ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรักภูมะขาม [Search Love]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 คนใจง่าย

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 65


    “มานั่งคุยกันหน่อยไหม”

    หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน ฉันก็ต้องตกใจกับคุณภาคที่นั่งทะมึนตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์โซนนั่งเล่นของบ้าน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มจริงจังจนฉันสยองยิ่งกว่าฟังเรื่องเล่าขนหัวลุก ฟังจากน้ำเสียงก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีเหมือนรู้อนาคตว่ากำลังจะโดนผู้ปกครองดุและเทศนาอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่อยู่กินและมาพึ่งบารมีของคุณภาคที่ภูมะขาม ครั้งนี้เป็นหนที่สองที่คุณภาคเรียกฉันไปนั่งคุยด้วยกันสองต่อสอง

    หึ! ไม่บ่นฉันเรื่องกลับบ้านดึก ก็คงจะพูดเกี่ยวกับเรื่องลูกสาวที่เพิ่งโผล่มาเพิ่มอีกคนในวันนี้สินะ

    ก่อนหน้านี้คุณภาคดึงฉันไปกอดจูบโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างไร้มารยาท ฉันไม่โวยวายดิ้นสู้ต่อยหน้าต่อยหลังคุณภาคให้เลือดคลั่งในสมองก็บุญเท่าไรแล้ว โชคดีของคุณภาคที่ฉันเป็นหญิงไทยร่างเล็กบอบบาง แม้จะถึกแต่แรงน้อยแขนขาเปลี้ย ทำได้เพียงอึ้งงันก่อนได้สติเอาหัวโขกหน้าผากคุณภาคดัง ตุ๊บ! ผลักร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำถึกให้ออกห่าง แต่ดันพลาดตกเตียงเสียเอง ทำให้ชะนีหน้าคมคิ้วเข้มอย่างฉันกลิ้งหมุนไปชนขอบตู้ท่าทางน่าเกลียดน่าชังคล้ายกบโดนไม้เสียบ

    คำพูดของคุณภาคช่างน่าตบปากให้เลือดกระเฉาะยังคงก้องอยู่ในหูของฉันไม่หาย

    ‘อ่อยผู้ชาย’ งั้นเหรอ อ่อยอะไรตอนไหนไม่ทราบ มโนเก่ง มั่วเก่งเหลือเกินกำนันปีศาจ

    ฉันเดินไปนั่งยวบลงข้าง ๆ คุณภาคโดยไม่พูดไม่จา โดยหันหน้าไปทางโทรทัศน์ นั่งข้างกันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า หากเลือกนั่งโซฟาที่ห่างออกไปทางด้านซ้าย ฉันอาจจะต้องเผชิญกับแววตาดุดันของคุณภาค จนคืนนี้ไม่สามารถข่มตานอนหลับลงได้แน่

    เรื่องเล่ห์เหลี่ยมเอาตัวรอดไว้ใจฉันได้ ฉลาดเหลือเกิน...

    “วันนี้เป็นอะไร”

    ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าวันนี้เป็นอะไร ต้องร่ายยาวเริ่มตั้งแต่ที่ฉันเจอหน้า ‘คุณส้ม’ แฟนเก่าของคุณภาค แล้วฉันกลัวว่าคุณส้มจะรับลูกกลับไปดูแลจึงขอตัวกลับบ้านกะทันหัน พอเดินกลับมาบ้านก็นั่งเหม่อลอยที่โซฟาทำตัวไม่ถูกเพราะคิดมาก จนลืมไปว่าตัวเองต้มข้าวให้พะแพงทิ้งไว้ รู้ตัวอีกทีบ้านก็ควันโขมงเพราะหม้อข้าวไหม้ แล้วคุณภาคก็เข้ามาพอดี ไม่พูดไม่ถามก็ชิงด่า แม้ควันจะฟุ้งเทาไปทั่วบ้านแต่ฉันก็เหลือบไปเห็นคุณส้มที่อุ้มพะแพงเดินเข้ามาในบ้าน

    จังหวะนรกสิ้นดี คุณภาคเดินมากับคุณส้มและระเบิดอารมณ์ด่าฉันต่อหน้าเธอไม่ไว้หน้าฉันเลย แบบนี้จะไม่ให้ฉันน้อยใจได้อย่างไร

    “เปล่านี่คะ ไม่ได้เป็นอะไร”

    น้ำเสียงราบเรียบของฉันตอบออกไปอย่างประชดประชัน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบหมอนที่วางโซฟามาวางไว้บนตัก

    “โทรไปหาทำไมไม่รับสาย” ก็ไม่อยากรับนี่ ด่าฉันแรงซะขนาดนั้นใครกันจะอยากคุยด้วย “ผมจะชวนไปกินข้าวข้างนอกกับยายเล็กและน้าเอื้อง”

    ลืมพูดชื่อใครบางคนไปหรือเปล่า...คุณส้มก็ไปด้วยไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นน้าเอื้องลงรูปในเฟซบุ๊กแล้วย่ะ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ไว้วันหลัง” ฉันเมินหน้ามองไปทางหน้าต่าง หลบสายตาคุณภาคที่หันหน้ามาจ้องจนนั่งเอียง

    “ไว้วันหลัง? วันนี้ก็เลยออกไปนั่งกินข้าวคนเดียวที่ร้านเหล้าเนี่ยนะ”

    รู้อีก...

