ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรักภูมะขาม [Search Love]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 โดนพ่อฟาดเข้าให้

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 65


                    ณ ร้านอาหาร At Night

                ฉันขับรถเก๋งสีขาว รถส่วนตัวของฉันที่ใช้ตั้งแต่ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ จอดหน้าร้านอาหารซึ่งก่อนหน้านี้ค้นหาผ่านแอปพลิเคชันชื่อดัง ฉันเลือกร้านที่มีดนตรีสดเหมาะสำหรับคนวัยทำงานนั่งดื่ม เสียงไม่ดังอึกทึกคึกโครมจนเกินไป บรรยากาศเป็นแบบเอาท์ดอร์ ยามค่ำคืนเย็นสบาย เมื่อเดินเข้าไปในร้านพนักงานก็ต้อนรับอย่างสุภาพ เขาผายมือให้ฉันนั่งโต๊ะเล็กริมบ่อปลาคราฟ ฉันรับเมนูจากพนักงานสั่งเอ็นไก่ ชีสสติ๊ก ปลากระพงทอดน้ำปลา ถั่วคลุกเกลือ แล้วก็เหล้าปั่น

    กินคนเดียวแต่สั่งเหมือนมาหลายคนอีกแล้ว ช่วยไม่ได้ก็คนมันอยากใช้เงินบำบัด การได้นั่งฟังเพลง กินข้าว นั่งมองผู้คนในร้านอย่างพิจารณาเพื่อนำไปเขียนนิยายโดยเล่นโซเชียลน้อยลงก็ทำให้สุขใจสบายกายขึ้นไม่น้อย ลองใช้ชีวิตในแบบฉบับที่อยากใช้โดยไม่สนสายตาใครดูบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ

    ยิ่งไม่ได้เห็นคุณภาค ยิ่งรู้สึกดี

    ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องราวของใคร ทำตัวหายไปจากปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างก็ดีไม่น้อย เหมือนที่ใครหลายคนมักจะแนะนำกับฉันว่า

    ‘ลองออกจากหน้ากากเดิม ๆ ของตัวเองแล้วลองสวมหน้ากากใบใหม่เพื่อทดลองเป็นอีกคน บางทีอาจพบเจอเรื่องราวใหม่ ๆ ที่มีสีสันในชีวิตกว่าเดิม’

    ฉันจะลองสวมบทบาทนั้นดู

    “สวัสดีครับ คุณใช่คุณพราวหรือเปล่าครับ” เสียงนุ่มของผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยถามในขณะที่ฉันส่งสายสังเกตผู้คนในร้าน มือยังค้างอยู่ที่ช้อนส้อมเพื่อเขี่ยก้างปลา เมื่อเงยหน้ามองไปยังเจ้าของเสียงฉันก็ได้แต่งุนงงว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เขารู้จักฉันได้อย่างไร

    “ผมเป็นเพื่อนกับภาค ความจริงผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับภาคครับ คุณแต่งงานกับภาคก็นับว่าเราเป็นญาติกัน”

    ตกลงเป็นเพื่อน เป็นลูกพี่ลูกน้องหรือว่าเป็นญาติกันแน่คะพ่อหนุ่ม หรือนี่คือมุกจีบหญิงของหนุ่มเหนือกันนะ น่ารำคาญเสียจริง

    จะมุกหรืออยากทักทายเพราะคุ้นหน้าคุ้นตาก็ช่าง แต่ฉันออกจากบ้านเพื่อมาพักร่างกายบอบบาง พักสมองจากการหัวร้อนเพราะสามีกำนันปีศาจ ลงทุนขับรถเข้าเมืองมานั่งกินข้าว ชมวิวยามค่ำคืนคนเดียวเพื่อหลบหนีคนปากมลพิษ แต่ไม่คิดว่าชื่อของเขาจะตามหลอกหลอนมาให้ได้ยินถึงที่นี่

    หนีไม่พ้นเลยสินะ

    “อ๋อค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ยินดียินร้ายแต่ก็ไม่ได้ยิ้มรับ ส่งสายเฉื่อยมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงสดใสคล้ายดีใจที่เจอคนรู้จัก แต่เมื่อฉันไม่รู้จักก็ไม่เห็นจะต้องแสดงออกว่าดีใจที่เจอเพื่อนของกำนันปีศาจนี่

