบาทที่จะได้ใช้หลังอายุเกษียณจากคุณภาคก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน หย่าไปเลยพราว เรื่องของฉันกับคุณภาคจะได้จบวงจรอุบาทว์สักที
หลังจากจัดของเสร็จแล้วฉันก็ปิดเพลง ปิดแอร์และลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องนอน พร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสำหรับพิมพ์นิยายไว้ข้างหลังอย่างทะมัดทะแมงเป็นสาวเท่
“เก็บของลากกระเป๋าจะไปไหน” เสียงคุณภาคดังขึ้นทั้งที่ฉันยังไม่เห็นร่างใหญ่สูง แม้ได้ยินแค่เสียงก็ทำให้ฉันสะดุ้งจนไหล่ยกขึ้นเป็นเซิ้งโปงลางไม่ทันได้ตั้งตัว
“พราวจะกลับบ้านไปอยู่กับแม่ที่น่านสักอาทิตย์สองอาทิตย์ แม่ไลน์มาบ่นบอกว่าคิดถึง ให้พราวกลับไปอยู่บ้านบ้างน่ะค่ะ” ขณะพูดฉันไม่ได้สนใจคุณภาค ก้มหน้าก้มตาลากข้าวของไปกองที่หน้าบ้าน โดยเดินผ่านร่างทะมึนที่นั่งพื้นหน้าทีวีอย่างไม่สนใจ
จนกระทั่งเสียงเล็กที่คุ้นหูดังขึ้น “เปา”
เสียงพะแพงนี่นาหรือฉันหูเพี้ยน ใช่แล้ว! เสียงใสเล็กแบบนี้จะใครอีกล่ะ พะแพง!
ฉันหันหลังกลับไปมองที่หน้าทีวีก็พบคุณภาคนั่งกินข้าวกับเด็กแฝดสองคน พะแพง พลับพลึงอยู่บนเสื่อหน้าทีวี พะแพงมองฉันด้วยสายตาลุกวาว มือหนากลมเป็นหนอนด้วงสาคูถือถั่วฝักยาวนึ่งของโปรดคาบไว้คาปาก เศษเม็ดถั่วติดแก้มอวบหนาพวงขาวอมชมพู
“อ่าว! คุณภาคยังไม่พาพะแพงไปหาคุณส้มเหรอคะ ทำไมถึง...” ไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค พะแพงก็รีบคลานมาเกาะแข้งเกาะขาฉัน เด็กอ้วนตัวกลมยิ้มและหัวเราะดีใจเสียงดังเอิ้กอ้ากอย่างอารมณ์ดี ฉันก้มลงอุ้มพะแพงก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง หยิบถั่วที่ติดแก้มอวบของพะแพงเข้าปากกินอย่างไม่รังเกียจก่อนจะหอมแก้มทั้งสองข้างอย่างคิดถึง
เมื่อเหลือบมองคุณภาคเขากำลังป้อนข้าวใส่ปากพลับพลึง ในมือเล็กของเด็กตัวบางถือมะเขือเปราะกำลังจะยัดเข้าปากหลังจากคุณภาคป้อนไข่ต้ม ฉันอุ้มพะแพงเดินไปนั่งบนเสื่อซึ่งมีขันโตกตั้งอยู่ตรงกลาง บนขันโตกมีจานผัดกะหล่ำปลีหมูสามชั้นใส่ไข่ ไข่ต้มสามฟองที่ถูกแบ่งครึ่งกินแล้ว และน้ำพริกอ่องวางคู่กับจานผักนึ่งสุก
อย่าบอกนะว่าอาหารบนขันโตก คุณภาคทำเองทั้งหมดน่ะ นี่มันของโปรดของฉันทั้งนั้นเลยนี่นา
บ้านนี้ผู้ชายเป็นพ่อครัวหลัก ส่วนผู้หญิงอย่างฉันก็รอกิน มีบ้างที่ฉันเข้าครัวไปช่วยคุณภาคทำอาหาร แต่เวลาฉันเข้าครัวทีไรก็มีแต่สร้างปัญหา ไม่หม้อก็กระทะต้องมีไหม้มีพังสักอย่าง ด้านอาหารของพะแพงฉันทำเป็นแต่ข้าวต้มกับเมนูไข่อย่างง่ายเท่านั้น หากเป็นเมนูที่มีขั้นตอนการทำซับซ้อนคุณภาคจะเป็นคนลงมือทำเสียมากกว่า ปกติเวลาคุณภาคทำอาหารรสเผ็ด ก่อนใส่พริกเขาจะตักแบ่งให้พะแพงก่อนแล้วค่อยเติมรสชาติเผ็ดทีหลัง ซึ่งอาหารส่วนใหญ่ที่กินในบ้านก็เป็นเมนูพื้นบ้านที่ทำในครัวเรือน พืชผักสวนครัวเด็ดจากหลังบ้าน ไข่และนมมาจากฟาร์มภูมะขาม ผลไม้ไม่ต้องซื้อเพราะคุณภาคนำมาจากสวน มีหลากหลายชนิด สามารถกินได้ตลอดทั้งปีไม่มีเบื่อ
“เปากิน” [พราวกิน] เสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับมือที่หยิบผักนึ่งจากจานยื่นป้อนเข้าปากฉัน
“จ๋า...กินเลยค่ะลูก ไม่ต้องส่งให้แม่หรอก” แม้จะปฏิเสธแต่มืออวบหนอนด้วงสาคูยังคงยื่นมือหวังป้อนผักเข้าปากฉันไม่หยุด พะแพงทำหน้านิ่งก่อนยกยิ้มจนตาหยีเมื่อฉันอ้าปากกินผักในมืออวบของเด็กหญิงจอมตื๊อ
แก้มจะระเบิดแล้วลูกเอ๊ย ใครกันจะทนลูกตื๊อและใบหน้าขี้อ้อนของพะแพงไหว มือเป็นหนอนด้วงสาคูเบียดดุ๊กดิ๊กน่ารักน่ากัดจ่อปากล่อให้ฉันกินแบบนี้มีเหรอที่จะไม่อ้าปากรับ หากไม่กินผักที่ลูกสาวป้อนเกรงว่าแม่เลี้ยงอย่างฉันคงใจร้ายใจดำกับเด็กเกินไป