    “กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ มันสมควรแล้วเหรอ มีอะไรก็พูดกันตรง ๆ สิ อย่ามาประชดประชันวิ่งหนีออกจากบ้านไปทางสวนมะขามคนเดียวแบบนั้นอีก ไม่รู้เหรอว่าที่นั่นมันอันตราย”

    ไม่ทันที่ฉันจะบอกว่า ‘ฉันโกรธ ฉันน้อยใจ ฉันเบื่อ ฉัน...นั่นนี่โน่นไหน’ เพื่อแก้ตัวให้ตัวเองพ้นผิดและออกจากสภานการณ์กดดัน คุณภาคก็พูดถึงเรื่องก่อนเที่ยงที่เราทะเลาะกันขึ้นมาเป็นประเด็นในการสนทนา

    “คุณไม่พอใจส้มที่มาหาพะแพง หรือไม่พอใจที่ผมดุคุณเรื่องหม้อข้าว”

    ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละพ่อกำนัน

    “ส้มมาหาพะแพงเพราะพะแพงคือลูกของเธอ เธอย่อมมีสิทธิ์ที่จะมาหาลูกตอนไหนก็ได้ ผมเข้าใจว่าคุณดูแลพะแพงมาตั้งแต่หนึ่งเดือนย่อมมีความผูกพัน พอส้มมาหาไม่บอกกล่าว คุณก็กลัวว่าเธอจะมารับพะแพงกลับไปอยู่ด้วยใช่ไหม” คุณภาคถามฉันได้ตรงจุดแต่ฉันมันเป็นพวกปากหนัก แม้เป็นคนพูดมากแต่เวลามีอะไรในใจก็เก็บเอาไว้ ไม่ได้เป็นคนระบายความในใจให้ใครฟังง่ายหากไม่สนิทพอ

    ความจริงก็นับว่าเป็นข้อเสียของฉันเลยล่ะ พยายามแก้เท่าไรก็ไม่หายสักที

    “พราวก็แค่เห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น เลยไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวาย พราวก็เลยกลับมาบ้านเพราะเพิ่งนึกได้ว่าต้มข้าวให้น้องพะแพง พอคุณภาคมาถึงก็ดุด่าไม่ถามสักคำ พราวก็เลยไม่พอใจ อยากอยู่คนเดียวก็แค่นั้น ไม่ได้กลัวว่าคุณส้มจะพาพะแพงกลับไปสักหน่อย คุณส้มเป็นแม่ของพะแพงนี่คะยังไงเขาก็มีสิทธิ์พาลูกกลับได้อยู่แล้ว”

    เก่งนักเรื่องประชดคุณภาค พอเปิดใจพูดกันตามตรงก็ไม่ยอมพูดความจริงจากใจ ในใจลึก ๆ อีกเหตุผลคือ ‘ฉันกลัวคุณภาคหย่า’ ยกเลิกสัญญาที่จะเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย เขาเลิกกลับไปใช้ชีวิตกับแฟนเก่าและลูกสาวฝาแฝด ส่วนฉันคงกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่จังหวัดน่านดังเดิม

    ตอนเช้าพวกผู้ใหญ่ในบ้านอย่างตาชิน ยายเล็ก ครอบครัวน้าเอื้อง ต่างก็พากันยิ้มดีใจที่คุณส้มกลับมาหาลูกสาว ด้านน้องพะแพงก็ยิ้มหัวเราะสดใสร่าเริง แม้แรกพบคุณส้มจะไม่กล้าเข้าหา แต่พอเริ่มคุ้นหน้าก็เล่นกับคุณส้มอย่างไม่ขวยเขิน

    ในเมื่อคุณส้มเป็นแม่แท้ ๆ ของน้องพะแพงฉันก็ต้องยอมรับความจริงว่าฉันก็แค่แม่เลี้ยงที่เลี้ยงดูน้องพะแพงแค่นั้น

    “แล้วคุณไม่ใช่ครอบครัวผมหรือไง”

    ฉันไม่รู้จะตอบอย่างไรกับประโยคที่ทำให้ฉันเผลอหันไปสบตากับคุณภาคอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเลื่อนลอยที่หน้าต่างอีกครั้ง

    คุณภาคคิดว่าฉันคือครอบครัวของเขาด้วยเหรอ...

    สายตาที่เคยดุดันของคุณภาคแสดงออกถึงความหงุดหงิดผสมความเจ็บปวด เขายังคงมองฉันไม่ละสายตา แม้ฉันไม่หันไปมองแต่ก็พอเห็นจากหางตาและสัมผัสได้ถึงอำนาจมืดที่กำลังจะครอบงำความคิดฉัน...