    ดูไปดูมาเขาก็มีลักษณะหน้าตาคล้ายคุณภาคหลายส่วน แต่คุณภาคมีบุคลิกและความเป็นผู้ใหญ่สูงวัยเกินอายุมากกว่า อาจเพราะความนิ่งสงบเป็นน้ำไหลเย็น มาดสุขุมนุ่มลึก จนบางทีก็ลึกเกินจะทน จึงทำให้แรกพบระหว่างฉันกับคุณภาคน่าวางใจมากกว่าผู้ชายคนนี้ ที่ดูลักษณะท่าทางคล้ายคนเจ้าชู้ กะล่อน ปลิ้นปล้อน

    “ผมมองคุณตั้งนานแน่ะ ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าใช่แฟนภาคหรือเปล่า ก็เลยไม่กล้าเข้ามาทัก”

    ทักอยู่นี่ไง ยังบอกว่าไม่กล้าอีกเหรอ ตอแหลมากค่ะ

    “แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมาทักทั้งที่ไม่มั่นใจล่ะคะ” ฉันเป็นพวกกวนประสาทแบบนี้แหละ แม้หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นแต่เล่นตัวเหมือนดาราฮอตสุดฮิต ค่าตัวแพงนะจะบอกให้

    “ลองเสี่ยงดูครับ ถ้าใช่คุณพราวก็ถือว่าได้ทักทายญาติ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ถือว่าได้คุยกับสาวสวย”

    นั่นไง คาดการณ์อะไรไว้ไม่มีผิด เจอครั้งแรกก็ปากหวานชมว่าสวย อ่อยเก่งมากจ๊ะพ่อจ๋า ผู้ชายแบบนี้แหละที่ฉันจะไม่เลือกเอามาทำพันธุ์ให้แผ่นดินยุบต่ำลงไป เพราะนอกจากจะเต๊าะสาวเก่งแล้ว คงหลอกฟันสาวมานักต่อนักสินะ

    รู้ตัวว่าสวยไม่ต้องสาระแนเอ่ยปากชม ฉันชมตัวเองที่หน้ากระจกกับหน้าโทรศัพท์มือถือได้ย่ะ

    “แปลกจังนะคะ ฉันแต่งงานกับคุณภาคมาปีกว่า ไม่เคยได้ยินคุณภาคพูดถึงคุณสักครั้ง และไม่เคยเห็นคุณแวะเวียนไปที่บ้านภูมะขามสักหน” ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น แม้เนื้อความที่พูดจะประชดประชันติดเหน็บแนม หากเขาพอจะรู้ตัวบ้างฉันก็ยินดีไม่ขัดศรัทธา พอดีว่าไม่ใช่ผู้หญิงหวาน และรำคาญผู้ชายยุ่มยามชีวิต

    ก่อนหน้านี้หัวเสียมาหลายเรื่อง เจอคนมาทักตอนอารมณ์ยังค้างก็ถือโอกาสเปิดเผยตัวตนเพื่อเป็นเกราะป้องกันคนไม่หวังดี

    “ปกติผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ สมุทรปราการ นครปฐมแล้วก็สุพรรณบุรีน่ะครับ วิ่งรถตรวจงานหลายจังหวัด นานทีปีหนถึงจะได้กลับบ้านที่เชียงราย” ฉันผงกหัวรับ

    จะบอกว่าขยันทำงาน จนไม่มีเวลาให้ญาติพี่น้องใช่ไหม ก็คงจะใช่แหละ เพราะคุณภาคก็ทำแต่งาน ไม่ค่อยมีเวลาว่างดูแลลูกสาวตัวเองเท่าไร ฉันถึงดูแลลูกเขายี่สิบสี่ชั่วโมงไง พอรักสุดใจ ก็ขอคืนลูกยกให้แม่แท้ ๆ ไปดูแล

    ฉันคนนอกจะทำอะไรได้ นั่งทำใจอยู่นี่ไงล่ะ

    “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอนั่งคุยด้วยได้ไหมครับ”