ฉันอ้าปากกว้างรับผักนึ่งจากมืออวบอิ่มของพะแพงเข้าปาก ทำท่าทางเคี้ยวกินอย่างอร่อยกว่าทุกครั้ง ต่อไปคงจะไม่มีพะแพงในบ้านอีกแล้ว ฉันคงต้องนั่งกินข้าวคนเดียวหัวใจห่อเหี่ยวยิ่งกว่าผิวหนังที่คล้อยตามวัย
“กินข้าวให้อิ่มก่อน เดี๋ยวค่อยไปน่าน” คุณภาคพูดพร้อมกับยัดข้าวเหนียวคำโตเข้าปากก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“อิ่มแล้วเหรอคะ” ฉันเงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะเดินผ่านตัวฉัน
“อิ่มแล้ว กินข้าวให้อิ่มท้องล่ะ เดี๋ยวเดินทางไปน่านทางโค้งเยอะ ถ้าท้องว่างจะเวียนหัวง่ายนะ” คุณภาควางมือที่ศีรษะของฉันแล้วจับแกว่งเหมือนกำลังจะโยนโบว์ลิงให้กลิ้งไปข้างหน้า คนอะไรมือหนักเหลือเกิน “ฝากดูพะแพงกับพลับพลึงด้วย”
“แล้วคุณภาคจะไปไหนล่ะคะ” ฉันหันหน้าไปมองคุณภาคที่กำลังจะเดินออกนอกบ้าน
“จะไปล้างรถน่ะ วันนี้พะแพงกับพลับพลึงตื่นไวก็เลยพาไปขี่รถเล่นที่ฟาร์ม ผมเลยเอารถไปจอดที่ลานล้างรถ เดี๋ยวไปล้างรถช้าลุงโย่งจะรอล้างรถต่อเหมือนอาทิตย์ก่อนอีก เกรงใจแกน่ะ”
ขอเกริ่นก่อนว่าพื้นที่บ้านของคุณภาคนั้นตั้งอยู่ในรั้วที่ดินของตาชินและยายเล็ก เรียกว่าบ้านสวนภูมะขาม ในพื้นที่กว้างขนาดใหญ่มีรั้วมะขามเป็นกำแพงสูงเท่าอกซึ่งปลูกมานานหลายสิบปีตั้งแต่คุณตาคุณยายเป็นหนุ่มสาว ต่อมาหลังจากคุณตาของคุณภาคก้าวไปเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดท่านก็สั่งให้สร้างรั้วอิฐแดงขนาดหนาสูงใหญ่คล้ายกำแพงเมืองสมัยโบราณล้อมพื้นที่บ้านทั้งหมด โดยก่ออิฐหลังรั้วมะขามเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและยังคงความสวยงามของบริเวณบ้าน
หากขับรถเข้ามาในบ้านสวนภูมะขามจะพบบ้านหลังใหญ่ตั้งเด่นสง่าอยู่ทางขวามือใกล้ลำธารของชุมชน บ้านหลังใหญ่คุณตาและคุณยายของคุณภาคพักอาศัยอยู่กับครอบครัวน้าเอื้อง เธอมีลูกสามคน คนโตเรียนมหาวิทยาลัยในจังหวัด คนกลางเรียนมัธยมแต่ปัจจุบันเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ ส่วนคนเล็กยังอยู่ชั้นประถมศึกษาตอนต้น ปีกซ้ายของสวนภูมะขามคือบ้านของป้าเอื้อยและลุงโย่ง เป็นบ้านสองชั้นทรงทันสมัยนิยม ส่วนบ้านที่ฉันพักอาศัยกับคุณภาคนั้นจะอยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย ต้องขับรถผ่านบ้านหลังใหญ่ และบ้านของป้าเอื้อยเข้ามาอีกประมาณหนึ่งร้อยเมตรจะพบบ้านชั้นเดียว ดีไซน์ภายนอกเป็นโมเดิร์นแต่ข้างในเป็นพื้นไม้สักทองขึ้นเงา ตัวบ้านยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตร พื้นบ้านปิดทึบเป็นห้องใต้ดินสำหรับคุณภาคทำงาน แต่หากมีลูกบ้านมาติดต่อเขาจะให้พบและนั่งรอที่ลานนั่งข้างบ้าน หน้าบ้านมีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ ไหลลงมาในบ่อปลาคราฟ คุณภาคปลูกต้นไม้ ดอกไม้ทึบแน่นทั่วบริเวณบ้าน
ฉันมีหน้าที่รดน้ำต้นไม้ ส่วนคุณภาคมีหน้าที่ปลูกต้นไม้ ดอกไม้เพิ่ม
นั่งคุยเล่นกับพะแพงเพราะคิดถึง ก่อนจะเหลือบไปเห็นสาวน้อยร่างบอบบางถือมะเขือต้มส่งสายตามองฉันกับพะแพงคุยเล่นกัน ฉันส่งยิ้มให้พลับพลึงก่อนหยิบข้าวเหนียวขนาดพอดีคำสำหรับเด็กจิ้มไปที่น้ำพริกอ่องไร้พริกป้อนเข้าปากของพลับพลึง ตอนแรกพลับพลึงมีท่าทางลังเลคล้ายกลัวมือของฉัน เด็กตัวน้อยกระพริบตาถี่ยกมือที่ถือมะเขือและมือว่างอีกข้างขึ้นมาป้องกันตัว ท่าทางนั้นทำให้ฉันตกใจเล็กน้อย นี่ฉันหน้าคมดุจนเด็กกลัวเลยเหรอ ฉันไม่ใช่แม่เลี้ยงปีศาจนะ ฉันใจดี