    “พะแพงไม่ใช่ครอบครัวของคุณหรือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณบ้างเลยเหรอพราว หรือคุณคิดแค่ว่าเราอยู่ด้วยกันสามคนในบ้านไปวัน ๆ ผมแต่งงานกับคุณเพราะเรื่องที่เราคุยกัน ผมจ้างคุณเลี้ยงลูกให้ผม คุณรับเงินจากผม แสดงบทบาทเป็นแม่ เลี้ยงพะแพง คุณรู้สึกแค่นี้จริง ๆ เหรอ สำหรับคุณแล้ว...ผมกับพะแพงไม่ใช่ครอบครัวคุณหรือไง ทำไมถึงพูดเหมือนตัวเองเป็นคนนอกครอบครัว”

    “มันก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ พะแพงเป็นลูกของคุณภาคกับคุณส้ม แล้วฉันก็รับเงินเดือนจากคุณสำหรับค่าเลี้ยงดูพะแพงจริง ๆ เราแต่งงานกันเพราะอะไรคุณก็รู้ดีกับอก แล้วฉันจำเป็นต้องคิดมากกว่านี้ด้วยเหรอ” ฉันหันมาเถียงกลับคุณภาคเสียงเขียว โทนเสียงเริ่มสูงขึ้นคล้ายโวยวาย

    ก่อนหน้านี้ตั้งใจจะไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่แบกรับ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังจะปะทุเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิด

    “น่าแปลกนะ คุณมีอะไรในใจกลับไม่แสดงออกให้เห็น ไม่พูดกันตรง ๆ เก่งแต่ใช้อารมณ์แล้วหนีปัญหา ผิดกับเด็กตัวเล็กตีนเท่าฝาหอยที่แสดงออกความรักเต็มที่ รักก็บอกว่ารัก คิดถึงก็แสดงออกว่าคิดถึง โกรธก็แสดงออกว่าโกรธ” ฉันทำหน้าตึงมองหน้าคุณภาคในใจรู้สึกหวิวโหวงอย่างบอกไม่ถูก “วันนี้พะแพงร้องไห้หาคุณทั้งวัน ใครอุ้มเล่น ชวนกินเค้าก็ไม่ยอมเล่น ไม่ยอมกิน ไม่ยอมอยู่กับใครเลย ปากเอ่ยถามแต่แม่พราวอยู่ไหน แม่พราวไปไหน เอาแต่ร้องไห้กอดตุ๊กตาแน่นไม่ยอมปล่อย จะกล่อมนอน หรือให้กินนมก็ถามหาแต่แม่พราว ตาจ้องไปที่ประตูรอคุณกลับมาตลอด เด็กตัวเล็กแค่นั้นเค้ายังรู้จักรัก รู้จักคิดถึง นั่นก็เพราะว่าพะแพงรัก คิดว่าคุณคือคนสำคัญสำหรับเขา ถ้าพะแพงไม่คิดว่าคุณคือคนในครอบครัวเค้าจะแสดงออกว่ารักและคิดถึงจนร้องไห้ทำไม”

    ฉันตัวร้อนวูบทันทีเมื่อได้ยินคำตำหนิจากคุณภาค เขาไม่ได้พูดจาดุด่าด้วยคำหยาบหรือตวาดใส่หน้าเหมือนช่วงเกือบเที่ยง แต่กลับพูดเป็นเหตุเป็นผลให้ฉันเห็นภาพง่ายอย่างใจเย็น คนใจร้อนอย่างฉันมีหรือจะไม่รู้สึกผิด

    “ถ้าคุณคิดว่าพะแพงคือภาระของคุณ ทุกอย่างเป็นเพียงหน้าที่ พรุ่งนี้ผมจะให้ส้มมารับพะแพงกลับกรุงเทพฯ ให้บ้านทางแม่ของส้มดูแลและเลี้ยงพะแพงแทนคุณ”

    “แต่ว่าแม่คุณส้มเลี้ยงหลานให้พี่ชายคุณส้มไม่ใช่เหรอคะ” ฉันหันหน้าไปมองคุณภาคพร้อมกับยกเหตุผลมาท้วงอย่างร้อนรนกลัวคุณภาคยกพะแพงให้คุณส้มไป

    “ตอนนี้เด็ก ๆ เข้าโรงเรียนกันแล้ว แม่ส้มน่าจะมีเวลาช่วงกลางวันอยู่บ้าง บอกเหตุผลและความจำเป็นให้ส้มฟัง ส้มน่าจะเข้าใจ” ฉันถอนหายใจยาวหันหน้าไปอีกทางตอบกลับคุณภาคอย่างไม่พอใจ เบื่อจะเถียง ยังไงเขาก็เป็นพ่อย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่แล้ว