    ไม่ทันที่ฉันจะอนุญาตเขาก็ลากเก้าอี้นั่งลงตรงข้ามกับฉันอย่างไร้มารยาทเสียแล้ว ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดีฉันคงด่าเขากลับไปแล้วล่ะ คนอยากนั่งคนเดียวแต่จู่ ๆ ก็มีตัวละครลิงเข้ามาพูดมากเพิ่มความรำคาญแบบนี้ใครกันจะไม่เซ็ง

    ถือซะว่าได้พูดคุยกับพ่อหนุ่มหน้ามนต์ คนเจ้าชู้ก็แล้วกัน

    “นั่งไปแล้วนี่คะ ฉันคงว่าอะไรไม่ได้แล้วมั้ง งั้นก็ตามสบายเถอะค่ะ” ฉันเน้นคำพูดหวังประชดประชัน เขาจะรู้ไหมนะว่าฉันเป็นคนปากร้าย แต่ใจดี ต่อให้รู้หรือไม่รู้ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับชีวิตฉันนักหรอก

     เพื่อนหรือญาติของคุณภาคคนนี้ชื่อ “โยชน์” ที่มาจากคำว่า “ประโยชน์” กว่าจะฟังชื่อเขาออก ฉันก็ออกเสียงผิดเพี้ยนเป็น ‘ยด’ ‘โย้ด’ ‘หยด’ กว่าจะพูดชื่อถูกก็ออกเสียงหลายรอบหลายหน เราสองคนพูดคุยกันสักพักใหญ่ เพื่อนของคุณโยชน์ก็มาเรียกที่โต๊ะ ก่อนเขาจะขอตัวกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูง

    นี่ถ้าเพื่อนไม่เรียกคุณเขาก็คงนั่งนานจนฉันอาจจะต้องเอ่ยปากไล่เป็นแน่

    ขณะกำลังนั่งจัดการอาหารที่เหลือบนจานให้หมดและดื่มเบียร์ขวดที่สาม เสียงน่ารำคาญของคุณโยชน์อะไรนั่นก็ทักขึ้นมาอีกหน

    “จะห้าทุ่มแล้วนะครับ คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”

    ก่อนหน้านี้หมอนี่ก็ลุกไปหาเพื่อนแล้วแท้ ๆ ไม่น่ากลับมาทักฉันอีกนะ ความจริงควรจะจบไปตั้งแต่เพื่อนเขามาเรียกให้กลับไปนั่งที่โต๊ะแล้วหรือเปล่า

    “จะกลับแล้วค่ะ รอเบียร์ขวดสุดท้ายหมด”

    “โห ดื่มเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

    “นานทีค่ะ” ฉันยกแก้วขึ้นมองล้อกับแสงไฟแล้วยักไหล่ขึ้นอย่างอวดเก่ง

    ความจริงก็เริ่มรู้สึกมึนคล้ายจะเมาแล้วล่ะ แต่เพราะดื่มสลับกับน้ำเปล่าจึงทำให้เมาช้าลง ยิ่งอากาศเย็นก็ต้องลิ้มรสรับความขมและความซาบซ่าของเบียร์บ้าง ความรู้สึกแย่ที่ฟุ้งซ่านจะได้ลดลง

    “น้องคะคิดเงินค่ะ” ฉันยกมือขึ้นเรียกพนักงานของร้าน

    “อะไรกัน ผมทักนิดเดียว ถึงกับคิดเงินเลยเหรอ”

    “ดึกแล้วน่ะค่ะ อีกอย่างตอนนี้ก็ห้าทุ่มแล้ว หากดึกกว่านี้คงต้องช่วยพนักงานเก็บกวาดร้านแล้วล่ะค่ะ”

    “ก็จริงของคุณ”

    คุณโยชน์พยายามจะออกเงินค่าอาหารและน้ำดื่มให้แต่ฉันปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ พอดีคุณภาคให้เงินมากินข้าวหลายพัน หากใช้เงินคุณฉันกลัวว่าเขาจะเคืองที่ฉันไม่ยอมใช้เงินเขา”