ก่อนที่จะคิดว่าตัวเองกลายร่างเป็นปีศาจเหมือนคุณภาคฉันก็ยกยิ้มส่งให้กับพลับพลึงที่กำลังถดตัวถอยห่างไปนั่งหลังขันโตก “กินข้าวค่ะพลับพลึง น้ำพริกอ่องปะป๊าอร่อยนะ”
เมื่อเห็นว่าฉันป้อนข้าวไม่ได้ทำร้าย เด็กน้อยก็โน้มตัวมาข้างหน้า ใช้มือที่ว่างเกาะขันโตก อ้าปากรับข้าวเหนียวในมือของฉันไปทาน
“เก่ง! พี่พะแพงตบมือให้น้องพลับพลึงหน่อยเร็ว” ใครแฝดพี่แฝดน้องฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณภาคไม่ได้บอกรายละเอียด ดังนั้นฉันจึงยึดขนาดตัวในการแยกพี่น้อง แบบนี้น่าจะแยกออกง่าย
พะแพงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตบมือ’ ก็ใช้แขนหนาออกแรงโน้มมือสองข้างประกบเข้าหากัน แม้มือทั้งสองจะเกือบตีไม่ถึงเพราะติดพุงกลมที่ยื่นนำแต่พะแพงก็พยายามปรบมือ หัวเราะยิ้มดีใจ ฉันเห็นดังนั้นก็ก้มลงหอมหัว ผมน้อยบางเบาของพะแพงแยงจมูกนิดหน่อยทำให้จามเสียงดัง จนพลับพลึงตกใจกลัวเบ้ปากทำท่าจะร้องไห้ ส่วนพะแพงกระตุกตัวตกใจแต่กลับหัวเราะเป็นลูกคลื่นคล้ายรถสตาร์ทไม่ติด
“ไม่ต้องตกใจค่ะ แม่ไม่ได้ดุนะ แค่จามเฉย ๆ”
นางฟ้าในคราบมนุษย์อย่างฉันติดนิสัยใช้เสียงสองคุยกับเด็ก แต่พอหันไปคุยกับผู้ใหญ่เสียงจะกลับมาปกติห้าวหาญฉับพลัน แม้ไม่ใช่แม่และเพิ่งพูดคุยกับน้องพลับพลึงเป็นครั้งแรกแต่ฉันก็แทนตัวเองว่าแม่เสียแล้ว สมยานามนางฟ้าตกสวรรค์มาเป็นเมียกำนันปีศาจไม่ได้มาง่าย ต้องนิสัยดีรักเด็กจนเด็กรักด้วยถึงจะครบสูตร
หลังจากพลับพลึงกินข้าวที่ฉันป้อนเข้าไปในปาก เด็กตัวน้อยก็มองฉันไม่วางตา มือยัดมะเขือนึ่งเข้าปากบางใช้ฟันซี่เล็กกัดด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ฉันเพิ่งสังเกตใบหน้าของพลับพลึง หัวนูนขึ้นเล็กน้อยทิ้งรอยช้ำเขียวจางเบา บริเวณขอบปากมีแผลคล้ายเด็กขาดสารอาหาร ใต้ตาดำช้ำไม่สดใส ผิวพรรณขาวแต่ไม่อมชมพูใสเหมือนพะแพง เมื่อฉันเลื่อนมือเปิดเสื้อแขนยาว และกางเกงขายาวของพลับพลึงขึ้นก็ต้องตกใจ เนื้อตัวของเด็กหนึ่งขวบทำไมมีแต่รอยฟกช้ำ ตุ่มแมลงกัดต่อยและรอยแผลขีดข่วนที่ตกสะเก็ดแล้วเต็มผิวหนัง
วินาทีนั้นจะบอกว่าสตั๊นเหมือนมีมนุษย์ต่างดาวมาหยุดเวลาเหมือนซีรีส์เกาหลีเลยก็ว่าได้ รู้สึกหดหู่สะเทือนใจ
เมื่อสายตาของพลับพลึงจ้องฉัน ฉันก็แสร้งหัวเราะดังเอิ้กอ้ากคล้ายอยากลบภาพและสร้างบรรยากาศครึกครื้นให้กับเด็ก พะแพงเห็นดังนั้นก็หัวเราะตามในขณะที่มือยังคงจับถั่วฝักยาวกินไม่ปล่อย
สติค่ะพราว โตเป็นผู้ใหญ่ต้องมีสติ รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นที่พึ่งพาให้เด็กได้
เมื่อเลี้ยงเด็กสองคนพร้อมกัน ฉันจึงอุ้มพลับพลึงมานั่งข้างพะแพง เริ่มสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องและเพิ่มความสนิทคุ้นเคยให้เด็กทั้งสอง พยายามที่จะไม่ป้อนข้าวพะแพงกับพลับพลึง โดยฝึกให้กินข้าวเอง เลอะเปรอะเปื้อนที่เสื่อก็ช่าง เดี๋ยวค่อยเอาไปปัดที่ลานหน้าบ้านได้ ขอให้พะแพงกับพลับพลึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแค่นี้ก็ดีมากแล้ว เล่นให้เต็มที่ กินให้เยอะ ยิ้มให้มาก หัวเราะให้สุด มีความสุขสนุกสนานกับวัยเด็กให้มาก ๆ โตมาจะได้มีภูมิคุ้มกันจิตใจที่ดี
อนาคตหากเจอเด็กทั้งสองคนอีกครั้ง ไม่รู้เด็กสาวฝาแฝดสองพี่น้องจะจำฉันได้ไหม คงสวยสะพรั่งลืมแม่พราวแล้วมั้ง
“เป็ด เป็ด” (เผ็ด)
พะแพงใช้นิ้วหนอนด้วงสาคูชี้ไปยังน้ำพริกพร้อมกับซูดปากเพราะเห็นเป็นสีแดง สายตามองถ้วยแล้วเงยหน้ามองพลับพลึง ฉันจำได้ว่าปกติคุณภาคจะทำน้ำพริกอ่องไม่เผ็ดเพื่อให้พะแพงได้กินด้วย น้ำพริกอ่องไร้พริกทำแบบพื้นบ้านกินในครัวเรือน ตำกระเทียมและหอมแดงจนละเอียด ใส่มะเขือเทศเครือส้มที่เก็บจากสวนครัวหลังบ้านลงในครก ตำทุกอย่างเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปคั่วกับหมูสับติดมัน ใส่ไข่ ปรุงรสตามชอบ คั่วจนทุกอย่างสุกก่อนจะตักใส่ถ้วย รับประทานกับผักนึ่งร้อน ๆ หรือผักสดก็อร่อยเช่นกัน