    ดีเหมือนกัน ตัดใจจากน้องพะแพงตอนนี้ก็น่าจะทัน ก่อนจะผูกพันและคิดว่าตัวเองคือแม่แท้ ๆ ของพะแพงไปมากกว่านี้ ระหว่างที่ทำใจฉันจะย้ายไปอยู่กับแม่ที่จังหวัดน่านสักอาทิตย์สองอาทิตย์อาการอกหักพลัดพรากจากลูกคนอื่นน่าจะดีขึ้น

    พะแพงไม่ใช่ลูกในไส้ของฉันสักหน่อย เด็กคนนั้นเป็นลูกติดสามีของฉันไม่ใช่เหรอ ส่วนสามีก็เป็นสามีแค่ในนามตามกฎหมาย ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนถึงเรื่องบนเตียง ครั้นจะเผลอนึกคิดว่าพะแพงเป็นลูกตัวเองเพราะเลี้ยงดูตั้งแต่พะแพงอายุหนึ่งเดือนจนหนึ่งขวบ อยู่ด้วยกันทุกวันยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่ได้ สุดท้ายพอเด็ก ๆ โตขึ้น เขาก็ต้องอยากอยู่กับแม่แท้ ๆ ของเขาอยู่ดี ฉันก็คงเป็นเพียงแม่เลี้ยงและอดีตความหลังที่สักวันคงถูกลืม

    ฉันไม่อยากจะเป็นเหมือนแม่เลี้ยงของคุณปราบในนิยายที่ฉันเคยแต่งหรอกนะ พอลูกที่เลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมโตขึ้น ก็เคืองแม่เลี้ยงเนื่องจากเข้าใจว่าแม่ที่เลี้ยงดูเป็นคนแย่งพ่อมาจากแม่แท้ ๆ

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณภาคตัดสินใจเถอะค่ะ” ในเมื่อคิดจะตัดใจก็ต้องเข้มแข็ง ไม่อยากมานั่งแก้ปัญหาในอนาคตจนเป็นเรื่องหนักใจ “คนเป็นพ่อก็ต้องตัดสินใจแทนลูกสาว น่าจะดีที่สุด พราวเป็นเพียงแม่เลี้ยงที่ช่วยเลี้ยงลูกของคุณ ไม่อยากตัดสินใจอะไรแทน ถ้าคุณภาคไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พราวขอตัวไปนอนนะคะ รู้สึกเหนื่อย”

    ฉันพูดจบก็ลุกขึ้นยืนทันที คุณภาคเอื้อมมือมาจับข้อมือฉันเอาไว้จนฉันต้องหันหน้ากลับไปมองอัตโนมัติ “ให้ผมตัดสินใจจริง ๆ ใช่ไหม แน่ใจนะว่าคุณจะไม่เสียใจ”

    พูดแบบนี้ก็คงจะให้พะแพงไปอยู่กับคุณส้มที่กรุงเทพฯ สินะ

    “ค่ะ”

    ฉันตอบไปอย่างไม่ลังเล พร้อมกับแกะมือคุณภาคออก แต่เมื่อหันหลังให้คุณภาคฉันก็เพิ่งนึกได้ว่าในห้องนอนของฉันมีเด็กนอนข้างพะแพงเพิ่มหนึ่งคน เมื่อความสงสัยยังไม่กระจ่างและคุณภาคก็ยังไม่เอ่ยถึงฉันจึงหันหลังกลับไปหาคุณภาคเพื่อถามถึงรายละเอียด “เด็กคนนั้น แฝดพะแพงน่ะค่ะ...เค้ามาจากไหนคะ แฝดจริงหรือแฝดเล่น”

    “นั่งลงสิ” ออกคำสั่งอีกแล้ว ช่างเหมาะกับฉายาปีศาจจริง ๆ อยากรู้ก็ต้องอยู่ต่อสินะ

    แล้วฉันทำตามไหม ก็ทำตามน่ะสิ เพราะอยากรู้อยากเห็นจะได้หายสงสัยไงล่ะ พะแพงมีแฝดใครกันจะไม่งง

    “พลับพลึงเป็นแฝดของพะแพง อย่างที่คุณรู้ส้มให้ผมดูแลพะแพง ส่วนพลับพลึงเธอเป็นคนดูแลเอง เวลาไปทำงานก็จะฝากเลี้ยงไว้กับเนอสเซอรีหรือไม่ก็ฝากแม่เลี้ยง แต่พักหลังส้มบินบ่อยก็เลยทำให้ไม่มีเวลาดูแลลูก และแม่ของส้มก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพต้องผ่าตัดเข่า อุ้มเด็กไม่ไหว” เข่าฉันก็ไม่ไหว เพิ่งล้มตอนกลางวัน จำไม่ได้เหรอ ก่อนหน้านี้ก็ล้มฟาดพื้นอีกรอบเพราะใครกันล่ะมากอดจูบอย่างไร้มารยาท “ส้มเลยต้องฝากพลับพลึงไว้ที่เนอสรีเป็นเวลานาน จนกระทั่งส้มสังเกตว่าพลับพลึงนิสัยเปลี่ยนไป ขี้กลัว ร้องไห้บ่อย แล้วก็ไม่ยอมให้ใครอุ้ม มารู้ทีหลังว่าเนอสเซอรีที่ฝากไว้ตีพลับพลึงรุนแรงจนเนื้อตัวเขียวช้ำ”