    โกหกอวดผัวเพื่อป้องกันตัวในยามวิกาลสักหน่อย แม้เงินที่ฉันใช้จะเป็นเงินรายเดือนที่คุณภาคจ่ายให้เพราะเลี้ยงดูพะแพง แต่ก็สามารถเอามาโอ้อวดคนอื่นกรณีป้องกันตัวเองในภาวะฉุกเฉินได้

    “ขอตัวนะคะ ต้องรีบกลับแล้วล่ะ เดี๋ยวสามีเป็นห่วง”

    แม้การแต่งงานของเราสองคนจะเป็นการตกลงกันเพื่อผลประโยชน์ สามารถคบคนอื่นได้หากเจอคนที่ถูกใจ แต่ไม่รู้ทำไมพอมีคนเข้ามาทำทีท่าเหมือนจะจีบหรือตีสนิท ฉันกลับอ้างชื่อกำนันปีศาจบ่อยครั้งบ่อยหน แม้ตอนนี้จะกำลังโกรธเคืองเขามากก็ตาม

    “ถ้าพรุ่งนี้ว่าง ผมจะแวะไปหาย่าที่บ้านนะครับ”

    “ย่า? ใช่คุณยายเล็ก ยายของคุณภาคหรือเปล่าคะ”

    “ใช่ครับ ยายเล็กเป็นลูกพี่ลูกน้องกับย่าของผม ผมก็เลยเรียกยายเล็กว่าย่า” ฉันผงกหัวรับคำ ไม่ได้อยากเผือกเรื่องของเขาขนาดนั้น แต่เมื่อเสนอตัวอยากเล่าก็ยินดีรับรู้

    เมื่อพูดคุยและลากันพอสังเสป ฉันก็ขอตัวกลับเดินแยกไปขึ้นรถของตัวเองซึ่งจอดลานจอดหน้าร้านอาหาร ยิ่งดึกอากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ทำให้หัวเริ่มปวดหนึบ ฉันเหลือบมองคุณโยชน์ที่เดินแยกทางไปขึ้นรถของเขา

    รถปอร์เช่สีขาว รวยซะด้วย!

    รวยแล้วไง รถปอร์เช่ที่มีก็น่าจะผ่อนนั่นแหละ คงรวยสู้คุณปราบนิยายที่ฉันแต่งไม่ได้หรอก ฉันบิดกุญแจรถ สั่งตัวเองให้หยุดมโน จะเอานิยายมาเปรียบกับชีวิตจริงไม่ได้หรอก

    กลับบ้านดีกว่า อยากล้างหน้า อาบน้ำอุ่น ให้สบายเนื้อสบายตัว แล้วก็หลับใต้ผ้าห่มหนา ๆ แล้ว

    ไม่รู้ว่าวันนี้คุณส้มจะพาน้องพะแพงไปนอนที่โรงแรมด้วยหรือเปล่า หรือไม่แน่ว่าคุณส้มอาจจะรับพะแพงกลับไปอยู่กรุงเทพฯ เลยก็ได้

    ฉันไม่ใช่แค่น้อยใจรอยยิ้มของคุณภาคที่เจอแฟนเก่าเท่านั้น แต่ฉันกลัวน้องพะแพงจะกลับไปอยู่กับแม่ตัวจริงของเขาด้วย หากคุณภาคคิดจะกลับไปคืนดีกับคุณส้ม แล้วเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งโดยมีเด็กเชื่อมความสัมพันธ์ ฉันควรจะทำยังไง ฉันจะต้องรับมือกับความรู้สึกของตัวเองยังไงดีนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

    ตลอดระยะเวลาจากร้านอาหารถึงบ้านคุณภาค ฉันพยายามเปิดเพลงเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกทุกข์ใจของตัวเอง หวังว่าเพลงจะปลอบประโลมใจ แต่ไม่รู้ทำไมดีเจวันนี้ถึงเปิดเพลงเศร้าคล้ายกำลังอกหัก พาลให้คนมีเรื่องหนักใจจมดิ่งกับอารมณ์หมองหม่นไปด้วย

    ฉันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า ถ้าคุณภาคกลับไปหาคุณส้มและพร้อมเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง ฉันจะเดินถอยออกมาอย่างกล้าหาญชาญชัย เป็นหญิงแกร่งกล้าที่สวยสง่าอย่างมีศักดิ์ศรี เดินหน้าทำเรื่องหย่ากันที่อำเภออย่างองอาจ แม้เป็นขี้ปากของเพื่อนและชาวบ้านนิดหน่อย เศร้าสร้อยหงอยเหงาบางเวลา แต่เพื่อน้องพะแพงมีความสุขก็น่าจะคุ้มกับจุดจบที่ฉันพบเจอ

    อายุฉันจะสามสิบแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไรมากนอกจากเดินตามฝันอยากเป็นนักเขียนนิยาย มีผู้จัดละครตาดีพบเจอนิยายฉันแล้วนำไปเป็นละครหลังข่าวสักเรื่อง แค่นี้ความฝันก็บรรลุเป้าแล้ว

    แต่เด็กวัยหนึ่งขวบอย่างน้องพะแพง ยังมีอนาคตอีกยาวไกล หากฉันใจร้ายเป็นหนามแทงอกทำลายครอบครัวสถานที่อบอุ่นปลอดภัยที่สุดของน้องพะแพงก็ดูเป็นผู้ใหญ่ไร้จิตสำนึกไปสักหน่อย นักเขียนผู้ดีนางเอ๊กนางเอกอย่างฉันก็ต้องหลีกทางให้อยู่แล้ว

    ขับรถกลับบ้านคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเลี้ยวรถเข้าบ้านสวน “ภูมะขาม”

     ณ บ้านสวนภูมะขาม

    รถของฉันแล่นจอดที่ลานจอดรถประจำของตัวเอง รถของคุณภาคยังคงจอดอยู่ที่เดิม ฉันหันไปมองบ้านหลังใหญ่รถทุกคันก็จอดเรียงกันครบไม่มีคันไหนหายไป บ้านหลังเล็กที่ฉันอาศัยกับคุณภาคเปิดเพียงไฟหน้าบ้านและไฟลานจอดรถเท่านั้น

    เที่ยงคืนครึ่ง สงสัยคุณภาคจะนอนไปแล้ว ทางสะดวกมากจ้า

    ฉันเดินลงจากรถแวะไปเล่นกับมะยมหมาพันธุ์ดัลเมเชี่ยนลายจุด กับมะขามหมาพันธุ์ไทยหลังอานสีน้ำตาลเข้มที่เดินส่ายหางต้อนรับฉันกลับบ้าน ส่วนเจ้าเบิ้มโกลเด้นท์ก็เห่าเสียงดัง ส่ายหางดุ๊กดิ๊กเรียกร้องความสนใจจนน่าหมั่นไส้

    เห่าเสียงดังเดี๋ยวพ่อกำนันปีศาจก็ตื่นมาอาละวาดแม่กลางดึกอีกหหรอก

    “เห่าแต่ไกลเลยนะมะยม มะขาม พี่เบิ้ม แม่แวะซื้อขนมมาให้ด้วยนะ”

    ฉันพูดพร้อมกับเอาขนมปังออกจากถุงผ้า แกะให้มะยม มะขาม พี่เบิ้มกิน ก่อนหน้านี้แวะร้านสะดวกซื้อ หาน้ำและยากินแก้อาการมึนเมา จึงหยิบขนมปังของโปรดลูกรักคุณภาคติดไม้ติดมือมาด้วย หากฉันออกบ้านแล้วกลับมามือเปล่า แก็งค์ลูกรักคุณภาคจะงอนเก่ง เรียกจนปากแฉะคอแห้งก็ไม่ยอมหันมาเล่นด้วย ตรงกันข้ามหากคุณภาคมีธุระออกไปข้างนอกไม่มีของติดไม้ติดมือ เจ้าที่สามซนกลับวิ่งเข้าไปออดอ้อนเล่นกับคุณภาคเพื่อขอเป็นที่หนึ่งในใจ

    เห็นแล้วก็น่าหมั่นไส้ นี่ฉันเกิดมาเป็นคนไม่เคยต้องไต่เต้าเลียใครให้เสียศักดิ์ศรี แต่กลับเรียกร้องความรักจากหมาเพราะอยากเอาชนะกำนันปีศาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