“น้ำพริกอ่องไม่เผ็ดเลยค่ะ ปะป๊าภาคทำแบบไม่เผ็ดให้หนูกินได้ไงคะ มีไข่กับมะเขือเทศที่หนูชอบผสมด้วยนะ” ฉันพูดพร้อมกับปั้นข้าวเป็นก้อนเล็ก จิ้มน้ำพริกอ่องจะป้อนเข้าปากพะแพง เด็กอ้วนรีบเบี่ยงตัวหลบ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเบี่ยงหน้าหนีไม่ยอมกิน นิ้วมืออวบหนาสี่นิ้วยกเว้นนิ้วโป้งดุ๊กดิ๊กขึ้นลงที่ปากบางพร้อมกับแลบลิ้นพ่นน้ำลาย
“ไม่เผ็ดเลยค่ะลูก กินนิดหนึ่ง ลองชิมดูค่ะ จะได้ตัวสูงโต” พอเห็นว่าพะแพงไม่ยอมกินฉันเลยกินให้พะแพงดูเป็นตัวอย่าง และป้อนเข้าปากพลับพลึงอีกครั้ง พลับพลึงไม่พูดไม่จา ไม่แสดงออกทางอารมณ์แต่อ้าปากรับข้าวจิ้มน้ำพริกอ่อง สาวน้อยคิ้วบางอย่างพะแพงมองหน้าฉันอย่างงุนงง “อร่อยจังเลย น้องพลับพลึงอร่อยไหมคะ ไม่เผ็ดด้วยใช่ไหมคะ” พลับพลึงผงกหัวรับ ฉันยิ้มตอบแล้วหันหน้ามาหาพะแพง “กินคำเดียวค่ะ ถ้าไม่กินเดี๋ยวปะป๊าเสียใจนะ”
รอบนี้พะแพงยอมอ้าปากกินน้ำพริกอ่องไร้พริกก่อนจะหยีตาส่ายหัวไปมาจนตัวแข็ง ตาหมวยกระพริบถี่เม้มปากจนแก้มพอง จนฉันหัวเราะลั่นบ้านกับท่าทางตลกของยัยอ้วนพะแพง
“เป็นยังไงคะ อร่อยไหม” นิ้วชี้ฉันจิ้มลงบนแก้มอวบของพะแพง “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะลูก เปรี้ยวมากเลยเหรอคะ”
เมื่อพะแพงเห็นฉันหัวเราะ ยัยเด็กอ้วนก็หัวเราะตาม ส่วนพลับพลึงก็หันหน้าไปมองพะแพงแล้วก็หันกลับมามองฉัน
“พี่พะแพงกินเปรี้ยวไม่ได้เลย ตาหยีตลอด น้องพลับพลึงเก่งมากเลยค่ะ กินเปรี้ยวของมะเขือเทศได้ด้วย เดี๋ยวแม่พราวให้ปะป๊าไปเก็บจากสวนให้หนูจิ้มเกลือกินดีไหมคะ” พลับพลึงคล้ายจะฟังเข้าใจ เธอผงกหัวรับ ยิ้มตอบเบาบางก่อนจะหุบยิ้มลงแล้วยัดมะเขือที่ยังกินไม่หมดเข้าปาก
ขณะที่ฉันกำลังจะกินข้าวของตัวเองบ้าง กำนันภาคปีศาจก็เดินเข้าบ้านมาพอดี “ล้างรถเสร็จแล้วเหรอคะ ไวจัง”
“ลุงโย่งล้างรถให้แล้วน่ะ เฮ้อ...ไม่น่ารีบขับไปจอดแต่เช้าเลย เหมือนไปใช้แกล้างรถยังไงก็ไม่รู้” คุณภาคถอนหายใจหันมามองฉันกับเด็ก ๆ ที่นั่งกินข้าวบนเสื่อหน้าทีวี
“เอาน่าคุณภาค ถึงคุณภาคไม่ใช้ลุงโย่ง ลุงโย่งก็ทำให้คุณภาคอยู่ดี แกเพิ่งจะเกษียณคงเหงาน่ะค่ะ ให้แกได้มีอะไรทำก็ดีกว่าแกอยู่บ้านเฉย ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า”
คุณภาคไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาสาวเท้าไปหลังบ้านเพื่ออาบน้ำก่อนเข้าห้องนอนของตัวเอง ส่วนฉันหลังจากกินข้าวเสร็จก็ล็อกที่กั้นเด็กโซนห้องนั่งเล่น เปิดทีวีให้เด็ก ๆ ดู จากนั้นก็เก็บกับข้าวที่เหลือใส่กล่อง นำไปเก็บเข้าตู้เย็น ล้างจาน นำเสื่อที่ปูกินข้าวหน้าทีวีไปสะบัด ปัดเอาเศษอาหารออกจากเสื่อและขันโตกจนสะอาดก่อนจะม้วนเสื่อเก็บพิงกำแพงที่หลังบ้านเหมือนเดิม
เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็จัดการอุ้มเด็กสองคนที่กินข้าวมอมแมมไปล้างเนื้อล้างตัว ทาแป้งจนกลิ่นฟุ้ง พะแพงเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีชมพูหวานแหววเข้ากับผิวขาวอมชมพู อีกไม่กี่นาทีพะแพงต้องไปอยู่กับแม่แท้ ๆ อย่างคุณส้มแล้ว ฉันในฐานะแม่เลี้ยงก็ต้องแต่งตัวสวยให้ลูกสาวเสียหน่อย ให้สมกับที่ฉันเลี้ยงดูมาอย่างดี ด้านพลับพลึงฉันเลือกชุดกระโปรงสีชมพูของพะแพง สวมใส่คู่กับกางเกงขายาวปิดทับรอยช้ำและตุ่มแผลที่ขา
ว่าแต่ว่าคุณภาคจัดกระเป๋าให้พะแพงหรือยังนะ?