    คุณส้มทำอาชีพแอร์โฮสเตสเป็นอาชีพหลัก เธอบินไปทำงานต่างจังหวัดและประเทศค่อนข้างบ่อย ทำให้ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก หลังเลิกกับคุณภาคและคลอดน้องพะแพงอย่างเงียบ ๆ ได้หนึ่งเดือน เธอก็อุ้มน้องพะแพงบินมาที่เชียงรายเพื่อขอพูดคุยกับคุณภาคสองต่อสองเป็นการส่วนตัว ก่อนคุณภาคจะตอบรับและยกพะแพงให้ฉันดูแลโดยให้เงินรายเดือนเป็นค่าจ้างเลี้ยงดูลูกของเขาทั้งสอง

    “เด็กอายุหนึ่งขวบ เค้าตีแรงเลยเหรอคะ”

    “ถ้าคุณไม่เชื่อตอนเช้าก็ลองดูเนื้อตัวของพลับพลึงได้”

    “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อค่ะ ก็เคยเห็นในข่าวบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับคนใกล้ตัว”

    “เพราะเหตุนี้แหละ ส้มถึงพาพะแพงมาอยู่กับพลับพลึงที่นี่” คุณภาคกระแอมหนึ่งครั้งในขณะที่ฉันเริ่มคิ้วชนกันเพราะสับสนชื่อ “ไม่ใช่แบบนั้น...ผมหมายถึงส้มเลยพาพลับพลึงมาอยู่กับพะแพงที่นี่”

    จำชื่อลูกตัวเองสลับกันสินะ

    “คุณภาคกำลังจะบอกว่า คุณส้มพาลูกสาวอีกคนมาอยู่กับพ่อ น่าจะสบายใจกว่าใช่ไหมคะ”

    “ก็ประมาณนั้น” คุณภาคยักไหล่ขึ้น เขายกยิ้มมองหน้าฉัน

    “แต่ถ้าคุณไม่สะดวก ไม่สบายใจที่จะดูแลพลับพลึง พรุ่งนี้ผมโทรบอกส้มให้มารับเด็ก ๆ ไปก็แล้วกัน” เราสองคนเงียบเสียงโดยไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมา

    ใจฉันสงสารเด็ก อยากรับเลี้ยงแต่ก็กลัวว่าอนาคตจะถูกทิ้งกลายเป็นแม่กา

    ‘นกกาเหว่าเอย เจ้าไข่ให้แม่กาฟัก แม่กาไม่รู้หลงรัก ดุจเป็นลูกในอุทร’

    “ผมก็ลำบากใจ ไม่ได้รู้สึกสบายใจที่ทำให้คุณกังวลและเดือดร้อนหรอกนะ แต่ก็มองไม่เห็นว่าใครจะเหมาะสมที่จะดูแลเด็ก ๆ และรักเขาจากใจจริงเท่าคคุณ”

    “รู้ได้ไงว่ารัก ได้เงินจากคุณภาคต่างหากล่ะ ถึงดูแลให้”

    “งั้นเพิ่มเป็นสองเท่าของเงินที่โอนให้...เป็นไง สนใจไหม”

    “คิดว่าพราวเห็นแก่เงินเหรอ เงินซื้อพราวไม่ได้หรอกนะ” ฉันเม้มปากอมยิ้ม “ถ้าไม่มากพอน่ะ”

    “จะขูดเลือดขูดเนื้อให้ผมหมดเนื้อหมดตัวเลยหรือไง เงินจากการเป็นกำนันได้กี่บาทเชียว กว่าจะขายมะขาม ขายผัก ขายนมวัว ขายไข่ไก่ ขายกบ จ่ายเงินให้คนงาน กำไรมีเท่าไรก็ตัดแบ่งให้คุณ ผมแทบไม่มีเงินติดตัวไว้ใช้แล้วนะ อยู่แต่บ้านไม่ได้ไปไหน ค่าน้ำค่าไฟก็ใช้เยอะกว่าผมอีก ยังจะงกขอเยอะอีกเหรอ”

    “เลี้ยงเด็กมันเหนื่อยนะคะ ตีก็ไม่เคยตี ด่าก็ไม่เคยด่า เลี้ยงดียิ่งกว่าหลานแท้ ๆ ของตัวเองเสียอีก แค่นี้ทำงกทำบ่นไปได้” ฉันยู่ปากยกขึ้นอย่างกวนประสาท “แล้วแต่คุณภาคตัดสินใจก็แล้วกัน พราวทำใจแล้ว”

    ฉันทำใจแล้วล่ะว่าคุณภาคจะยกลูกให้กับคุณส้มไปดูแล พอพูดความในใจจบก็หันหลังหมุนตัวด้วยความว่องไวอยากหลบออกจากกำนันปีศาจจอมยัดเยียด แต่ลืมไปว่าตัวเองใส่ถุงเท้าจึงลื่นล้มจับกบกลางบ้าน

    ตุ๊บ!