    โถ่! พราวผู้น่าสงสาร

    “กินแล้วก็กลับเข้าไปนอนด้วยล่ะ อากาศเย็นแล้วนะ มานี่เร็วเดี่ยวแม่ห่มผ้าให้” ฉันเดินไปยังบริเวณที่นอนของมะยม มะขาม และพี่เบิ้ม ก่อนที่หมาแสนรู้จะรีบกิน รีบวิ่งมารวมตัวกันที่กองผ้าเน่า “กลิ่นผ้าแรงมากเลย พรุ่งนี้ต้องเอาไปซักแล้วล่ะ วันนี้ก็นอนเหม็น ๆ ไปก่อนนะเด็กๆ ” เจ้าหมาแสนรู้ทำเสียงอี๋ ๆ ออดอ้อน นอนส่ายหางบนเบาะนุ่มของตัวเอง ก่อนฉันจะใช้ผ้าผืนใหญ่ห่มทับปิดคลุมน้องหมาเหลือแต่หัวโผล่พ้นออกมาส่งสายตาอ้อน

    “น่ารักนะเราเนี่ย เฝ้าบ้านดี ๆ ล่ะ” พูดจบฉันก็เดินไปยังประตูบ้าน แต่ทว่าประตูกลับถูกล็อกลงกลอนจากข้างใน

    บ้าจริง! อย่าบอกนะว่าคุณภาคลืมฉันแล้วล็อกประตูบ้านน่ะ หรือไม่แน่เขาก็อาจจะไม่ได้ลืมแต่ตั้งใจอยากกลั่นแกล้งให้ฉันนอนหนาว ยุงกัดหน้าบ้านล่ะสิไม่ว่า คนปากร้ายใจดำแบบคุณภาคช่างอำมหิตยิ่งกว่าใคร

    จะว่าไปแล้วฉันขับรถเข้าบ้านแสงไฟสาดส่องเขาไม่ตกใจตื่นลุกขึ้นมาดูบ้างเหรอ แม้กระทั่งเสียงหมาเห่าหอนดังทั่วทั้งสวนหูทิพย์ก็ไม่ได้ยินเลยหรือยังไง หรือเพราะเจอแฟนเก่าก็เลยนอนหลับสนิทฝันหวานลืมตื่นไปแล้ว ปกติกำนันภาคปีศาจหูดีตาไวจะตายไป เสียงอะไรนิดอะไรหน่อยดังรอบบ้านก็ลุกออกจากห้องเดินสำรวจจนน่ารำคาญ หรือแท้ที่จริงแล้วอยากแก้แค้นฉันจนตัวสั่น พอได้โอกาสก็ล็อกบ้านจากข้างในแกล้งให้ฉันเข้าบ้านลำบากต้องเคาะประตูอ้อนวอนขอร้องให้เขาช่วยเปิดประตูให้ยามดึก

                    ไม่ก้มหัวให้หรอกนะ!

    ไม่เป็นไร เราหญิงถึกพึ่งพาตัวเองเก่ง ปกติหน้าต่างห้องนอนฉันไม่ได้ล็อค ฉันสามารถปีนหน้าต่างเข้าห้องนอนได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณภาคให้แปรงร่างยามดึกหรอก เมื่อตัดสินใจได้ ฉันก็เดินไปลากเก้าอี้จากโรงจอดรถมายังหน้าต่างห้องห้องนอนของตัวเองที่เปิดทิ้งไว้ โชคดีที่บ้านคุณภาคเป็นบ้านชั้นเดียว ยกสูงขึ้นจากพื้นไม่มาก แค่ยืนบนเก้าอี้ก็สามารถก้าวขาปีนขึ้นหน้าต่างได้แล้ว

    ฉันเซียนนักปีนป่าย เรื่องแค่นี้ง่ายมาก

    เมื่อก้าวขายืนเต็มความสูงบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงิน ฉันก็เอื้อมมือออกแรงผลักลวดตาข่ายที่ติดกับหน้าต่างบ้านออก ก่อนจะโยนกระเป๋าเข้าไปในห้อง

    ปึก!