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ฉันเคาะประตูห้องคุณภาค
“เข้ามาเลย” พอเปิดประตูเข้าห้องคุณภาค คุณภาคกำลังนั่งจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทาง ตอนนี้เขาใส่แค่กางเกงยีน ไม่สวมเสื้อ เผยให้เห็นกล้ามอกขึ้นร่อง กล้ามแขนเป็นมัดเด่นชัด เมื่อเลื่อนสายตามองรอนกล้ามหน้าท้องบอกเลยว่าลึกราวกับโดนมีดหมอผ่าตัด
กำนันภาคปีศาจหุ่นอย่างกับนายแบบ ฉันอยู่บ้านเดียวกับเขามาปีกว่ายังไม่เคยเห็นเขาถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ส่วนบนเดินล่อนจ้อนทั่วบ้านเลยสักครั้ง นี่คือครั้งแรกที่เห็นหุ่นของคุณภาคเต็มตา จะว่าไปแล้วปกติผู้ชายจะปลูกผัก ล้างรถ ทำอาหาร อยู่บ้านก็ต้องถอดเสื้อส่วนบนออกโชว์เนื้อหนังไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมคุณภาครักนวลสงวนตัว ใส่เสื้อตัวใหญ่โคร่ง ไม่ก็เสื้อแขนยาวลายสก็อตตัดอ้อย ตลอดเวลาล่ะ
“พะแพงอาบน้ำแต่งตัวพร้อมเดินทางแล้วค่ะ” ฉันยืนกอดอกพิงประตูมองคุณภาคเก็บกระเป๋า “ว่าแต่คุณภาคจัดกระเป๋าจะไปไหนเหรอคะ อย่าบอกว่าจะไปด้วย”
หรือว่าคุณภาคจะไปอยู่กับคุณส้มสักสองสามวันในช่วงที่ฉันกลับน่าน หรืออาจจะไม่ใช่แค่สองสามวันก็ได้ เพราะเขาคงคิดถึงลูกและอยากใช้เวลาอยู่กับแฟนเก่า
“ใช่ ก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ”
น้ำเสียงเข้มตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ฟังแล้วหมั่นไส้มาก
คุณภาครูดซิปปิดกระเป๋า ลุกขึ้นหยิบเสื้อที่แขวนหน้าตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ ฉันยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองดูคุณภาคเสริมหล่อหน้ากระจก เขาใส่เจลเซ็ตผมให้หน้าม้าเสยไปข้างหลัง เผยให้เห็นหน้าผากและขมับที่ถูกตัดไปจนเกรียนติดหนังศีรษะทั้งสองข้าง เมื่อกำนันปีศาจกลายเป็นเทพบุตรจีนหน้าคล้ายหลี่เซียนกับเฉินซิงซวีผสมกัน ฉันก็อึ้งงันไม่ย้ายเท้าหนีขยับไปไหน
“พะแพงกับพลับพลึงก็จะไปเหมือนกันใช่ไหมคะ” คุณภาคลากกระเป๋าออกจากห้องเดินผ่านหน้าฉันไปคุยกับเด็ก ๆ
พะแพงกำลังนั่งเล่นหมอนคลานมาเกาะรั้วกั้นสำหรับเด็ก เขย่งเท้ายกมือมาทางฉันที่ยืนมองสองพ่อลูก ส่วนพลับพลึงนั่งเงียบไม่ส่งเสียงร้องโวยวายเหมือนพะแพง เด็กน้อยใช้สายตามองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“แล้วนี่คุณภาคจัดกระเป๋าให้พะแพงหรือยังคะ” ฉันเดินไปอุ้มพะแพงตัดหน้าคุณภาค เขาพยายามจะอุ้มลูกแต่โดนมืออวบของพะแพงปัดมือเขาออก ฉันฝืนเปล่งเสียงของตัวเองที่อยากร้องไห้ให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือโอบกอดลูบหลังพะแพงที่เอนคอซบลงตรงไหล่ฉัน
“ยังไม่ได้จัดเลย ฝากคุณจัดให้หน่อยได้ไหม ไม่ต้องเอาของไปเยอะนะ ใส่กระเป๋าเดินทางที่ได้ฟรีมาจากโลตัสก็ได้”
กระเป๋าเดินทางที่ได้ฟรีจากโลตัสเหรอ เฮ้ย! ใบนั้นมันเล็กมากเลยนะ ใส่เสื้อกับของเล่นไปจะครบได้ยังไงกัน
“แต่ใบนั้นมันเล็กมากเลยนะคะคุณภาค จะใส่ของพะแพงหมดเหรอ พราวว่าใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของคุณภาคน่าจะดีกว่า เสียสละให้ลูกไปก็ได้มั้งคะ”
“ใบนั้นใหญ่ไป จะขนของไปทั้งบ้านเลยหรือไง เอาใบเล็กไปนั่นแหละ เอาเฉพาะของใช้ที่จำเป็นไปก็พอแล้ว ตะกร้าของเล่นของพะแพงผมเอาไปวางไว้ที่ม้านั่งบ้านหลังใหญ่น่ะ ลืมเอากลับมาด้วย พอดีแก๊สที่บ้านหมดก็เลยไปทำกับข้าวที่บ้านหลังใหญ่แทนน่ะ ยายเล็กกับน้าเอื้องเลยช่วยเลี้ยงพะแพงกับพลับพลึง ยายเล็กถามว่าวันนี้ทำไมคุณตื่นสาย”
“แล้วคุณภาคตอบยายเล็กไปว่าไงคะ”