    วันนี้ขาเปลี้ยบ่อยเป็นนางเอกละครไทยไปได้นังพราว แผลเก่าไม่ทันหาย แผลใหม่ก็ซ้ำเติม คนที่เหยียบซ้ำย้ำความขายหน้าก็คงหนีไม่พ้นกำนันปีศาจที่ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วนั่งยองตรงหน้าฉัน มือสีเข้มคล้ำแดดลูบที่พื้นไม้สักขัดเงาวนเป็นวงกลม

    “พื้นไม้สักทองของพ่อเป็นอะไรไหมเนี่ย ไม่ยุบ ไม่พัง ไม่เจ็บใช่ไหมที่มียัยเอ๋อล้มทับ”

    คำพูดคำจาน่าตบน่าตีสุดกวนประสาทของคุณภาคทำเอาฉันกัดฟันยิ้มตอบกลับ “กวนประสาท”

    “รับเลี้ยงลูกให้ผมสิ จะได้ไม่ว่างออกไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋นอกบ้าน”

    “แต่พราวต้องทำนิยายด้วยนะคะ พราวอุตส่าห์แต่งงานกับคุณเพื่อหนีแม่ จะได้มีเวลาทำนิยาย”

    “โตป่านนี้แล้ว รู้จักแบ่งเวลาสิ” คุณภาคยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วลูบหัวฉันที่พลิกขาจากท่าจับกบเป็นท่าชันเข่าดูแผล “น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ จะหัวร้อนหรือเล่นตัวโกงราคาก็ล้มจับกบทุกรอบ วันหลังคงต้องไปช่วยผมจับกบส่งแม่ค้าที่ตลาดแล้วล่ะ”

    “แรง!!” ฉันสะบัดมือคุณภาคออกแล้วหัวเราะ

    “เดี๋ยวผมทำแผลให้”

    “ไม่ต้องค่ะ นิดเดียว” ฉันใช้มือลูบเข่าของตัวเองที่เขียวช้ำและมีแผลถลอกพยายามจะลุกขึ้นยืน

    “เข่าช้ำเป็นแผลก็ดีเหมือนกัน ต่อไปจะได้ไม่ใส่ขาสั้นเท่าตี๋หิด” คุณภาคก้มลงจูบที่หน้าผากฉันอย่างฉวยโอกาส วันนี้เขาเป็นอะไร ก่อนหน้านี้ก็จูบปากฉัน ตอนนี้ยังจะจูบหน้าผากฉันอีกแน่ะ

    ผีเข้าเหรอ!!

    “คุณภาค!”

    “ผมต้องทำหน้าที่สามีบ้าง คุณจะได้ไม่ลืมตัวว่าแต่งงานมีสามีแล้ว”

    “แต่เราตกลงกันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัว ไม่มีเรื่องบนเตียง”

    “ตรงนี้ไม่ใช่เตียงนี่”

    ว่าไงนะ ตรงนี้ไม่ใช่เตียงงั้นเหรอ...ฉันมองไปรอบตัวเองซึ่งเป็นโซนนั่งเล่นขนาดย่อมในบ้านขนาดเล็ก ก่อนจ้องคุณภาคเบิกตากว้างมองเขาอย่างตะลึง ตั้งแต่รู้จักคุณภาค ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ออกจากปากเขาสักครั้ง ภาพที่ฉันมองเห็นและสัมผัสมาตลอดคือคุณภาคเหมือนปีศาจที่มักพูดจาไม่เข้าหู เขามักเพิกเฉยกับฉันเหมือนเพื่อนร่วมบ้านใช้หลังคาและห้องน้ำเดียวกัน แม้แต่พะแพงลูกของเขาน้อยมากที่คุณภาคจะอุ้มและสัมผัสตัว

    “แต่ก่อนหน้าคุณจูบพราว” ฉันใช้นิ้วชี้แตะที่ปากตัวเอง

    “ทำไม อยากโดนจูบอีกเหรอ” คุณภาคยกยิ้มทำทีท่าจะโน้มตัวมาจูบจริง ฉันยกมือขึ้นห้ามปรามรีบถอยห่างจากคนอันตราย ผิวคล้ำ ร่างกายสูงใหญ่ ร่างถึก กล้ามแน่น เห็นแล้วน้ำลายก็แอบยืดอยู่หรอก แม้หัวใจจะบอกว่ารักแต่ฉันก็กลัวที่จะมีอะไรด้วยนะ

    “ไม่ใช่...พราวหมายถึง ก่อนหน้านี้คุณภาคจูบพราวที่บนเตียงไงคะ ซึ่งก่อนแต่งงานเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คุณภาคก็รู้นี่ว่าพราวแค่อยากหนีแม่ที่ชอบบ่นพราวว่าทำตัวเป็นเด็ก แล้วก็ชี้ให้พราวทำนั่นทำนี่ตามใจชอบ ส่วนคุณภาคก็อยากได้ไร่มะขามจากยายเล็กเป็นสินสมรส เราสองคนต่างวินวินกันทั้งคู่ ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอคะว่าตอนนี้คุณกำลังละเมิดสิทธิ์และข้อตกลงของเรา”