    จากนั้นก็ใช้มือจับที่ขอบหน้าต่างโน้มตัวไปข้างหน้า ยกตัวขึ้นสูง เอาขาเข้าไปในห้องทีละข้างก่อนจะนั่งขอบริมหน้าต่างแล้วไถตัวเข้าไปในห้องอย่างชำนาญการ เมื่อเข้าไปในห้องได้ก็หันหลังปิดมุ้งลวดจากนั้นก็ปัดฝุ่นที่มือและกางเกงของตัวเอง

    เก่งชะมัด...ฝีมือเยี่ยมยอด

    หลังจากปัดฝุ่นออกจากเรือนร่างบอบบาง ก็เดินไปหยิบกระเป๋าที่ตกพื้นไปวางบนโต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องนอน ไฟจากโรงรถส่องเข้ามาห้องจึงพอทำให้เห็นสิ่งของในห้องได้บ้าง แต่เมื่อเดินไปเปิดไฟแล้วหันหลังกำลังจะถอดเสื้อออกแล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนหน้าตู้เสื้อผ้า ฉันก็ต้องตกใจมือไขว้เป็นกากบาทที่ปลายเสื้อของตัวเองซึ่งเปิดยกขึ้นมาถึงเนินอก

    “อ๊าก!!”

    ฉันเผลอร้องออกมาเสียงหลงก่อนรีบดึงเสื้อของตัวเองลงจนแนบชิดเนื้อหนัง

    ภาพที่เจอในตอนนี้แทบทำฉันช็อคตายคาห้อง คุณภาคนั่งเหยียดขายาวพิงหลังกับหัวเตียง จ้องมองฉันด้วยสายตาดุ มือข้างหนึ่งของเขากล่อมน้องพะแพงซึ่งนอนกอดตุ๊กตาตัวโปรดบนเตียง ฉันยืนอึ้งกิมกี่กับสายตาคมดุของสามีตัวเองจนเผลอตัวอ้าปากค้าง พอได้สติก็รีบหันหลังปิดไฟลงทันควัน

    ก่อนหน้านี้ทำเก่ง ปากดี พอเจอสายตากำนันปีศาจที่มองจ้องโดยไร้คำพูดก็ใจฝ่อห่อเหี่ยวคล้ายกำลังทำความผิด แต่ไม่ยอมสำนึก พอนึกถึงแววตาคุณภาคตอนเปิดไฟเมื่อกี้ ฉันก็รู้สึกขนลุกจนหวาดระแวง

    ยังไม่หายโกรธฉันเหรอ หรือกำลังตำหนิที่ฉันกลับดึกไม่อยู่ดูแลน้องพะแพง แต่ปกติเราสองคนให้อิสระกันตลอด ไม่น่าจะเคืองฉันนานขนาดนี้ หรือว่าโกรธที่ฉันปีนหน้าต่างเข้ามาโดยไม่โทรบอกเขา แต่คุณภาคล็อกบ้านนี่ ฉันไม่อยากรบกวน แม้จะเป็นข้ออ้างที่เถียงตัวเองในใจแต่ฉันก็ไม่ได้เอ่ยปากถามคุณภาคไปตามตรง แค่เรื่องหม้อต้มข้าวไหม้ถึงขั้นบุกรุกเข้ามาห้องฉันโดยไม่บอกไม่กล่าวเลยเหรอ

    ในห้องเงียบไร้เสียงการพูดคุยระหว่างฉันกับคุณภาค ฉันจึงถือโอกาสรีบหยิบเสื้อผ้าออกจากลิ้นชัก มืออีกข้างดึงผ้าเช็ดตัวที่ตากหน้าตู้เสื้อผ้าพาดบ่า แล้วเดินย่องเบาตั้งใจจะไปอาบน้ำ เกรงว่าหากเดินเต็มเท้าพื้นไม้สักราคาแพงจะเสียงดังทำให้น้องพะแพงตื่นกลางดึก วันนี้พ่อบ้านใจปีศาจกล่อมลูกสาวนอนเป็นวันแรก หากฉันเสียงดังทำลูกสาวเขาตื่น เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