ฉันทำเสียงอ้อมแอ้มถามคุณภาคพร้อมกับกระชับอุ้มพะแพงให้แน่นขึ้น ความรู้สึกตอนนี้กลัวกำนันปีศาจจะฟ้องยายเล็กว่าฉันออกไปกินข้าวที่ร้านเหล้า กลับดึก ดื่มจนเมาเลยตื่นสายน่ะสิ พวกผู้ใหญ่น่ะขี้บ่นจะตายไป หนีจากแม่ก็มาเจอยายเล็กบ่นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จนน่าเบื่อน่ารำคาญ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจท่าน ทุกครั้งที่ยายเล็กเริ่มบ่นฉันก็จะตีมึนทำเนียนเดินกลับบ้านไม่ฟังยายบ่นได้ แต่ถ้าแม่บ่นยังไงก็ต้องฟัง หนีไปไหนก็ไม่ได้ ยิ่งเงียบก็ยิ่งบ่น เถียงกลับก็ยิ่งมีเรื่องทะเลาะกันยาวจนฉันกลายเป็นคนเนรคุณ
“กลับบ้านดึก ดื่มจนเมา ก็เลยนอนตื่นสาย”
“ฟ้องหมดเลยเหรอ!” ฉันโวยวายเสียงดังอย่างแตกตื่น
โคตรปีศาจของจริง
คุณภาคหัวเราะในลำคอไม่ได้พูดอะไรต่อ ฉันจึงอุ้มพะแพงกับพลับพลึงกลับมายังห้องนอนของตัวเอง แล้วจัดเสื้อผ้าให้กับพะแพงใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ได้มาฟรีจากห้าง โดยเลือกแต่เสื้อผ้าราคาแพง สีสวยสด ซื้อมาใหม่สวมใส่ไม่กี่ครั้ง
เลือกชุดเก่าไป เดี๋ยวจะหาว่าเราเลี้ยงลูกให้ไม่ดี
ส่วนเสื้อผ้าเก่าฉันตั้งใจว่าหลังกลับมาจากจังหวัดน่านจะเก็บใส่กล่องขนไปบริจาคให้หมด ขืนมีเสื้อผ้าพะแพงให้เห็นทุกวัน ฉันจะตัดใจจากลูกคนอื่นได้อย่างไร ของเล่นที่มีก็นำไปแจกให้เด็กในหมู่บ้านทั้งตะกร้า
ฉันจับเสื้อผ้าพะแพงที่พับในลิ้นชักออกมาจัดวางใส่กระเป๋าอย่างเป็นระเบียบ ยัดใส่เต็มกระเป๋าก็ปิดซิป พะแพงกึ่งเดินกึ่งคลานเล่นตุ๊กตาอยู่ข้าง ๆ มีบ้างที่กวนแต่ไม่มาก ส่วนพลับพลึงนั่งนิ่งมาก พอฉันทำเสียงดังก็คลานถอยห่างไปพิงหลังกับเตียงด้วยท่าทางเรียบร้อยสายตากลัวจ้องมองฉันไม่ละวาง
พอฉันจัดกระเป๋าเสร็จก็ให้เด็ก ๆ คลานออกจากห้อง คุณภาคกำลังจัดนม ขวดนมใส่ตะกร้าสำหรับเด็ก เมื่อตรวจทานดูก็พบว่าคุณภาคจัดของครบ เป็นระเบียบมาก นี่เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่งจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย อาหารก็ทำอร่อย งานบ้านงานเรือนก็ทำเก่งกว่าฉันเสียอีก ฉันแทบไม่ต้องบ่นให้เปลืองน้ำลาย ห้องนอนมีเพียงเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าบิลต์อินติดกระจก
มีอยู่เรื่องเดียวที่คุณภาคทำให้ฉันบ่นตลอดนั่นก็คือความประหยัด เพราะบางทีเขาก็ประหยัดเกินไป เฉกเช่นหม้อที่ฉันทำไหม้จนดำ พลาสติกหูหม้อพัง คุณปีศาจก็เอาไปขัด ซ่อมตัดปะ จนสามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ได้ดังเดิม หากเสื้อผ้าตัวไหนขาด เขาก็นั่งเย็บเอง บางทีฉันยังต้องขอความช่วยเหลือจากคุณภาคด้วยซ้ำ
จากคุณภาคอารมณ์ดี เสถียรเย็นสบาย ก็กลายเป็นปีศาจร้ายเมื่อฉันเดินไปขอความช่วยเหลือ
“ปล่อยให้พะแพงเดินบ้างก็ได้มั้ง” คุณภาคพูดพร้อมกับเก็บขวดนมในตะกร้า หลังจากยกกระเป๋าพะแพงออกมาวางข้างกระเป๋าคุณภาค ฉันก็อุ้มพะแพงกับพลับพลึงไม่ยอมปล่อย หนักแค่ไหนก็ทนได้
“พะแพงกับพลับพลึงยังเดินไม่คล่อง พราวอุ้มแล้วคุณจะเดือดร้อนทำไมคะ หวงลูกเหรอ” ฉันย้อนถาม คุณภาคเงยหน้ามาหัวเราะแล้วส่ายหัว “งั้นพราวไปนั่งรอหน้าบ้านนะคะ”
คุณภาคก้มหน้าตักนมผงใส่คอนโดนม “ได้ยินที่พราวพูดไหม พราวไปรอที่หน้าบ้านนะคะ” ฉันพูดเสียงให้ดังขึ้นเรียกร้องความสนใจ
“อยู่ใกล้กันแค่นี้ จะตะโกนทำไม”
“คุณภาคไม่ตอบ”
“ที่ไม่ตอบเพราะรู้แล้วไง”
“รู้แล้วก็ตอบรับหน่อยสิคะ ผงกหัวหรืออืมแค่คำเดียวก็ได้นี่”
ฉันบ่นคุณภาคก่อนหันหน้าไปหอมแก้มพะแพงที่ทำท่าทางง่วงนอนซบลงที่ไหล่ “พะแพงง่วงแล้วเหรอลูก” เมื่อพูดกับพะแพงเสร็จก็หันไปหาพลับพลึงที่ทำหน้าตกใจกับเสียงหวีดของฉัน “ไม่ต้องกลัวค่ะ แค่พูดกันเฉย ๆ”
น้ำเสียงเล็กขี้เล่นเอ่ยบอกกับเด็กแฝด โทนเสียงแตกต่างจากการคุยกับคุณภาคอย่างสิ้นเชิง ฉันใช้ปลายจมูกของตัวเองสัมผัสที่จมูกของพลับพลึง หน้าตาแฝดเหมือนกันมากต่างกันแค่อ้วนผอมและรอยช้ำเขียว
คุณภาคเงยหน้ามามองแล้วหัวเราะในลำคอ เขายกยิ้มข้างขวาขึ้นแล้วพูดว่า “ไปบอกยายเล็กด้วยนะ ว่าจะไปน่านน่ะ”
“เรื่องนั้นรู้แล้วค่ะ ที่คุณภาคเล่าเมื่อวานเรื่องพลับพลึงน่ะ พราวไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้”