    คุณภาคไม่สนใจในสิ่งที่ฉันพูด เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วพูดว่า “ทำแผลก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยเข้านอน”

    อะไรวะ...เปลี่ยนเรื่องเฉย

    แม้ฉันจะปฏิเสธไม่ให้คุณภาคทำแผล แต่เขาก็เดินไปหยิบกล่องยามาทาให้ฉันจนได้ ภาพผู้ชายร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำดำทะมึนที่ดุดันหัวร้อนปาหม้อไหม้หายไปแล้ว ตอนนี้เขาลอกคราบแปลงร่างกลายเป็นผู้ชายอบอุ่นใจดี ทำแผลให้ภรรยาในนามอย่างฉันจนน่าแปลกใจ

    หลังทำแผลเสร็จฉันก็ลุกขึ้นยืนเดินไปเปิดประตูห้องนอนตัวเองอย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลัวเด็กน้อยสองคนจะตื่นนอนขึ้นมาร้องไห้กลางดึก โชคดีตอนฉันล้มเสียงดังลั่นบ้าน เด็กทั้งสองคนยังคงนอนหลับฝันหวาน จึงทำให้ฉันได้มีเวลาใกล้ชิดกับคุณภาคอย่างที่ไม่เคยได้ใกล้มาก่อน

    ฉันยืนมองดูพะแพงตัวอ้วนกลมที่นอนกอดตุ๊กตา ขาของพะแพงหนาและแน่นกว่าแขนฉันมาก ไม่รู้ว่าฉันอุ้มเด็กหญิงน้ำหนักสิบกิโลได้อย่างไรทุกวัน ฉันค่อย ๆ เดินไปที่เตียงย่อตัวงอเข่าเอนร่างกายยวบลงที่นอน มองเด็กตัวอ้วนกอดตุ๊กตาหมีที่ฉันซื้อให้

    ตุ๊กตามีตั้งหลายตัวในห้องแต่กลับชอบตุ๊กตาตัวแรกที่ฉันซื้อให้เพื่อเอามาล่อตอนมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ใหม่ ๆ แม้เรื่องน้องพะแพงฉันจะเคยทำใจบ้างแล้วว่าสักวันคุณส้มจะมารับไปอยู่ด้วย แต่ฉันไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้ แอบใจหายอยู่เหมือนกัน

    ใจบางไปหมดแล้วยัยเด็กอ้วนจอมขี้อ้อน จะจากแม่ไปจริงเหรอ

    ฉันชะเง้อคอมองเด็กที่นอนข้างพะแพง ‘น้องพลับพลึง’ เธอหน้าเหมือนพะแพงก็จริงแต่ตัวผอมบอบบางกว่ามาก ไม่รู้ว่าฉันเลี้ยงพะแพงให้อ้วนมากไป หรือคุณส้มเขาคุมอาหารให้ลูกอยู่ตามเกณฑ์ ขนาดตัวของเด็กสองคนถึงได้ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคุณภาคตัดสินใจให้ฉันเลี้ยงพะแพงกับพลับพลึงต่อจริง ๆ ฉันจะขุนพลับพลึงให้อ้วนเท่าพะแพงเลยคอยดู

    น้ำตาฉันไหลลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อนึกถึงวันวาน ที่ต่อให้ฉันจะนั่งทำนิยาย หรือทำงานบ้านก็จะมีเด็กตัวน้อย ๆ คอยเกาะติดตัวไม่ห่าง ตั้งแต่จับพะแพงใส่กระเป๋าจิงโจ้กล่อมนอนไปด้วยพิมพ์นิยายไปด้วย เริ่มฝึกคลาน เริ่มฝึกตั้งไข่ ฝึกเดิน ฝึกพูดตามคำสองคำ ฉันก็เป็นคนสอนทั้งสิ้น มีบ้างที่คุณภาคเลี้ยงพะแพงแต่ก็คงไม่ได้อยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนเท่าฉัน

    แม้ว่าฉันจะเป็นแค่แม่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกให้สามีอย่างคุณภาค แต่ก็รักพะแพงเหมือนลูกแท้ ๆ ไปแล้ว นี่ขนาดฉันไม่มีลูกเป็นของตัวเองยังขนาดนี้ ไม่คิดว่าถ้ามีลูกที่คลอดเองใจฉันจะสลายขนาดไหนเมื่อรู้ว่าลูกต้องไปอยู่ที่อื่น ทั้ง ๆ ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ฉันเข้าใจแม่แล้วล่ะ ฉันไม่น่าด่วนตัดสินใจแต่งงานแล้วย้ายบ้านมาอยู่เชียงรายเลย แม่คงคิดถึงฉันมากแน่