    “ตอนนี้กี่โมง” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเมื่อฉันกำลังเอื้อมมือจะบิดลูกบิดเปิดประตู

    ถามทำไมเนี่ย ปกติก็ใส่นาฬิกา Garmin ราคาแพงตลอดเวลา หรือว่าวันนี้ลืม ถอดออกตอนระลึกความหลังกับแฟนเก่าเหรอ

    แม้ใจจะเถียงเก่งแต่ฉันก็ก้มมองนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือตัวเอง “เที่ยงคืนครึ่ง เกือบตีหนึ่งค่ะ”

    “ข้อมือก็มีนาฬิกา อ่านเวลาก็เป็นนี่ ทำไมถึงไม่รู้ว่าเวลาไหนควรกลับบ้าน”

    “แต่เราไม่ได้กำหนดหรือตกลงกันเรื่องเวลากลับบ้านนี่คะ”

    “มันก็ควรเป็นหน้าที่และจิตสำนึก ไม่จำเป็นต้องมีใครกำหนด”

    ฉันเงียบไม่เถียงกลับ ในใจก็ยอมรับว่าผิดจริง สายตาเลื่อนมองคุณภาคอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แม้ไม่ได้เปิดไฟห้องมีเพียงแสงไฟริบหรี่จากโรงรถ แต่กลับมีรังสีอำมหิตของปีศาจลอยทั่วห้องจนรู้สึกหนาวเย็น

    สมยานามปีศาจไม่ได้ตั้งมาเล่น ๆ คุณภาคเขามีกลิ่นไอสังหารของคนพูดน้อยต่อยหนัก และใช้สายตาขู่เก่งมาก

    ฉันเหลือบมองพะแพงที่นอนบนเตียงอีกหน แต่เหมือนตาจะฝาดหรืออาจจะเมาค้างเพราะฉันเห็นพะแพงแยกร่างได้  ฉันไม่แน่ใจว่าสติตัวเองยังครบเหมือนเดิมไหม ทำไมยิ่งจ้องมองก็เหมือนจะเห็นเด็กน้อยสองคนนอนข้างเคียงกัน เมื่อสายตาพร่ามัวคล้ายคนไม่สร่างเมา ฉันก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตาแล้วมองเพ่งไปยังเด็กที่นอนข้างคุณภาคอีกหน

    “นั่นใครคะ คนที่นอนข้างพะแพง” แม้จะเอ่ยปากถามไปแล้ว แต่อีกใจก็กลัวคุณภาคด่าว่าฉันเมาแล้วขับ

    “แฝดของพะแพง”

    “คะ?”

    “รีบไปอาบน้ำแล้วมาดูลูกสิ”

    “แล้วแฝด...แฝดนั่นหมายความว่าอะไร” ฉันเดินเข้าไปใกล้เตียงก่อนย่อตัวนั่ง ก้มลงมองใกล้ ๆ เด็กผู้หญิงที่ผอมกว่าพะแพงอย่างนึกสงสัย

    “ไปอาบน้ำ!”

    คุณภาคพูดถ้อยคำสั้นแต่เน้นชัดในน้ำเสียงสื่อความหมายว่าออกคำสั่ง หากไม่ทำตามจะโดนด่ารอบสองแน่ มือเขาจับต้นแขนฉันข้างที่ไร้แขนเสื้อ สัมผัสเนื้อหนังโดยตรงจนสะดุ้งเพราะมือคุณภาคนั้นทั้งเย็นและสาก

    “ถ้าไม่อาบจะจับกด...”

    ไม่ทันได้จับกด จับกอด พูดจาข่มขู่ดุด่าเหมือนที่เขาถนัด กำนันภาคปีศาจนิสัยดุก็รวบตัวฉันดึงเข้าไปจูบโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว ฉันไม่ทันได้ขัดขืนดิ้นสู้ก็ถูกพลิกตัวให้นอนจมเตียงนุ่ม

    “มีลูกมาเลี้ยงเพิ่มหนึ่งคน ไม่น่ามีเวลาว่างออกบ้านไปอ่อยผู้ชายแล้วมั้ง”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×