“ใจอ่อนอยากดูแลเองแล้วล่ะสิ”
ฉันไม่ตอบเลือกที่จะอุ้มพะแพงกับพลับพลึงเดินไปบ้านหลังใหญ่เพื่อจะไปบอกยายเล็กและน้าเอื้อง น้าเอื้องเป็นเพื่อนกับแม่ฉัน ฉันจึงคุยกับน้าเอื้องง่ายไม่เกร็งเท่าคุยกับยายเล็ก หากฉันไม่บอกยายเล็กก่อนกลับน่านเกรงว่าแกจะเคืองพาลน้อยใจ ฉันอุ้มเด็ก ๆ วางลงบนแคร่ที่ยายเล็กกำลังนั่งสานตอกแก้เบื่อ
พอยายเล็กเงยหน้ามาเจอฉันก็ทักว่า “หายป่วยแล้วเหรอ”
ยังไม่ทันได้พูดหรือถามความ น้าเอื้องก็พูดต่อ “อุ้มพะแพงกับพลับพลึงก็ระวังไข้หวัดจะติดลูกล่ะน้องพราว เด็ก ๆ ติดไข้ง่าย เดี๋ยวไม่สบายพร้อมกันสามคนจะแย่เอานะ แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนกันเหรอ”
พูดไว ถามไว สมองฉันสับสน ไม่ทันจะได้ถามว่าฉันไม่สบายตรงไหน ก็โดนยิงคำถามให้ตอบเสียแล้ว ถือว่าโชคดีที่น้าเอื้องเปิดประเด็นให้ ฉันมาที่บ้านหลังใหญ่เพราะจะพูดเรื่องนี้พอดี
“พราวกำลังจะกลับบ้านที่น่านค่ะ ว่าจะไปซักอาทิตย์ สองอาทิตย์ ไม่ได้กลับบ้านหาแม่นานแล้ว แม่แกบ่นคิดถึงน่ะค่ะ”
“ถึงว่า...เจ้าภาคมาจอดรถที่ลาดล้างรถแต่เช้าเชียว” ลุงโย่งพูดพร้อมกับแกะส้มกิน ฉันอยากจะตอบกลับลุงโย่งว่า ‘คุณภาคแค่จะล้างรถไปส่งลูกสาวหาคุณส้ม’ แต่ก็น่าแปลกที่ทุกคนทำไมดูไม่ตื่นเต้น หรือมีอาการเสียใจเลยที่หลานสาวจะย้ายไปอยู่กับแม่ หรือทุกคนทำใจกันได้แล้ว
“แล้วนี่กินยาอะไรหรือยัง น้ามียาแก้ปวดหัวแล้วก็ลดไข้อยู่นะ เอาไหม?” น้าเอื้องยังไม่หยุดพูดถึงอาการป่วยของฉัน
“ไม่เป็นไรค่ะน้าเอื้อง รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
“ดูหน้าซีด ๆ น้าว่ากินยาสักหน่อยน่าจะดี เดี๋ยวน้าไปเอามาให้”
น้าคะ พราวแค่ไม่ได้แต่งหน้าค่ะ ไม่ได้ป่วย แม้ฉันจะปฏิเสธน้าเอื้องแต่น้าก็ลุกจากม้านั่งเข้าบ้านไปหายามาให้ฉันอยู่ดี ระหว่างที่พูดคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านซึ่งไถ่ถามอาการป่วยของฉัน รถเบนซ์คันโก้สีขาวก็แล่นเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน
“นั่นรถใครมาน่ะ” ลุงโย่งถาม มะยม มะขาม และพี่เบิ้มที่เดินตามฉันมาจากบ้านหลังเล็กก็วิ่งตามไปเห่าทันทีโดยไม่ต้องออกคำสั่ง อย่าบอกนะว่านั่นรถคุณโยชน์ เขาบอกว่าจะมาหายายเล็กเมื่อวานนี่นา ประตูรถเปิดออกเผยให้เห็นคนขับก็พบว่าเป็นคุณโยชน์จริง ๆ
“สวัสดีครับย่าเล็ก สวัสดีครับอาโย่ง อาเอื้อง” คุณโยชน์ลงจากรถได้ก็เดินตรงมายังโซนหน้าบ้านที่ทำเป็นหลังคายื่นออกมา มีม้านั่ง เก้าอี้ โต๊ะ บ่อปลาเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
“อื้ม สวัสดี นี่ใช่โยชน์ลูกอ้นหรือเปล่า” น้าเอื้องถาม
“ใช่ครับ” พอคุณโยชน์ตอบ น้าเอื้องก็เลยหันไปอธิบายให้กับยายเล็กฟัง จนยายเล็กผงกหัวรับ
“ไม่เจอกันนานเลยนะโยชน์ โตเป็นหนุ่มเยอะเลย ไปไงมาไงล่ะถึงได้มาเชียงราย พ่ออ้นสบายดีมั้ย” ยายเล็กเอ่ยถาม ในขณะที่น้าเอื้องบอกให้พี่ชะเอม พี่แม่บ้านให้ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ ต้องบอกก่อนว่าบ้านยายเล็กเค้าบ้านหลังใหญ่มากจึงจ้างแม่บ้านซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านที่รับจ้างทั่วไปมาช่วยงานบ้านและงานในสวน แต่บ้านหลังเล็กที่ฉันอาศัยอยู่กับคุณภาคนั้นไม่มีแม่บ้าน ฉันจึงรับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย
ฉันอุ้มพะแพงกับพลับพลึงไปนั่งเก้าอี้ไกวชิงช้าฟังผู้ใหญ่คุยกัน จะเดินกลับเลยก็กลัวว่าจะเสียมารยาทก็เลยนักเผือกตามประสาแม่บ้านมือใหม่ พะแพงซบอ้อนเหมือนง่วงนอน กินอิ่ม อาบน้ำใหม่มันก็จะสบายตัว ง่วงนอนหน่อย ๆ ใช่ไหมคะลูก
“เมื่อวานส้มก็มาหาลูกนะ ไม่ได้มาพร้อมกันหรอกเหรอ นี่ไงพะแพงลูกของส้ม” น้าเอื้องเดินมาขออุ้ม พะแพงก็ไม่ยอมให้อุ้ม เบี่ยงหน้าหลบ กอดคอฉันไม่ยอมปล่อย ด้านพลับพลึงไม่ต้องพูดถึงร้องไห้ไม่ให้ใครจับตัวเลย มือแฝดไขว่คว้าแย่งกันกอด