    แอ๊ด! เสียงประตูห้องนอนเปิดออกก่อนที่คนเปิดประตูจะค่อย ๆ นอนลงบนเตียงในจุดที่เขาเคยนั่งเอนหลังพิงฝาผนัง ฉันไม่ได้ถามว่าคุณภาคเข้ามานอนทำไมที่ห้องฉัน แต่เข้าใจว่าเขาอยากมานอนกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนส่งให้ครอบครัวคุณส้มดูแล

    ฉันกับคุณภาคนอนสบตากันโดยมีพะแพงกับพลับพลึงนอนขั้นกลาง ก่อนฉันจะปิดตาลงเพราะทนสายตาที่จับจ้องมองเหมือนเหยี่ยวพิฆาตไม่ไหว แม้ในห้องจะไม่ได้เปิดไฟแต่ก็พอเห็นเลือนลางว่าคุณภาคมองฉันไม่ละสายตา หรือไม่แน่ฉันอาจจะเมาค้างจึงตาถั่วหลงตัวเองก็ได้ ช่วงนี้อายุเพิ่มขึ้น ฮอร์โมนความสวยเปล่งปลั่งเรียกเพศตรงข้ามบ่อยเหลือเกิน

    “ถ้าคุณจะกลับไปคืนดีกับคุณส้มก็บอกพราวได้นะคะ พราวยินดีเซ็นใบหย่าให้ ไม่ติดขัดอะไร” ฉันพูดขณะหลับตาก่อนจะเอาหัวซุกชนกับแก้มของพะแพง

    ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากของคุณภาค นอกจากเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา พะแพงขยับตัวเลื่อนมือมาจับผมฉัน ก่อนจะกลิ้งตัวเข้ามาในอ้อมกอดฉันเหมือนทุกครั้ง ด้านพลับพลึงแม้จะไม่เคยนอนด้วยกันหรือเจอกันมาก่อนก็ขยับตัวเลื่อนมือไขว่คว้ากลางอากาศจนจับนิ้วโป้งของฉันที่ผายมือแผ่ราบเรียบกับเตียงตามธรรมชาติ ก่อนย้ายแก้มนุ่มมาวางที่อุ้งมือของฉันในขณะที่แขนเล็กยังโอบกอดตุ๊กตากระต่ายของตัวเอง

    “พรุ่งนี้ผมคุยกับส้มเอง ผมตัดสินใจไปแล้ว คุณไม่ต้องยุ่ง นอนเถอะ”

    ห้ามฉันยุ่งเลยเหรอ ร้ายอีกแล้ว ฉันยกปากยู่ขึ้นงอนคุณภาค ใครเค้าอยากจะไปยุ่งกันล่ะ เลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่ใช่ ยังต้องมาล้างขี้ล้างเยี่ยว ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ตั้งแต่ตัวแดงจนอ้วนเหมือนหมี แถมยังตกหลุมรักความขี้อ้อนเอาแต่ใจของพะแพงอีก เบื่อใจตัวเองจริงเชียว!

    ฉันเผลอนอนตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้เพียงว่ามีคนฉวยโอกาสย้ายที่นอนจากริมฝาผนังมานอนชิดติดฉันที่ขอบเตียง เนื่องจากฉันนอนกับเด็กจึงต้องลากเตียงให้ชิดติดผนังเพื่อป้องกันเด็กนอนกลิ้งตก แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะมีแขกไม่ได้รับเชิญมานอนซ้อนกอดจากข้างหลัง

    “ถ้านอนไม่หลับก็กลับไปนอนห้องตัวเองสิ ไม่ใช่มานอนกอดคนอื่น”

    “ผมนอนบ้านผม”

    พอได้ยินคำตอบที่ไม่เข้าใจความหมายฉันก็ลืมตาขึ้นแล้วหันหลังกลับไปมองคุณภาคที่ยังกอดฉันเหมือนไม่สะทกสะท้านกับการกระทำและเรื่องที่พูดมาก่อนหน้า

    “ทำไม...ไม่ได้เหรอ”

    จะตอบว่า ‘ไม่ได้’ ก็กลัวคุณภาคจะชักมือออกเพราะความจริงฉันก็อยากให้คุณภาคกอด ‘อากาศมันหนาวมีบ่าวที่แอบรักกอดมันก็อุ่นใจ๋’ แต่หากจะบอกว่า ‘ได้’ ก็ดูเหมือนว่าฉันเป็นคนใจง่ายแบบ ไอซ์ ศรัณยู จั๊ดจาดาดา ทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งเถียงกันเรื่องห้ามมีเรื่องบนเตียงแต่ตอนนี้กลับปล่อยอิสระ

    สุดท้ายจึงยินยอมตอบตกลงโดยการไม่พูด ไม่ตอบ แต่ใช้มือที่ไม่ได้กอดพะแพงจับมือคุณภาคเป็นการตอบตกลง

     


    หวานกรุบกริบ อยากง้อเมียแหละ แต่ก็แข็งเกร็ง พูดไม่เก่ง แต่กอด จูบแล้วหนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×