“ลูกของส้มเหรอครับ” คุณโยชน์พูดเหมือนไม่รู้เรื่องและย้อนถามน้าเอื้อง
“ลูกของส้มกับภาคน่ะ โยชน์ไม่รู้เหรอ” น้าเอื้องย้อนถาม
“ไม่รู้เลยครับ เมื่อวานเจอส้มที่โรงแรมกับเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ รู้แต่ว่าส้มมาเที่ยวกับเพื่อน” คุณโยชน์หันมามองทางฉันก่อนถามน้าเอื้อง “ภาคมันแต่งงานไปแล้วนี่ครับอา แล้วเมียภาคเค้าไม่ว่าอะไรเหรอ”
ถามเหมือนฉันไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เลยนะยะ
“พราวเค้าใจดี เลี้ยงพะแพงให้น่ะ พะแพงก็ติดพราวยิ่งกว่าเจ้าภาคเสียอีก รายนั้นวัน ๆ ไม่ทำอะไร ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ตั้งแต่ได้เป็นกำนัน ทำฟาร์มก็ไม่สนใจอะไรแล้ว” น้าเอื้องหันมาบอกฉัน “พราว รู้จักพี่เค้าไว้สิลูก พี่เค้าชื่อโยชน์”
“อ๋อ เมื่อวานเจอกันที่ร้านอาหารแล้วครับ ได้คุยกันบ้างแล้ว”
“ภาคมาพอดีเลย” น้าเอื้องพูดขึ้น “ภาคโยชน์มาแอ่วหา” (แอ่วหมายถึงเที่ยว) น้าเอื้องคุยกับคุณภาคเป็นภาษาเหนือ
คุณภาคไม่พูดอะไรได้แต่ผงกหัวรับคำแล้วเดินมานั่งข้าง ๆ ฉันที่เก้าอี้ชิงช้าพร้อมกับยื่นขวดนมให้พะแพงกับพลับพลึง
“ภาคเค้ารู้แล้วครับ ผมไลน์ไปหาตั้งแต่เมื่อคืน” คุณโยชน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาทางคุณภาค อย่าบอกนะว่าคุณโยชน์อะไรนี่จะส่งรูปฉันนั่งดื่ม นั่งกินให้คุณภาคดูน่ะ หนอย! ทำตัวร้ายกาจ แต่จะว่าไปก็เหมือนฉากในรักรสสตรอว์เบอร์รี ที่พระรองส่งข้อความไปฟ้องพระเอกเรื่องนางเอกไปเต้นในผับกับเพื่อน
ไม่ยอม ฉันไม่ยอม! แกอย่ามาแบล็กเมลฉันนะอีตาโยชน์ ไอ้มนุษย์ค้างคาว
“ภาครู้แล้วเหรอ ไม่เห็นบอกยายเลย” ยายเล็กท้วงถาม
“โยชน์มันบอกว่าจะมาที่บ้าน ผมก็เลยคิดว่าให้มันมาบอกด้วยตัวเองน่าจะดีกว่าน่ะครับ” คุณภาคแก้ตัวอย่างดูดี ยกมือขึ้นมาโอบไหล่ดึงฉันเข้าไปหา ฉันทำอะไรไม่ได้มากเพราะมืออุ้มและกอดเด็กแฝดสองคนที่นัวเนียตัวไม่ยอมปล่อย
เมื่อฉันเงยหน้ามองคุณภาคด้วยคิ้วขมวดเชิงตำหนิ ‘กล้าดียังไงถึงฉวยโอกาสกอดฉันต่อหน้าผู้ใหญ่เนี่ย’ คุณภาคก็เอี้ยวตัวกระซิบข้างหู “เรื่องเมื่อวานยังไม่คิดบัญชีเลยนะ ทำตัวน่ารัก...ว่ารักกันหน่อยสิ”
ฉันกำลังจะเถียงกลับแต่หูที่มีพัฒนาการสูงก็ได้ยินผู้ใหญ่คุยกัน เรื่องจะทำบุญผ้าป่า และทำบุญให้กับแม่คุณภาค ด้านคุณโยชน์ไม่รู้ว่าแม่คุณภาคเสียจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น น้าเอื้องจึงบอกว่าแม่คุณภาคฆ่าตัวตายที่สวนมะขาม ฉันได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง รีบหันกลับไปมองน้าเอื้องแล้วก็หันมากระซิบถามคุณภาค
“จริงเหรอคะ” เรื่องแม่คุณภาคเสียชีวิตฉันพอรู้ แต่ไม่รู้ว่าเธอฆ่าตัวตายที่สวนมะขาม
ไม่ทันที่คุณภาคจะตอบ เขาก็พูดเสียงดังแล้วอุ้มพะแพงออกจากอกฉันไป “จะไปหรือยัง เดี๋ยวถึงน่านค่ำ”
“ไม่รีบค่ะ คุณภาคไปธุระก่อนเลย พราวยังไม่ได้ขนกระเป๋าตัวเองขึ้นรถ”
“เอาขึ้นหลังรถให้แล้ว”
“จะไปไหนกันเหรอ” คุณโยชน์เอ่ยถาม
“ไปบ้านพราวที่น่านค่ะ” ฉันตอบด้วยเสียงสดใส “แต่ว่าคุณภาคกับเด็ก ๆ จะไปหาคุณส้ม”
“ใครบอกว่าผมจะไปหาส้ม” กำนันปีศาจทำฉันขายหน้าแล้วไง เขาท้วงด้วยน้ำเสียงตำหนิด้วยสิ
“อ้าว...ก็เห็นเก็บกระเป๋าเดินทาง ไม่ได้พาพะแพงไปอยู่กับคุณส้มหรอกเหรอคะ”
“เก็บกระเป๋าเดินทางไปนอนบ้านแม่ยายที่น่านต่างหากล่ะ”
อธิบายเพิ่มเติม ใจไม่แข็งอย่าเลื่อนดู
หนอนด้วงสาคู
รั้วมะขาม
ลุคพระเอกจีน (ทรงผม) หลี่เซียนที่กำนันปีศาจจัดแต่งผม
ส่วนนี่คือลุคของ เฉินซิงซวี เวลากำนันปีศาจยิ้มเยาะนางเอก
อธิบายเพิ่มเติม ใจไม่แข็งอย่าเลื่อนดู
หนอนด้วงสาคู
รั้วมะขาม
ลุคพระเอกจีน (ทรงผม) หลี่เซียนที่กำนันปีศาจจัดแต่งผม
ส่วนนี่คือลุคของ เฉินซิงซวี เวลากำนันปีศาจยิ้มเยาะนางเอก
ความคิดเห็น